หลานเสวี่ยเดินออกมาจากสวนด้วยความโมโห คุณหนูจางเสี่ยวหลงในชาติก่อน มีชีวิตสุขสบาย ใครจะกล้ารังแกเธอ ดูตอนนี้เป็นแค่พระชายาที่ผัวไม่รัก แถมยังถูกเมียน้อยรังแกอีก จะสงสารหลานเสวี่ย หรือสงสารตัวเองดีนะ
“มาแล้วหรือ นางกำนัลจาง เข้าไปเถอะฝ่าบาทกับเหล่าขุนนางรอเจ้าอยู่ข้างใน”
“รอข้าหรือ ไม่ใช่ว่ามีแต่ฝ่าบาทหรอกหรือ”
“ฝ่าบาททรงอยากให้ขุนนางรู้ข้อมูล จะได้จัดเตรียมความพร้อมให้เหมาะสม ท่านก็รีบไปเถอะ”
“เจ้าคะ ฉ่างกงกง”
นางรีบเดินเข้ามาในห้องหนังสือ ก็พบขุนนางสองคนนั่งรอตรงที่นั่งต่ำกว่าฮ่องเต้ ในความทรงจำของหลานเสวี่ย ทำให้รู้ว่าสองท่านนี้คือ เจ้ากรมพระคลัง กับเจ้ากรมโยธา ที่รับหน้าที่สำคัญในการรับมือกับภัยแล้ง
พอหลานเสวี่ยมาถึงทั้งสองคนก็มองไม่ละสายตา สีหน้าบ่งบอกถึงความสงสัย และไม่มั่นใจว่าแค่นางกำนัลตัวเล็ก ไปจะสามารถทำเรื่องใหญ่โตเข่นนี้ได้สำเร็จ แม้แต่ผู้มีความรู้อันดับหนึ่ง และผู้มีชื่อเสียงยังใช้เวลาเป็นร้อยปีกว่าจะติดต่อหาคนจากแดนเซียน เพื่อมาสั่งสอนคนในราชวงศ์ แค่ปีละครั้งเท่านั้นเอง
แต่นี้นางถึงกับติดต่อซื้อขายโดยตรง ทำให้ชายชราสองคนไม่เชื่อ และรวมถึงฮ่องเต้ก็เช่นกัน เขาไม่เชื่อเลยว่าเธอจะทำได้ แต่เขาก็ลองเสียงดู ถ้าเธอโกหกก็แค่สั่งไปตัดหัว เพราะเขาก็มีแผนสำรองไว้ แม้จะเทียบไม่ได้กับแผนของนางกำนัลตัวเล็ก ๆ แต่ก็พอทำให้รอดพ้นวิกฤตด้วยการสูญเสียให้น้อยที่สุด
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอบังอาจกราบทูล”
“เชิญ!”
เจ้ากรมพระคลัง แซ่กวนประสานมือขออนุญาต ก่อนจะมองมาที่หลานเสวี่ยที่ยืนอยู่ตรงหน้าฮ่องเต้ และถูกขนาบข้างด้วยขุนนางใหญ่ทั้งสองท่านที่นั่งบนที่นั่งพิเศษ
“กระหม่อมไม่สามารถเชื่อถือนางกำนัลผู้นี้ได้ นางเป็นใครมีรากเหง้ามาจากที่ใดถึงสามารถติดต่อกับผู้คนจากแดนเซียนได้ ข้าเองก็ขออภัยที่พูดตรง ๆ แต่นี่คือความคิดเห็นของข้า ท่านเจ้ากรมโยธาคิดเห็นเช่นไรบ้าง”
“ข้าคิดเห็นเช่นเดียวกัน จะให้ปักใจเชื่อได้อย่างไรกัน”
“เอาละ เช่นนั้นนางกำนัลจาง เจ้าจะพิสูจน์อย่างไร เพราะข้าเองก็ต้องฟังเสียงของเหล่าขุนนางของข้า เพราะฉะนั้นเจ้าต้องพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นจึงจะเตรียมการได้”
เมื่อได้ฟังความคิดจากเจ้ากรมพระคลังกวนหวังหลิง และ เจ้ากรมโยธาหยางไป๋หวอ หลานเสวี่ยก็ยิ้มมุมปากหยิบมันฝรั่งสองสามลูกออกมา ดึงดูดสายตาของทั้งสามคนในห้องเป็นอย่างดี
“นี้คือมันฝรั่ง เป็นหัวมันจากแดนเซียน ให้คุณค่าทางอาหารมากกว่าพืชผักในโลกมนุษย์ถึงสิบเท่า กินลูกเดียวอิ่มทั้งวันยังได้ อย่ากระนั้นเลยให้หม่อมฉันทำให้ เสวยเพื่อไขข้องใจเลยดีกว่า”
หลานเสวี่ยพูดพลางเดินถือมันฝรั่งสามลูกด้วยสองมือ นางเดินวันไปตั้งแต่เจ้ากรมคลัง ไปหาเจ้ากรมโยธา สุดท้ายมาหยุดที่ฮ่องเต้ ถ้าอยู่ในยุคปัจจุบันนางคงได้เป็นนักขาย แทนที่จะเป็นนักเศรษฐศาสตร์
ส่วนเจ้ากรมทั้งสองอึ้งไปเลย เพราะเกิดมาไม่เคยพบเห็นอะไรแบบนี้ ส่วนฮ่องเต้ที่นั่งมองจากที่ไกล ๆ ก็ยิ่งสงสัยว่า สตรีผู้นี้เป็นนางกำนัลจริงหรือ การพูดจาฉะฉาน ความรู้แน่น ไม่เกรงกลัวอำนาจของฮ่องเต้เลยสักนิด แตกต่างจากคนอื่นที่สั่นกลัวเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
“ได้ ท่านทั้งสองก็ไปดูวิธี และบันทึกไว้เพราะต้องนำไปเผยแผ่ให้ทุกคนรู้”
“ยอมรับพระบัญชาฝ่าบาท”
“หม่อมฉันขอทูลลาเพคะ”
เมื่อได้รับอนุญาตนางก็เดินเชิดหน้าออกมา เพราะลืมตัว ปกติชีวิตก่อนนางก็เป็นถึงลูกสาวมหาเศรษฐี ไม่เคยเดินก้มหน้าเลยไม่คุ้นเคย ทำเอาหลงเยี่ยนที่มองตามหลังได้แต่สงสัย ตกลงแล้วนางเป็นผู้ใดกันถึงกล้าทำเช่นนี้
หลานเสวี่ยมาถึงห้องครัวหลวง นางเดินตามหลังขุนนางทั้งสองมาที่นี่ ก็ทำเอาทุกคนในครัวแตกตื่นกันยกใหญ่ หัวหน้าพ่อครัวก็รีบออกมารับหน้าแทบไม่ทัน
มาถึงที่นี่ก็นึกขึ้นได้ว่าตลอดเวลาสามปีที่หลานเสวี่ยต้องทนกินอาหารสุนัขพวกนั้น มันเป็นเพราะใครกัน อยากเห็นหน้าก่อนจะจดไว้ในบัญชีแค้น นางจึงสอดส่องทุกอย่างในห้องครัวด้วยความสงสัย
“ท่านทั้งสองมาถึงที่นี่ มีอะไรให้ผู้น้อยรับใช้หรือขอรับ โปรดสั่งมาได้เลย”
“ข้าไม่มีหรอก แต่เจ้าจงทำตามความต้องการของนางกำนัลผู้นั้น ไม่ว่านางจะขออะไรก็ตาม”
“นางใช่ไหม”
พ่อครัวหันไปมองหลานเสวี่ยที่กำลังค้นหาอะไรบางอย่างในครัว พอใครมาขวางนางก็บอกไปว่ามากับเจ้ากรมทั้งสองจนไม่มีใครกล้าขวาง
“ห้องครัวนี้ทำอาหารส่งให้ตำหนักไหนบ้าง บอกข้าได้ไหม”
พ่อครัวร่างอ้วนใบหน้ายิ้มมุมปาก ดูเป็นคนถ่อมตน ไม่เหมือนคนไม่ดีเลย นางจึงไม่เข้าใจว่าเขาทำแบบนั้นเพราะอะไร หรือมีใครสั่งมา ถ้าเป็นอย่างหลังก็นับว่าแย่มาก ที่ปล่อยให้คนรังแกภรรยาตัวเอง ไม่อายบ้างหรือไงฮ่องเต้แห่งต้าเหยียน
“ห้องครัวหลวง ส่งอาหารไปทั้งตำหนักของวังหน้า และวังหลังทั้งหมด และอาหารของข้าราชบริพารทั้งหมดในวังล้วนทำจากที่นี่”
“รวมตำหนักเย็นด้วยหรือไม่”
พอได้ยินคำพูดของนาง ทุกคนหันมามองตาม ๆ กัน รวมถึง เจ้ากรมทั้งสองก็เช่นกัน ที่ยืนดูอยู่ข้าง ๆ เพราะคำว่าตำหนักเย็น กลายเป็นคำต้องห้ามไปแล้วในวังหลวง
“ใช่แล้ว นี้คือสำรับอาหารของตำหนักเย็น เนื่องจากเกิดภัยแล้ว แม้แต่ฝ่าบาทยังทรงลดอาหารของตนถึงครึ่งหนึ่ง ทำให้ต้องลดของตำหนักอื่นด้วย ก็จะเหลือเท่านี้”
“เช่นนี้เอง ตามสบายเถิดข้าแค่จะยืมครัวสักหน่อย”
“เช่นนั้นก็เชิญตามสบาย" หัวหน้าห้องครัวปาดเหงื่อที่ผุดออกมาอย่างไม่เข้าใจ ทำไมแค่คุยกับนางกำนัลเขาถึงรู้สึกเกร็งไปทั้งตัวแบบนี้
“ไม่มีอะไรมากหรอก มันฝรั่งสามลูกนี้ข้าจะทำอยู่สามเมนู นั่นคือต้ม,ทอด และสุดท้ายเผาไฟเหมือนมันหวานง่าย ๆ”
“พวกเราจะจดไว้ทุก รายละเอียดเลยเชิญแม่นางจางทำตามสบายเถอะ”
“ไม่ต้องเกร็งไปหรอก ตามสบายเถอะ”
หลานเสวี่ยมองเจ้ากรมทั้งสองด้วยความสงสัย ทำไมบอกให้เธอไม่ต้องเกร็งทำตัวตามสบาย แต่พวกเขาเหงื่อออกทั้งตัว แถมสีหน้าไม่ดีด้วย ไหนจะเตรียมคนจดบันทึกเป็นสิบ ใครกันแน่ที่กำลังเกร็งอยู่
หลานเสวี่ยไม่สนใจพวกเขา ลงมือทำอาหารกับมันฝรั่งสามลูกที่โตเท่ากำปั้นนักกล้าม
วิธีต้มง่ายหน่อย ทำตามปกติได้ แค่ขั้นตอนสุดท้ายเอามาบด แล้วนำมาทานแทนข้าว อร่อยดี ส่วนเผาก็ทำได้ง่ายเหมือนกับมันหวาน หรือมันม่วงทั่วไป
บอกหน่อยคือวิธีทอด แต่ให้ความอร่อยยืนหนึ่ง ใครบางไม่ชอบเฟรนช์ฟรายส์ ใครไม่ชอบก็ช่าง แต่จางเสี่ยวหลงชอบมาก กินครั้งไหนต้องไปออกกำลังกายให้วุ่นกลัวอ้วน
เอาล่ะขั้นตอนก็มีตามนี้
1. หั่นมันฝรั่ง - หั่นมันฝรั่งเป็นแผ่นบาง ๆ หรือแท่งยาว ซึ่งการหั่นนี้อาจใช้มีดธรรมดา ไม่ได้บางหรือเป็นเส้นเล็กเหมือนที่เรามีในปัจจุบัน
2. ล้างน้ำ - แช่มันฝรั่งในน้ำเพื่อขจัดแป้งออกไปเล็กน้อย ช่วยให้กรอบมากขึ้นเมื่อทอด
3. ตั้งกระทะน้ำมัน - ใช้น้ำมันหมู น้ำมันงา หรือไขมันสัตว์ชนิดอื่นในการทอด เพราะน้ำมันพืชที่ใช้ทั่วไปอย่างถั่วเหลืองหรือดอกทานตะวันยังไม่เป็นที่แพร่หลายมาก
4. ทอดในกระทะ - ทอดมันฝรั่งด้วยไฟกลางจนเหลืองกรอบ หมั่นคนให้สุกทั่วถึงกัน
5. ตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน - เมื่อมันฝรั่งทอดได้ที่ ให้ตักขึ้นพักบนภาชนะที่สะเด็ดน้ำมัน
6. ปรุงรส (ถ้ามี) - ในยุคนั้นการปรุงรสอาจใช้น้อย ส่วนใหญ่จะเป็นเกลือธรรมชาติ หากมีเครื่องเทศ เช่น พริกไทย ก็สามารถเติมได้
พอแต่กลิ่นหอมของมันฝรั่งทอดฟุ้งกระจายไปทั่วห้องครัว ทุกคนต่างกลืนน้ำลายตาม ๆ กัน อยากจะมีลาภปากได้ชิมสักชินก็บุญแล้ว แม้แต่หลานเสวี่ยที่เคยกินเฟรนซ์ฟรายส์มาก่อน ยังแปลกใจว่ามันฝรั่งทอดที่นางทำอร่อยมาก สดใหม่หวานเค็ม จนแทบไม่อยากแบ่งให้ฮ่องเต้เสวยแล้ว รู้แบบนี้เอามาเยอะ ๆ ก็ดี
แต่เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมรับประทาน นางก็เป็นคนยกสามเมนูไปที่ห้องหนังสือ ปวดแขนมาก จะให้คนอื่นทำก็ไม่ได้เพราะตัวเองเป็นนางกำนัลอยู่ตอนนี้ เรียวขาสวยรีบบึ่งไปที่ตำหนักอันกง ส่วนเจ้ากรมทั้งสองวิ่งตามทั้งจดทั้งถาม จนภาพลักษณ์ขุนนางผู้สง่าหายไปหมดแล้ว
“แม่นางจาง ข้าไม่เข้าใจว่าต้องทอดนานเท่าใด?”
“แล้วจะต้มนานเท่าใดกัน”
สองคนนั้นถามมาจนสุดทาง ถามทุกเรื่องแม้กระทั่งจะปอกเปลือกมันฝรั่งหนาเท่าใด ทำเอาหลานเสวี่ยปวดหัวไมเกรนขึ้นกันเลย
“ข้าจะจดข้อมูลให้ท่านทั้งสองเอง ในเมื่อมีวิธีการปฏิบัติแล้ว แค่เอาทฤษฎีไปเสริมน่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
“ขอบคุณแม่นางจาง มาก ๆ นับว่าแม่นางช่วยพวกเราไว้เยอะเลย”
“ข้าเองก็เช่นกัน ในเมื่อมันเป็นของล้ำค่าคงจะดีไม่น้อยถ้าจะขอรายละเอียดการเพาะปลูกเจ้ามันวิเศษนี้ เอ่อ เดี๋ยวค่อยคุยรายละเอียดทีหลังก็ได้”
“ได้เจ้าคะ ข้าน้อยยินดีเป็นอย่างมาก"
นางรีบเดินต่อไป จนมาถึงตำหนักอันกงพอดี เมื่อเข้ามาข้างในสิ่งแรกคือฉ่างกงกง เอาเข็มเงินมาตรวจพิษให้เรียบร้อย แล้วจึงนำเข้าไปถวายให้ฝ่าบาทเสวยเป็นคนแรก
“สามอย่างนี้ดูแตกต่างกันจริง ๆ แม้จะเป็นอาหารจานดินแดนเซียนแต่ก็มีกรรมวิธีปรุงแต่งที่คล้ายกันกับโลกมนุษย์มาก เช่นนั้นนางกำนัลจางช่วยอธิบายแต่ละแบบให้พวกเราฟังเถิด”
“เมนูแรก ‘ต้ม’ เมนูนี้เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีกับข้าวเช่นเนื้อสัตว์ หรืออาหาร สามารถใช้มันฝรั่งแทนข้าวฟ่าง จะนำไปต้มแล้วเอาเปลือกออก จากนั้นบดให้ละเอียดใส่เกลือนิดหน่อยเท่านั้นก็มีรสชาติอร่อย
ที่สอง ‘ทอด’ เมื่อมีแค่มันฝรั่งกับน้ำมันหมู ก็สามารถอร่อยได้กับการทอด สามารถปรุงรสด้วยเกลือเล็กน้อย อร่อยไม่แพ้กัน
อันที่สาม ‘เผา’ ง่ายมาก ในเมื่อมีแค่มันฝรั่ง ก็แค่เอาไปเผาไฟอ่อน หรือกลบด้วยขี้เถ้าร้อน ๆ เหมือนมันหวานทั่วไป เท่านี้ก็อิ่มท้องได้แล้วเพคะ
ฝ่าบาททรงลองเสวยดูเพคะ”
“แม่นางจางช่างลึกซึ้ง ที่ข้าพูดจาไม่น่าฟังเมื่อก่อนอย่าได้เก็บเอาไปคิดมากเลย จ้าคงต้องถอนคำพูดแล้ว”
“ข้าก็เช่นนั้น ดวงตาคนแก่คงมืดบอดแล้ว”
หลานเสวี่ยยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนจะส่งสายตาให้ฮ่องเต้ที่ลังเลว่าจะทำอะไรดี หรือเขาไม่กล้าที่จะชิมอาหารของเธอ
“ฝ่าบาทเสวยเถิดเพคะ เดี๋ยวจะเย็นก่อนรสชาติจะไม่อร่อยเท่าที่ควร”
“ได้ ข้าจะลองดู”
หลงเยี่ยนยังคงหน้านิ่ง กดดันให้หลานเสวี่ยตื่นเต้นพอสมควร กลัวว่าอาหารที่ทำจะไม่ถูกปาก หรือเขาอาจตำหนิเธอก็เป็นได้ แต่ท่าทางของเจ้ากรมทั้งสองคงหมายตามันฝรั่งทอดตั้งแต่ตอนแรกแล้วมั้งเห็นมองไม่ยอมหยุดเลย
ฮ่องเต้หนุ่มหยิบตะเกียบทองขึ้นมา คีบเอาแท่งมันฝรั่งทอดเข้าปาก ก่อนจะเคี้ยวเบา ๆ ตามแบบของผู้ดี แต่สีหน้ายังคงนิ่งเฉยมาก แล้วเปลี่ยนเป็นมันฝรั่งเผาที่ยังมีอายร้อนลอยออกมาอยู่ คำเล็กถูกเอาเข้าปากหนาแต่สีหน้ายังเป็นเช่นเดิม สุดท้ายมันฝรั่งบด ก็ยังเป็นเช่นเดิม“เป็นเช่นไรบ้างเพคะ” “ก็ดี นับว่ารสชาติใช้ได้เลย อีกอย่างคุณค่าทางอาหารที่เจ้าบอกก็คงไม่เกินจริง เพราะข้าชิมเท่านี้ยังรู้สึกอิ่ม และมีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที” “เช่นนั้นหม่อมฉันก็โล่งใจ” หลานเสวี่ยหายใจได้เต็มปอด แม้เขาจะไม่แสดงท่าทางออกมาแต่ก็คงอร่อยอยู่แล้ว “พวกท่านก็ลองชิมดู อีกประเดี๋ยวค่อยมาหาลือกันต่อ ข้าจะคุยเรื่องสำคัญกับนางกำนัลจางเสียหน่อย” “ขอบพระทัยฝ่าบาท” ทั้งสองคนรีบยกอาหารออกไปข้างนอก เหลือแต่หลานเสวี่ยกับฮ่องเต้ ทำให้บรรยากาศแตกต่างจากเมื่อก่อนมากเลย นางรู้สึกกลัวยังไงไม่รู้เมื่ออยู่กับเขาสองคน“ว่ามาเถอะ เรื่องเสบียงติดต่อได้เมื่อไหร่” น้ำเสียงนิ่ง ทำให้คนฟังรู้สึกถึงอารมณ์ และความรู้สึกของเขาได้อย่างดี“หม่อมฉันได้รับการตอบกลับแล้วเพคะ ท่านเซียนผู้นั้นส่งจดหมายด้วยผีเสื้อวิญญาณ หม่อมฉันจึงได้รับมาแล้ว” “รวดเร็วยิ
หลานเสวี่ยเดินตามเจ้ากรมทั้งสองมาจนถึงกรมคลัง ตรงหน้าเป็นตำหนักขนาดใหญ่แต่ไม่เท่าตำหนักอันกง ในนั้นมีขุนนางน้อยใหญ่ที่ยังทำหน้าที่ของตน เมื่อเห็นเจ้ากรมก็รีบเดินมาหาทันที“คารวะ ท่านเจ้ากรมกวน ท่านเจ้ากรมหยาง มิทราบว่ามีธุระอันใดให้ผู้น้อยรับใช้หรือไม่” “ข้ามีธุระสำคัญมาก เจ้ารีบไปทำหนังสือเบิกเงินค่าเสบียง แล้วให้คนไปเตรียมคลังเก็บของจำนวน 6000 ชั่งให้เร็วหน่อย นี้ก็ใกล้มืดแล้ว”เจ้ากรมกวนสั่งลูกน้อง ก่อนจะพาหลานเสวี่ย และเจ้ากรมหยางไปที่ห้องรับรอง“เชิญนั่งตามสบายเถิดแม่นางจาง”“เจ้าค่ะ” นางรู้สึกปวดเมื่อยไปหมด ตั้งแต่เช้าก็ได้แต่ยืน และเดินจากตำหนักอันกงมาถึงนี้เกือบสองกิโลเมตร ตอนนี้เธอนั่งดื่มชาโดยไม่สนใจเจ้ากรมสองคนที่นั่งคุยกันอยู่ พวกเขากำลังเถียงกันเรื่องเตรียมรถม้าไปรับของ เมื่อมาถึงหูของนางก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้บอกว่า มันฝรั่งทั้งหมดอยู่ในถุงมิติเล็ก ๆ นี้“ข้าว่าเสบียงเยอะเช่นนี้ควรเอาทหารไปเยอะ ๆ หรือจะให้ท่านแม่ทัพเฉินเป็นคนคุ้มกันก็ยิ่งดี” “แต่ข้าว่าให้คนของข้าไปด้วยน่าจะดีกว่า เพราะคุ้นเคยเส้นทางดี อีกอย่างเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น คนของข้าก็มีประโยชน์กว่า” “ช้าก่อน
“นี้คือสิ่งใด ได้รับเป็นของรางวัลหรือ” “เหมือนพระราชโองการเลย” หัวหน้านางกำนัลมาพอดี ทุกคนหันไปมองเพื่อหาคำตอบจากนาง“ใช่แล้ว นี้คือพระราชโองการจากฝ่าบาท”“ถ้าพวกเจ้าอยากรู้เดี๋ยวข้าอ่านให้ฟัง.... เป็นอย่างไรบ้าง” หลานเสวี่ยอ่านให้ทุกคนฟัง ทำเอานางกำนัลน้อยใหญ่ต่างรีบแสดงความยินดี แถมยังบอกอีกว่าอิจฉานางที่ได้อยู่ใกล้ฮ่องเต้ ใครล่ะอยากจะอยู่ใกล้ “ข้าบอกแล้วว่านางเป็นคนโปรดของฝ่าบาท ไม่แน่นะพี่จางของเราอาจได้เป็นพระสนมกับเขาก็ได้” “ข้าก็คิดว่าเป็นเช่นนั้น ถึงขั้นดึงตัวมาจากตำหนักอื่นก็มีแต่พีจางเท่านั้นแหละที่จะได้รับความโปรดปราน”“ได้ดีแล้วอย่าลืมพวกเรานะ”นางกำนัลพวกนี้พูดกันสนุกปากเลย ชอบแต่งเรื่องกันจริง ๆ “ไม่ใช่หรอก ฝ่าบาทคงไม่คิดแบบนั้นหรอก คงเห็นว่าข้าทำงานได้ดีจึงตกรางวัลให้” “ในเมื่อท่านได้เลื่อนขั้นเทียบเท่าหัวหน้านางกำนัลแล้ว ก็ต้องให้ของขวัญเล็กน้อยให้พวกเราบ้างสิเจ้าคะ” จูหยิน นางกำนัลที่พูดเก่งที่สุดในนี้รีบเอ่ยปาก สายตาหวานมองมาที่หลานเสวี่ย ดูเหมือนคนอื่นจะทำตามด้วย“พวกเจ้าก็อย่าไปขอนางเลย ห้าสิบตำลึงทองที่ได้ไปยังไม่พออีเหรอ รีบไปทำงานได้แล้ว” “ไม่เป็นไรหรอก ว
หลานเสวี่ยต้องตื่นแต่เช้ามืด เพื่อรับใช้ฮ่องเต้ หลังจากเมื่อคืนที่นางกลับตำหนักเย็น และกลับมาตำหนักอันกงในตอนหลัง ดีที่นางได้ห้องส่วนตัวทำให้พวกตัวยุ่งอย่าง จูหยิน ที่ชอบบอกคนอื่นว่าเธอเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ ถ้าเห็นกลับดึกคงบอกว่านางไปพบใครแน่นอนตำหนักอันกงยามนี้เงียบงัน มีเพียงฉ่างกงกงยื่นรอที่หน้าห้อง หลานเสวี่ยแอบคิดว่า กงกงผู้นี้ได้นอนบ้างหรือเปล่า ทำไมมาเมื่อไหร่ก็เจอแต่เขาตลอดเวลา แต่นางไม่กล้าถาม“คารวะ ฉ่างกงกง”“เข้าไปเถอะ ฝ่าบาทมีประชุมตอนเช้า”“เจ้าคะ” นางเปิดประตูเข้ามาในห้องบรรทมของฮ่องเต้ ก่อนจะเดินไปที่เตียงนอน บนเตียงของเขามีชายหนุ่มใบหน้านิ่ง ริมฝีปากหยักได้รูป ถ้าเขาเป็นคนในยุคปัจจุบันคงเป็นดาราชายที่โด่งดังไปแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่นางรู้สึกทึ่งมากคือท่านอนของเขาดูเป็นระเบียบ อย่างกับไม่ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว แตกต่างจากหลานเสวี่ยที่นอนดิ้นนิดหน่อย“มาถึงแล้วก็ควรปลุกข้าสิ ไม่ใช่เอาแต่จ้องหน้าแล้วยิ้มเช่นนี้” “ขอประทานอภัยฝ่าบาท หม่อมฉันกลัวว่าพระองค์จะทรงบรรทมหลับไม่เพียงพอ จึงยังไม่ปลุกเพคะ”หลานเสวี่ยสะดุ้งโหยงในตอนที่เขาพูด สายตาคมของเขายามที่มองเธอแทบจะหายใจไม่ออก รู
เมื่อคนพวกนั้นเข้ามาใกล้หลานเสวี่ยไม่มีทางเลือกนอกจากต้องตัดไพ่ใบสำคัญออกมาสู้ อันที่จริงรอเวลานี้มานานแล้วเช่นกัน นางยกป้ายที่กงกงให้ไว้ เขาบอกว่ามันจะช่วยเธอได้“ช้าก่อน ผู้ใดเห็นตราสัญลักษณ์นี้แล้วยังกล้าเข้ามาอีก จะถือว่าผู้นั้นต่อต้านพระบัญชาของฝ่าบาท มีโทษเช่นไรหม่อมฉันไม่พูดทุกคนก็คงทราบดี”“เนื่องจากยามนี้ฝ่าบาทบรรทมหลับอยู่ หม่อมฉันไม่อาจให้เข้าพบได้ แต่ถ้าพระองค์ตื่นจากบรรทมหม่อมฉันจะนำทางไปทันทีเพคะไทเฮา”หลานเสวี่ยพูดต่อเมื่อไม่มีใครกล้าเข้ามา ตอนแรกเห็นทำหน้าใหญ่โต พร้อมจะบดขยี้เธอ ดูสีหน้าของหลี่ผินตอนนี้ ไม่ต่างจากตัวตลก“ดีเหลือเกินนะ เป็นแค่นางกำนัลแต่กล้าทำถึงขนาดนี้ ไทเฮาจะเข้าเฝ้าฝ่าบาทยังต้องทรงขอนางกำนัลเช่นเจ้า ใครไม่รู้คงคิดว่าเจ้าเป็นใหญ่ในวังหลังแล้วกระมัง” “หามิได้ หม่อมฉันทำตามพระประสงค์ของฝ่าบาทเพคะ” “ช่างเถอะ รอไปก่อนเดี๋ยวฝ่าบาทคงตื่นบรรทมเอง” ไทเฮาไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะจะทำให้บ้านเมืองวุ่นวายได้ถ้ายังดันทุรัง จึงยอมให้หลานเสวี่ยหลานเสวี่ยเชิดหน้ายิ้ม มองหลี่ผินที่เดือดดาลอย่างมีความสุข ก่อนจะจัดแจงให้ทุกอย่างเข้าที่ เพราะตอนนี้เหล่านางสนมค
หลานเสวี่ยทำหน้าที่ของตนอย่างทุกวัน ในยามเช้าแบบนี้ฮ่องเต้ต้องเข้าประชุม จึงต้องตื่นมาล้างหน้าบ้วนปาก ก่อนจะสวมอาภรณ์ที่นางเตรียมให้ ระหว่างนั้นเองที่เขากำลังจะขัดฟันนางจึงถามอย่างสงสัย”ฝ่าบาทใช้สิ่งนั้นขัดฟันหรือเพคะ?” “เหตุใดถึงถามเช่นนี้ หรือเจ้าไม่เคยใช้” หันมามองใบหน้าสวยของนาง“หม่อมฉันไม่เคยเลย” “เช่นนั้นข้าจะให้คนเอามาให้ แต่เจ้าขาดเงินขนาดนั้นเลยหรือ รางวัลคราวก่อนก็ไม่ใช่น้อย” แม้จะไม่เข้าใจใจว่านางใช้เงินไปกับอะไร แต่ในวังข้าวของแพงกว่าข้างนอกนัก ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ทำไมแค่ของไม้ขัดฟันราคาไม่เท่าไหร่นางจึงซื้อไม่ได้ หรือนางอาจจะมีภาระมากมายในครอบครัวหรือเปล่า? หลงเยี่ยนยืนคิดในใจ“ไม่ใช่เช่นนั้นเพคะ หม่อมฉันแค่จะบอกว่าใช้อันที่ดีกว่าอยู่” “มีอันที่ดีกว่านี้อีกหรือ ฉ่างกงกงไม่เห็นซื้อมาเปลี่ยน หรือเขาแอบอู้งาน” เมื่อมองสีหน้าท่าทางของนาง เขาก็พอเดาได้ว่ามีอะไรบางอย่าง เหมือนตอนที่นางเสนอขายเสบียง เรื่องนี้เขาเองไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญเท่าไหร่“เจ้าคงไม่ได้จะบอกข้าว่า ขอสิ่งนั้นมาจากแดนเซียนหรอกนะ”“เกือบถูกเพคะ ของสิ่งนี้มาจากแดนไกล แต่ไม่ใช่แดนเซียน เพราะที่นั่
ในที่สุดพิธีบวงสรวงก็มาถึง ในตำหนักจึงค่อนข้างยุ่ง เพราะนางกำนัล และคนจากกรมพิธีการเข้ามาจัดเตรียมพิธีตั้งแต่เช้าตรู่ พร้อมกับส่งชุดสำหรับทำพิธีมาให้ แม้ลวดลายจะไม่แตกต่าง แต่สีสันค่อนข้างสดใสกว่า พออยู่บนไม่แขนชั้นดีอย่างหลงเยี่ยน ก็ทำให้มันดูดีมากกว่าเดิม“เสร็จเรียบร้อยแล้วเพคะ” “อืม ขอบใจเจ้ามาก” “หม่อมฉันจะไปยกน้ำชามาให้เพคะ” นางหิวน้ำหรอกเลยจะออกไปดื่ม วันนี้ตั้งแต่เช้ามืดยันเกือบเที่ยงยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย“ไปเถอะ” หลานเสวี่ยออกมาที่ห้องครัวของตำหนัก ที่นี่เก็บสิ่งของจำเป็นสำหรับแต่ละวันเอาไว้เช่นชา และของว่างอย่างขนมเป็นต้น ไม่รอช้านางรีบดื่มชาที่ถูกอุ่นด้วยเตาตลอดเวลา ยิ่งอากาศหนาวแบบนี้บอกเลยหอมหวานมาก และที่ขาดไม่ได้คือขนม อร่อยจริง ๆ พอดื่มกินจนอิ่มนางก็ยกถาดชา และของว่างมาที่ห้องนั่งเล่น ตอนนี้หลงเยี่ยนกำลังคุยเรื่องสำคัญกับฉ่างกงกงพอดี“ฉ่างจื่อ เจ้าคิดว่าวันนี้ฝนจะตกหรือไม่” กงกงเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง แม้อากาศจะหนาว แต่แดดสว่างจ้าอย่างกับช่วงฤดูร้อน ยังมีลมฤดูหนาวพัดมาอีก กงกงส่ายหน้าไปมาก่อนจะตอบ“ถ้าถามตอนนี้คงยากที่จะตกพ่ะย่ะค่ะ แต่ถ้าเป็นตอนที่พระองค์ทรงท
ผู้คนที่เข้าร่วมงานล้วนแต่เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ และชั้นรองลงมา เมื่อเห็นว่านางกำนัลที่ไร้การฝึกฝนเพื่อบวงสรวงก็ต่างพูดว่า นางกำนัลจะรำอะไได้ นอกจากรำง่าย ที่เด็กก็ทำได้ในวงสนทนาของชนชั้นสูง หลานเสวี่ยหรือจางเสี่ยวหลงเป็นดั่งตัวตลกเท่านั้น ยิ่งถูกคาดโทษว่านางเป็นปิศาจจิ้งจอก ทุกคนก็กล่าวหานางด้วยคำพูดจาเสียดสีว่า “สตรีเช่นนี้ จะคู่ควรกับฝ่าบาทได้อย่างไร เป็นแค่นางกำนัลขั้นต่ำกล้าหวังสูงข้ามหน้าคนอื่น ทำตัวไร้ยางอาย” คำวิจารณ์ของคนในพิธีทำให้หลี่ผินยิ้มอย่างพอใจ นางอยากเห็นว่าจุดจบของจางเสี่ยวหลงจะสนุกขนาดไหน ไทเฮาที่นั่งอยู่ที่นั่งพิเศษ ถัดจากที่ประทับของฮ่องเต้เพียงนิด พระนางก็ไม่คิดว่าหลี่ผินจะคิดแผนแบบนี้“สนมหลี่ แผนของเจ้าจะได้ผมนจริงหรือ อย่าทำให้โอกาสของตนเสียเปล่าเสียละ”“หม่อมฉันมั่นใจว่านางต้องหายไปจากวังในวันนี้ ไทเฮาทรงวางพระทัยได้เพคะ”“อย่าให้พลาดเสียละ กว่าจะได้โอกาสนับว่าหายากแล้ว” “ครั้งนี้ไม่พลาดแน่เพคะ” ไทเฮาแม้จะมีความเมตตาในพระทัย แต่เรื่องชิงดีชิงเด่นในวังหลัง นางย่อมรู้ดีกว่าใคร ๆ กว่านางจะดิ้นรนจนได้เป็นไทเฮาไม่ใช่เรื่องง่าย และเรื่องครั้งนี้ตรงกับเรื่องของนา
หลังจากเดินทางมายาวนานก็มาถึงเมืองหลวง หลานเสวี่ยที่ไม่มีอะไรทำมาหลายวันก็ตรงไปที่หอการค้าร้านสะดวกซื้อทันที ทว่าเมื่อนางมาถึงก็ทำให้ผู้คนตามสองข้างทางมองตามไม่กะพริบตา สตรีที่งดงามเช่นนี้มีในเมืองหลวงด้วยหรือ ทุกสายตาต่างสงสัยผู้คนรายล้อมมองดู ต่างก็ไม่รู้ว่านางเป็นคนตระกูลไหน การมาถึงของหลานเสวี่ยทำให้พ่อสื่อแม่สื่อมีงานล้นมือเป็นแน่ เพราะเหล่าชายโสดต่างติดต่อถามไถ่ถึงนางกันทั่วหน้า หลานเสวี่ยเดินไปไม่สนสายตาของผู้คน เหล่าชายหนุ่มตระกูลสูงศักดิ์หรือสามัญชนคนธรรมดาก็ไม่อยู่ในสายตา เพียงแค่นางก้าวเดินคนก็พร้อมจะเปิดทางให้อย่างเต็มใจ จนมาถึงหอการค้าของตน คนคุ้มกันก็ยืนทำหน้าที่อย่างทุกวันแต่วันนี้คนคุ้มกันตกตะลึงจนหันไปมองตาม แค่นางเข้ามาในร้านยิ่งดูโดดเด่น เสี่ยวเอ้อร์ในร้านต่างก็มาให้การบริหารอย่างเต็มใจ ใบหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาถามกันไปมาว่าแม่นางผู้นี้เป็นคุณหนูบ้านไหนกัน เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนเลย“แม่นางต้องการสิ่งใดบอกข้าน้อยได้เลยขอรับ” หลานเสวี่ยยิ้มอย่างเบาบางแต่ไม่ตอบอะไร เพราะเป็นหน้าที่ของหยางในการเปิดเผยเรื่องนี้ “ทุกคนมารวมตัวกันตรงนี้ ข้ามีเรื่องจะแจ้ง” หยางได้ส่งจดหมายใ
ในสายตาของผู้ฝึกเซียนขั้นสี่ พวกนางจะทำอะไรได้ ส่วนคนคุ้มกันก็แค่พอถ่วงเวลา งานนี้ไม่ยากเย็นนัก มือสังหารเดินเข้ามาตรง ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้คุ้มกันไม่รอช้ารีบตรงเข้าไปขวาง แต่หลานเสวี่ยห้ามเอาไว้ก่อน“ก็แค่มดปลวก ข้าจัดการเอง พวกเจ้าถอยไปก่อน” นางพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ และหนักแน่น แววตาคู่สวยแสดงออกถึงความจริงจัง ทำให้หยางกับเหมยถอยออกมา รวมถึงผู้คุ้มกันที่กำลังตัวสั่นเพราะความกลัว “ถ้าเช่นนั้นก็ฝากแม่นางด้วย” เขาโค้งศีรษะอย่างนอบน้อม แม้จะมองไม่ออกว่าหลานเสวี่ยจะใช้อะไรเอาชนะผู้ฝึกเซียนระดับนี้ แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ เขาจึงเลือกที่จะเชื่อนาง และขอให้นางสามารถจัดการได้ เขายังไม่อยากทิ้งครอบครัวให้ลำบาก“แค่มดปลวกหรือ ปากดีเสียจริงนะ คำพูดนี้เป็นข้าทีต้องพูดออกมา ลนหาที่ตายนัก ได้...ข้าจะส่งเสริมเจ้าให้ตายเร็วขึ้นเอง” “อย่าเอาแต่พูดเลย อยากเข้ามาก็มาได้ตลอด ข้ารอเจ้าอยู่ เจ้ามาสิ” หลานเสวี่ยยืนกอดอกมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น ทำเอาผู้ฝึกเซียนถึงกับเหงื่อซึม เมื่อสัมผัสพลังบางอย่างจากตัวนาง เขาไม่มั่นใจนักว่ามันคือสิ่งใด แต่สัญชาตญาณของเขาบอกให้ถอย เมื่อยั
ตลอดหลายวันที่ผ่านมานางต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพราะเรื่องต่าง ๆ มากมายให้จัดการ เร่งด่วนจนไม่มีเวลาพัก หลายวันนี้แม้แต่ระบบยังห้ามไม่ให้นางใช้น้ำวิเศษเพราะจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าดี เหตุก็เพราะว่านางดื่มน้ำเกือบห้าสิบครั้ง แต่ละครั้งคือร่างกายนางเหนื่อยล้าเต็มที่ โดยเฉพาะยามกลางคืน ที่หลานเสวี่ยจะยังอยู่หอการค้า เพราะรออนุมัติ ไม่ก็รอตอบจดหมายเร่งด่วน ขอความเห็นจากสาขาอื่นที่ส่งออกไป เป็นเรื่องที่แม้ว่าคนอื่นจะรอได้ แต่นางไม่สามารถรอได้ร่างเพรียวบางนอนราบบนเตียงนุ่ม อ่อนล้าไปทั้งตัว ขอบตามีรอยดำคล้ำเล็กน้อย กับความรู้สึกปวดร้าวทั้งร่างกาย ใบหน้าของนางซีดเชียว และซูบผอมลง เพราะไม่ได้หลับเต็มอิ่มมาเกือบอาทิตย์ “ลูกแม่ ทำไมถึงทำงานหนักเช่นนี้ เงินทองใช่ว่าจะสำคัญทุกอย่าง ตอนนี้เราไม่ได้ขาดเงิน เจ้าจะรีบร้อนทำไมหรือ” ผู้เป็นแม่เข้ามาบีบนวดให้นางทุกวัน ทำให้หลานเสวี่ยรู้สึกดีขึ้นมาก ๆ ฝีมือของท่านแม่ดีจริง ๆ ช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วกว่าเดิม นางได้แต่ยิ้มให้หลานฮูหยิน“ลูกไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ผอมลงนิดเดียว อีกอย่างไม่ได้แต่งงานกับบุตรชายเสนาบดี เท่านี้ก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ” นางพูดด้วยความร่าเริง เม
หลานเสวี่ยกำลังยุ่งอยู่กับระบบ เพราะตั้งแต่ที่เปิดร้าน ทำให้คะแนนเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน คะแนนรวมของนางคือหก แสนคะแนนจากระบบ และ แสนห้าหมื่นคะแนนความดีที่เพิ่มขึ้น เมื่อก่อนนางมีคะแนนจากระบบเจ็ดแสน แต่เพราะอัปเดตระบบเป็นเวอร์ชันสุดท้าย ใช้ไป 1 แสนคะแนน ทำเอาหลานเสวี่ยแอบสงสัยว่าทำไมถึงใช้เยอะแบบนี้ แต่นางก็ยอมเพราะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะอัปเดต“ระบบ ทำไมถึงใช้คะแนนเยอะมากกว่าทุกครั้งละ หรือว่ามีของรางวัลดี ๆ”(เป็นเพราะว่านี้คือระบบเวอร์ชันสุดท้าย ที่สำคัญจำเป็นต่อผู้ใช้เช่นกัน....)“เดี๋ยวก่อน ทำไมเงียบไปละ” ระบบไร้เสียงตอบ ทำเอาหลานเสวี่ยตกใจไม่น้อย แต่ก็จัดการ ส่งคำสั่งเพาะปลูกได้เป็นปกติ ถึงมิติก็ยังใช้ได้ จึงคิดว่าระบบคงขัดข้องชั่วคราว แต่นางแอบสังเกตนิดหน่อยเพราะช่วงนี้ระบบแปลกไปจากเดิมมาก อย่างเช่น น้ำในลำธารของระบบลดลงจนสังเกตได้ และแสงสว่างในนี้ก็ลดลงเช่นกัน อยากจะถามระบบแต่ก็มาหายตัวไป สงสัยคงกำลังอัพเดทชุดใหญ่ นางจึงไม่สนใจระบบ แล้วไปทำอย่างอื่นต่อ แต่ละวันนางจะใช้คะแนนแลกของขายดี อย่างเช่นเครองสำอาง ที่สตรีร่ำรวย และขุนนางใช้กัน นี้เป็นรายรับสามส่วนของนางก็ว่าได้ ช่วยให้จัดกา
หลานเสวี่ยกลับมาที่จวนในตอนสาย พอมาถึงสายตาของบิดามารดาก็มองนางด้วยความสงสัย บุตรสาวของตนไปค้างที่ใดมา แม้จะมีคำถามมากมายอยู่ในอกของทั้วสอง แต่พักนี้รู้สึกว่านางดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แถมยังเฉลียวฉลาดมากกว่าเดิม ท่าทางก็เปลี่ยนไป ทำให้ทั้งสองไม่กล้าที่จะถามตรง ๆ หลานฮูหยินรีบออกมารับบุตรสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ส่วนใต้เท้าหลานเดินตามหลังมาด้วย“กลับมาแล้วหรือ หิวไหมแม่จะไปทำกับข้าวให้เจ้า” “ลูกินอิ่มแล้วเจ้าค่ะ ตอนขากลับแวะซื้อของอร่อยตามทางมาด้วย นี้เจ้าต่ะ” หลานเสวี่ยยกสิ่งของรุงรังในมือขึ้นมา รวมถึงบ่าวทั้งสองคนก็แทบจะแขนลาก เพราะเป็นคนถือของให้นาง ดีที่แข็งแรงหน่อย“ทำไม่ซื้อมามากมายเช่นนี้ จะกินหมดหรือ ดูสิผิวพรรณ.. เนียนสวยเสียจริง ดูแล้วลูกแม่สวยขึ้นเป็นกองเชียวนะ” มารดาของนางเมื่อสำรวจดี ๆ จึงรู้ว่านางดูเปร่งประกายราวกับถูกเคลือบด้วยออร่า แม้เมื่อก่อนนางจะงดงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่วันนี้ยิ่งแตกต่าง ผิวพรรณผุดผ่อง สัมผัสนุ่มนวล ไหนจะกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่โดดเด่น ทำให้หญิงวัยย่างเข้าสี่สิบสนอกสนใจกว่าเดิม ดวงตาคู่นั้นก็มองด้วยความสงสัย เพราะมีเรื่องแปลกประหลาดมากมายอย่างเช่น เมื่อวานท
หลานเสวี่ยถูกอุ้มเข้าไปในห้องนอน มือเรียวยังคงปิดหูตัวเองเอาไว้แน่น เพราะกลัวเสียงฟ้าร้อง ทันทีที่เข้ามาข้างในเสียงต่าง ๆ ก็เงียบไปอย่างมหัศจรรย์ หญิงสาวลืมตาขึ้นด้วยความประหลาดใจ และพบว่าตนเองอยู่ในอ้อมแขนของเขา ใบหน้าของหลานเสวี่ยแดงระเรื่อ เธอหลุบตาลงต่ำด้วยความเขินอายเมื่อสบสายตาคมคายที่มองตรงมา ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองถูกอุ้มเข้ามาในห้องเสียแล้ว“เจ้าไม่ต้องกลัวหรอก ที่นี่ไม่มีเสียงฟ้าร้องเหมือนด้านนอก เพราะข้าใช้สมบัติวิเศษป้องกันเอาไว้” น้ำเสียงทุ้ม พูดพลางวางเธอลงบนเตียงนุ่ม ๆ พร้อมกับห่มผ้าให้ และลงไปนอนรวบตัวนางเอาไว้แน่น“เจ้าค่ะ...แต่” หลานเสวี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ท่านแม่ทัพจะกอดข้าน้อยแบบนี้ทั้งคืนหรือ ชายหญิง...”ปากน้อย ๆ ของนางกำลังจะพูดเรื่องยาว แต่ถูกมือใหญ่ปิดเอาไว้อย่างรู้ทัน เขาไม่ปล่อยโอกาสอันดีให้เสียเปล่า เป็นวัวเป็นม้าให้นางแล้ว ต้องได้รางวัลเสียหน่อยถึงจะถูก“สามีภรรยาอยู่ด้วยกันจะเป็นไรไป หากเจ้ายังดื้อดึงอีก ข้าจะไม่หักห้ามใจแล้วนะ” พูดเสียงสั่นเครือ เพราะกำลังหักห้ามใจตัวเองหลานเสวี่ยรู้สึกถึงหัวใจของตนเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก จึงก้มหน้ามองแผ่นอกกว
รอจดหมายจากพระองค์เกือบสองถ้วยชา แต่นางยังไม่เห็นจะมีวี่แววจะออกมาเลย เขียนร้อยฉบับหรืออย่างไรกันแน่ ร่างเล็กเดินไปมาอยู่ในห้องรับรอง ก่อนจะเดินออกมามองดูนอกหน้าต่าง ตอนนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มคล้ายฝนจะตก นางยิ่งร้อนใจ ขาเรียวไม่รอช้าอีกต่อไป เดินออกจากห้องรับรองไปที่ห้องทำงานของท่านแม่ทัพโดยตรง ก่อนจะเห็นท่านแม่ทัพเดินมาจากข้างนอก ทำเอานางรู้สึกงุนงงอย่างมาก “ท่านแม่ทัพเจ้าคะ! ท่านคงไม่ลืมจดหมายของข้าหรอกนะ” น้ำเสียงเรียบนิ่งแฝงไปด้วยความไม่พอใจ แม่นางจะพยายามเก็บความรู้สึกหงุดหงิดเอาไว้“ข้าจะลืมได้อย่างไร เมื่อครู่ข้ามีธุระด่วนไม่คิดว่าเจ้าจะรีบร้อนอย่างนี้” ยืนตัวตรง มองนางด้วยสายตามีเลศนัย“หาใช่แบบนั้นเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะกล้าเร่งรัดท่านแม่ทัพได้อย่างไร” “เช่นนั้นก็มาฝนหมึกให้ขาเถิด” หลงเยี่ยนเดินนำไปก่อน ทิ้งให้หลานเสวี่ยมองตามแผ่นหลังกว้างด้วยความไม่พอใจเล็ก ๆหลานเสวี่ยเดินตามไปพร้อมกับบ่นพึมพำในใจ ทำไมแค่จดหมายฉบับเดียวต้องดึงเวลาให้ยุ่งยากแบบนี้ด้วยนะ แต่นางจะทำอันใดได้ ยามนี้ได้แต่ก้มหน้าก้มตาฝนหมึกให้ได้เยอะ พระองค์จะได้เร่งเขียนให้เสร็จ ทว่าไม่นานเสียง “กร๊อก" ดังขึ้นใบหน้าสวย
ทหารหนุ่มวิ่งหน้าตั้งออกมาจากกำแพงใหญ่ แล้วสั่งให้รถม้าของหลานเสวี่ยเข้าไปได้ ทำเอาเหล่าคุณหนูที่มารอตั้งนานแทบจะตาลุกเป็นไฟด้วยความริษยา แม้จะรู้ว่านางถูกปลดแล้ว แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงของฝ่าบาทย่อมสูงส่งกว่าสตรีทั่วไป “พวกเจ้าก็รอต่อไปเถิด เห็นทีคงต้องรอจนหัวหงอกกระมัง” หลานเสวี่ยพูดทิ้งท้ายก่อนจะให้คนขับรถม้าขับออกไป ทำเอาบ่าวสองคนยิ้มอย่างสะใจที่ได้เอาคืนพวกนั้นเมื่อมาถึงขาวในจวนนางเดินตามทหารยามเข้าไปในจวน ที่นี่ไม่ได้หรูหราเหมือนจวนแม่ทัพที่เมืองหลวง เพราะเป็นที่พักชั่วคราวใช้ยามจำเป็น แต่ก็เรียบง่ายดี สีสันไม่โดดเด่น ส่วนมากจะเป็นข้าวของที่ทำจากไม้ สวยอยู่ไม่น้อย“รอก่อนนะขอรับข้าน้อยจะไปแจ้งท่านแม่ทัพให้” ทหารหนุ่มสีหน้าซีดเซียว แม้จะรู้ว่าตราไว้ชีวิตมีไว้ทำอันใด แต่เขาเกรงว่าครั้งนี้จะตัดสินใจพลาดจนถูกแม่ทัพลงโทษ หรือถ้าหากเกิดเขาปล่อยแขกของท่านแม่ทัพไป เกรงว่าจะยิ่งถูกลงโทษหนัก สถานการณ์เช่นนี้เลือกทางไหนก็ไม่รอด นอกจากท่านแม่ทัพจะให้ความสำคัญกับแขกคนนี้ทหารหนุ่มยืนอยู่ต่อหน้าประตูห้องทำงานส่วนตัว เมื่อเช้าเขาได้รับคำสั่งว่าไม่ให้ผู้ใดมารบกวน แต่ตอนนี้เขาลังเลว่าจะรอดต
มือเรียวยกกาน้ำชาขึ้นมารินให้บิดาอย่างเรียบร้อย จึงเลื่อนไปรินให้มารดาที่นั่งยิ้มให้กับนาง ทั้งสองคนดีใจจนยิ้มไม่หุบ ที่บุตรีสุดที่รักกลับมาให้เอ็นดูอีกครั้ง นับตั้งแต่พี่สาวของนางออกเรือน จวนตระกูลหลานก็เงียบเกินไป จะดีแค่ไหนหากพวกนางสองคนมีหลานให้พวกเขาทั้งสอง แม้ว่าหลานเสวี่ยจะไม่มีโอกาสแล้วก็ตาม เรื่องนี้ทั้งสองรู้ดี แต่พี่สาวนางกำลังจะได้รับข่าวดี จวนจะได้ครึกครื้นไม่เงียบเหงาอีก “กลับมาไม่นาน ลูกปรับตัวได้หรือยัง ที่นี่ค่อนข้างห่างไกลเมืองหลวงไม่ค่อยมีอันใดให้เพลินตานัก” มารดาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม“ลูกปรับตัวได้เจ้าค่ะ อีกอย่างที่เมืองหลวงไม่ค่อยมีอันใดให้ลูกดูมากนัก ที่นี่น่าดูมากกว่า” “ถ้าเช่นนั้นพ่อจะสั่งคนทำห้องให้เจ้าใหม่ จะได้อยู่สบายขึ้น รออีกสักสามเดือนพี่สาวเจ้าก็จะมาเยี่ยมแล้ว ตอนนี้ลูกคงไม่รู้ว่าพี่สาวของเจ้าตั้งครรภ์แล้วนะ” ใต้เท้าหลานพูดด้วยน้ำเสียงปีติ แสดงออกมาชัดเจน“จริงหรือ เป็นเรื่องดีแท้ ๆ ท่านทั้งสองจะได้ไม่เหงามาก ลูกเองก็จะมาเยี่ยมบ่อย ๆ เจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นสองสามีภรรยาก็มองหน้ากันอย่างสงสัย ทั้งที่คิดไว้ว่านางจะมาอยู่ด้วยกันที่นี่“ลูกไม่มาอยู่ที่