หลานเสวี่ยเดินตามเจ้ากรมทั้งสองมาจนถึงกรมคลัง ตรงหน้าเป็นตำหนักขนาดใหญ่แต่ไม่เท่าตำหนักอันกง ในนั้นมีขุนนางน้อยใหญ่ที่ยังทำหน้าที่ของตน เมื่อเห็นเจ้ากรมก็รีบเดินมาหาทันที
“คารวะ ท่านเจ้ากรมกวน ท่านเจ้ากรมหยาง มิทราบว่ามีธุระอันใดให้ผู้น้อยรับใช้หรือไม่”
“ข้ามีธุระสำคัญมาก เจ้ารีบไปทำหนังสือเบิกเงินค่าเสบียง แล้วให้คนไปเตรียมคลังเก็บของจำนวน 6000 ชั่งให้เร็วหน่อย นี้ก็ใกล้มืดแล้ว”
เจ้ากรมกวนสั่งลูกน้อง ก่อนจะพาหลานเสวี่ย และเจ้ากรมหยางไปที่ห้องรับรอง
“เชิญนั่งตามสบายเถิดแม่นางจาง”
“เจ้าค่ะ”
นางรู้สึกปวดเมื่อยไปหมด ตั้งแต่เช้าก็ได้แต่ยืน และเดินจากตำหนักอันกงมาถึงนี้เกือบสองกิโลเมตร ตอนนี้เธอนั่งดื่มชาโดยไม่สนใจเจ้ากรมสองคนที่นั่งคุยกันอยู่ พวกเขากำลังเถียงกันเรื่องเตรียมรถม้าไปรับของ เมื่อมาถึงหูของนางก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้บอกว่า มันฝรั่งทั้งหมดอยู่ในถุงมิติเล็ก ๆ นี้
“ข้าว่าเสบียงเยอะเช่นนี้ควรเอาทหารไปเยอะ ๆ หรือจะให้ท่านแม่ทัพเฉินเป็นคนคุ้มกันก็ยิ่งดี”
“แต่ข้าว่าให้คนของข้าไปด้วยน่าจะดีกว่า เพราะคุ้นเคยเส้นทางดี อีกอย่างเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น คนของข้าก็มีประโยชน์กว่า”
“ช้าก่อน ท่านทั้งสองเรื่องนี้ไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะข้าจัดการเรียบร้อยดีแล้ว”
“หมายความเช่นไร”
ทั้งสองคนถามพร้อมกันด้วยความอยากรู้
“ข้าน้อยยังไม่ได้บอกท่านว่า ท่านเซียนได้ให้ถุงวิเศษสำหรับบรรจุมันฝรั่งทั้งหมด เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นเลยเจ้าคะ”
“ถุงวิเศษอย่างนั้นหรือ เกิดมาหกสิบกว่าปีข้าก็เพิ่งจะเคยเห็นก็ครั้งนี้ ต่อไปนี้ข้าคงมีเรื่องมหัศจรรย์เล่าให้ลูกหลานฟังแล้ว ใช่ไหมเจ้ากรมกวน”
“นับว่าเป็นวาสนาของชายชราผู้นี้เสียจริง ในเมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเราก็เบาใจ เช่นนั้นข้าจะไปตามคนทำหนังสือเบิดจ่ายเสียหน่อย”
เจ้ากรมคลังเดินยิ้มหน้าบานออกไป เขารู้สึกดีใจ และโล่งใจที่วิกฤตภัยแล้งสามารถจัดการได้ง่ายดายเช่นนี้ ต่อไปก็ไม่ต้องรับแรงโทสะของฮ่องเต้ในท้องพระโรงอีก ในห้องเหลือกันสองคน เจ้ากรมหยางก็ไปรีรอหยิบกระดาษเตรียมจดทันที
“แม่นางจาง อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยข้าขอจดบันทึกวิธีปรุงอาหาร กับวิธีเพาะปลูกได้หรือไม่”
“ได้เจ้าค่ะ”
หลานเสวี่ยยิ้มเจื่อนเพราะตัวเองก็ไม่รู้ว่ามันปลูกยังไง ทุกครั้งก็ใช้แต่ระบบปลูกให้ นางมีความคิดดี ๆ ที่จะทำให้เรื่องนี้ผ่านไปด้วยดีแล้ว
“เอาอย่างนี้ดีกว่า ข้าน้อยจะเขียนเป็นหนังสือให้ท่าน ทั้งวิธีปลูก และวิธีปรุงอาหาร ถ้าให้พูดตอนนี้เวลาคงไม่พอ”
“ขอบคุณแม่นางจาง”
“ไม่ต้องเกรงใจเจ้าค่ะ”
หลานเสวี่ยรู้สึกยังว่าเจ้ากรมทั้งสองมองเธอเป็นอาจารย์ผู้มีความรู้แทนนางกำนัลไปแล้ว ทั้งให้ความเคารพ พูดจาสุภาพ ไม่รู้จะวางตัวยังไงดี
“แม่นางจาง ตรวจดูเถิดว่าครบหรือไม่”
“ใช่แล้ว เกินไม่ว่าแต่ถ้าขาดไปสักตำลึงเดียวคงไม่ดี เพราะจะทำให้ท่านเซียนคิดว่าพวกเราไม่ให้เกียรติ อนาคตอาจไม่ได้รับการช่วยเหลือเช่นนี้อีก”
หลานเสวี่ยยิ้มแซงเมื่อได้รับตั๋วเงินมา ตั๋วใบละร้อยตำลึงทองเต็มไปหมด นางนับสองสามรอบจึงมั่นใจว่าครบแล้ว ก่อนจะใส่ไว้ในถุงมิติ
“เรียบร้อยดีแล้วเจ้าคะ แล้วคลังเก็บของพร้อมแล้วหรือยังเจ้าค่ะ”
“น่าจะพร้อมแล้ว เราไปกันเถอะ”
ทั้งสามคนมาที่คลังหลวง ที่เก็บสมบัติทุกอย่างของราชวงศ์เอาไว้ ที่นี่ถูกเฝ้าระวังอย่างแน่นหนา มีทหารเกราะทองเต็มไปหมด แตกต่างจากตำหนักว่าการของเจ้ากรมคลัง มาก็เลยทีเดียว
แต่ที่ทำให้ตกใจคงเป็นคลังเก็บของขนาดใหญ่ พอเข้ามาข้างในยิ่งก็รู้สึกว่าทุกอย่างดูโล่งมาก และก็ได้เวลาแสดงละครฉากสำคัญแล้ว ถึงมิติที่ส่งมันฝรั่งเป็นร้อยตันจะเป็นยังไงเจ้าก็ก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน
“ไม่ต้องเป็นห่วงข้าได้สั่งห้ามไม่ให้คนอื่นเข้ามาแล้ว แม่นางจางรีบจัดการเถอะ ข้าอยากเห็นใจจะขาดแล้ว”
“ข้าน้อยจะเอาออกมาแล้วนะ”
“เอาออกมาเลย ข้าพร้อมแล้ว”
เจ้ากรมสองคนยืนอยู่ข้างหลังหลานเสวี่ย รอดูความมหัศจรรย์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ทันใดนั้นนางก็เอาถุงมิติออกมา แล้วเอามันฝรั่งทั่งหมดออกจากถุง เพียงพริบตาเดียวมันฝรั่งกองโตก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าของทั้งสามคน แม้แต่หลานเสวี่ยยังไม่เคยเจอมันฝรั่งที่สมบูรณ์ และเยอะมากขนาดนี้มาก่อน
นางหันมาดูข้างหลังก็เห็นทั้งสองคนยืนนิ่งอยู่ ก่อนจะตบหน้าตัวเองเพื่อดูว่าฝันไปอยู่หรือเปล่า ทั้งสองคนรีบวิ่งเข้าไปจับเอาลูกมันฝรั่งมาดู
“ของอร่อยเยอะขนาดนี้ข้ายอมเอาข้าวที่บ้านมาแลกเลย”
“ข้าก็เช่นกัน แถมจะซื้อเก็บไว้ปลูกอีกด้วย ท่านกวนก็อย่าเอาไปเยอะละให้คนอื่นได้ลองชิมเสียบ้าง”
“บอกเจ้าเองเถอะ ข้าเอาไม่มากหรอกก็แค่ข้าวสามตันกับมันฝรั่งนี้หนึ่งตันก็พอ”
“ใจกล้าไม่เบานี่ ข้าก็ไม่น้อยหน้าหรอก ว่าแต่แม่นางจาง เจ้าพวกนี้สามารถเก็บได้นานเท่าใด”
“ข้าลืมคิดเรื่องนี้เลย ถ้าท่านหยางไม่พูดคงคิดไม่ถึง”
“หากจะเก็บรักษามันฝรั่งให้ได้นาน ๆ ต้องหาที่ที่ทั้งเย็นและมืด เพราะอากาศเย็นจะช่วยชะลอการงอก และแสงสว่างจะทำให้ผิวของมันฝรั่งเปลี่ยนเป็นสีเขียวซึ่งเป็นพิษไม่ควรกินเจ้าค่ะ” นางกล่าวอย่างรู้ลึก ทำให้เจ้ากรมทั้งสองจดบันทึกเอาไว้คนละม้วน
แต่หลานเสวี่ยยังคงรู้สึกเหมือนถูกเอาเปรียบเมื่อรู้ว่ามันฝรั่งจากระบบมันมีค่าแค่ไหน คิดแล้วก็อยากเอาคืนฮ่องเต้ให้สาสมกับที่นางโดนหรอก แต่นางไม่อยากยุ่งวุ่นวายมากกว่านี้ เพราะได้เงินมาแล้วคืนนี้นางจะรีบกลับไปที่ตำหนักเย็นเตรียม ก่อนอื่นก็หาคนที่พอจะซื้อตัวได้ แล้วยัดเงินให้พาออกไป
แค่คิดก็มีความสุขแล้ว หมื่นตำลึงทองใช้ทั้งชีวิตคงไม่หมดแล้ว
“ถ้าหมดธุระแล้ว ข้าน้อยคงต้องขอตัวลาเจ้าค่ะ”
“เจ้าไปเถอะ ฝ่าบาทคงรออยู่”
“รอข้าหรือ?”
“ใช่แล้ว ในเมื่อทำความดีความชอบก็ต้องได้รับรางวัล เจ้าไปรับเถอะเดี๋ยวไปช้าจะถูกตำหนิ”
รางวัลอะไรนะที่เขาจะให้ หลานเสวี่ยคิดไม่ออก จะเป็นเงินหรือเครื่องประดับพวกนี้หรือเปล่า แต่ขอให้ขายได้ก็พอแล้ว เดินมาก็ว่าเหนื่อยแล้ว เดินกลับยิ่งเหนื่อยกว่าอีก ยังต้องรักษากิริยาให้สง่างามเวลาเดินอีก เป็นคนวังยากจริง ๆ
เมื่อมาถึงตำหนักอันกงนางก็เมื่อยไปทั้งตัว ดีที่มีน้ำพุวิเศษค่อยดับกระหายทำให้ร่างกายฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง จึงค่อยเข้าเฝ้าฮ่องเต้
“คารวะ ฉ่างกงกง ข้าน้อยมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทเจ้าค่ะ”
“เข้าไปได้~”
“ข้าน้อยมีเรื่องอยากถามกงกง เสียหน่อยจะสะดวกหรือไม่”
หลานเสวี่ยอยากถามเรื่องของรางวัล ว่าขออะไรได้บ้าง นางอยากลองดูถ้าเป็นอย่างที่คิดชีวิตของหลานเสวี่ยคงจะดีกว่าเป็นพระชายาหนีวัง
“ถามมาได้ ข้าสะดวกตอบ”
“เช่นนั้นหรือ”
หลานเสวี่ยหยิบถุงเงินสีแดงที่ใช้สำหรับตกรางวัลขันที และข้าราชบริพารที่ได้รับความดีความชอบจากเจ้าของ เรียกว่าถุงแดง ฉ่างกงกง ก็รับตามธรรมเนียมแต่นางก็รู้ว่ากงกงตำหนักนี้ร่ำรวยแค่ไหน
“ข้าน้อยอยากรู้ว่า สามารถทูลขอรางวัลอย่างอื่นได้ไหม อย่างเช่นขอให้ทรงอภัยโทษ พวกนี้”
“ได้อยู่แล้ว หากเจ้ามีญาติพี่น้องที่โดนทำโทษอยู่ก็จงไปขอเถอะ แต่มีแค่คนเดียวที่ขอให้อภัยโทษไม่ได้”
“ผู้ใดกันหรือ”
หลานเสวี่ยใจเต้นตึกตัก คิดว่าคงไม่ใช่หลานเสวี่ยหรอกนะ ขออย่าให้เป็นนาง
“พระชายา ห้ามขอเด็ดขาดนอกจากจะไม่ได้รับรางวัลแล้วยังต้องโดนโทษอีก”
“พระชายานี้เอง ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอบคุณกงกงที่ช่วยเหลือ
“ด้วยความยินดี”
หลานเสวี่ยยิ้มเจื่อนเดินเข้าไป เกือบหัวหลุดจากบ่าแล้วไหมล่ะ ดีที่นางฉลาดถามกงกงก่อน คิดแล้วก็ไม่เข้าใจว่าฮ่องเต้จะโกรธเกลียดนางทำไม ในความทรงจำของหลานเสวี่ยยังไม่มีคำตอบ เพราะมันมีความทรงจำที่เธอยังไม่สามารถรับรู้ได้
“มาแล้วหรือ”
“เพคะ หม่อมฉันจางเสี่ยวหลงถวายบังคมฝ่าบาท”
“ไม่ต้องมากพิธีหรอก แล้วอยากได้อะไรก็พูดมาได้ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ข้าจะไม่บ่ายเบี่ยงแน่นอน”
หลงเยี่ยนวางมือจากหนังสือ แล้วหันมาสนใจสตรีตรงหน้า ดูเหมือนนางจะไม่พอใจอะไรสักอย่างจนทำให้หัวคิ้วชนกันอยู่อย่างนั้น
“มีอันใดทำให้เจ้าไม่สบายใจหรือ”
“ไม่ใช่เพคะ หม่อมฉันแค่ยังไม่รู้ว่าจะขออะไร เช่นนั้นพระองค์ทรงให้รางวัลอันใดก็ได้ หม่อมฉันจะรับไว้ด้วยความดีใจเพคะ”
“เช่นนั้นข้ามีอยู่อย่างหนึ่ง”
เขาเดินไปหยิบม้วนสีท้องออกมาก่อนจะใช้พู่กันเขียนอะไรบางอย่าง
“ฉ่างกงกง เข้ามาอ่านราชโองการ”
“กระหม่อมมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฉ่างกงกงรีบเดินเข้าไป ถือพระราชโองการในมือ ก่อนจะเดินมาที่หลานเสวี่ย
“จางเสี่ยวหลงคุกเข่ารับราชโองการ”
นางรับทำตามอย่างว่าง่าย คุกเข่ามือโค้งประสานอยู่เหนือศีรษะ ก้มหน้ารับพระราชโองการ
“นางกำนัล จางเสี่ยวหลง ข้าขอแต่งตั้งเจ้าให้กลายเป็นนางกำนัลส่วนพระองค์รับใช้แต่ข้าเพียงผู้เดียว ตำแหน่งเทียบเท่าหัวหน้านางกำนัล รับราชโองการเอาไว้”
นางรับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แม้จะไม่ได้อยากรับตำแหน่งเท่าไหร่ เพราะอีกไม่นานก็จะออกจากวังไปอยู่ดี
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
“ต่อไปเจ้าก็มาดูแลข้า รายละเอียดก็ให้ถามหัวหน้านางกำนัลเอา”
“เพคะ”
“เจ้าไปพักผ่อนเถิด”
“เพคะ หม่อมฉันขอทูลลา”
หลานเสวี่ยออกมาจากห้องหนังสือ ก่อนจะมาที่เรือนนางกำนัล ก็เห็นคนอื่นนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระกันอยู่ พอเห็นนางก็รีบเอาน้ำชามาให้ดื่ม ถ้าดื่มของทุกคนคงท้องแตกตายแน่
“ทำดีกับข้าแบบนี้คงมีเรื่อง ดี ๆ มาใช่ไหม”
“ใช่แล้ว ตอนนี้ในวังรู้ว่ายาวิเศษดีแค่ไหน ใคร ๆ ก็อยากได้ ท่านพอจะมีมาปล่อยบ้างไหม”
“ช่วงนี้ของขาดมาก ราคาเลยแพงหน่อยนะ แต่ใช้ครั้งเดียวแล้วหมั่นทำความสะอาดใบหน้า รักษาใบหน้าให้ดีเท่านี้ความสวยใส่ก็อยู่นานเป็นเดือน”
หลานเสวี่ยแค่ไม่อยากยุ่งยาก เพราะตัวเองได้เงินมาเยอะแล้ว ไม่อยากเสี่ยงทำเรื่องอื่น แต่ถ้าราคาเหมาะสมนางก็ไม่บ่ายเบี่ยงแน่
“เรื่องราคาไม่ต้องกังวลเพคะ เจ้านายของนางกำนัลที่ข้าเคยคุยด้วยเสมอให้ห้าสิบตำลึงต่อขวด”
“อย่างนั้นหรอกหรือ ราคานี้ก็เหมาะสมอยู่”
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ใช่เงิน ห้าสิบตำลึงทองไปแล้ว เช่นนี้เจ้าไม่ขาดทุนหรือ”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็ได้คืนมาแล้ว แต่ไม่เป็นอันตรายใช่ไหม ไม่ใช่เรื่องหวงห้ามใช่หรือเปล่า”
หลานเสวี่ยถามนางกำนัลรุ่นเดียวกัน
“ไม่เป็นไร เรือเล็กน้อยเช่นนี้ฝ่าบาทไม่สนพระทัยอยู่แล้ว นอกเสียจากจะค้าขายใหญ่โต ร้อยสองร้อยขวดก็ว่าไปอย่าง”
“แล้วมีคนสั่งกี่ขวดละ”
“50 สิบขวด”
หลานเสวี่ยกลืนน้ำลายทันที แค่ขายของนิดเดียวก็ได้มาเยอะขนาดนี้เลย เทียบกับการขายมันฝรั่งเพื่อการกุศลไม่ได้เลย รายนั้นอย่างกับทำบุญจริง ๆ
“รอพรุ่งนี้ข้าจะเตรียมมาให้นะ อีกอย่างดูนี้ก่อน”
หลานเสวี่ยยกพระราชโองการให้ดู ทุกคนต่างสนใจ และรีบวิ่งมาดู
“นี้คือสิ่งใด ได้รับเป็นของรางวัลหรือ” “เหมือนพระราชโองการเลย” หัวหน้านางกำนัลมาพอดี ทุกคนหันไปมองเพื่อหาคำตอบจากนาง“ใช่แล้ว นี้คือพระราชโองการจากฝ่าบาท”“ถ้าพวกเจ้าอยากรู้เดี๋ยวข้าอ่านให้ฟัง.... เป็นอย่างไรบ้าง” หลานเสวี่ยอ่านให้ทุกคนฟัง ทำเอานางกำนัลน้อยใหญ่ต่างรีบแสดงความยินดี แถมยังบอกอีกว่าอิจฉานางที่ได้อยู่ใกล้ฮ่องเต้ ใครล่ะอยากจะอยู่ใกล้ “ข้าบอกแล้วว่านางเป็นคนโปรดของฝ่าบาท ไม่แน่นะพี่จางของเราอาจได้เป็นพระสนมกับเขาก็ได้” “ข้าก็คิดว่าเป็นเช่นนั้น ถึงขั้นดึงตัวมาจากตำหนักอื่นก็มีแต่พีจางเท่านั้นแหละที่จะได้รับความโปรดปราน”“ได้ดีแล้วอย่าลืมพวกเรานะ”นางกำนัลพวกนี้พูดกันสนุกปากเลย ชอบแต่งเรื่องกันจริง ๆ “ไม่ใช่หรอก ฝ่าบาทคงไม่คิดแบบนั้นหรอก คงเห็นว่าข้าทำงานได้ดีจึงตกรางวัลให้” “ในเมื่อท่านได้เลื่อนขั้นเทียบเท่าหัวหน้านางกำนัลแล้ว ก็ต้องให้ของขวัญเล็กน้อยให้พวกเราบ้างสิเจ้าคะ” จูหยิน นางกำนัลที่พูดเก่งที่สุดในนี้รีบเอ่ยปาก สายตาหวานมองมาที่หลานเสวี่ย ดูเหมือนคนอื่นจะทำตามด้วย“พวกเจ้าก็อย่าไปขอนางเลย ห้าสิบตำลึงทองที่ได้ไปยังไม่พออีเหรอ รีบไปทำงานได้แล้ว” “ไม่เป็นไรหรอก ว
หลานเสวี่ยต้องตื่นแต่เช้ามืด เพื่อรับใช้ฮ่องเต้ หลังจากเมื่อคืนที่นางกลับตำหนักเย็น และกลับมาตำหนักอันกงในตอนหลัง ดีที่นางได้ห้องส่วนตัวทำให้พวกตัวยุ่งอย่าง จูหยิน ที่ชอบบอกคนอื่นว่าเธอเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ ถ้าเห็นกลับดึกคงบอกว่านางไปพบใครแน่นอนตำหนักอันกงยามนี้เงียบงัน มีเพียงฉ่างกงกงยื่นรอที่หน้าห้อง หลานเสวี่ยแอบคิดว่า กงกงผู้นี้ได้นอนบ้างหรือเปล่า ทำไมมาเมื่อไหร่ก็เจอแต่เขาตลอดเวลา แต่นางไม่กล้าถาม“คารวะ ฉ่างกงกง”“เข้าไปเถอะ ฝ่าบาทมีประชุมตอนเช้า”“เจ้าคะ” นางเปิดประตูเข้ามาในห้องบรรทมของฮ่องเต้ ก่อนจะเดินไปที่เตียงนอน บนเตียงของเขามีชายหนุ่มใบหน้านิ่ง ริมฝีปากหยักได้รูป ถ้าเขาเป็นคนในยุคปัจจุบันคงเป็นดาราชายที่โด่งดังไปแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่นางรู้สึกทึ่งมากคือท่านอนของเขาดูเป็นระเบียบ อย่างกับไม่ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว แตกต่างจากหลานเสวี่ยที่นอนดิ้นนิดหน่อย“มาถึงแล้วก็ควรปลุกข้าสิ ไม่ใช่เอาแต่จ้องหน้าแล้วยิ้มเช่นนี้” “ขอประทานอภัยฝ่าบาท หม่อมฉันกลัวว่าพระองค์จะทรงบรรทมหลับไม่เพียงพอ จึงยังไม่ปลุกเพคะ”หลานเสวี่ยสะดุ้งโหยงในตอนที่เขาพูด สายตาคมของเขายามที่มองเธอแทบจะหายใจไม่ออก รู
เมื่อคนพวกนั้นเข้ามาใกล้หลานเสวี่ยไม่มีทางเลือกนอกจากต้องตัดไพ่ใบสำคัญออกมาสู้ อันที่จริงรอเวลานี้มานานแล้วเช่นกัน นางยกป้ายที่กงกงให้ไว้ เขาบอกว่ามันจะช่วยเธอได้“ช้าก่อน ผู้ใดเห็นตราสัญลักษณ์นี้แล้วยังกล้าเข้ามาอีก จะถือว่าผู้นั้นต่อต้านพระบัญชาของฝ่าบาท มีโทษเช่นไรหม่อมฉันไม่พูดทุกคนก็คงทราบดี”“เนื่องจากยามนี้ฝ่าบาทบรรทมหลับอยู่ หม่อมฉันไม่อาจให้เข้าพบได้ แต่ถ้าพระองค์ตื่นจากบรรทมหม่อมฉันจะนำทางไปทันทีเพคะไทเฮา”หลานเสวี่ยพูดต่อเมื่อไม่มีใครกล้าเข้ามา ตอนแรกเห็นทำหน้าใหญ่โต พร้อมจะบดขยี้เธอ ดูสีหน้าของหลี่ผินตอนนี้ ไม่ต่างจากตัวตลก“ดีเหลือเกินนะ เป็นแค่นางกำนัลแต่กล้าทำถึงขนาดนี้ ไทเฮาจะเข้าเฝ้าฝ่าบาทยังต้องทรงขอนางกำนัลเช่นเจ้า ใครไม่รู้คงคิดว่าเจ้าเป็นใหญ่ในวังหลังแล้วกระมัง” “หามิได้ หม่อมฉันทำตามพระประสงค์ของฝ่าบาทเพคะ” “ช่างเถอะ รอไปก่อนเดี๋ยวฝ่าบาทคงตื่นบรรทมเอง” ไทเฮาไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะจะทำให้บ้านเมืองวุ่นวายได้ถ้ายังดันทุรัง จึงยอมให้หลานเสวี่ยหลานเสวี่ยเชิดหน้ายิ้ม มองหลี่ผินที่เดือดดาลอย่างมีความสุข ก่อนจะจัดแจงให้ทุกอย่างเข้าที่ เพราะตอนนี้เหล่านางสนมค
หลานเสวี่ยทำหน้าที่ของตนอย่างทุกวัน ในยามเช้าแบบนี้ฮ่องเต้ต้องเข้าประชุม จึงต้องตื่นมาล้างหน้าบ้วนปาก ก่อนจะสวมอาภรณ์ที่นางเตรียมให้ ระหว่างนั้นเองที่เขากำลังจะขัดฟันนางจึงถามอย่างสงสัย”ฝ่าบาทใช้สิ่งนั้นขัดฟันหรือเพคะ?” “เหตุใดถึงถามเช่นนี้ หรือเจ้าไม่เคยใช้” หันมามองใบหน้าสวยของนาง“หม่อมฉันไม่เคยเลย” “เช่นนั้นข้าจะให้คนเอามาให้ แต่เจ้าขาดเงินขนาดนั้นเลยหรือ รางวัลคราวก่อนก็ไม่ใช่น้อย” แม้จะไม่เข้าใจใจว่านางใช้เงินไปกับอะไร แต่ในวังข้าวของแพงกว่าข้างนอกนัก ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ทำไมแค่ของไม้ขัดฟันราคาไม่เท่าไหร่นางจึงซื้อไม่ได้ หรือนางอาจจะมีภาระมากมายในครอบครัวหรือเปล่า? หลงเยี่ยนยืนคิดในใจ“ไม่ใช่เช่นนั้นเพคะ หม่อมฉันแค่จะบอกว่าใช้อันที่ดีกว่าอยู่” “มีอันที่ดีกว่านี้อีกหรือ ฉ่างกงกงไม่เห็นซื้อมาเปลี่ยน หรือเขาแอบอู้งาน” เมื่อมองสีหน้าท่าทางของนาง เขาก็พอเดาได้ว่ามีอะไรบางอย่าง เหมือนตอนที่นางเสนอขายเสบียง เรื่องนี้เขาเองไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญเท่าไหร่“เจ้าคงไม่ได้จะบอกข้าว่า ขอสิ่งนั้นมาจากแดนเซียนหรอกนะ”“เกือบถูกเพคะ ของสิ่งนี้มาจากแดนไกล แต่ไม่ใช่แดนเซียน เพราะที่นั่
ในที่สุดพิธีบวงสรวงก็มาถึง ในตำหนักจึงค่อนข้างยุ่ง เพราะนางกำนัล และคนจากกรมพิธีการเข้ามาจัดเตรียมพิธีตั้งแต่เช้าตรู่ พร้อมกับส่งชุดสำหรับทำพิธีมาให้ แม้ลวดลายจะไม่แตกต่าง แต่สีสันค่อนข้างสดใสกว่า พออยู่บนไม่แขนชั้นดีอย่างหลงเยี่ยน ก็ทำให้มันดูดีมากกว่าเดิม“เสร็จเรียบร้อยแล้วเพคะ” “อืม ขอบใจเจ้ามาก” “หม่อมฉันจะไปยกน้ำชามาให้เพคะ” นางหิวน้ำหรอกเลยจะออกไปดื่ม วันนี้ตั้งแต่เช้ามืดยันเกือบเที่ยงยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย“ไปเถอะ” หลานเสวี่ยออกมาที่ห้องครัวของตำหนัก ที่นี่เก็บสิ่งของจำเป็นสำหรับแต่ละวันเอาไว้เช่นชา และของว่างอย่างขนมเป็นต้น ไม่รอช้านางรีบดื่มชาที่ถูกอุ่นด้วยเตาตลอดเวลา ยิ่งอากาศหนาวแบบนี้บอกเลยหอมหวานมาก และที่ขาดไม่ได้คือขนม อร่อยจริง ๆ พอดื่มกินจนอิ่มนางก็ยกถาดชา และของว่างมาที่ห้องนั่งเล่น ตอนนี้หลงเยี่ยนกำลังคุยเรื่องสำคัญกับฉ่างกงกงพอดี“ฉ่างจื่อ เจ้าคิดว่าวันนี้ฝนจะตกหรือไม่” กงกงเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง แม้อากาศจะหนาว แต่แดดสว่างจ้าอย่างกับช่วงฤดูร้อน ยังมีลมฤดูหนาวพัดมาอีก กงกงส่ายหน้าไปมาก่อนจะตอบ“ถ้าถามตอนนี้คงยากที่จะตกพ่ะย่ะค่ะ แต่ถ้าเป็นตอนที่พระองค์ทรงท
ผู้คนที่เข้าร่วมงานล้วนแต่เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ และชั้นรองลงมา เมื่อเห็นว่านางกำนัลที่ไร้การฝึกฝนเพื่อบวงสรวงก็ต่างพูดว่า นางกำนัลจะรำอะไได้ นอกจากรำง่าย ที่เด็กก็ทำได้ในวงสนทนาของชนชั้นสูง หลานเสวี่ยหรือจางเสี่ยวหลงเป็นดั่งตัวตลกเท่านั้น ยิ่งถูกคาดโทษว่านางเป็นปิศาจจิ้งจอก ทุกคนก็กล่าวหานางด้วยคำพูดจาเสียดสีว่า “สตรีเช่นนี้ จะคู่ควรกับฝ่าบาทได้อย่างไร เป็นแค่นางกำนัลขั้นต่ำกล้าหวังสูงข้ามหน้าคนอื่น ทำตัวไร้ยางอาย” คำวิจารณ์ของคนในพิธีทำให้หลี่ผินยิ้มอย่างพอใจ นางอยากเห็นว่าจุดจบของจางเสี่ยวหลงจะสนุกขนาดไหน ไทเฮาที่นั่งอยู่ที่นั่งพิเศษ ถัดจากที่ประทับของฮ่องเต้เพียงนิด พระนางก็ไม่คิดว่าหลี่ผินจะคิดแผนแบบนี้“สนมหลี่ แผนของเจ้าจะได้ผมนจริงหรือ อย่าทำให้โอกาสของตนเสียเปล่าเสียละ”“หม่อมฉันมั่นใจว่านางต้องหายไปจากวังในวันนี้ ไทเฮาทรงวางพระทัยได้เพคะ”“อย่าให้พลาดเสียละ กว่าจะได้โอกาสนับว่าหายากแล้ว” “ครั้งนี้ไม่พลาดแน่เพคะ” ไทเฮาแม้จะมีความเมตตาในพระทัย แต่เรื่องชิงดีชิงเด่นในวังหลัง นางย่อมรู้ดีกว่าใคร ๆ กว่านางจะดิ้นรนจนได้เป็นไทเฮาไม่ใช่เรื่องง่าย และเรื่องครั้งนี้ตรงกับเรื่องของนา
ตั้งแต่พิธีบวงสรวงก็ผ่านมาห้าหกวันแล้ว ฝนยังตกเหมือนเดิม ทำให้ฮ่องเต้ถูกยกย่องสรรเสริญว่าเป็นเทพที่มาจากสวรรค์ ส่วนหลานเสวี่ยก็ได้หน้าไปด้วย แม้จะเป็นแค่นางกำนัลส่วนพระองค์ แต่ทุกคนไม่มีใครกล้าพูดไม่ดีให้นางอีกเลย แถมยังคิดว่านางจะกลายเป็นสนมคนโปรดในอีกไม่นานเรื่องนี้เหล่านางกำนัลในตำหนักอันกงพูดกันหนาหู จนหลานเสวี่ยต้องรีบหลบมาตำหนักเย็น อีกอย่างก็มีแผนที่จะให้หยาง กับ เหมยทำพอดี แผนสำคัญคือนางจะส่งจดหมายให้หลี่ผินบอกว่าบ่าวสองคนของหลานเสวี่ยได้รับอาหารเลิศรสทุกวัน ด้วยนิสัยของหลี่ผินต้องโมโหเป็นฟืนเป็นไฟแน่ จากนั้นนางจะต้องหาวิธีกักบริเวณของสองคน อย่างมากก็เดือนกว่า พอหลังจากที่ครบตามกำหนดนางจะให้ทั้งสองแจ้งไปที่ฝ่าบาทบอกว่าพระชายาสิ้นพระชนม์แล้ว เมื่อเวลาผ่านไปนานขนาดนี้ นางก็แค่หาโครงกระดูกจากระบบมาอ้างเป็นหลานเสวี่ย หลังจากนั้นก็ขอให้ฝ่าบาทปล่อยให้ทั้งสองกลับออกจากวัง ส่วนตัวนางก็แค่หาโอกาสออกไปเท่านั้นก็สมบูรณ์แบบทุกอย่าง นอกจากไม่มีโทษที่แอบหนียังได้รับชื่อเสียง และผลประโยชน์อีกด้วย“ทั้งสองคนจำไว้ให้ดีนะ แผนนี้ต้องหามพลาดเด็ดขาด จะได้รับอิสรภาพหรือไม่ขึ้นอยู่กับเรื่องนี้แล้ว”
เช้าวันรุ่งขึ้นเหมยก็เริ่มแผนการ ปกตินางจะออกไปรับอาหารทุกวันที่หน้ากำแพงประตูของตำหนักเย็น แต่วันนี้นางออกมาสองคนทำให้ทหารยามแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเพราะไม่ได้ผิดกฎแต่แล้วหยางผู้เป็นพี่ก็ยื่นขนมหวานที่น่าอร่อยให้ทั้งสองได้ลองชิมดู แม้รูปร่างจะเหมือนของในยุคนี้แต่รสชาติต่างกันมาก พอได้ลองชิมพวกเขาก็ติดใจจนต้องแย่งกันกินส่วนเหมยถือโอกาสนั้นออกมาที่ข้าง ๆ ประตูเพื่อพบกับคนผู้หนึ่ง ที่ยื่นของให้เห็นแค่แขนเท่านนั้นนางรีบรับมา แล้วกลับเข้าไปข้างในตามปกติ ทั้งสองคนมาถึงตำหนักเย็นก็หายใจโล่ง กลัวแผนจะไปไม่รอด และทุกอย่างนั้นถูกคนของหลี่ผินจับตาอยู่ตลอดเวลา พวกนั้นรีบตามหาตัวคนที่เอาอาหารมาให้นาง แต่ก็ไม่ทัน พวกเขามองซ้ายมองขวา ตามมาติด ๆ แต่คนหายไปได้อย่างไรไม่รู้“ช่างเถอะ รีบไปบอกพระสนมดีกว่า”“ขอรับ” เมื่อหลี่ผินรู้เรื่องก็ยิ้มมุมปาก อยากรู้นักว่าใครกล้าขัดขวางนาง ในวังหลวงแห่งนี้ยังมีผู้ใดอีก หลี่ผินคิดไม่ตก เพราะพวกขุนนางที่เคยพักดีต่อใต้เท้าหลานก็คงไม่มีใครกล้าขัดขวางนางเป็นแน่หลี่ไม่รอช้ารีบมาเข้าเฝ้าไทเฮาเพื่อกราบทูลเรื่องของ หลานเสวี่ย ตอนนี้นางมาถึงหน้าตำหนักแล้ว แต่กงก
หลังจากเดินทางมายาวนานก็มาถึงเมืองหลวง หลานเสวี่ยที่ไม่มีอะไรทำมาหลายวันก็ตรงไปที่หอการค้าร้านสะดวกซื้อทันที ทว่าเมื่อนางมาถึงก็ทำให้ผู้คนตามสองข้างทางมองตามไม่กะพริบตา สตรีที่งดงามเช่นนี้มีในเมืองหลวงด้วยหรือ ทุกสายตาต่างสงสัยผู้คนรายล้อมมองดู ต่างก็ไม่รู้ว่านางเป็นคนตระกูลไหน การมาถึงของหลานเสวี่ยทำให้พ่อสื่อแม่สื่อมีงานล้นมือเป็นแน่ เพราะเหล่าชายโสดต่างติดต่อถามไถ่ถึงนางกันทั่วหน้า หลานเสวี่ยเดินไปไม่สนสายตาของผู้คน เหล่าชายหนุ่มตระกูลสูงศักดิ์หรือสามัญชนคนธรรมดาก็ไม่อยู่ในสายตา เพียงแค่นางก้าวเดินคนก็พร้อมจะเปิดทางให้อย่างเต็มใจ จนมาถึงหอการค้าของตน คนคุ้มกันก็ยืนทำหน้าที่อย่างทุกวันแต่วันนี้คนคุ้มกันตกตะลึงจนหันไปมองตาม แค่นางเข้ามาในร้านยิ่งดูโดดเด่น เสี่ยวเอ้อร์ในร้านต่างก็มาให้การบริหารอย่างเต็มใจ ใบหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาถามกันไปมาว่าแม่นางผู้นี้เป็นคุณหนูบ้านไหนกัน เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนเลย“แม่นางต้องการสิ่งใดบอกข้าน้อยได้เลยขอรับ” หลานเสวี่ยยิ้มอย่างเบาบางแต่ไม่ตอบอะไร เพราะเป็นหน้าที่ของหยางในการเปิดเผยเรื่องนี้ “ทุกคนมารวมตัวกันตรงนี้ ข้ามีเรื่องจะแจ้ง” หยางได้ส่งจดหมายใ
ในสายตาของผู้ฝึกเซียนขั้นสี่ พวกนางจะทำอะไรได้ ส่วนคนคุ้มกันก็แค่พอถ่วงเวลา งานนี้ไม่ยากเย็นนัก มือสังหารเดินเข้ามาตรง ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้คุ้มกันไม่รอช้ารีบตรงเข้าไปขวาง แต่หลานเสวี่ยห้ามเอาไว้ก่อน“ก็แค่มดปลวก ข้าจัดการเอง พวกเจ้าถอยไปก่อน” นางพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ และหนักแน่น แววตาคู่สวยแสดงออกถึงความจริงจัง ทำให้หยางกับเหมยถอยออกมา รวมถึงผู้คุ้มกันที่กำลังตัวสั่นเพราะความกลัว “ถ้าเช่นนั้นก็ฝากแม่นางด้วย” เขาโค้งศีรษะอย่างนอบน้อม แม้จะมองไม่ออกว่าหลานเสวี่ยจะใช้อะไรเอาชนะผู้ฝึกเซียนระดับนี้ แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ เขาจึงเลือกที่จะเชื่อนาง และขอให้นางสามารถจัดการได้ เขายังไม่อยากทิ้งครอบครัวให้ลำบาก“แค่มดปลวกหรือ ปากดีเสียจริงนะ คำพูดนี้เป็นข้าทีต้องพูดออกมา ลนหาที่ตายนัก ได้...ข้าจะส่งเสริมเจ้าให้ตายเร็วขึ้นเอง” “อย่าเอาแต่พูดเลย อยากเข้ามาก็มาได้ตลอด ข้ารอเจ้าอยู่ เจ้ามาสิ” หลานเสวี่ยยืนกอดอกมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น ทำเอาผู้ฝึกเซียนถึงกับเหงื่อซึม เมื่อสัมผัสพลังบางอย่างจากตัวนาง เขาไม่มั่นใจนักว่ามันคือสิ่งใด แต่สัญชาตญาณของเขาบอกให้ถอย เมื่อยั
ตลอดหลายวันที่ผ่านมานางต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพราะเรื่องต่าง ๆ มากมายให้จัดการ เร่งด่วนจนไม่มีเวลาพัก หลายวันนี้แม้แต่ระบบยังห้ามไม่ให้นางใช้น้ำวิเศษเพราะจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าดี เหตุก็เพราะว่านางดื่มน้ำเกือบห้าสิบครั้ง แต่ละครั้งคือร่างกายนางเหนื่อยล้าเต็มที่ โดยเฉพาะยามกลางคืน ที่หลานเสวี่ยจะยังอยู่หอการค้า เพราะรออนุมัติ ไม่ก็รอตอบจดหมายเร่งด่วน ขอความเห็นจากสาขาอื่นที่ส่งออกไป เป็นเรื่องที่แม้ว่าคนอื่นจะรอได้ แต่นางไม่สามารถรอได้ร่างเพรียวบางนอนราบบนเตียงนุ่ม อ่อนล้าไปทั้งตัว ขอบตามีรอยดำคล้ำเล็กน้อย กับความรู้สึกปวดร้าวทั้งร่างกาย ใบหน้าของนางซีดเชียว และซูบผอมลง เพราะไม่ได้หลับเต็มอิ่มมาเกือบอาทิตย์ “ลูกแม่ ทำไมถึงทำงานหนักเช่นนี้ เงินทองใช่ว่าจะสำคัญทุกอย่าง ตอนนี้เราไม่ได้ขาดเงิน เจ้าจะรีบร้อนทำไมหรือ” ผู้เป็นแม่เข้ามาบีบนวดให้นางทุกวัน ทำให้หลานเสวี่ยรู้สึกดีขึ้นมาก ๆ ฝีมือของท่านแม่ดีจริง ๆ ช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วกว่าเดิม นางได้แต่ยิ้มให้หลานฮูหยิน“ลูกไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ผอมลงนิดเดียว อีกอย่างไม่ได้แต่งงานกับบุตรชายเสนาบดี เท่านี้ก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ” นางพูดด้วยความร่าเริง เม
หลานเสวี่ยกำลังยุ่งอยู่กับระบบ เพราะตั้งแต่ที่เปิดร้าน ทำให้คะแนนเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน คะแนนรวมของนางคือหก แสนคะแนนจากระบบ และ แสนห้าหมื่นคะแนนความดีที่เพิ่มขึ้น เมื่อก่อนนางมีคะแนนจากระบบเจ็ดแสน แต่เพราะอัปเดตระบบเป็นเวอร์ชันสุดท้าย ใช้ไป 1 แสนคะแนน ทำเอาหลานเสวี่ยแอบสงสัยว่าทำไมถึงใช้เยอะแบบนี้ แต่นางก็ยอมเพราะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะอัปเดต“ระบบ ทำไมถึงใช้คะแนนเยอะมากกว่าทุกครั้งละ หรือว่ามีของรางวัลดี ๆ”(เป็นเพราะว่านี้คือระบบเวอร์ชันสุดท้าย ที่สำคัญจำเป็นต่อผู้ใช้เช่นกัน....)“เดี๋ยวก่อน ทำไมเงียบไปละ” ระบบไร้เสียงตอบ ทำเอาหลานเสวี่ยตกใจไม่น้อย แต่ก็จัดการ ส่งคำสั่งเพาะปลูกได้เป็นปกติ ถึงมิติก็ยังใช้ได้ จึงคิดว่าระบบคงขัดข้องชั่วคราว แต่นางแอบสังเกตนิดหน่อยเพราะช่วงนี้ระบบแปลกไปจากเดิมมาก อย่างเช่น น้ำในลำธารของระบบลดลงจนสังเกตได้ และแสงสว่างในนี้ก็ลดลงเช่นกัน อยากจะถามระบบแต่ก็มาหายตัวไป สงสัยคงกำลังอัพเดทชุดใหญ่ นางจึงไม่สนใจระบบ แล้วไปทำอย่างอื่นต่อ แต่ละวันนางจะใช้คะแนนแลกของขายดี อย่างเช่นเครองสำอาง ที่สตรีร่ำรวย และขุนนางใช้กัน นี้เป็นรายรับสามส่วนของนางก็ว่าได้ ช่วยให้จัดกา
หลานเสวี่ยกลับมาที่จวนในตอนสาย พอมาถึงสายตาของบิดามารดาก็มองนางด้วยความสงสัย บุตรสาวของตนไปค้างที่ใดมา แม้จะมีคำถามมากมายอยู่ในอกของทั้วสอง แต่พักนี้รู้สึกว่านางดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แถมยังเฉลียวฉลาดมากกว่าเดิม ท่าทางก็เปลี่ยนไป ทำให้ทั้งสองไม่กล้าที่จะถามตรง ๆ หลานฮูหยินรีบออกมารับบุตรสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ส่วนใต้เท้าหลานเดินตามหลังมาด้วย“กลับมาแล้วหรือ หิวไหมแม่จะไปทำกับข้าวให้เจ้า” “ลูกินอิ่มแล้วเจ้าค่ะ ตอนขากลับแวะซื้อของอร่อยตามทางมาด้วย นี้เจ้าต่ะ” หลานเสวี่ยยกสิ่งของรุงรังในมือขึ้นมา รวมถึงบ่าวทั้งสองคนก็แทบจะแขนลาก เพราะเป็นคนถือของให้นาง ดีที่แข็งแรงหน่อย“ทำไม่ซื้อมามากมายเช่นนี้ จะกินหมดหรือ ดูสิผิวพรรณ.. เนียนสวยเสียจริง ดูแล้วลูกแม่สวยขึ้นเป็นกองเชียวนะ” มารดาของนางเมื่อสำรวจดี ๆ จึงรู้ว่านางดูเปร่งประกายราวกับถูกเคลือบด้วยออร่า แม้เมื่อก่อนนางจะงดงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่วันนี้ยิ่งแตกต่าง ผิวพรรณผุดผ่อง สัมผัสนุ่มนวล ไหนจะกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่โดดเด่น ทำให้หญิงวัยย่างเข้าสี่สิบสนอกสนใจกว่าเดิม ดวงตาคู่นั้นก็มองด้วยความสงสัย เพราะมีเรื่องแปลกประหลาดมากมายอย่างเช่น เมื่อวานท
หลานเสวี่ยถูกอุ้มเข้าไปในห้องนอน มือเรียวยังคงปิดหูตัวเองเอาไว้แน่น เพราะกลัวเสียงฟ้าร้อง ทันทีที่เข้ามาข้างในเสียงต่าง ๆ ก็เงียบไปอย่างมหัศจรรย์ หญิงสาวลืมตาขึ้นด้วยความประหลาดใจ และพบว่าตนเองอยู่ในอ้อมแขนของเขา ใบหน้าของหลานเสวี่ยแดงระเรื่อ เธอหลุบตาลงต่ำด้วยความเขินอายเมื่อสบสายตาคมคายที่มองตรงมา ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองถูกอุ้มเข้ามาในห้องเสียแล้ว“เจ้าไม่ต้องกลัวหรอก ที่นี่ไม่มีเสียงฟ้าร้องเหมือนด้านนอก เพราะข้าใช้สมบัติวิเศษป้องกันเอาไว้” น้ำเสียงทุ้ม พูดพลางวางเธอลงบนเตียงนุ่ม ๆ พร้อมกับห่มผ้าให้ และลงไปนอนรวบตัวนางเอาไว้แน่น“เจ้าค่ะ...แต่” หลานเสวี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ท่านแม่ทัพจะกอดข้าน้อยแบบนี้ทั้งคืนหรือ ชายหญิง...”ปากน้อย ๆ ของนางกำลังจะพูดเรื่องยาว แต่ถูกมือใหญ่ปิดเอาไว้อย่างรู้ทัน เขาไม่ปล่อยโอกาสอันดีให้เสียเปล่า เป็นวัวเป็นม้าให้นางแล้ว ต้องได้รางวัลเสียหน่อยถึงจะถูก“สามีภรรยาอยู่ด้วยกันจะเป็นไรไป หากเจ้ายังดื้อดึงอีก ข้าจะไม่หักห้ามใจแล้วนะ” พูดเสียงสั่นเครือ เพราะกำลังหักห้ามใจตัวเองหลานเสวี่ยรู้สึกถึงหัวใจของตนเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก จึงก้มหน้ามองแผ่นอกกว
รอจดหมายจากพระองค์เกือบสองถ้วยชา แต่นางยังไม่เห็นจะมีวี่แววจะออกมาเลย เขียนร้อยฉบับหรืออย่างไรกันแน่ ร่างเล็กเดินไปมาอยู่ในห้องรับรอง ก่อนจะเดินออกมามองดูนอกหน้าต่าง ตอนนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มคล้ายฝนจะตก นางยิ่งร้อนใจ ขาเรียวไม่รอช้าอีกต่อไป เดินออกจากห้องรับรองไปที่ห้องทำงานของท่านแม่ทัพโดยตรง ก่อนจะเห็นท่านแม่ทัพเดินมาจากข้างนอก ทำเอานางรู้สึกงุนงงอย่างมาก “ท่านแม่ทัพเจ้าคะ! ท่านคงไม่ลืมจดหมายของข้าหรอกนะ” น้ำเสียงเรียบนิ่งแฝงไปด้วยความไม่พอใจ แม่นางจะพยายามเก็บความรู้สึกหงุดหงิดเอาไว้“ข้าจะลืมได้อย่างไร เมื่อครู่ข้ามีธุระด่วนไม่คิดว่าเจ้าจะรีบร้อนอย่างนี้” ยืนตัวตรง มองนางด้วยสายตามีเลศนัย“หาใช่แบบนั้นเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะกล้าเร่งรัดท่านแม่ทัพได้อย่างไร” “เช่นนั้นก็มาฝนหมึกให้ขาเถิด” หลงเยี่ยนเดินนำไปก่อน ทิ้งให้หลานเสวี่ยมองตามแผ่นหลังกว้างด้วยความไม่พอใจเล็ก ๆหลานเสวี่ยเดินตามไปพร้อมกับบ่นพึมพำในใจ ทำไมแค่จดหมายฉบับเดียวต้องดึงเวลาให้ยุ่งยากแบบนี้ด้วยนะ แต่นางจะทำอันใดได้ ยามนี้ได้แต่ก้มหน้าก้มตาฝนหมึกให้ได้เยอะ พระองค์จะได้เร่งเขียนให้เสร็จ ทว่าไม่นานเสียง “กร๊อก" ดังขึ้นใบหน้าสวย
ทหารหนุ่มวิ่งหน้าตั้งออกมาจากกำแพงใหญ่ แล้วสั่งให้รถม้าของหลานเสวี่ยเข้าไปได้ ทำเอาเหล่าคุณหนูที่มารอตั้งนานแทบจะตาลุกเป็นไฟด้วยความริษยา แม้จะรู้ว่านางถูกปลดแล้ว แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงของฝ่าบาทย่อมสูงส่งกว่าสตรีทั่วไป “พวกเจ้าก็รอต่อไปเถิด เห็นทีคงต้องรอจนหัวหงอกกระมัง” หลานเสวี่ยพูดทิ้งท้ายก่อนจะให้คนขับรถม้าขับออกไป ทำเอาบ่าวสองคนยิ้มอย่างสะใจที่ได้เอาคืนพวกนั้นเมื่อมาถึงขาวในจวนนางเดินตามทหารยามเข้าไปในจวน ที่นี่ไม่ได้หรูหราเหมือนจวนแม่ทัพที่เมืองหลวง เพราะเป็นที่พักชั่วคราวใช้ยามจำเป็น แต่ก็เรียบง่ายดี สีสันไม่โดดเด่น ส่วนมากจะเป็นข้าวของที่ทำจากไม้ สวยอยู่ไม่น้อย“รอก่อนนะขอรับข้าน้อยจะไปแจ้งท่านแม่ทัพให้” ทหารหนุ่มสีหน้าซีดเซียว แม้จะรู้ว่าตราไว้ชีวิตมีไว้ทำอันใด แต่เขาเกรงว่าครั้งนี้จะตัดสินใจพลาดจนถูกแม่ทัพลงโทษ หรือถ้าหากเกิดเขาปล่อยแขกของท่านแม่ทัพไป เกรงว่าจะยิ่งถูกลงโทษหนัก สถานการณ์เช่นนี้เลือกทางไหนก็ไม่รอด นอกจากท่านแม่ทัพจะให้ความสำคัญกับแขกคนนี้ทหารหนุ่มยืนอยู่ต่อหน้าประตูห้องทำงานส่วนตัว เมื่อเช้าเขาได้รับคำสั่งว่าไม่ให้ผู้ใดมารบกวน แต่ตอนนี้เขาลังเลว่าจะรอดต
มือเรียวยกกาน้ำชาขึ้นมารินให้บิดาอย่างเรียบร้อย จึงเลื่อนไปรินให้มารดาที่นั่งยิ้มให้กับนาง ทั้งสองคนดีใจจนยิ้มไม่หุบ ที่บุตรีสุดที่รักกลับมาให้เอ็นดูอีกครั้ง นับตั้งแต่พี่สาวของนางออกเรือน จวนตระกูลหลานก็เงียบเกินไป จะดีแค่ไหนหากพวกนางสองคนมีหลานให้พวกเขาทั้งสอง แม้ว่าหลานเสวี่ยจะไม่มีโอกาสแล้วก็ตาม เรื่องนี้ทั้งสองรู้ดี แต่พี่สาวนางกำลังจะได้รับข่าวดี จวนจะได้ครึกครื้นไม่เงียบเหงาอีก “กลับมาไม่นาน ลูกปรับตัวได้หรือยัง ที่นี่ค่อนข้างห่างไกลเมืองหลวงไม่ค่อยมีอันใดให้เพลินตานัก” มารดาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม“ลูกปรับตัวได้เจ้าค่ะ อีกอย่างที่เมืองหลวงไม่ค่อยมีอันใดให้ลูกดูมากนัก ที่นี่น่าดูมากกว่า” “ถ้าเช่นนั้นพ่อจะสั่งคนทำห้องให้เจ้าใหม่ จะได้อยู่สบายขึ้น รออีกสักสามเดือนพี่สาวเจ้าก็จะมาเยี่ยมแล้ว ตอนนี้ลูกคงไม่รู้ว่าพี่สาวของเจ้าตั้งครรภ์แล้วนะ” ใต้เท้าหลานพูดด้วยน้ำเสียงปีติ แสดงออกมาชัดเจน“จริงหรือ เป็นเรื่องดีแท้ ๆ ท่านทั้งสองจะได้ไม่เหงามาก ลูกเองก็จะมาเยี่ยมบ่อย ๆ เจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นสองสามีภรรยาก็มองหน้ากันอย่างสงสัย ทั้งที่คิดไว้ว่านางจะมาอยู่ด้วยกันที่นี่“ลูกไม่มาอยู่ที่