ข้าในตอนนี้คือหลานเสวี่ย บุตรีขุนนางที่ถูกเนรเทศ และยังเป็นพระชายาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ถ้าอิงตามธรรมเนียมแล้วควรที่จะได้เป็น ฮองเฮาแท้ ๆ แต่เพราะครอบครัวเลยถูกเนรเทศมาอยู่ตำหนักเย็น
หลานเสวี่ยนึกถึงความทรงจำของตัวเองก็พอรู้นิสัยใจคอของฮ่องเต้บ้าง คนผู้นี้ เลือดเย็นเหลือเกิน แถมยังโหดเหี้ยมอำมหิต ฆ่าคนเป็นผักปลาตอนที่เขาขึ้นครองราชย์
ส่วนหลานเสวี่ยในยามนี้ไร้อำนาจ มีเพียงใช้ชีวิตต่ำต้อยไปวัน ๆ ถูกกักขังในตำหนักเย็นมาเกือบสามปี ถ้าจะออกไปไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ เพราะเพียงแค่ร่างของสตรีผู้นี้ก้าวออกจากธรณีประตู เกรงว่าหัวของนางคงหลุดออกจากบ่าทันที คนผู้นั้นไม่ปล่อยเอาไว้แน่
ใบหน้าสวยครุ่นคิดหาวิธีที่จะออกไปอย่างปลอดภัย ก่อนจะหันมาสนใจบ่าวรับใช้สองคนที่กำลังยกผักที่ล้างสะอาดมาให้ หลังจากที่หลานเสวี่ยบอกว่าจะทำอาหารให้ด้วยการใช้เวทมนตร์ พวกนางสองคนก็ทำหน้าดีใจเอามาก ๆ
หลานเสวี่ยจึงให้ทั้งสองออกไปนอกห้องครัว จากนั้นก็เข้าไปในมิติระบบ เข้ามาข้างในหลานเสวี่ยรู้สึกว่าในมิติระบบ อากาศสดชื่นดีมาก ก่อนที่จะสังเกตเห็นผลผลิตกำลังถูกเก็บเกี่ยว ทำเอาตกใจไม่น้อยที่ใช้เวลาปลูกไม่ถึงแปดชั่วโมงด้วยซ้ำ
และได้รับคะแนนจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตครั้งแรก 100 คะแนน ทำให้ตอนนี้ได้คะแนนทั้งหมด 256 และได้โบนัสพิเศษอีก นั่นคือพื้นที่การเพาะปลูกอีก ห้าตารางเมตรทำให้หลานเสวี่ยมีที่ดินเพิ่มขึ้นและเพาะปลูกเพิ่มขึ้น
“ระบบปลูก มันฝรั่งกับ กะหล่ำปลี ผักกาดขาว กับต้นหอม"
(ระบบกำลังดำเนินการ)
หลานเสวี่ยยิ้มอย่างพอใจ ถ้าหากทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ชีวิตต่อจากนี้คงไม่ลำบากเพราะมีระบบสุดวิเศษแบบนี้อยู่ จากนั้นก็ไปแลกของในร้านค้า แล้วเอาไปใส่ในถุงมิติเพราะจะได้ดึงออกมาใช้ได้ง่ายไม่ต้องเจ้ามาในมิติทุกครั้ง
ของที่แลกคือ เนื้อหมู 1 กิโลกรัมใช้ 7 คะแนน ถูกแบบนี้เอามาเลย 3 กิโล ต่อมาคือเกลือกับผงชูรส ขวดละ 1 คะแนน ซอสปรุงรสสำหรับใช้ผัดอาหาร 3 คะแนน และที่ขาดไม่ได้คือ ผ้าห่มผืนหนา หลานเสวี่ยจงใจเลือกอันที่คล้ายกับยุคนี้ เพื่อไม่ให้เตะตาเกินไป
เธอเลือกมาเผื่อสองคนด้วย สามชิ้น 15 คะแนน ถือว่าไม่แพง แต่ที่สำคัญที่สุดคือครีมอาบน้ำอันนี้ล่อตาล่อใจจริง ถ้าไม่มีมันจะอาบน้ำได้อย่างไร จริงไหมถ้างั้นก็จัดไปอย่าให้เสีย 20 คะแนนสำหรับครีมอาบน้ำ และ อีก 10 คะแนนสำหรับ ครีมนวดผม และ แชมพู เท่านี้ชีวิตสุขสบายของหลานเสวี่ยก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว
“เกือบลืมซื้อยา อันนี้สำคัญมากนะ ถ้าเกิดป่วยอีกพวกหมอในวังไม่มีทางมารักษา หรือต่อให้ไปขอย่าพวกนั้นก็ไม่ให้แน่”
หลานเสวี่ยซื้อยาสามัญประจำบ้านมาสองสามอย่าง แต่ทว่าราคามันสูงมาก อย่างละ 20 คะแนน รู้สึกจนขึ้นมาเลย
สุดท้ายวันนี้ก็ให้คะแนนไป 221 เหลือ 35 คะแนน พอออกมาข้างนอกก็เอาผักกับเนื้อออกมา รวมถึงเครื่องปรุงต่าง ๆ หลานเสวี่ยจงใจเลือกของที่เป็นแบบย้อนยุคหน่อย ราวกับว่ามันเป็นของที่ทำจากที่นี่เลย
“พวกเจ้าสองคน เข้ามาได้แล้ว”
สองบ่าวรีบผลักประตูเข้ามาอย่างรีบร้อน ทั้งสองคนอ้าปากค้างมองหน้ากัน สลับกับมองดูข้างของที่แสนล้ำค่า ผักกาดขาวน่ากิน ไร้ร่องรอยของแมลง และเนื้อหมูแดงสดแบบนี้ แม้แต่ในวังยังหายาก
“คุณหนู ท่านเอาของพวกนี้มาได้อย่างไรเจ้าคะ” หยางหยางถามด้วยความสงสัย
หลานเสวี่ยยกยิ้มมุมปากเมื่อนึกถึงความลำบากของทั้งสอง การได้พบกับอาหารมากมายแบบนี้นับว่าเป็นเรื่องที่เกินฝันของบ่าวสองคนไปแล้ว “ของพวกนี้ข้าเอามาจากดินแดนของเซียน เป็นของวิเศษ ดีกว่าอาหารจากโลกมนุษย์มากนัก”
“คุณหนูของบ่าวเป็นเซียนหรือเจ้าคะ บ่าวดีใจเหลือเกิน” หยางหยาง มองหลานเสวี่ยด้วยสายตาชื่นชม
“ในที่สุดพวกเราจะได้กินเนื้อแล้วท่านพี่หยาง”
หลานเสวี่ยไม่รู้หรอกว่าเซียนคืออะไร ได้ยินแต่ในหนังก็เลยตามน้ำไป ยังไงก็ดีกว่าให้พวกเธอเข้าใจผิด
“แต่ว่า ทั้งสองคนต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับนะ อย่าให้คนอื่นรู้ ไม่เช่นนั้นตัวข้าจะเป็นอันตรายถึงชีวิต”
ถ้าคนอื่นรู้เดี๋ยวก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีต หรือพวกแม่มดเหมือนในหนัง แล้วถูกนำไปประหารต้องตายสถานเดียวสิ
“พวกเราจะทำอาหารให้คุณหนูเอง ท่านไปพักผ่อนเถิด ดูสิมือของท่านเย็นหมดแล้ว”
หยางหยาง รีบจับมือของหลานเสวี่ยมากุมไว้อย่างทะนุถนอม
“ไม่เป็นไร วันนี้ข้าจะทำอาหารให้พวกเจ้าทานเอง เอาล่ะไปเตรียมผักมาให้ข้าหน่อย”
“ไม่ได้นะ คุณหนูเป็นถึงพระชายา จะทำแบบนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ ให้บ่าวสองคนจัดการเถิด”
ทั้งสองคนคุกเข่าอยู่กับพื้นเย็น ๆ โดยไม่รู้สึกอะไร นางสองคนรับใช้คุณหนูมาตั้งแต่เด็ก ย่อมไม่อยากให้เจอความลำบาก ตอนนี้ก็เช่นกัน
“ลุกขึ้นมาเลย พวกเจ้าคงไม่รู้อะไร ตอนที่ข้ากำลังเดินไปเส้นทางแห่งยมโลก จู่ ๆ ก็มีท่านเซียนยื่นมือมาช่วยเหลือทำให้ข้าได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมาย แม้จะผ่านไปไม่ถึงชั่วยาม แต่เวลาในนั้นผ่านไปเป็นสิบปี” หลานเสวี่ยพูดพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง
“ตลอดเวลาที่ข้าฝึกฝนกับท่านเซียน ข้าได้เรียนรู้หลายอย่างมาก พวกเจ้าสองคนอย่าได้ห่วงไปเลย” เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องแต่งของจางเสี่ยวหลง
แต่มันได้ผล เพราะหลังจากที่หลานเสวี่ยฟื้นขึ้นมาจากความตาย นางก็กลายเป็นคนละคน หยางกับเหมยที่รับใช้มานานย่อมรู้ดี คุณหนูที่อยู่ตรงหน้าเปลี่ยนไป ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น สวยขึ้นเป็นกองอีกด้วย มาถึงตอนนี้ทั้งสองจึงเข้าใจ
“ในที่สุด สวรรค์ก็เมตตาคุณหนูของบ่าวแล้ว ดีจังเลย ต่อไปนี้คุณหนูต้องการสิ่งใดบอก บ่าวสองคนได้เลย”
“ใช่แล้วเจ้าคะ”
เมื่อจัดการให้พวกเขาเข้าใจอย่างดีแล้ว หลานเสวี่ยก็สั่งให้เหมยติดไฟให้ เพราะไม่ค่อยมีประสบการณ์ติดไฟด้วยมือมาก่อน แล้วให้หยางล้างผักให้สะอาด ส่วนเธอเป็นคนจัดการกับเนื้อ
หลานเสวี่ยพันแขนเสื้อขึ้น มือเรียวรวบผมยาวสลวยขึ้นไปม้วนอย่างสวยงามเผยให้เห็นลำคอเรียวระหงขาวเนียน ชุดผ้าไหมของนางไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเข้าครัวแบบนี้ แต่ระดับเชฟมือโปรแค่นี้จิ๊บจ้อย
“เอามันฝรั่งพวกนั้นไปล้างด้วยนะ แล้วเอาไปต้มอีกเตา จะได้สุกเร็วขึ้น”
“เจ้าคะ” สองบ่าวรับคำอย่างว่าง่าย แม้จะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่พวกนางคิว่าคงเป็นเหมือนมันทั่วไปไม่มากก็น้อย
พอติดไฟได้แล้วก็เอาหม้อไปตั้งไฟ ใส่มันหมูไปเจียวให้ให้มีน้ำมันค่อยใส่เนื้อหมูตามลงไป ผัดให้เข้ากันจากนั้นใส่เครื่องปรุงรสที่เตรียมไว้ ไม่นานก็มีกลิ่นหอมออกมา แม้เครื่องปรุงไม่ครบ แต่รสชาติออกมาดีมาก
อร่อยกว่าเนื้อหมูที่เธอเคยทานเมื่อตอนที่เป็นจางเสี่ยวหลงอีก ผักกาดขาวก็อร่อย ไม่คิดว่าของจากระบบจะดีอย่างที่เคยบอกไว้
“กลิ่นหอมน่าทานจังเลยเจ้าคะ"
“พี่หยาง ลองชิมได้ไหม”
เหมยหิวจนตาลาย พอได้กลิ่นหอมของอาหารยิ่งหิวมากกว่าเดิม
“ไม่ได้นะ นี้เป็นอาหารของคุณหนู ห้ามแตะต้องเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นข้าจะลงโทษเจ้า”
หยางเป็นคนควบคุมตัวเองตลอด นางเคร่งครัดในกฎระเบียบ ค่อยจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ในความทรงจำของหลานเสวี่ยนางเป็นบ่าวที่ชื่อตรงและภักดีที่สุด
”ไม่เป็นไรหรอก พี่หยาง พวกท่านชิมได้คนละสองคำ อาหารพวกนี้เป็นของพวกเราสามคน ใครบอกว่าเป็นของข้าคนเดียว” หลานเสวี่ยกอดอกพูด ด้วยริมฝีปากเล็กมันวาว เพราะชิมเนื้อหมูไปสองชิ้น
“อย่าเลยคุณหนู อาหารพวกนี้ล้ำค่ามากนัก พวกเราทานไปก็เสียของเปล่า ๆ พวกเราสองคนทานแค่อาหารจากห้องครัววังก็ได้เจ้าคะ”
“ใช่แล้ว บ่าวผิดเองที่ลืมคิดเรื่องนี้ ให้อภัยบ่าวด้วยเจ้าค่ะ”
หยางกับเหมย นางสองคนคุกเข่าอีกแล้ว ทำเอาหลานเสวี่ยที่มาจากอนาคตอันไกลไม่ชอบใจเท่าไหร่
“ต่อไปพวกเจ้าไม่ต้องคุกเข่าเวลาอยู่กับข้าสองคนอีกนะ อยู่ด้วยกันที่นี่ไม่ต้องมากพิธีหรอก อีกอย่างอาหารพวกนี้มีเยอะแยะไม่ต้องเป็นห่วง ข้าสัญญากับพวกเจ้าไว้แล้วว่า ต่อไปเราจะไม่กินอาหารสุนัขแบบนั้นอีก”
ใบหน้าสวยฉายแววเด็ดเดี่ยว ดวงตาของนางเปร่งประกายออร่าออกมา เมื่อนึกถึงอาหารพวกนั้นนางก็คับแค้นใจจริง ๆ
ทั้งสองคนซาบซึ้งตรึงใจมาก ๆ ทั้งสองปาดน้ำตาด้วยความปีติ ยิ่งดีใจมากกว่าเดิมที่คุณหนูเป็นห่วงพวกนางมากขนาดนี้
“ขอบคุณมากเจ้าคะที่คิดถึงพวกบ่าวสองคน เหมยเหมย เจ้าลองชิมดูสิ คุณหนูอนุญาตแล้ว”
“ขอบคุณเจ้าคะ”
หลานเสวี่ยมองพวกนางสองคนด้วยความเอ็นดู แม้อายุของเธอตอนนี้จะเป็นเด็กน้อยอายุสิบเจ็ด แต่เธอก็เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ไม่ต่างจากที่เธอจะเป็นพี่ของหยางและเหมย
“เอาละ มันฝรั่งสุขได้ทีแล้ว ข้าจะทำมันบดให้ทานเอง ถึงเครื่องปรุงจะไม่ครบ แต่อร่อยแน่นอน”
มือเรียวตัดมันฝรั่งออกมาจากหม้ออย่างคล่องแคล่ว เอาเปลือกออก แล้วบดให้ละเอียดใส่เกลือเล็กน้อยเพิ่มรสชาติได้ดีเท่านี้ก็เรียบร้อย
“ตั้งโต๊ะได้เลย”
ในที่สุดอาหารจานแลกหลังจากทะลุมิติมาก็สำเร็จ ทุกอย่างออกมาดีมากจริง ๆ ผัดหมูผักกาดขาว กับมันบดแสนอร่อย แม้จะเป็นแค่เมนูธรรมดา แต่รสชาติไม่ใช่อย่างที่ตาเห็นแน่นอน
“จะให้พวกเราทานร่วมโต๊ะกับคุณหนูจริงเหรอเจ้าคะ แบบนี้จะ ...”
“แบบนี้ดีแล้ว ตอนนี้ข้าหิวมาก ๆ เราทานกันเลยดีกว่า”
หลานเสวี่ยตักอาหารเข้าปากคำหนึ่ง ก็รู้สึกเหมือนมีพลังเต็มเปี่ยม อร่อยจนลืมอาหารของเชฟมิชลินห้าดาวไปเลย วัตถุดิบพวกนี้สามารถทำอาหารธรรมดาให้เป็นอาหารวิเศษได้จริง ๆ
“อร่อยมาก ๆ เลยเจ้าคะ บ่าวไม่เคยทานอะไรที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย”
“พี่หยาง หยิกข้าที ตอนนี้ข้าฝันไปอยู่ใช่ไหม”
หลานเสวี่ยหัวเราะออกมากับท่าทางของสองคน ดูแล้วพวกนางคงจะชอบอาหารที่ตนทำ แบบนี้ก็ดีแล้วนับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี
หลังจากทานอาหารเสร็จหลานเสวี่ยก็มาเดินสำรวจรอบ เพื่อย่อยอาหารพลางหาหนทางจะออกไปจากที่นี้ แต่เดินมาจนรอบตำหนักก็พบว่าถูกล้อมด้วยกำแพงทั้งสี่ด้าน ไม่สามารถปีนออกไปได้
จากนั้นก็มานั่งคิดหาวิธีอื่นจนหัวหมุนไปหมดก็ยังไม่เจอคำตอบอะไร
“คุณหนูท่สนคิดอะไรอยู่เจ้าคะ”
“พี่หยาง ท่านพอมีวิธีออกไปจากที่นี่หรือเปล่า”
หยางครุ่นคิดหนักเพราะเธอก็เป็นแค่บ่าวรับใช้ ความรู้ก็มีน้อยนิด
“ตอนนี้คุณหนูถูก กักบริเวณห้ามก้าวขาออกจากตำหนักเย็น บ่าวคิดว่าไม่มีทางอื่นนอกจากทำให้ฝ่าบาททรงอภัยโทษให้”
หลานเสวี่ยนอนฟุบลงเตียงอย่างหมดแรง การจะให้คนแบบเขาอภัยโทษให้ ยากเกินไป เขาไม่สังหารหลานเสวี่ยก็ดีแค่ไหนแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำแต่เพราะเขาขึ้นครองราชย์จึงอภัยโทษทั่วแผ่นดิน ทำให้เธอยังมีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้
“ถึงจะได้รับการ อภัยโทษแต่จะออกจากวังได้ต้องมีป้ายคำสั่งเจ้าคะ ไม่ก็ต้องมีทองเยอะ ๆ ไว้ติดสินบนทหารยาม”
ทองเหรอจะหามาจากไหนกันนะ เอาผักไปขายจะมีคนซื้อหรือเปล่า? หลานเสวี่ย ครุ่นคิดในใจ
“ถ้าข้าฝากของให้พวกเจ้าเอาไปขายจะได้หรือเปล่า แล้วที่นี่ของแบบไหนที่ราคาแพง และหายาก”
“ที่นี่เป็นวังหลัง ของที่มีราคาต้องเป็นของใช้สำหรับสตรีเจ้าคะ”
หลานเสวี่ยคิดอะไรดี ๆ ออกแล้ว สินค้าสำหรับผู้หญิงเธอถนัดมาก เพราะเป็นคนชอบซื้อของเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผู้หญิงชอบอะไรเธอรู้หมด จากนั้นก็แค่หาคะแนนไปแลกในร้านค้า แล้วเอามาขายในราคาแพง ๆ เหล่าคนมีเงินพวกนี้ไม่มีทางปฏิเสธแน่
“แต่การจะไปขายตรง ๆ ต้องถูกตัดหัวแน่นอน จะต้องขายอย่างลับ ๆ เท่านั้น”
ทว่าอุปสรรคก็มักจะขัดขวางตลอด เธอจะขายสินค้าให้พวกเขาได้อย่างไรดี
เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่นี่ก็หนาวเข้ากระดูก คงเป็นเพราะตำหนักเย็นแห่งนี้ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก มีแค่เสื้อผ้าเก่า ๆ ผ้าห่มผืนบาง ไม่มีเชื้อเพลิงมาทำให้ตำหนักอบอุ่น หลานเสวี่ยไม่ได้คาดหวังอะไร เพราะจากความทรงจำของเจ้าของร่างแล้ว นางต้องทนหนาวแบบนี้ทุกวันพี่หยางกับเหมยสองคน เก็บเศษหญ้าเศษไม้เอามาตุนไว้เพื่อจุดไฟในยามที่หนาวที่สุด อย่างน้อยก็ช่วยทำให้หลานเสวี่ยนอนหลับสักคืนในความทรงจำนั้น เหมือนทุกอย่างจะเป็นเพราะข้ารับใช้ที่ดูแลตำหนักเย็นแห่งนี้ ก็คือคนของพระสนมหลี่ผิน ที่จัดการเรื่องค่าใช้จ่าย เดิมที่ชีวิตไม่ควรลำบากเช่นนี้ แต่เป็นเพราะเมื่อก่อน หลานเสวี่ยเป็นสตรีอันดับหนึ่งในต้าเหยียนทำให้บุรุษผู้สูงศักดิ์ในวังต่างหลงใหลในความงามของนาง จะไม่มองเหล่าสตรีนางอื่น ชื่อเสียงของหลานเสวี่ยแห่งจวนเสนาบดี กึกก้องไปทั่วแผ่นดิน ทำให้สตรีสูงศักดิ์หลายคนต่างก็ชิงชังนางเข้ากระดูกในยามที่ถูกส่งตัวมาอยู่ตำหนักเย็นแห่งนี้ ถ้าไม่ใช่ว่าเป็นเพราะข่าวลือน่ากลว และคำสั่งเด็ดขาดของฮ่องเต้ที่ให้อภัยทั่วแผ่นดิน ป่านนี้ชีวิตของหลานเสวี่ยคงจบสิ้นไปนานแล้ว แม้แต่ฮ่องเต้หลงเยี่ยน ที่ชังนางเขากระดูก ยังไม่อ
เช้ามืดวันนี้ในยามที่ดวงอาทิตย์ยังไม่พ้นขอบฟ้า ก็มีขันทีวัยห้าสิบกว่าเดินเข้ามาในตำหนักอันกง ร่างอ้วนท้วนแต่งตัวเรียบร้อยใบหน้าเหี่ยวย่น ดูเป็นระเบียบในแบบขันที่ วันนี้เป็นวันที่ฮ่องเต้จะทรงประชุมเข้า (เช้าหลวง) เมื่อมาถึงห้องบรรทมขององค์ฮ่องเต้ เขาก็ก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพ“ฝ่าบาท ได้เวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ~” เสียงนอบน้อม“ข้าพร้อมแล้ว ว่าแต่วันนี้ยังเป็นเรื่องเดิมอีกหรือเปล่า ทำไมพวกขุนนางของข้า ถึงไร้ความสามารถเช่นนี้นะ” พูดพลางลุกขึ้นจากเตียงนอน“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” ขันที่ผู้ใหญ่ไม่มีอะไรจะแย้ง ก่อนจะยกชามาถวายให้“หลังจากจบประชุม ให้เรียกเจ้ากรมคลังมาหาข้าด้้วย มีเรื่องจะสั่งนิดหน่อย”“พ่ะย่ะค่ะ”หลงเยี่ยนยืนสงบอยู่ท่ามกลางตำหนักใหญ่ แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างไม้แกะสลักลงบนร่างสูงสง่า ดวงตาคมเข้มจ้องมองออกไปอย่างเยือกเย็น เต็มไปด้วยความสุขุมและอำนาจที่ยากจะปฏิเสธ อาภรณ์สีดำปักลายมังกรทองทิ้งตัวลงตามสรีระสูงเพรียวของพระองค์ ราวกับผืนผ้าที่ถักทอขึ้นมาเพื่อให้เข้ากับพระวรกายอย่างสมบูรณ์แบบพระพักตร์เรียบนิ่ง ใบหน้าคมสันโดดเด่น ลายเส้นชัดเจนจนน่าหลงใหล คิ้วหนาได้รูปขับให้
หลานเสวี่ยเข้ามาในมิติเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิต หลังจากเก็บเกี่ยวก็ได้รับคะแนน 80 บวกกับอันเดิม 71 รวมเป็น 151 คราวนี้ หลานเสวี่ยปลูกมันฝรั่งสองชุด เพราะยามนี้ เจอปัญหาภัยแล้ง คิดว่ามันฝรั่งน่าจะเป็นอาหารที่ดีที่สุดตอนนี้ใน หลังจากเพาะปลูกมาเกือบสามวันนางก็มีมันฝรั่ง 220 กิโลกรัม ผักกาดขาว 200 กิโลกรัม กะหล่ำปลี 180 กิโลกรัม และ พริก 90 กิโลกรัม ต้นหอมก็มี 140 กิโลกรัมพืชที่ปลูกในมิติเติบโตได้อย่างดี ทำให้ผลผลิตได้เยอะ ยังดีที่มีถุงมิติเก็บของทำให้เก็บได้อย่างสะดวกสบาย แต่วันนี้หลานเสวี่ยมาเพื่อทดลองระบบลดเวลาการเพาะปลูก ที่จะต้องใช้ 7 คะแนน เพื่อลดเวลาเพาะปลูกเหลือ 2-3 ชั่วโมง จาก 6-8 ชั่วโมง“ระบบใช้ 7 คะแนนเพื่อลดเวลาเพาะปลูก” (ยินดีด้วยท่านได้ใช่การลดเวลาเพาะปลูกเป็นครั้งแรก ได้รับ 100 คะแนนสำหรับครั้งแรก)คะแนนคงเหลือ 220 ทำให้นางอุ่นใจได้บ้าง ถ้าหากจดหมายถูกขัดขวาง หรือฮ่องเต้ใจดำอำมหิตเกินมนุษย์ นางก็พอมีหนทางรอดได้บ้าง หลานเสวี่ยสำรวจเมนูร้านค้ามากมายเพื่อรอให้ผลผลิตเติบโต นางจึงตัดสินขายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่ม 5 ตารางเมตร รวมแล้วก็ได้ 15 ตารางเมตร“ระบบใช้ 150 คะแนนขยายพื้นที่” (ย
ทหารยามสองคนเดินมาหานางด้วยท่าทางนิ่งสงบ ในมือของพวกเขาถือดาบยาว สวมเกราะทอง คงเป็นองครักษ์หลวง แต่ที่แปลกไปคือ พวกเขาไม่รีบร้อนเหมือนครั้งแรกที่พบกับหลานเสวี่ยก้มหน้ามองพื้น เตรียมตัวเข้าไปในมิติถ้าหากเหตุการณ์ไม่สามารถควบคุมได้ อย่างน้อยให้พวกเขาเข้าใจไปว่าเธอเป็นวิญญาณก็ยังดี“นางกำนัลตำหนักไทเฮา มาที่นี่มีเรื่องอันใดหรือ”“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องกราบทูลหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท จึงมาที่นี่” หลานเสวี่ยเล่นไปตามน้ำ เพราะไม่คิดว่าชุดข้ารับใช้ที่นางแลกมา 5 คะแนนจะช่วยนางได้อย่างดี เมื่อมองหน้าทหารยามสองคนทั้งสองน่าจะเชื่อด้วยแต่สายตา และ ท่าทางของสองทหารหนุ่มลายเป็นความประหม่าทันทีเมื่ออยู่ต่อหน้า สตรีที่งดงามเช่นนี้ พวกเขาทำตัวไม่ถูกแม่แต่ตอนพูดยังติดขัด พวกเขาไม่เคยเห็นสตรีนางใดจะงดงามเหมือนตอนนี้“เช่นนั้น ก็ตามข้ามาเถอะ”“เจ้าค่ะ”หลานเสวี่ยเดินตามเข้ามาในตำหนักอันกง เพราะทหารยามบอกว่าฝ่าบาทเสด็จไปตำหนักอันกงแล้ว เดินมาสักพักก็มาถึงตำหนักอันกง นางจึงกล่าวขอบคุณแล้วเดินเข้าไป เมื่อทหารยามประตูเห็นว่านางสวมชุดตำหนักของไทเฮา พวกเขาก็ยังต้องตรวจตราสัญลักษณ์ด้วยหลานเสวี่ยมีจี้หยกที่ระบบให้ม
เมื่อเช้ามืดระบบก็อัพเกรดสำเร็จ หลานเสวี่ยจึงเข้าไปสำรวจดูว่า 500 คะแนนที่เสียไปได้อะไรมาบ้าง นอกเหนือจากที่ระบบเคยบอกไว้ก็มีพื้นที่สำหรับเพาะปลูกเพิ่มขึ้นห้าตารางเมตร และเพิ่มแถบเมนูมาใหม่ นี่คือความสามารถพิเศษ เช่นทำให้ฝนตก พายุถล่ม แผ่นดินไหว พยากรณ์อากาศ .... บางอันก็มีประโยชน์อยู่บ้างเช่นพยากรณ์อากาศ หลานเสวี่ยเคยใช้เมื่อครั้งก่อน เป็นคำแนะนำจากระบบที่ช่วยให้นางแก้ไขปัญหาได้ ตอนนี้นางมี 500 คะแนน +1000 สำหรับการอัพเกรดระบบ นับว่าได้มากกว่าเสีย 1500 คะแนน นางเลือกซื้อของในร้านเช่นครีมอาบน้ำ และทำให้กลายเป็นของใช้ในยุคนี้ด้วยระบบเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ ใช้ไป 1 คะแนน แม้จะเสียดายคะแนนแต่นี้ก็เป็นการลงทุน อีกอย่างนางจะได้รับเงินทองมากมายในครั้งนี้ เมื่อนึกถึงสินค้าของตัวเองมีชื่อเสียงในวังหลังนางก็ยิ้มอย่างพอใจ คราวนี้แหละต้องเป็นมหาเศรษฐีในยุคนี้ให้ได้ตำหนักสนมหานผินหานหลงยิ้มอย่างพอใจเมื่อเดินเข้าในงานเลี้ยงน้ำชาของเหล่านางสนม ทันทีที่นางเดินผ่าน พวกนางสนมรุ่นเดียวกันที่เคยแย่งชิงความดีความชอบด้วยกันต่างสูดดมกลิ่นหอมจากตัวนางที่แผ่ออกไป นางสนมพวกนี้คงไม่เคยรู้จักกลิ่นหอมเช่นนี้สินะ พ
หลานเสวี่ยงัวเงียลุกขึ้นจากเตียงนอน ทั้งที่กำลังฝันหวานถึงพระเอกในดวงใจของตน แต่ต้องมาตื่นเพราะเสียงระบบที่ดังจนนึกว่ามีสงครามโลกครั้งที่สามเกิดขึ้นแล้วในมิติ นางจึงออกมาจากกระท่อมหลังเล็ก ก่อนจะตรวจดูมันฝรั่งใบเขียวสวยของตนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อได้ฟังจากปากของเหมย และหยาง นางก็อดสงสารไม่ได้ ผู้คนในยามนี้อดอยากปากแห้ง บางคนมีเงินทองแต่จะซื้ออะไรได้ ต้องอดมื้อกินมื้อ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าคนยากไร้ที่รอความช่วยเหลือจากฮ่องเต้ ถ้าเป็นในยุคปัจจุบันพวกเขาคงกลายเป็นข่าวใหญ่ไปแล้ว ทำให้ทางการต้องรีบช่วยเหลือ แต่ในยุคนี้ปากเสียงถูกปิด พูดอะไรไม่ได้มาก หลานเสวี่ยพอรู้ว่าในยุคนี้ขุนนางเลวมีเยอะอย่างกับดอกเห็ด บางทีทางการอาจจะช่วยเหลือแต่ถูกพวกนั้นเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ส่วนที่เหลือก็ไม่พอความต้องการแม้ในตอนนี้มันฝรั่งที่ปลูกได้จะเยอะขึ้นแล้ว ก็ยังไม่เพียงพอถ้าเป็นเช่นนั้น อีกอย่างเพิ่มพื้นที่การผลิตสูงสุดแล้ว จนคะแนนไม่พอ เพราะราคาจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ได้มา สี่สิบตารางเมตร คะแนนคงเหลือ 100 จะทำอะไรคงต้องระวังตัวมากกว่าเดิม แต่ปัญหาหลักอีกอย่างคือถุงมิติที่ใกล้จะเต็มแล้วตอนนี้นางออกจากมิต
กลายเป็นว่า เพราะนางตื่นสายทำให้ทำงานเสร็จช้า ฝ่าบาทจึงหารือกับขุนนางช้า พอไทเฮามาถึงจึงไม่สามารถเข้าพบได้ หลานเสวี่ยรู้สึกผิดอยู่บ้างแต่ ต้นเหตุคือหลี่ผิน ที่วางอำนาจบาตรใหญ่ เพราะมีไทเฮาถือท้ายให้จึงไม่กลัวใครจะว่าไปนั่นก็เป็นแม่สามีของหลานเสวี่ยเหมือนกันถ้าหากลูกชายของนางไม่เป็นคนใจดำอำมหิตเช่นนั้นนะ ยืนเหม่ออยู่ตั้งนานนางก็ถูกหัวหน้านางกำนัลเรียกตัวให้ไปทำงาน แต่ก่อนจะไปนางได้มอบขวดน้ำจากมิติขวดเล็กให้กับหัวหน้า“ใช้ทาที่ใบหนาของท่าน มันจะหายในไม่ช้า ไม่ต้องกลัวหรอกมันไม่อันตรายอย่างที่คิด” “ข้าจะรับไว้ เจ้ารีบไปเถอะ อย่าสร้างเรื่องอะไรอีกล่ะ”“เจ้าคะ” เมื่อนางรับไว้เท่านี้ก็พอแล้ว หลานเสวี่ยเข้ามารับใช้ที่ห้องหนังสือเช่นเดิม พอเข้ามาก็เห็นฝ่าบาทนั่งอ่านฎีกาด้วยท่าทางสง่า พอมองดูดี ๆ ในหนังที่นางเคยดูกับตอนนี้ดูแตกต่างมาก ฮ่องเต้ในตอนนี้ดูน่าเกรงขามราวกับมีพลังวิเศษบางอย่าง หรือเป็นเพราะที่แห่งนี้เป็นโลกเวทมนตร์กันนะ นางเอกก็ไม่เข้าใจ แต่ชายผู้นี้ไม่ใช่คนปกติทั่วไป หรือเขาเป็นเทพเซียน อย่างตำนานของฮ่องเต้ที่บอกว่า เป็นสายเลือดของเทพ หลานเสวี่ยคิดไปเรื่อยเปื่อย“ยืนเหม่ออันใดอย
หลานเสวี่ยเดินออกมาจากสวนด้วยความโมโห คุณหนูจางเสี่ยวหลงในชาติก่อน มีชีวิตสุขสบาย ใครจะกล้ารังแกเธอ ดูตอนนี้เป็นแค่พระชายาที่ผัวไม่รัก แถมยังถูกเมียน้อยรังแกอีก จะสงสารหลานเสวี่ย หรือสงสารตัวเองดีนะ“มาแล้วหรือ นางกำนัลจาง เข้าไปเถอะฝ่าบาทกับเหล่าขุนนางรอเจ้าอยู่ข้างใน” “รอข้าหรือ ไม่ใช่ว่ามีแต่ฝ่าบาทหรอกหรือ” “ฝ่าบาททรงอยากให้ขุนนางรู้ข้อมูล จะได้จัดเตรียมความพร้อมให้เหมาะสม ท่านก็รีบไปเถอะ” “เจ้าคะ ฉ่างกงกง”นางรีบเดินเข้ามาในห้องหนังสือ ก็พบขุนนางสองคนนั่งรอตรงที่นั่งต่ำกว่าฮ่องเต้ ในความทรงจำของหลานเสวี่ย ทำให้รู้ว่าสองท่านนี้คือ เจ้ากรมพระคลัง กับเจ้ากรมโยธา ที่รับหน้าที่สำคัญในการรับมือกับภัยแล้งพอหลานเสวี่ยมาถึงทั้งสองคนก็มองไม่ละสายตา สีหน้าบ่งบอกถึงความสงสัย และไม่มั่นใจว่าแค่นางกำนัลตัวเล็ก ไปจะสามารถทำเรื่องใหญ่โตเข่นนี้ได้สำเร็จ แม้แต่ผู้มีความรู้อันดับหนึ่ง และผู้มีชื่อเสียงยังใช้เวลาเป็นร้อยปีกว่าจะติดต่อหาคนจากแดนเซียน เพื่อมาสั่งสอนคนในราชวงศ์ แค่ปีละครั้งเท่านั้นเองแต่นี้นางถึงกับติดต่อซื้อขายโดยตรง ทำให้ชายชราสองคนไม่เชื่อ และรวมถึงฮ่องเต้ก็เช่นกัน เขาไม่เชื่อเลย
หลังจากเดินทางมายาวนานก็มาถึงเมืองหลวง หลานเสวี่ยที่ไม่มีอะไรทำมาหลายวันก็ตรงไปที่หอการค้าร้านสะดวกซื้อทันที ทว่าเมื่อนางมาถึงก็ทำให้ผู้คนตามสองข้างทางมองตามไม่กะพริบตา สตรีที่งดงามเช่นนี้มีในเมืองหลวงด้วยหรือ ทุกสายตาต่างสงสัยผู้คนรายล้อมมองดู ต่างก็ไม่รู้ว่านางเป็นคนตระกูลไหน การมาถึงของหลานเสวี่ยทำให้พ่อสื่อแม่สื่อมีงานล้นมือเป็นแน่ เพราะเหล่าชายโสดต่างติดต่อถามไถ่ถึงนางกันทั่วหน้า หลานเสวี่ยเดินไปไม่สนสายตาของผู้คน เหล่าชายหนุ่มตระกูลสูงศักดิ์หรือสามัญชนคนธรรมดาก็ไม่อยู่ในสายตา เพียงแค่นางก้าวเดินคนก็พร้อมจะเปิดทางให้อย่างเต็มใจ จนมาถึงหอการค้าของตน คนคุ้มกันก็ยืนทำหน้าที่อย่างทุกวันแต่วันนี้คนคุ้มกันตกตะลึงจนหันไปมองตาม แค่นางเข้ามาในร้านยิ่งดูโดดเด่น เสี่ยวเอ้อร์ในร้านต่างก็มาให้การบริหารอย่างเต็มใจ ใบหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาถามกันไปมาว่าแม่นางผู้นี้เป็นคุณหนูบ้านไหนกัน เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนเลย“แม่นางต้องการสิ่งใดบอกข้าน้อยได้เลยขอรับ” หลานเสวี่ยยิ้มอย่างเบาบางแต่ไม่ตอบอะไร เพราะเป็นหน้าที่ของหยางในการเปิดเผยเรื่องนี้ “ทุกคนมารวมตัวกันตรงนี้ ข้ามีเรื่องจะแจ้ง” หยางได้ส่งจดหมายใ
ในสายตาของผู้ฝึกเซียนขั้นสี่ พวกนางจะทำอะไรได้ ส่วนคนคุ้มกันก็แค่พอถ่วงเวลา งานนี้ไม่ยากเย็นนัก มือสังหารเดินเข้ามาตรง ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้คุ้มกันไม่รอช้ารีบตรงเข้าไปขวาง แต่หลานเสวี่ยห้ามเอาไว้ก่อน“ก็แค่มดปลวก ข้าจัดการเอง พวกเจ้าถอยไปก่อน” นางพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ และหนักแน่น แววตาคู่สวยแสดงออกถึงความจริงจัง ทำให้หยางกับเหมยถอยออกมา รวมถึงผู้คุ้มกันที่กำลังตัวสั่นเพราะความกลัว “ถ้าเช่นนั้นก็ฝากแม่นางด้วย” เขาโค้งศีรษะอย่างนอบน้อม แม้จะมองไม่ออกว่าหลานเสวี่ยจะใช้อะไรเอาชนะผู้ฝึกเซียนระดับนี้ แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ เขาจึงเลือกที่จะเชื่อนาง และขอให้นางสามารถจัดการได้ เขายังไม่อยากทิ้งครอบครัวให้ลำบาก“แค่มดปลวกหรือ ปากดีเสียจริงนะ คำพูดนี้เป็นข้าทีต้องพูดออกมา ลนหาที่ตายนัก ได้...ข้าจะส่งเสริมเจ้าให้ตายเร็วขึ้นเอง” “อย่าเอาแต่พูดเลย อยากเข้ามาก็มาได้ตลอด ข้ารอเจ้าอยู่ เจ้ามาสิ” หลานเสวี่ยยืนกอดอกมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น ทำเอาผู้ฝึกเซียนถึงกับเหงื่อซึม เมื่อสัมผัสพลังบางอย่างจากตัวนาง เขาไม่มั่นใจนักว่ามันคือสิ่งใด แต่สัญชาตญาณของเขาบอกให้ถอย เมื่อยั
ตลอดหลายวันที่ผ่านมานางต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพราะเรื่องต่าง ๆ มากมายให้จัดการ เร่งด่วนจนไม่มีเวลาพัก หลายวันนี้แม้แต่ระบบยังห้ามไม่ให้นางใช้น้ำวิเศษเพราะจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าดี เหตุก็เพราะว่านางดื่มน้ำเกือบห้าสิบครั้ง แต่ละครั้งคือร่างกายนางเหนื่อยล้าเต็มที่ โดยเฉพาะยามกลางคืน ที่หลานเสวี่ยจะยังอยู่หอการค้า เพราะรออนุมัติ ไม่ก็รอตอบจดหมายเร่งด่วน ขอความเห็นจากสาขาอื่นที่ส่งออกไป เป็นเรื่องที่แม้ว่าคนอื่นจะรอได้ แต่นางไม่สามารถรอได้ร่างเพรียวบางนอนราบบนเตียงนุ่ม อ่อนล้าไปทั้งตัว ขอบตามีรอยดำคล้ำเล็กน้อย กับความรู้สึกปวดร้าวทั้งร่างกาย ใบหน้าของนางซีดเชียว และซูบผอมลง เพราะไม่ได้หลับเต็มอิ่มมาเกือบอาทิตย์ “ลูกแม่ ทำไมถึงทำงานหนักเช่นนี้ เงินทองใช่ว่าจะสำคัญทุกอย่าง ตอนนี้เราไม่ได้ขาดเงิน เจ้าจะรีบร้อนทำไมหรือ” ผู้เป็นแม่เข้ามาบีบนวดให้นางทุกวัน ทำให้หลานเสวี่ยรู้สึกดีขึ้นมาก ๆ ฝีมือของท่านแม่ดีจริง ๆ ช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วกว่าเดิม นางได้แต่ยิ้มให้หลานฮูหยิน“ลูกไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ผอมลงนิดเดียว อีกอย่างไม่ได้แต่งงานกับบุตรชายเสนาบดี เท่านี้ก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ” นางพูดด้วยความร่าเริง เม
หลานเสวี่ยกำลังยุ่งอยู่กับระบบ เพราะตั้งแต่ที่เปิดร้าน ทำให้คะแนนเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน คะแนนรวมของนางคือหก แสนคะแนนจากระบบ และ แสนห้าหมื่นคะแนนความดีที่เพิ่มขึ้น เมื่อก่อนนางมีคะแนนจากระบบเจ็ดแสน แต่เพราะอัปเดตระบบเป็นเวอร์ชันสุดท้าย ใช้ไป 1 แสนคะแนน ทำเอาหลานเสวี่ยแอบสงสัยว่าทำไมถึงใช้เยอะแบบนี้ แต่นางก็ยอมเพราะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะอัปเดต“ระบบ ทำไมถึงใช้คะแนนเยอะมากกว่าทุกครั้งละ หรือว่ามีของรางวัลดี ๆ”(เป็นเพราะว่านี้คือระบบเวอร์ชันสุดท้าย ที่สำคัญจำเป็นต่อผู้ใช้เช่นกัน....)“เดี๋ยวก่อน ทำไมเงียบไปละ” ระบบไร้เสียงตอบ ทำเอาหลานเสวี่ยตกใจไม่น้อย แต่ก็จัดการ ส่งคำสั่งเพาะปลูกได้เป็นปกติ ถึงมิติก็ยังใช้ได้ จึงคิดว่าระบบคงขัดข้องชั่วคราว แต่นางแอบสังเกตนิดหน่อยเพราะช่วงนี้ระบบแปลกไปจากเดิมมาก อย่างเช่น น้ำในลำธารของระบบลดลงจนสังเกตได้ และแสงสว่างในนี้ก็ลดลงเช่นกัน อยากจะถามระบบแต่ก็มาหายตัวไป สงสัยคงกำลังอัพเดทชุดใหญ่ นางจึงไม่สนใจระบบ แล้วไปทำอย่างอื่นต่อ แต่ละวันนางจะใช้คะแนนแลกของขายดี อย่างเช่นเครองสำอาง ที่สตรีร่ำรวย และขุนนางใช้กัน นี้เป็นรายรับสามส่วนของนางก็ว่าได้ ช่วยให้จัดกา
หลานเสวี่ยกลับมาที่จวนในตอนสาย พอมาถึงสายตาของบิดามารดาก็มองนางด้วยความสงสัย บุตรสาวของตนไปค้างที่ใดมา แม้จะมีคำถามมากมายอยู่ในอกของทั้วสอง แต่พักนี้รู้สึกว่านางดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แถมยังเฉลียวฉลาดมากกว่าเดิม ท่าทางก็เปลี่ยนไป ทำให้ทั้งสองไม่กล้าที่จะถามตรง ๆ หลานฮูหยินรีบออกมารับบุตรสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ส่วนใต้เท้าหลานเดินตามหลังมาด้วย“กลับมาแล้วหรือ หิวไหมแม่จะไปทำกับข้าวให้เจ้า” “ลูกินอิ่มแล้วเจ้าค่ะ ตอนขากลับแวะซื้อของอร่อยตามทางมาด้วย นี้เจ้าต่ะ” หลานเสวี่ยยกสิ่งของรุงรังในมือขึ้นมา รวมถึงบ่าวทั้งสองคนก็แทบจะแขนลาก เพราะเป็นคนถือของให้นาง ดีที่แข็งแรงหน่อย“ทำไม่ซื้อมามากมายเช่นนี้ จะกินหมดหรือ ดูสิผิวพรรณ.. เนียนสวยเสียจริง ดูแล้วลูกแม่สวยขึ้นเป็นกองเชียวนะ” มารดาของนางเมื่อสำรวจดี ๆ จึงรู้ว่านางดูเปร่งประกายราวกับถูกเคลือบด้วยออร่า แม้เมื่อก่อนนางจะงดงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่วันนี้ยิ่งแตกต่าง ผิวพรรณผุดผ่อง สัมผัสนุ่มนวล ไหนจะกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่โดดเด่น ทำให้หญิงวัยย่างเข้าสี่สิบสนอกสนใจกว่าเดิม ดวงตาคู่นั้นก็มองด้วยความสงสัย เพราะมีเรื่องแปลกประหลาดมากมายอย่างเช่น เมื่อวานท
หลานเสวี่ยถูกอุ้มเข้าไปในห้องนอน มือเรียวยังคงปิดหูตัวเองเอาไว้แน่น เพราะกลัวเสียงฟ้าร้อง ทันทีที่เข้ามาข้างในเสียงต่าง ๆ ก็เงียบไปอย่างมหัศจรรย์ หญิงสาวลืมตาขึ้นด้วยความประหลาดใจ และพบว่าตนเองอยู่ในอ้อมแขนของเขา ใบหน้าของหลานเสวี่ยแดงระเรื่อ เธอหลุบตาลงต่ำด้วยความเขินอายเมื่อสบสายตาคมคายที่มองตรงมา ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองถูกอุ้มเข้ามาในห้องเสียแล้ว“เจ้าไม่ต้องกลัวหรอก ที่นี่ไม่มีเสียงฟ้าร้องเหมือนด้านนอก เพราะข้าใช้สมบัติวิเศษป้องกันเอาไว้” น้ำเสียงทุ้ม พูดพลางวางเธอลงบนเตียงนุ่ม ๆ พร้อมกับห่มผ้าให้ และลงไปนอนรวบตัวนางเอาไว้แน่น“เจ้าค่ะ...แต่” หลานเสวี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ท่านแม่ทัพจะกอดข้าน้อยแบบนี้ทั้งคืนหรือ ชายหญิง...”ปากน้อย ๆ ของนางกำลังจะพูดเรื่องยาว แต่ถูกมือใหญ่ปิดเอาไว้อย่างรู้ทัน เขาไม่ปล่อยโอกาสอันดีให้เสียเปล่า เป็นวัวเป็นม้าให้นางแล้ว ต้องได้รางวัลเสียหน่อยถึงจะถูก“สามีภรรยาอยู่ด้วยกันจะเป็นไรไป หากเจ้ายังดื้อดึงอีก ข้าจะไม่หักห้ามใจแล้วนะ” พูดเสียงสั่นเครือ เพราะกำลังหักห้ามใจตัวเองหลานเสวี่ยรู้สึกถึงหัวใจของตนเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก จึงก้มหน้ามองแผ่นอกกว
รอจดหมายจากพระองค์เกือบสองถ้วยชา แต่นางยังไม่เห็นจะมีวี่แววจะออกมาเลย เขียนร้อยฉบับหรืออย่างไรกันแน่ ร่างเล็กเดินไปมาอยู่ในห้องรับรอง ก่อนจะเดินออกมามองดูนอกหน้าต่าง ตอนนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มคล้ายฝนจะตก นางยิ่งร้อนใจ ขาเรียวไม่รอช้าอีกต่อไป เดินออกจากห้องรับรองไปที่ห้องทำงานของท่านแม่ทัพโดยตรง ก่อนจะเห็นท่านแม่ทัพเดินมาจากข้างนอก ทำเอานางรู้สึกงุนงงอย่างมาก “ท่านแม่ทัพเจ้าคะ! ท่านคงไม่ลืมจดหมายของข้าหรอกนะ” น้ำเสียงเรียบนิ่งแฝงไปด้วยความไม่พอใจ แม่นางจะพยายามเก็บความรู้สึกหงุดหงิดเอาไว้“ข้าจะลืมได้อย่างไร เมื่อครู่ข้ามีธุระด่วนไม่คิดว่าเจ้าจะรีบร้อนอย่างนี้” ยืนตัวตรง มองนางด้วยสายตามีเลศนัย“หาใช่แบบนั้นเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะกล้าเร่งรัดท่านแม่ทัพได้อย่างไร” “เช่นนั้นก็มาฝนหมึกให้ขาเถิด” หลงเยี่ยนเดินนำไปก่อน ทิ้งให้หลานเสวี่ยมองตามแผ่นหลังกว้างด้วยความไม่พอใจเล็ก ๆหลานเสวี่ยเดินตามไปพร้อมกับบ่นพึมพำในใจ ทำไมแค่จดหมายฉบับเดียวต้องดึงเวลาให้ยุ่งยากแบบนี้ด้วยนะ แต่นางจะทำอันใดได้ ยามนี้ได้แต่ก้มหน้าก้มตาฝนหมึกให้ได้เยอะ พระองค์จะได้เร่งเขียนให้เสร็จ ทว่าไม่นานเสียง “กร๊อก" ดังขึ้นใบหน้าสวย
ทหารหนุ่มวิ่งหน้าตั้งออกมาจากกำแพงใหญ่ แล้วสั่งให้รถม้าของหลานเสวี่ยเข้าไปได้ ทำเอาเหล่าคุณหนูที่มารอตั้งนานแทบจะตาลุกเป็นไฟด้วยความริษยา แม้จะรู้ว่านางถูกปลดแล้ว แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงของฝ่าบาทย่อมสูงส่งกว่าสตรีทั่วไป “พวกเจ้าก็รอต่อไปเถิด เห็นทีคงต้องรอจนหัวหงอกกระมัง” หลานเสวี่ยพูดทิ้งท้ายก่อนจะให้คนขับรถม้าขับออกไป ทำเอาบ่าวสองคนยิ้มอย่างสะใจที่ได้เอาคืนพวกนั้นเมื่อมาถึงขาวในจวนนางเดินตามทหารยามเข้าไปในจวน ที่นี่ไม่ได้หรูหราเหมือนจวนแม่ทัพที่เมืองหลวง เพราะเป็นที่พักชั่วคราวใช้ยามจำเป็น แต่ก็เรียบง่ายดี สีสันไม่โดดเด่น ส่วนมากจะเป็นข้าวของที่ทำจากไม้ สวยอยู่ไม่น้อย“รอก่อนนะขอรับข้าน้อยจะไปแจ้งท่านแม่ทัพให้” ทหารหนุ่มสีหน้าซีดเซียว แม้จะรู้ว่าตราไว้ชีวิตมีไว้ทำอันใด แต่เขาเกรงว่าครั้งนี้จะตัดสินใจพลาดจนถูกแม่ทัพลงโทษ หรือถ้าหากเกิดเขาปล่อยแขกของท่านแม่ทัพไป เกรงว่าจะยิ่งถูกลงโทษหนัก สถานการณ์เช่นนี้เลือกทางไหนก็ไม่รอด นอกจากท่านแม่ทัพจะให้ความสำคัญกับแขกคนนี้ทหารหนุ่มยืนอยู่ต่อหน้าประตูห้องทำงานส่วนตัว เมื่อเช้าเขาได้รับคำสั่งว่าไม่ให้ผู้ใดมารบกวน แต่ตอนนี้เขาลังเลว่าจะรอดต
มือเรียวยกกาน้ำชาขึ้นมารินให้บิดาอย่างเรียบร้อย จึงเลื่อนไปรินให้มารดาที่นั่งยิ้มให้กับนาง ทั้งสองคนดีใจจนยิ้มไม่หุบ ที่บุตรีสุดที่รักกลับมาให้เอ็นดูอีกครั้ง นับตั้งแต่พี่สาวของนางออกเรือน จวนตระกูลหลานก็เงียบเกินไป จะดีแค่ไหนหากพวกนางสองคนมีหลานให้พวกเขาทั้งสอง แม้ว่าหลานเสวี่ยจะไม่มีโอกาสแล้วก็ตาม เรื่องนี้ทั้งสองรู้ดี แต่พี่สาวนางกำลังจะได้รับข่าวดี จวนจะได้ครึกครื้นไม่เงียบเหงาอีก “กลับมาไม่นาน ลูกปรับตัวได้หรือยัง ที่นี่ค่อนข้างห่างไกลเมืองหลวงไม่ค่อยมีอันใดให้เพลินตานัก” มารดาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม“ลูกปรับตัวได้เจ้าค่ะ อีกอย่างที่เมืองหลวงไม่ค่อยมีอันใดให้ลูกดูมากนัก ที่นี่น่าดูมากกว่า” “ถ้าเช่นนั้นพ่อจะสั่งคนทำห้องให้เจ้าใหม่ จะได้อยู่สบายขึ้น รออีกสักสามเดือนพี่สาวเจ้าก็จะมาเยี่ยมแล้ว ตอนนี้ลูกคงไม่รู้ว่าพี่สาวของเจ้าตั้งครรภ์แล้วนะ” ใต้เท้าหลานพูดด้วยน้ำเสียงปีติ แสดงออกมาชัดเจน“จริงหรือ เป็นเรื่องดีแท้ ๆ ท่านทั้งสองจะได้ไม่เหงามาก ลูกเองก็จะมาเยี่ยมบ่อย ๆ เจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นสองสามีภรรยาก็มองหน้ากันอย่างสงสัย ทั้งที่คิดไว้ว่านางจะมาอยู่ด้วยกันที่นี่“ลูกไม่มาอยู่ที่