จางเสี่ยวหลงได้ยินเสียงระบบก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย อย่างไรเสียเธอก็ไม่ได้ถูกทิ้งตามลำพัง แล้วระบบนี้จะช่วยให้เธอกลับบ้านได้หรือเปล่านะ
(ระบบไม่สามารถทำได้ค่ะ แต่สามารถช่วยเหลือ และ มอบหมายภารกิจให้ได้ ถ้าทำสำเร็จจะได้รับคะแนนเพื่อแลกเปลี่ยนของใช้ที่จำเป็นได้)
ไม่คิดว่าระบบจะใช้วิธีสื่อสารแบบนี้ เธอเคยเห็นแค่ในซีรีส์ ที่จะมีระบบแนวนี้มาช่วยเหลือ ถ้าอย่างนั้นเธอจะใช้งานระบบนี้ได้อย่างไร
(ผู้ใช้สามารถเข้ามาในระบบได้อย่างอิสระ เพียงแค่พูดว่าเข้าสู่ระบบ ร่างกายของผู้ใช้จะเข้ามาในมิติของระบบโดยอัตโนมัติ แต่ไม่สามารถนำสิ่งมีชีวิตเข้ามาได้)
แบบนี้เองเหรอ จางเสี่ยวหลงรู้สึกทึ่งกับระบบนี้มาก เธออยากลองเข้าไปดู แต่ไม่อยากให้บ่าวรับใช้สองคนของตนต้องตื่นตระหนก ถ้าเห็นว่าเธอหายวับไปกับตาจะเป็นยังไงนะ
“พวกเธอ.. เออไม่สิ พวกเจ้าสองคนไปพักเถอะ ข้าอยากพักผ่อนเช่นกัน” จางเสี่ยวหลงพูดกับสองคน นางอยู่ในร่างของหลานเสวี่ย และจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับร่างนี้ นางจึงจะต้องกลมกลืนกับสถานที่แห่งนี้เสียก่อน
“ท่านหายดีจริง ๆ ใช่ไหมเจ้าคะ” หยางหยาง พูดด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“ถ้าท่านยังไม่หาย ข้าจะไปตามหมอมาให้นะ” เหมยเหมย พร้อมที่จะลุกไปทันที
แม้ว่าเธอจะรู้ตัวดีว่าไม่มีใครยอมช่วยเหลือ และเท่าที่สองบ่าวรับใช้เล่าให้ฟัง จางเสี่ยวหลงก็พอเข้าใจสถานการณ์อย่างดี พวกเธอสามคนพูดได้เต็มปากว่า จะอยู่ก็ได้จะตายก็ไม่มีใครว่า ใครจะยื่นมือเข้าไปช่วยพวกเธอ
“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว พวกเจ้าไปพักเถอะเหนื่อยมาหลายวันแล้วเดี๋ยวจะล้มป่วยเอาได้” หลานเสวี่ยยิ้มอ่อนให้สองคน ทำให้ทั้งสองรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา ถึงจะรู้สึกว่าคุณหนูของตนเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม
“พวกเราสองคนไปพักก่อนนะเจ้าคะ หากคุณหนูต้องการอะไรเรียกพวกเราได้เลย”
“เข้าใจแล้ว ไปพักเถอะ”
สองคนก้มคำนับก่อนจะเดินออกไปจากห้อง พอเห็นแบบนี้จางเสี่ยวหลงก็รู้สึกได้ถึงความห่วงใย ของทั้งสองคน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าต้องเข้าไปสำรวจระบบ เข้าสู่ระบบ
(ยินดีต้อนรับผู้ใช้ นี้คือระบบของท่าน)
เพียงแค่แวบเดียวนางก็เข้ามาในห้องมิติที่เป็นเหมือนโลกอีกใบหนึ่ง สายตาคมจับจองทิวทัศน์สวยงามสุดลูกหูลูกตา ท่ามกลางท้องฟ้าที่สดใส แต่ทว่าเธอไม่สามารถเดินออกไปได้ไกลนักเหมือนมีกำแพงที่มองไม่เห็นขัดขวางเธออยู่
เธอเดินสำรวจจนพอเข้าใจได้ว่าพื้นที่ที่สามารถใช้ได้มีแค่ขนาดห้าตารางเมตรเท่านั้น
(ได้รับ 100 คะแนนสำหรับเข้าสู่ระบบครั้งแรก)
(ได้รับ 10 คะแนนสำหรับการสำรวจพื้นที่)
ระบบแจ้งเตือนอีกครั้ง ทำให้เธอเห็นว่า มีเมนูร้านค้า และ จำนวนแต้มที่มีแสดงอยู่มุมขวาบน อย่างกับในเกม
“ระบบ ฉันสามารถใช้แต้มทำอะไรได้บ้าง”
(สามารถแลกเปลี่ยนสินค้าในร้านค้าได้ แต่ดิฉันขอแนะนำให้ซื้อเมล็ดพันธุ์พืชสำหรับเพาะปลูก เพื่อให้ได้รับแต้มเพิ่ม และถุงมิติเพื่อเอาไว้เก็บเกี่ยวผลผลิต)
ระบบนี้มีประโยชน์เหมือนกันไม่ใช่เหรอ จางเสี่ยวหลงกดเข้าเมนูก็มีรายการสินค้ามากมาย ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ มีครบหมดเลย ขอแค่มีแต้มเพียงพอก็สามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้แล้ว
แต่ว่าจะใช้คุณหนูอย่างเธอมาปลูกผัก ไม่รู้ว่าจะเห็นยอดอ่อนของมันหรือเปล่า ชีวิตก่อนเธอไม่เคยลำบากใช้ชีวิตสุขสบาย เล่นเที่ยวซื้อของ ดูซีรีส์ จะลำบากหน่อยก็แค่เรื่องเรียนอย่างเดียว มาถึงตอนนี้เธอต้องกลายมาเป็นคนปลูกผักเสียแล้ว
(ระบบขอแนะนำว่าผู้ใช้ สามารถใช้ 4 แต้มเพื่อปลูก และ เก็บเกี่ยวอัตโนมัติ)
“แบบนี้ก็ดีเลย ถ้างั้นก็ปลูกเลยแล้วกัน”
ก่อนอื่นต้องเลือกแนวพันธุ์เสียก่อน ปลูกอะไรดีนะ เธอเห็นรูปผักกาดขาวหัวใหญ่ก็เลยเลือกมา มันฝรั่ง สองอย่างก็เต็มสวนของเธอตอนนี้แล้ว
ผักกาดขาว 5 คะแนน มันฝรั่งใช้ไป 5 คะแนนเช่นกัน แล้วก็ปลูกกับเก็บเกี่ยวอัตโนมัติ 4 คะแนนทำให้เหลือ 96 คะแนน
หลังจากที่สั่งให้ปลูกอัตโนมัติ เธอก็ต้องตกใจเมื่อเห็นข้าวของเครื่องใช้กำลังทำงานเอง อย่างกับในเกมปลูกผักเลย ก่อนที่เธอจะสนใจบ่อน้ำพุที่ใสสะอาดราวกับว่าเป็นน้ำวิเศษ
“น้ำพุที่นี่ดื่มได้หรือเปล่า”
(ดื่มได้ค่ะ จะทำให้ร่างกายแข็งแรง และเพิ่มการเจริญเติบโตของพืชได้อีกด้วย)
จางเสี่ยวหลงไม่รอช้ารีบใช้มือสองข้างตักน้ำขึ้นมาดื่ม ทันทีที่น้ำพุซึมเข้าไปในร่างกายเธอก็รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง ราวกับว่าร่างกายตอนนี้เบาสบายมาก ๆ รู้สึกเหมือนจะมองเห็นชัดกว่าเดิมเสียอีก
แต่สิ่งที่ทำให้เธอตกใจเห็นทีจะเป็นส่วนผักที่กำลังมียอดอ่อนของผักกาดขาว และ มันฝรั่งผุดขึ้นมาจากพื้น
“เติบโตเร็วมาก ๆ เลยเจ้าผักกาด เจ้ามันฝรั่งก็เหมือนกัน แบบนี้ไม่นานก็เก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้วใช่ไหม คงจะดีกว่านี้ถ้าสามารถกินได้”
(พืชที่ปลูกที่นี่สามารถรับประทานได้ตามปกติ แล้วดีต่อร่างกายมากกว่าพืชที่ปลูกข้างนอกหลายสิบเท่า)
“แบบนี้จะดีมากเลย ต่อไปไม่ต้องอดอยากอีกแล้วนะหลานเสวี่ยข้าจะดูแลร่างกายนี้ให้ดี และดูแลบ่าวรับใช้ของเจ้าด้วย” ใบหน้างามยิ้มด้วยความดีใจ
(ได้รับ 20 คะแนนสำหรับการเพาะปลูกผักกาดขาวครั้งแรก)
(ได้รับ 20 คะแนนสำหรับการเพาะปลูกมันฝรั่งครั้งแรก)
(ได้รับ 20 คะแนนสำหรับการใช้การเพาะปลูกอัตโนมัติ)
“ทำอะไรครั้งแรกจะได้รับคะแนนสินะ ตอนนี้มี 156 คะแนนแล้ว วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่ารู้สึกง่วงขึ้นมาแล้วสิ ออกจากระบบ”
ทันทีที่สั่งเธอก็มาอยู่ที่ห้องเหมือนเดิม ร่างแบบบางกอดตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ ร่างกายรู้สึกหนาวมาก ๆ อากาศที่นี่หนาวขนาดนี้ ทำไมผ้าห่มถึงได้บางจังเลบ
(ระบบอัพเดทความทรงของเจ้าของร่าง)
“หมายความว่าไง ทำไม...ปวดหัวจังเลย”
จางเสี่ยวหลงรู้สึกปวดหัวก่อนจะหลับไป เธอตื่นมาในความฝันที่เป็นเหมือนเรื่องราวต่าง ๆ ของหลานเสวี่ย เรื่องราวสำคัญของเธอถูกอัพโหลดเข้ามาในหัวของจางเสี่ยวหลงทีละนิด
คุณหนูตระกูลขุนนางจวนเสนาบดี ใช้ชีวิตสุขสบายตั้งแต่เด็กจนกระทั่งวันที่นางต้องออกเรือนเพราะครอบครัวบีบบังคับ ตอนแรกคนที่ต้องแต่งออกไปคือ พี่สาวของหลานเสวี่ย แต่เพราะเหตุใดไม่รู้กลายเป็นว่านางต้องเข้าพิธีกับ หลงเยี่ยนองค์ชายสาม แห่งแคว้นต้าเหยียนเมื่อสี่ปีก่อน
ทว่าเขากับไม่สนใจไยดีนางแม้แต่นิดเดียว คืนเข้าหอไม่เห็นแม้แต่หน้าของเขา ผ้าปิดหน้าสีแดงของสตรีผู้งดงามยังคงอยู่เช่นเดิมจนถึงเช้า ต่อจากนั้นแม้ชีวิตจะอยู่ในจวนองค์ชาย แต่ก็เป็นแค่ในนาม ทั้งสองไม่เคยเดินสวนกันด้วยซ้ำ
หลานเสวี่ยต้องใช้ชีวิตแบบนั้นทุก ๆ วันจนกระทั่งมีเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่ทำให้นางมาอยู่ในตำหนักเย็น เพราะตอนนั้นฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคต ทำให้หลายคนเคลื่อนไหว จนเกิดความวุ่นวาย และสุดท้าย หลงเยี่ยนก็ขึ้นครองราชย์กลายเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่
ทว่าตระกูลหลานที่สนับสนุนองค์รัชทายาทได้ถูกขับไล่ไปอยู่ทางใต้เพราะเป็นผู้พ่ายแพ้ ส่วนนางก็ติดร่างแหไปด้วย เดิมที่เขาก็ไม่ชอบนางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เกิดเรื่องขึ้นแบบนี้เขาจึงส่งนางไปอยู่ในตำหนักเย็น
ตลอดเวลาสามปี หลานเสวี่ยดิ้นรนเอาชีวิตให้รอดในแต่ละวัน โดยมีหยางหยาง กับเหมยเหมยช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ทั้งสองคนอดอยากปากแห้งมาตลอดสามปี เพราะไม่มีใครยำเกรงพระชายาตำหนักเย็น
พวกข้ารับใช้ในวังก็ไม่เห็นหัว แถมยังแอบตัดเบี้ยเลี้ยงของนางไปเป็นของพวกตัวเอง ทำให้ชีวิตของหลานเสวี่ยยิ่งลำบากกว่าเดิม จนกระทั่งล้มป่วย และเสียชีวิต
จางเสี่ยวหลงร้องไห้เมื่อรับรู้เรื่องราวทุกอย่าง เรื่องพวกนี้ราวกับว่ามันเกิดขึ้นกับตัวเธอจริง ประสบการณ์ทั้งหมดเหมือนว่าเธอเคยผ่านมาด้วยตนเอง เธอสงสารผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้จับใจ
“หลานเสวี่ยฉันสัญญาว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือให้สุขสบาย รวมถึงจะดูแลคนของเธอให้อยู่ดีกินดี เธอไม่ต้องห่วงหรอกนะ สักวันฉันจะออกไปจากที่นี่ ไปใช้ชีวิตข้างนอกอย่างมีความสุขให้ได้”
จางเสี่ยวหลงพูดกับตัวเองในความฝัน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วก่อนที่เธอจะรับรู้ถึงความหนาวอีกครั้งหนึ่ง ดวงตากลมโตขยับไปมาเพื่อปรับแสงที่ส่องผ่านเข้ามา ร่างเพรียวยันตัวลุกขึ้นสำรวจร่างกายตัวเอง
แม้จะรู้เรื่องราวมากมายแต่เธอก็คิดว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน เธอแทบไม่อยากเชื่อว่าต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างคนอื่น แม้จะรู้สึกว่าเธอเป็นหลานเสวี่ยจริง ๆ ก็ตาม
ผู้หญิงคนนี้งดงามเหลือเกิน ใบหน้าสวยได้รูป หุ่นเพรียวผิวพรรณผุดผ่อง ดูดีจริง ๆ ขนาดเธอที่ชีวิตก่อนก็สวยอยู่แล้วยังต้องอิจฉา แม้จะอยู่ในชุดผ้าไหมสีขาวเก่า ๆ ยังดูดีขนาดนี้เลย จางเสี่ยวหลงคิดในใจว่า ฮ่องเต้องค์นั้นคงตาบอดไปแล้วที่ไม่ทะนุถนอมนางเอาไว้
ผู้หญิงที่งดงามทั้งนอกและในแบบหลานเสวี่ย ต่อให้เขาหาผู้หญิงแบบนี้ทั้งแผ่นดินก็คงไม่มีใครเทียบได้ ช่างเถอะต่อไปต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้ก่อน
“แต่ตอนนี้หิวจังเลย มีอะไรกินบ้างไหมเนี่ย”
“คุณหนู ท่านล้างหน้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ เสร็จแล้วบ่าวจะให้เหมยเหมยยกอาหารมาให้” หยางหยางยกถังน้ำมาให้
จางเสี่ยวหลงสามารถจดจำสิ่งที่ร่างนี้เคยทำมาก่อน เธอเลยทำทุกอย่างได้อย่างดี
“คุณหนู ทำไมท่านดู... เหมือนจะอวบอิ่มขึ้นมานะเจ้าคะ ผิวพรรณสดใสขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน สวยมากเลยเจ้าค่ะ”
จางเสี่ยวหลงแทบจะไม่อยากเชื่อว่านั้นคือเรื่องจริง เธอก็คิดว่าตัวเองรู้สึกเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ข้าเป็นแบบนั้นจริงหรือ เอากระจกมาให้หน่อยสิ”
เมื่อมองตัวเองในกระจกก็รับรู้ว่าเป็นอย่างที่นางบอกจริง เพราะอะไรกันนะทำไมถึงดูดีผิดหูผิดตาแบบนี้ ก่อนยิ้มดีใจให้กับตัวเอง คนอะไรสวยขนาดนี้
“อาหารมาแล้วเจ้าคะ”
เมื่ออาหารเข้ามาเธอก็หันไปให้ความสนใจ เพราะกำลังหิวอยู่พอดี แต่ทว่าตรงหน้าเรียกว่าอาหารได้หรือเปล่าเนี่ย ทำไมมันเหมือนอ้วกแทนที่จะเป็นอาหาร เธอขยี้ตาดูอีกรอบก็คงเป็นเหมือนเดิม
หลานเสวี่ยเธอต้องกินอาหารพวกนี้ทุกวันสินะ แต่จางเสี่ยวหลงไม่มีวันที่จะตักอาหารแบบนี้เข้าปากแน่ ยอมตายดีกว่า ถ้าให้กินของแบบนี้
“ข้ากินไม่ลงหรอกนะ มันน่า.... ไม่มีอย่างอื่นแล้วเหรออย่างเช่น หมูผัดพริก ไก่ย่าง หรือซาลาเปาไส้หมูก็ได้”
ทั้งสองคนก้มหน้ารู้สึกผิดที่รับใช้ให้คุณหนูของตนได้ทานอาหารดี ๆ ไม่ได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนจวนตระกูลหลาน ไม่มีทางให้คุณหนูของพวกเธออดอยากแน่นอน
“เอาละ ไม่ต้องทำหน้าแบบนี้หรอกข้าไม่โทษพวกเจ้า แต่ว่านะต่อไปเราจะไม่กินอาหารพวกนี้อีกแล้ว ข้าจะทำอาหารให้พวกเจ้ากินเอง” เธอพูดด้วยท่าทางมั่นใจ เพราะฝีมือทำอาหารของเธอไม่ได้ด้อยไปกว่าเชฟมิชลินเลย
“แต่เราไม่มีข้าวของอะไรเลยนะเจ้าคะ”
“พวกเขาให้เราแค่นี้ ข้าขอโทษคุณหนู”
แน่นอนว่าเธอรู้ดี เพราะเธอเพิ่งคิดออกว่าตัวเองปลูกผักกาดขาวเอาไว้อยู่
“รอดูได้เลย เดี๋ยวข้าจะใช้เวทมนตร์ให้พวกเจ้าดู” จางเสี่ยวหลงพูดหาข้ออ้างไปตามสถานการณ์ เธอคิดว่าให้พวกเขาเข้าใจว่าเธอมีเวทมนตร์ดีกว่าต้องปิดบัง ถึงจะไม่รู้ว่าเวทมนตร์มีจริงหรือเปล่า
ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างงุนงง พวกเธอก็พอรู้ว่ามีหลายคนใช้วิชาเวทมนตร์ได้ แต่คุณหนูของเธอเคยเรียนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ข้าในตอนนี้คือหลานเสวี่ย บุตรีขุนนางที่ถูกเนรเทศ และยังเป็นพระชายาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ถ้าอิงตามธรรมเนียมแล้วควรที่จะได้เป็น ฮองเฮาแท้ ๆ แต่เพราะครอบครัวเลยถูกเนรเทศมาอยู่ตำหนักเย็นหลานเสวี่ยนึกถึงความทรงจำของตัวเองก็พอรู้นิสัยใจคอของฮ่องเต้บ้าง คนผู้นี้ เลือดเย็นเหลือเกิน แถมยังโหดเหี้ยมอำมหิต ฆ่าคนเป็นผักปลาตอนที่เขาขึ้นครองราชย์ส่วนหลานเสวี่ยในยามนี้ไร้อำนาจ มีเพียงใช้ชีวิตต่ำต้อยไปวัน ๆ ถูกกักขังในตำหนักเย็นมาเกือบสามปี ถ้าจะออกไปไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ เพราะเพียงแค่ร่างของสตรีผู้นี้ก้าวออกจากธรณีประตู เกรงว่าหัวของนางคงหลุดออกจากบ่าทันที คนผู้นั้นไม่ปล่อยเอาไว้แน่ใบหน้าสวยครุ่นคิดหาวิธีที่จะออกไปอย่างปลอดภัย ก่อนจะหันมาสนใจบ่าวรับใช้สองคนที่กำลังยกผักที่ล้างสะอาดมาให้ หลังจากที่หลานเสวี่ยบอกว่าจะทำอาหารให้ด้วยการใช้เวทมนตร์ พวกนางสองคนก็ทำหน้าดีใจเอามาก ๆ หลานเสวี่ยจึงให้ทั้งสองออกไปนอกห้องครัว จากนั้นก็เข้าไปในมิติระบบ เข้ามาข้างในหลานเสวี่ยรู้สึกว่าในมิติระบบ อากาศสดชื่นดีมาก ก่อนที่จะสังเกตเห็นผลผลิตกำลังถูกเก็บเกี่ยว ทำเอาตกใจไม่น้อยที่ใช้เวลาปลูกไม่ถึงแปดชั่วโมงด้วยซ้ำและไ
เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่นี่ก็หนาวเข้ากระดูก คงเป็นเพราะตำหนักเย็นแห่งนี้ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก มีแค่เสื้อผ้าเก่า ๆ ผ้าห่มผืนบาง ไม่มีเชื้อเพลิงมาทำให้ตำหนักอบอุ่น หลานเสวี่ยไม่ได้คาดหวังอะไร เพราะจากความทรงจำของเจ้าของร่างแล้ว นางต้องทนหนาวแบบนี้ทุกวันพี่หยางกับเหมยสองคน เก็บเศษหญ้าเศษไม้เอามาตุนไว้เพื่อจุดไฟในยามที่หนาวที่สุด อย่างน้อยก็ช่วยทำให้หลานเสวี่ยนอนหลับสักคืนในความทรงจำนั้น เหมือนทุกอย่างจะเป็นเพราะข้ารับใช้ที่ดูแลตำหนักเย็นแห่งนี้ ก็คือคนของพระสนมหลี่ผิน ที่จัดการเรื่องค่าใช้จ่าย เดิมที่ชีวิตไม่ควรลำบากเช่นนี้ แต่เป็นเพราะเมื่อก่อน หลานเสวี่ยเป็นสตรีอันดับหนึ่งในต้าเหยียนทำให้บุรุษผู้สูงศักดิ์ในวังต่างหลงใหลในความงามของนาง จะไม่มองเหล่าสตรีนางอื่น ชื่อเสียงของหลานเสวี่ยแห่งจวนเสนาบดี กึกก้องไปทั่วแผ่นดิน ทำให้สตรีสูงศักดิ์หลายคนต่างก็ชิงชังนางเข้ากระดูกในยามที่ถูกส่งตัวมาอยู่ตำหนักเย็นแห่งนี้ ถ้าไม่ใช่ว่าเป็นเพราะข่าวลือน่ากลว และคำสั่งเด็ดขาดของฮ่องเต้ที่ให้อภัยทั่วแผ่นดิน ป่านนี้ชีวิตของหลานเสวี่ยคงจบสิ้นไปนานแล้ว แม้แต่ฮ่องเต้หลงเยี่ยน ที่ชังนางเขากระดูก ยังไม่อ
เช้ามืดวันนี้ในยามที่ดวงอาทิตย์ยังไม่พ้นขอบฟ้า ก็มีขันทีวัยห้าสิบกว่าเดินเข้ามาในตำหนักอันกง ร่างอ้วนท้วนแต่งตัวเรียบร้อยใบหน้าเหี่ยวย่น ดูเป็นระเบียบในแบบขันที่ วันนี้เป็นวันที่ฮ่องเต้จะทรงประชุมเข้า (เช้าหลวง) เมื่อมาถึงห้องบรรทมขององค์ฮ่องเต้ เขาก็ก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพ“ฝ่าบาท ได้เวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ~” เสียงนอบน้อม“ข้าพร้อมแล้ว ว่าแต่วันนี้ยังเป็นเรื่องเดิมอีกหรือเปล่า ทำไมพวกขุนนางของข้า ถึงไร้ความสามารถเช่นนี้นะ” พูดพลางลุกขึ้นจากเตียงนอน“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” ขันที่ผู้ใหญ่ไม่มีอะไรจะแย้ง ก่อนจะยกชามาถวายให้“หลังจากจบประชุม ให้เรียกเจ้ากรมคลังมาหาข้าด้้วย มีเรื่องจะสั่งนิดหน่อย”“พ่ะย่ะค่ะ”หลงเยี่ยนยืนสงบอยู่ท่ามกลางตำหนักใหญ่ แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างไม้แกะสลักลงบนร่างสูงสง่า ดวงตาคมเข้มจ้องมองออกไปอย่างเยือกเย็น เต็มไปด้วยความสุขุมและอำนาจที่ยากจะปฏิเสธ อาภรณ์สีดำปักลายมังกรทองทิ้งตัวลงตามสรีระสูงเพรียวของพระองค์ ราวกับผืนผ้าที่ถักทอขึ้นมาเพื่อให้เข้ากับพระวรกายอย่างสมบูรณ์แบบพระพักตร์เรียบนิ่ง ใบหน้าคมสันโดดเด่น ลายเส้นชัดเจนจนน่าหลงใหล คิ้วหนาได้รูปขับให้
หลานเสวี่ยเข้ามาในมิติเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิต หลังจากเก็บเกี่ยวก็ได้รับคะแนน 80 บวกกับอันเดิม 71 รวมเป็น 151 คราวนี้ หลานเสวี่ยปลูกมันฝรั่งสองชุด เพราะยามนี้ เจอปัญหาภัยแล้ง คิดว่ามันฝรั่งน่าจะเป็นอาหารที่ดีที่สุดตอนนี้ใน หลังจากเพาะปลูกมาเกือบสามวันนางก็มีมันฝรั่ง 220 กิโลกรัม ผักกาดขาว 200 กิโลกรัม กะหล่ำปลี 180 กิโลกรัม และ พริก 90 กิโลกรัม ต้นหอมก็มี 140 กิโลกรัมพืชที่ปลูกในมิติเติบโตได้อย่างดี ทำให้ผลผลิตได้เยอะ ยังดีที่มีถุงมิติเก็บของทำให้เก็บได้อย่างสะดวกสบาย แต่วันนี้หลานเสวี่ยมาเพื่อทดลองระบบลดเวลาการเพาะปลูก ที่จะต้องใช้ 7 คะแนน เพื่อลดเวลาเพาะปลูกเหลือ 2-3 ชั่วโมง จาก 6-8 ชั่วโมง“ระบบใช้ 7 คะแนนเพื่อลดเวลาเพาะปลูก” (ยินดีด้วยท่านได้ใช่การลดเวลาเพาะปลูกเป็นครั้งแรก ได้รับ 100 คะแนนสำหรับครั้งแรก)คะแนนคงเหลือ 220 ทำให้นางอุ่นใจได้บ้าง ถ้าหากจดหมายถูกขัดขวาง หรือฮ่องเต้ใจดำอำมหิตเกินมนุษย์ นางก็พอมีหนทางรอดได้บ้าง หลานเสวี่ยสำรวจเมนูร้านค้ามากมายเพื่อรอให้ผลผลิตเติบโต นางจึงตัดสินขายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่ม 5 ตารางเมตร รวมแล้วก็ได้ 15 ตารางเมตร“ระบบใช้ 150 คะแนนขยายพื้นที่” (ย
ทหารยามสองคนเดินมาหานางด้วยท่าทางนิ่งสงบ ในมือของพวกเขาถือดาบยาว สวมเกราะทอง คงเป็นองครักษ์หลวง แต่ที่แปลกไปคือ พวกเขาไม่รีบร้อนเหมือนครั้งแรกที่พบกับหลานเสวี่ยก้มหน้ามองพื้น เตรียมตัวเข้าไปในมิติถ้าหากเหตุการณ์ไม่สามารถควบคุมได้ อย่างน้อยให้พวกเขาเข้าใจไปว่าเธอเป็นวิญญาณก็ยังดี“นางกำนัลตำหนักไทเฮา มาที่นี่มีเรื่องอันใดหรือ”“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องกราบทูลหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท จึงมาที่นี่” หลานเสวี่ยเล่นไปตามน้ำ เพราะไม่คิดว่าชุดข้ารับใช้ที่นางแลกมา 5 คะแนนจะช่วยนางได้อย่างดี เมื่อมองหน้าทหารยามสองคนทั้งสองน่าจะเชื่อด้วยแต่สายตา และ ท่าทางของสองทหารหนุ่มลายเป็นความประหม่าทันทีเมื่ออยู่ต่อหน้า สตรีที่งดงามเช่นนี้ พวกเขาทำตัวไม่ถูกแม่แต่ตอนพูดยังติดขัด พวกเขาไม่เคยเห็นสตรีนางใดจะงดงามเหมือนตอนนี้“เช่นนั้น ก็ตามข้ามาเถอะ”“เจ้าค่ะ”หลานเสวี่ยเดินตามเข้ามาในตำหนักอันกง เพราะทหารยามบอกว่าฝ่าบาทเสด็จไปตำหนักอันกงแล้ว เดินมาสักพักก็มาถึงตำหนักอันกง นางจึงกล่าวขอบคุณแล้วเดินเข้าไป เมื่อทหารยามประตูเห็นว่านางสวมชุดตำหนักของไทเฮา พวกเขาก็ยังต้องตรวจตราสัญลักษณ์ด้วยหลานเสวี่ยมีจี้หยกที่ระบบให้ม
เมื่อเช้ามืดระบบก็อัพเกรดสำเร็จ หลานเสวี่ยจึงเข้าไปสำรวจดูว่า 500 คะแนนที่เสียไปได้อะไรมาบ้าง นอกเหนือจากที่ระบบเคยบอกไว้ก็มีพื้นที่สำหรับเพาะปลูกเพิ่มขึ้นห้าตารางเมตร และเพิ่มแถบเมนูมาใหม่ นี่คือความสามารถพิเศษ เช่นทำให้ฝนตก พายุถล่ม แผ่นดินไหว พยากรณ์อากาศ .... บางอันก็มีประโยชน์อยู่บ้างเช่นพยากรณ์อากาศ หลานเสวี่ยเคยใช้เมื่อครั้งก่อน เป็นคำแนะนำจากระบบที่ช่วยให้นางแก้ไขปัญหาได้ ตอนนี้นางมี 500 คะแนน +1000 สำหรับการอัพเกรดระบบ นับว่าได้มากกว่าเสีย 1500 คะแนน นางเลือกซื้อของในร้านเช่นครีมอาบน้ำ และทำให้กลายเป็นของใช้ในยุคนี้ด้วยระบบเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ ใช้ไป 1 คะแนน แม้จะเสียดายคะแนนแต่นี้ก็เป็นการลงทุน อีกอย่างนางจะได้รับเงินทองมากมายในครั้งนี้ เมื่อนึกถึงสินค้าของตัวเองมีชื่อเสียงในวังหลังนางก็ยิ้มอย่างพอใจ คราวนี้แหละต้องเป็นมหาเศรษฐีในยุคนี้ให้ได้ตำหนักสนมหานผินหานหลงยิ้มอย่างพอใจเมื่อเดินเข้าในงานเลี้ยงน้ำชาของเหล่านางสนม ทันทีที่นางเดินผ่าน พวกนางสนมรุ่นเดียวกันที่เคยแย่งชิงความดีความชอบด้วยกันต่างสูดดมกลิ่นหอมจากตัวนางที่แผ่ออกไป นางสนมพวกนี้คงไม่เคยรู้จักกลิ่นหอมเช่นนี้สินะ พ
หลานเสวี่ยงัวเงียลุกขึ้นจากเตียงนอน ทั้งที่กำลังฝันหวานถึงพระเอกในดวงใจของตน แต่ต้องมาตื่นเพราะเสียงระบบที่ดังจนนึกว่ามีสงครามโลกครั้งที่สามเกิดขึ้นแล้วในมิติ นางจึงออกมาจากกระท่อมหลังเล็ก ก่อนจะตรวจดูมันฝรั่งใบเขียวสวยของตนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อได้ฟังจากปากของเหมย และหยาง นางก็อดสงสารไม่ได้ ผู้คนในยามนี้อดอยากปากแห้ง บางคนมีเงินทองแต่จะซื้ออะไรได้ ต้องอดมื้อกินมื้อ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าคนยากไร้ที่รอความช่วยเหลือจากฮ่องเต้ ถ้าเป็นในยุคปัจจุบันพวกเขาคงกลายเป็นข่าวใหญ่ไปแล้ว ทำให้ทางการต้องรีบช่วยเหลือ แต่ในยุคนี้ปากเสียงถูกปิด พูดอะไรไม่ได้มาก หลานเสวี่ยพอรู้ว่าในยุคนี้ขุนนางเลวมีเยอะอย่างกับดอกเห็ด บางทีทางการอาจจะช่วยเหลือแต่ถูกพวกนั้นเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ส่วนที่เหลือก็ไม่พอความต้องการแม้ในตอนนี้มันฝรั่งที่ปลูกได้จะเยอะขึ้นแล้ว ก็ยังไม่เพียงพอถ้าเป็นเช่นนั้น อีกอย่างเพิ่มพื้นที่การผลิตสูงสุดแล้ว จนคะแนนไม่พอ เพราะราคาจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ได้มา สี่สิบตารางเมตร คะแนนคงเหลือ 100 จะทำอะไรคงต้องระวังตัวมากกว่าเดิม แต่ปัญหาหลักอีกอย่างคือถุงมิติที่ใกล้จะเต็มแล้วตอนนี้นางออกจากมิต
กลายเป็นว่า เพราะนางตื่นสายทำให้ทำงานเสร็จช้า ฝ่าบาทจึงหารือกับขุนนางช้า พอไทเฮามาถึงจึงไม่สามารถเข้าพบได้ หลานเสวี่ยรู้สึกผิดอยู่บ้างแต่ ต้นเหตุคือหลี่ผิน ที่วางอำนาจบาตรใหญ่ เพราะมีไทเฮาถือท้ายให้จึงไม่กลัวใครจะว่าไปนั่นก็เป็นแม่สามีของหลานเสวี่ยเหมือนกันถ้าหากลูกชายของนางไม่เป็นคนใจดำอำมหิตเช่นนั้นนะ ยืนเหม่ออยู่ตั้งนานนางก็ถูกหัวหน้านางกำนัลเรียกตัวให้ไปทำงาน แต่ก่อนจะไปนางได้มอบขวดน้ำจากมิติขวดเล็กให้กับหัวหน้า“ใช้ทาที่ใบหนาของท่าน มันจะหายในไม่ช้า ไม่ต้องกลัวหรอกมันไม่อันตรายอย่างที่คิด” “ข้าจะรับไว้ เจ้ารีบไปเถอะ อย่าสร้างเรื่องอะไรอีกล่ะ”“เจ้าคะ” เมื่อนางรับไว้เท่านี้ก็พอแล้ว หลานเสวี่ยเข้ามารับใช้ที่ห้องหนังสือเช่นเดิม พอเข้ามาก็เห็นฝ่าบาทนั่งอ่านฎีกาด้วยท่าทางสง่า พอมองดูดี ๆ ในหนังที่นางเคยดูกับตอนนี้ดูแตกต่างมาก ฮ่องเต้ในตอนนี้ดูน่าเกรงขามราวกับมีพลังวิเศษบางอย่าง หรือเป็นเพราะที่แห่งนี้เป็นโลกเวทมนตร์กันนะ นางเอกก็ไม่เข้าใจ แต่ชายผู้นี้ไม่ใช่คนปกติทั่วไป หรือเขาเป็นเทพเซียน อย่างตำนานของฮ่องเต้ที่บอกว่า เป็นสายเลือดของเทพ หลานเสวี่ยคิดไปเรื่อยเปื่อย“ยืนเหม่ออันใดอย
หลังจากเดินทางมายาวนานก็มาถึงเมืองหลวง หลานเสวี่ยที่ไม่มีอะไรทำมาหลายวันก็ตรงไปที่หอการค้าร้านสะดวกซื้อทันที ทว่าเมื่อนางมาถึงก็ทำให้ผู้คนตามสองข้างทางมองตามไม่กะพริบตา สตรีที่งดงามเช่นนี้มีในเมืองหลวงด้วยหรือ ทุกสายตาต่างสงสัยผู้คนรายล้อมมองดู ต่างก็ไม่รู้ว่านางเป็นคนตระกูลไหน การมาถึงของหลานเสวี่ยทำให้พ่อสื่อแม่สื่อมีงานล้นมือเป็นแน่ เพราะเหล่าชายโสดต่างติดต่อถามไถ่ถึงนางกันทั่วหน้า หลานเสวี่ยเดินไปไม่สนสายตาของผู้คน เหล่าชายหนุ่มตระกูลสูงศักดิ์หรือสามัญชนคนธรรมดาก็ไม่อยู่ในสายตา เพียงแค่นางก้าวเดินคนก็พร้อมจะเปิดทางให้อย่างเต็มใจ จนมาถึงหอการค้าของตน คนคุ้มกันก็ยืนทำหน้าที่อย่างทุกวันแต่วันนี้คนคุ้มกันตกตะลึงจนหันไปมองตาม แค่นางเข้ามาในร้านยิ่งดูโดดเด่น เสี่ยวเอ้อร์ในร้านต่างก็มาให้การบริหารอย่างเต็มใจ ใบหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาถามกันไปมาว่าแม่นางผู้นี้เป็นคุณหนูบ้านไหนกัน เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนเลย“แม่นางต้องการสิ่งใดบอกข้าน้อยได้เลยขอรับ” หลานเสวี่ยยิ้มอย่างเบาบางแต่ไม่ตอบอะไร เพราะเป็นหน้าที่ของหยางในการเปิดเผยเรื่องนี้ “ทุกคนมารวมตัวกันตรงนี้ ข้ามีเรื่องจะแจ้ง” หยางได้ส่งจดหมายใ
ในสายตาของผู้ฝึกเซียนขั้นสี่ พวกนางจะทำอะไรได้ ส่วนคนคุ้มกันก็แค่พอถ่วงเวลา งานนี้ไม่ยากเย็นนัก มือสังหารเดินเข้ามาตรง ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้คุ้มกันไม่รอช้ารีบตรงเข้าไปขวาง แต่หลานเสวี่ยห้ามเอาไว้ก่อน“ก็แค่มดปลวก ข้าจัดการเอง พวกเจ้าถอยไปก่อน” นางพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ และหนักแน่น แววตาคู่สวยแสดงออกถึงความจริงจัง ทำให้หยางกับเหมยถอยออกมา รวมถึงผู้คุ้มกันที่กำลังตัวสั่นเพราะความกลัว “ถ้าเช่นนั้นก็ฝากแม่นางด้วย” เขาโค้งศีรษะอย่างนอบน้อม แม้จะมองไม่ออกว่าหลานเสวี่ยจะใช้อะไรเอาชนะผู้ฝึกเซียนระดับนี้ แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ เขาจึงเลือกที่จะเชื่อนาง และขอให้นางสามารถจัดการได้ เขายังไม่อยากทิ้งครอบครัวให้ลำบาก“แค่มดปลวกหรือ ปากดีเสียจริงนะ คำพูดนี้เป็นข้าทีต้องพูดออกมา ลนหาที่ตายนัก ได้...ข้าจะส่งเสริมเจ้าให้ตายเร็วขึ้นเอง” “อย่าเอาแต่พูดเลย อยากเข้ามาก็มาได้ตลอด ข้ารอเจ้าอยู่ เจ้ามาสิ” หลานเสวี่ยยืนกอดอกมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น ทำเอาผู้ฝึกเซียนถึงกับเหงื่อซึม เมื่อสัมผัสพลังบางอย่างจากตัวนาง เขาไม่มั่นใจนักว่ามันคือสิ่งใด แต่สัญชาตญาณของเขาบอกให้ถอย เมื่อยั
ตลอดหลายวันที่ผ่านมานางต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพราะเรื่องต่าง ๆ มากมายให้จัดการ เร่งด่วนจนไม่มีเวลาพัก หลายวันนี้แม้แต่ระบบยังห้ามไม่ให้นางใช้น้ำวิเศษเพราะจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าดี เหตุก็เพราะว่านางดื่มน้ำเกือบห้าสิบครั้ง แต่ละครั้งคือร่างกายนางเหนื่อยล้าเต็มที่ โดยเฉพาะยามกลางคืน ที่หลานเสวี่ยจะยังอยู่หอการค้า เพราะรออนุมัติ ไม่ก็รอตอบจดหมายเร่งด่วน ขอความเห็นจากสาขาอื่นที่ส่งออกไป เป็นเรื่องที่แม้ว่าคนอื่นจะรอได้ แต่นางไม่สามารถรอได้ร่างเพรียวบางนอนราบบนเตียงนุ่ม อ่อนล้าไปทั้งตัว ขอบตามีรอยดำคล้ำเล็กน้อย กับความรู้สึกปวดร้าวทั้งร่างกาย ใบหน้าของนางซีดเชียว และซูบผอมลง เพราะไม่ได้หลับเต็มอิ่มมาเกือบอาทิตย์ “ลูกแม่ ทำไมถึงทำงานหนักเช่นนี้ เงินทองใช่ว่าจะสำคัญทุกอย่าง ตอนนี้เราไม่ได้ขาดเงิน เจ้าจะรีบร้อนทำไมหรือ” ผู้เป็นแม่เข้ามาบีบนวดให้นางทุกวัน ทำให้หลานเสวี่ยรู้สึกดีขึ้นมาก ๆ ฝีมือของท่านแม่ดีจริง ๆ ช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วกว่าเดิม นางได้แต่ยิ้มให้หลานฮูหยิน“ลูกไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ผอมลงนิดเดียว อีกอย่างไม่ได้แต่งงานกับบุตรชายเสนาบดี เท่านี้ก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ” นางพูดด้วยความร่าเริง เม
หลานเสวี่ยกำลังยุ่งอยู่กับระบบ เพราะตั้งแต่ที่เปิดร้าน ทำให้คะแนนเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน คะแนนรวมของนางคือหก แสนคะแนนจากระบบ และ แสนห้าหมื่นคะแนนความดีที่เพิ่มขึ้น เมื่อก่อนนางมีคะแนนจากระบบเจ็ดแสน แต่เพราะอัปเดตระบบเป็นเวอร์ชันสุดท้าย ใช้ไป 1 แสนคะแนน ทำเอาหลานเสวี่ยแอบสงสัยว่าทำไมถึงใช้เยอะแบบนี้ แต่นางก็ยอมเพราะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะอัปเดต“ระบบ ทำไมถึงใช้คะแนนเยอะมากกว่าทุกครั้งละ หรือว่ามีของรางวัลดี ๆ”(เป็นเพราะว่านี้คือระบบเวอร์ชันสุดท้าย ที่สำคัญจำเป็นต่อผู้ใช้เช่นกัน....)“เดี๋ยวก่อน ทำไมเงียบไปละ” ระบบไร้เสียงตอบ ทำเอาหลานเสวี่ยตกใจไม่น้อย แต่ก็จัดการ ส่งคำสั่งเพาะปลูกได้เป็นปกติ ถึงมิติก็ยังใช้ได้ จึงคิดว่าระบบคงขัดข้องชั่วคราว แต่นางแอบสังเกตนิดหน่อยเพราะช่วงนี้ระบบแปลกไปจากเดิมมาก อย่างเช่น น้ำในลำธารของระบบลดลงจนสังเกตได้ และแสงสว่างในนี้ก็ลดลงเช่นกัน อยากจะถามระบบแต่ก็มาหายตัวไป สงสัยคงกำลังอัพเดทชุดใหญ่ นางจึงไม่สนใจระบบ แล้วไปทำอย่างอื่นต่อ แต่ละวันนางจะใช้คะแนนแลกของขายดี อย่างเช่นเครองสำอาง ที่สตรีร่ำรวย และขุนนางใช้กัน นี้เป็นรายรับสามส่วนของนางก็ว่าได้ ช่วยให้จัดกา
หลานเสวี่ยกลับมาที่จวนในตอนสาย พอมาถึงสายตาของบิดามารดาก็มองนางด้วยความสงสัย บุตรสาวของตนไปค้างที่ใดมา แม้จะมีคำถามมากมายอยู่ในอกของทั้วสอง แต่พักนี้รู้สึกว่านางดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แถมยังเฉลียวฉลาดมากกว่าเดิม ท่าทางก็เปลี่ยนไป ทำให้ทั้งสองไม่กล้าที่จะถามตรง ๆ หลานฮูหยินรีบออกมารับบุตรสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ส่วนใต้เท้าหลานเดินตามหลังมาด้วย“กลับมาแล้วหรือ หิวไหมแม่จะไปทำกับข้าวให้เจ้า” “ลูกินอิ่มแล้วเจ้าค่ะ ตอนขากลับแวะซื้อของอร่อยตามทางมาด้วย นี้เจ้าต่ะ” หลานเสวี่ยยกสิ่งของรุงรังในมือขึ้นมา รวมถึงบ่าวทั้งสองคนก็แทบจะแขนลาก เพราะเป็นคนถือของให้นาง ดีที่แข็งแรงหน่อย“ทำไม่ซื้อมามากมายเช่นนี้ จะกินหมดหรือ ดูสิผิวพรรณ.. เนียนสวยเสียจริง ดูแล้วลูกแม่สวยขึ้นเป็นกองเชียวนะ” มารดาของนางเมื่อสำรวจดี ๆ จึงรู้ว่านางดูเปร่งประกายราวกับถูกเคลือบด้วยออร่า แม้เมื่อก่อนนางจะงดงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่วันนี้ยิ่งแตกต่าง ผิวพรรณผุดผ่อง สัมผัสนุ่มนวล ไหนจะกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่โดดเด่น ทำให้หญิงวัยย่างเข้าสี่สิบสนอกสนใจกว่าเดิม ดวงตาคู่นั้นก็มองด้วยความสงสัย เพราะมีเรื่องแปลกประหลาดมากมายอย่างเช่น เมื่อวานท
หลานเสวี่ยถูกอุ้มเข้าไปในห้องนอน มือเรียวยังคงปิดหูตัวเองเอาไว้แน่น เพราะกลัวเสียงฟ้าร้อง ทันทีที่เข้ามาข้างในเสียงต่าง ๆ ก็เงียบไปอย่างมหัศจรรย์ หญิงสาวลืมตาขึ้นด้วยความประหลาดใจ และพบว่าตนเองอยู่ในอ้อมแขนของเขา ใบหน้าของหลานเสวี่ยแดงระเรื่อ เธอหลุบตาลงต่ำด้วยความเขินอายเมื่อสบสายตาคมคายที่มองตรงมา ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองถูกอุ้มเข้ามาในห้องเสียแล้ว“เจ้าไม่ต้องกลัวหรอก ที่นี่ไม่มีเสียงฟ้าร้องเหมือนด้านนอก เพราะข้าใช้สมบัติวิเศษป้องกันเอาไว้” น้ำเสียงทุ้ม พูดพลางวางเธอลงบนเตียงนุ่ม ๆ พร้อมกับห่มผ้าให้ และลงไปนอนรวบตัวนางเอาไว้แน่น“เจ้าค่ะ...แต่” หลานเสวี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ท่านแม่ทัพจะกอดข้าน้อยแบบนี้ทั้งคืนหรือ ชายหญิง...”ปากน้อย ๆ ของนางกำลังจะพูดเรื่องยาว แต่ถูกมือใหญ่ปิดเอาไว้อย่างรู้ทัน เขาไม่ปล่อยโอกาสอันดีให้เสียเปล่า เป็นวัวเป็นม้าให้นางแล้ว ต้องได้รางวัลเสียหน่อยถึงจะถูก“สามีภรรยาอยู่ด้วยกันจะเป็นไรไป หากเจ้ายังดื้อดึงอีก ข้าจะไม่หักห้ามใจแล้วนะ” พูดเสียงสั่นเครือ เพราะกำลังหักห้ามใจตัวเองหลานเสวี่ยรู้สึกถึงหัวใจของตนเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก จึงก้มหน้ามองแผ่นอกกว
รอจดหมายจากพระองค์เกือบสองถ้วยชา แต่นางยังไม่เห็นจะมีวี่แววจะออกมาเลย เขียนร้อยฉบับหรืออย่างไรกันแน่ ร่างเล็กเดินไปมาอยู่ในห้องรับรอง ก่อนจะเดินออกมามองดูนอกหน้าต่าง ตอนนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มคล้ายฝนจะตก นางยิ่งร้อนใจ ขาเรียวไม่รอช้าอีกต่อไป เดินออกจากห้องรับรองไปที่ห้องทำงานของท่านแม่ทัพโดยตรง ก่อนจะเห็นท่านแม่ทัพเดินมาจากข้างนอก ทำเอานางรู้สึกงุนงงอย่างมาก “ท่านแม่ทัพเจ้าคะ! ท่านคงไม่ลืมจดหมายของข้าหรอกนะ” น้ำเสียงเรียบนิ่งแฝงไปด้วยความไม่พอใจ แม่นางจะพยายามเก็บความรู้สึกหงุดหงิดเอาไว้“ข้าจะลืมได้อย่างไร เมื่อครู่ข้ามีธุระด่วนไม่คิดว่าเจ้าจะรีบร้อนอย่างนี้” ยืนตัวตรง มองนางด้วยสายตามีเลศนัย“หาใช่แบบนั้นเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะกล้าเร่งรัดท่านแม่ทัพได้อย่างไร” “เช่นนั้นก็มาฝนหมึกให้ขาเถิด” หลงเยี่ยนเดินนำไปก่อน ทิ้งให้หลานเสวี่ยมองตามแผ่นหลังกว้างด้วยความไม่พอใจเล็ก ๆหลานเสวี่ยเดินตามไปพร้อมกับบ่นพึมพำในใจ ทำไมแค่จดหมายฉบับเดียวต้องดึงเวลาให้ยุ่งยากแบบนี้ด้วยนะ แต่นางจะทำอันใดได้ ยามนี้ได้แต่ก้มหน้าก้มตาฝนหมึกให้ได้เยอะ พระองค์จะได้เร่งเขียนให้เสร็จ ทว่าไม่นานเสียง “กร๊อก" ดังขึ้นใบหน้าสวย
ทหารหนุ่มวิ่งหน้าตั้งออกมาจากกำแพงใหญ่ แล้วสั่งให้รถม้าของหลานเสวี่ยเข้าไปได้ ทำเอาเหล่าคุณหนูที่มารอตั้งนานแทบจะตาลุกเป็นไฟด้วยความริษยา แม้จะรู้ว่านางถูกปลดแล้ว แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงของฝ่าบาทย่อมสูงส่งกว่าสตรีทั่วไป “พวกเจ้าก็รอต่อไปเถิด เห็นทีคงต้องรอจนหัวหงอกกระมัง” หลานเสวี่ยพูดทิ้งท้ายก่อนจะให้คนขับรถม้าขับออกไป ทำเอาบ่าวสองคนยิ้มอย่างสะใจที่ได้เอาคืนพวกนั้นเมื่อมาถึงขาวในจวนนางเดินตามทหารยามเข้าไปในจวน ที่นี่ไม่ได้หรูหราเหมือนจวนแม่ทัพที่เมืองหลวง เพราะเป็นที่พักชั่วคราวใช้ยามจำเป็น แต่ก็เรียบง่ายดี สีสันไม่โดดเด่น ส่วนมากจะเป็นข้าวของที่ทำจากไม้ สวยอยู่ไม่น้อย“รอก่อนนะขอรับข้าน้อยจะไปแจ้งท่านแม่ทัพให้” ทหารหนุ่มสีหน้าซีดเซียว แม้จะรู้ว่าตราไว้ชีวิตมีไว้ทำอันใด แต่เขาเกรงว่าครั้งนี้จะตัดสินใจพลาดจนถูกแม่ทัพลงโทษ หรือถ้าหากเกิดเขาปล่อยแขกของท่านแม่ทัพไป เกรงว่าจะยิ่งถูกลงโทษหนัก สถานการณ์เช่นนี้เลือกทางไหนก็ไม่รอด นอกจากท่านแม่ทัพจะให้ความสำคัญกับแขกคนนี้ทหารหนุ่มยืนอยู่ต่อหน้าประตูห้องทำงานส่วนตัว เมื่อเช้าเขาได้รับคำสั่งว่าไม่ให้ผู้ใดมารบกวน แต่ตอนนี้เขาลังเลว่าจะรอดต
มือเรียวยกกาน้ำชาขึ้นมารินให้บิดาอย่างเรียบร้อย จึงเลื่อนไปรินให้มารดาที่นั่งยิ้มให้กับนาง ทั้งสองคนดีใจจนยิ้มไม่หุบ ที่บุตรีสุดที่รักกลับมาให้เอ็นดูอีกครั้ง นับตั้งแต่พี่สาวของนางออกเรือน จวนตระกูลหลานก็เงียบเกินไป จะดีแค่ไหนหากพวกนางสองคนมีหลานให้พวกเขาทั้งสอง แม้ว่าหลานเสวี่ยจะไม่มีโอกาสแล้วก็ตาม เรื่องนี้ทั้งสองรู้ดี แต่พี่สาวนางกำลังจะได้รับข่าวดี จวนจะได้ครึกครื้นไม่เงียบเหงาอีก “กลับมาไม่นาน ลูกปรับตัวได้หรือยัง ที่นี่ค่อนข้างห่างไกลเมืองหลวงไม่ค่อยมีอันใดให้เพลินตานัก” มารดาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม“ลูกปรับตัวได้เจ้าค่ะ อีกอย่างที่เมืองหลวงไม่ค่อยมีอันใดให้ลูกดูมากนัก ที่นี่น่าดูมากกว่า” “ถ้าเช่นนั้นพ่อจะสั่งคนทำห้องให้เจ้าใหม่ จะได้อยู่สบายขึ้น รออีกสักสามเดือนพี่สาวเจ้าก็จะมาเยี่ยมแล้ว ตอนนี้ลูกคงไม่รู้ว่าพี่สาวของเจ้าตั้งครรภ์แล้วนะ” ใต้เท้าหลานพูดด้วยน้ำเสียงปีติ แสดงออกมาชัดเจน“จริงหรือ เป็นเรื่องดีแท้ ๆ ท่านทั้งสองจะได้ไม่เหงามาก ลูกเองก็จะมาเยี่ยมบ่อย ๆ เจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นสองสามีภรรยาก็มองหน้ากันอย่างสงสัย ทั้งที่คิดไว้ว่านางจะมาอยู่ด้วยกันที่นี่“ลูกไม่มาอยู่ที่