“ท่านกล้าตบข้า! ท่านถือสิทธิ์อะไรตบข้า?”สีหน้าซ่งปี้อวิ๋นแดงจัด โมโหถลันขึ้นมาต้องการฉีกหน้าซ่งรั่วเจิน ฉู่จิ่นหวยส่งสัญญาณทีหนึ่ง บ่าวน้อยข้างกายก็ขวางคนไว้แล้ว“ซื่อจื่อ ญาติผู้น้องของข้าไม่รู้มารยาทล่วงเกินท่าน ข้าสั่งสอนแทนไปแล้ว ท่านโปรดระงับโทสะด้วยเจ้าค่ะ” ซ่งรั่วเจินทำความเคารพพลางพูดถ้อยคำนี้พูดออกมาแล้ว ดวงตาซ่งปี้อวิ๋นเบิกกว้าง ไอโทสะในตอนแรกหายวับไปในทันใด กลายเป็นเหลือเชื่อระคนว้าวุ่น“อะไรนะ? เขาคือซื่อจื่อ?”ชายที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อนตรงหน้าคนนี้ถึงขั้นเป็นซื่อจื่อ?ใคร่ครวญครู่หนึ่ง ทั้งเสื้อผ้าที่สวมใส่และรัศมีสูงศักดิ์ อีกทั้งยังแปลกหน้ามาก นี่ก็คือซื่อจื่อไม่ใช่หรือ?ก่อนหน้านี้ทุกคนล้วนไม่เคยพบซื่อจื่อมาก่อน ย่อมมองไม่ออก เมื่อครู่นางคิดเพียงว่าซ่งรั่วเจินรู้จักจะต้องไม่ใช่คนดีอะไร ถึงขั้นลืมความเป็นไปได้นี้ไป!“เมื่อครู่เจ้าพูดเหลวไหลไม่น่าฟังจริงๆ ยังไม่รีบขอขมาซื่อจื่ออีก?”ซ่งรั่วเจินเหล่มองซ่งปี้อวิ๋นแวบหนึ่ง แม้พูดว่านับตั้งแต่ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย นางเพิ่งเคยพบหน้าญาติผู้น้องเป็นครั้งแรก แต่ภายในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมกลับรู้ว่าญาติผู้น้องคนนี้ลึ
สีหน้าซ่งปี้อวิ๋นแดงเรื่อ นางไม่เคยได้รับความอับอายเพียงนี้มาก่อน นี่เห็นนางเป็นขอทานไปแล้วรึ?ยังใส่ข้าวให้นางนำกลับไปด้วย นี่นับเป็นอะไรกัน!“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!” ซ่งปี้อวิ๋นร้องไห้สะอึกสะอื้นจากไป ความคิดเล็กๆ ภายในใจหายไปจนเกลี้ยงเคอหยวนจื่อยืนเก้อกระดากอยู่ที่เดิม ไม่รู้ต้องทำเยี่ยงไรดี วันนี้บิดามารดานางก็มาด้วย หากนางเองก็ถูกไล่ออกไป นั่นยังไม่ทำให้ครอบครัวเสียหน้าอีกหรือ?เพราะเหตุนี้ นางทำได้เพียงกัดฟันทำความเคารพ “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นข้าทำพลาดไป ซื่อจื่อโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ”ขอบตานางแดงเรื่อ สบมองฉู่จิ่นหวนอย่างโศกเศร้าแวบหนึ่ง คล้ายกำลังหวังให้เขาพูดปลอบตนเองหนึ่งประโยคเพียงน่าเสียดาย ฉู่จิ่นหวยโบกมืออย่างรังเกียจ “จะร้องก็ไปร้องที่อื่น เห็นแล้วอัปมงคล!”ความคิดของเคอหยวนจื่อมลายหายไปในทันใด ซื่อจื่อที่ตามหากลับมาไม่ได้เรื่องไม่ผิดไปดังคาด แม้แต่เกียรติขั้นพื้นฐานก็ไม่มี!ซ่งรั่วเจินมองฉู่จิ่นหวยอย่างแปลกใจ เมื่อครู่ฉู่จิ่นหวยและนางสนทนากันอย่างเกรงใจ แต่ท่าทีที่มีต่อสองคนนี้กลับแตกต่างออกไปฉู่จิ่นหวยเลื่อนสายตาก็สังเกตเห็นแววตาแปลกใจของซ่งรั่วเจิน พูดอย่างเก้อกระดาก
ซ่งรั่วเจินมองผ่านสีหน้าฉู่จิ่นหวยก็เข้าใจว่าตอนนี้เขาเองก็ลำบากแม้ไม่มีชีวิตตรากตรำอดอยากอีกแล้ว ทว่าในฐานะซื่อจื่อ ทุกคนต่างสนใจ คนข้างกายเองก็พรั่งพร้อมด้วยความมั่งคั่งและบารมีแม้ว่าต่อหน้าไม่พูด คนเยาะหยันลับหลังจะต้องมีไม่น้อย หากไม่ระวังทำเรื่องน่าขันจะกลายเป็นจุดอ่อนเอาได้ อยู่ในจวนอ๋องไม่มีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งมากมายนักหากเขาเป็นคนไม่ใส่ใจอะไร ตราบใดมีของกินของดื่มก็ช่างเถอะ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เป็นเช่นนั้น“ซื่อจื่อ ร่างกายท่านยังต้องดูแลให้ดีๆ ไม่จำเป็นต้องเสียสมาธิเพราะเรื่องเหล่านี้”“เดิมทีก็เป็นความผิดของคนร้าย ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง หากมีคนเยาะหยันท่านเพราะเรื่องนี้ เกินกว่าครึ่งนั้นคือริษยา ในเมื่อสามารถทำให้พวกเขาริษยาได้ ก็เพียงพอให้พิสูจน์ว่าท่านแข็งแกร่งยิ่งกว่าพวกเขา”ซ่งรั่วเจินเอ่ยปากปลอบโยน นางรู้ฉู่จิ่นหวยจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในภายภาคหน้า ทว่าเพราะเพิ่งกลับมาจึงยังไม่เป็นอะไร แต่ต่อให้เริ่มแสวงหาความรู้ในตอนนี้ แม้ประสบความสำเร็จช้าแต่ก็สำเร็จฉู่จิ่นหวยชะงักเบาๆ คนที่ได้พบหลังเขากลับมาล้วนหาทางเอาใจเขาทีแรกเขาคิดว่าพวกเขาหวังด
จากนั้น เพียงนั่งลงก็สังเกตเห็นสายตาหลายคู่ หนึ่งในนั้นก็คือสายตาของถังเสวี่ยหนิงไม่เพียงแค่ถังเสวี่ยหนิง แม่นางคนอื่นสองสามท่านเองก็ทอดสายตามองนางอย่างดูเบา โอหังอย่างเห็นได้ชัดซ่งรั่วเจิน “...” นี่คือกำลังวางมาดโอหังหรือ?“แม่นางซ่ง เมื่อครู่ข้าได้ยินมาว่าเจ้าและซื่อจื่อสนทนากันอย่างออกรสออกชาติ หรือว่าก่อนหน้านี้เจ้ารู้จักกับซื่อจื่อ?”ถังเสวี่ยหนิงเลิกคิ้ว ลอบเยาะหยันภายในใจ ก่อนหน้านี้ยังคิดว่าซ่งรั่วเจินมีศักดิ์ศรี เห็นหลินจือเยว่สู่ขอภรรยาหลวงลำดับทัดเทียมกันจึงถอนหมั้นบัดนี้ได้เห็นนางเกี้ยวพาฉู่อ๋องก่อน ตอนนี้ก็เริ่มเกี้ยวพาซื่อจื่อ นี่คือต้องการแต่งกับคนระดับสูง ก็ไม่ดูตนเองบ้างว่ามีฐานะเยี่ยงไร คู่ควรหรือไม่!ซ่งรั่วเจินได้ยินก็ปรายตามองเคอหยวนจื่อนิ่งๆ แวบหนึ่ง เมื่อครู่ยามนางสนทนากับซื่อจื่อ มีเพียงเคอหยวนจื่อและซ่งปี้อวิ๋นรู้เรื่อง ซ่งปี้อวิ๋นถูกไล่ออกไปแล้ว เหลือเพียงนางเท่านั้นดูท่าแล้วในช่วงเวลานี้ เคอหยวนจื่อเล่าเรื่องออกไปแล้ว ความเร็วนับว่าว่องไวมากทีเดียว!เคอหยวนจื่อสังเกตเห็นสายตาของซ่งรั่วเจิน หลบสายตาอย่างประหม่า ลอบร้อนตัวภายในใจทั้งๆ ที่ไม่พบกันเ
ถ้อยคำนี้พูดออกไปแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงเจี่ยงเหวินจิ้ง แม้แต่ถังเสวี่ยหนิงเองก็นั่งไม่ติดแล้ว วาจาของพวกเขาไม่น่าฟังจริงนั่นล่ะ แต่ซ่งรั่วเจินนี่คือกำลังด่าคน!“นี่เจ้าไปฟังมาจากที่ใด? เห็นได้ชัดว่าจงใจสร้างข่าวลือ!” พานเหราชี้หน้าด่าว่าซ่งรั่วเจินอย่างโมโห“ข้าตั้งใจสร้างข่าวลือ? พวกเจ้าต่างหากกระมัง?” ซ่งรั่วเจินเลิกคิ้ว สายตาเย็นชาลงทีละน้อย“มองไม่ออกว่าเดิมทีข้าไม่อยากใส่ใจพวกเจ้ากระนั้น? แต่ละคนก็ไม่ดูตนเองบ้างว่านับเป็นตัวอะไร คิดว่าสองสามคนสมรู้ร่วมคิดกันมาเยาะหยันสองประโยคก็แสดงความยุติธรรมได้แล้วรึ?”“อยากสนทนากับซื่อจื่อเพียงนี้ เช่นนั้นก็ไปด้วยตนเองเถอะ ไม่เห็นจะต้องคนอื่นพูดหนึ่งประโยคก็ริษยาตาแดงเช่นนี้ หน้าตาใจแคบเชิดหน้าชูตาไม่ได้โดยแท้!”“ข้าเห็นพวกเจ้าเช่นนี้ ไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่คล้ายคุณหนูสายตรง กลับคล้ายท่าทางของอนุคนหนึ่ง น่าสนใจจริงๆ”พริบตาต่อมาคนอื่นบนโต๊ะล้วนเบิกตากว้าง คิดเพียงว่าถ้อยวาจาของซ่งรั่วเจินคมกริบเกินไปแล้ว คำพูดเช่นนี้พูดลับหลังก็นับว่าใจกล้ามากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดว่าถึงขั้นพูดต่อหน้า!ฉีกหน้ากันจนหมดแล้วจริงๆ ไม่ไว้หน้ากันเลยแม้แต่น้อย!เพีย
“ข้ากลับสงสัยมากว่าท่านอ๋องพระชายาออกคำสั่งห้ามมิให้ใครพูดคุยกับซื่อจื่อหรือ? หรือว่าพวกเจ้าสามารถเป็นตัวแทนของท่านอ๋องกับพระชายาได้?”“มิสู้ไล่ข้าออกไปโดยตรงเสียเลย หาไม่แล้วหากข้ายังอยู่ต่อไป มิใช่ว่าจะกลายเป็นข้าล่วงเกินจวนเซียงอ๋องหรอกหรือ?”เพราะการกระทำบนโต๊ะไม่เบา สองสามโต๊ะรอบข้างเองก็ได้ยินแล้ว เดิมทีงานเลี้ยงไม่มีอะไรน่าสนใจ กลับครึกครื้นขึ้นมาแล้ว“ข้าเห็นว่าซ่งรั่วเจินเองก็พูดได้ไม่เลว ต่อให้พูดคุยกับซื่อจื่อสองสามประโยคจริงยังมีอันใดพิเศษกันเล่า? ก็เพราะหัวใจสายตาสกปรกมองสิ่งใดก็สกปรก!”“ปกติพวกเจี่ยงเหวินจิ้งก็เชี่ยวชาญเรื่องรังแกคนมิใช่หรือ? แต่ละคนล้วนปากร้าย ดังนั้นทุกคนจึงเลือกเดินอ้อมไม่ขอข้องเกี่ยว ไม่ยอมสนใจพวกเขาเท่านั้นแล้ว”“เมื่อครู่ข้าได้ยินตอนพระชายาเซียงอ๋องและซ่งฮูหยินพูดคุยกัน ได้ยินว่าแม่นางซ่งใจดีมีเมตตา เมื่อแรกซื่อจื่อเร่ร่อนอยู่ภายนอกเกือบหิวตาย เป็นแม่นางซ่งไม่รังเกียจ มอบเงินก้อนหนึ่งให้เขา”“ซื่อจื่อจำเรื่องนี้ไว้อยู่ตลอด ดังนั้นถึงตั้งใจเชิญทั้งจวนสกุลซ่งมา ครั้นอยู่ในปากพวกเขาก็กลายเป็นซ่งรั่วเจินหาทางยั่วยวนซื่อจื่อ ทำเลยเถิดเกินไปจริงๆ!”
ถังเสวี่ยหนิงเผยสีหน้าเอือมระอา “ข่งฮูหยิน ทั้งหมดล้วนเป็นความเข้าใจผิด พวกเราเองก็มิได้พูดอะไร แต่แม่นางซ่งกลับไม่ยอมเลิกรา โวยวายจนมาถึงขั้นนี้ ขออภัยจริงๆ...”เจี่ยงเหวินจิ้งรีบช่วยพูด “ซ่งรั่วเจินบีบคั้นคน โวยวายจนคนกินข้าวไม่ลง ไม่รู้ว่าตกลงคิดจะทำอันใด!”ซ่งรั่วเจินมองเห็นพวกถังเสวี่ยหนิงหาเรื่องกลับ สายตาตกลงบนตัวคนเพิ่งมาใหม่ ใบหน้าเรียบเฉย“พูดเช่นนี้แล้ว ล้วนเป็นซ่งรั่วเจินก่อเรื่อง?” ข่งฮูหยินเอ่ยถามเสียงเครียดพานเหราพยักหน้า “เป็นนางที่ก่อเรื่อง เดิมทีทุกคนกำลังสนุกครึกครื้น เพียงนางมาถึงก็ก่อความไม่สงบแล้ว เดิมทีคนเช่นนี้ก็ไม่เหมาะเข้าร่วมงานเลี้ยง!”“เช่นนั้นจากที่พวกเจ้าดู เรื่องนี้สมควรจัดการเยี่ยงไร?” ข่งฮูหยินเอ่ยถามอีกครั้งเจี่ยงเหวินจิ้งและพานเหราหันมองทางถังเสวี่ยหนิง พวกเขาไม่รู้จักข่งฮูหยิน ทั้งยังไม่รู้ว่าสมควรทำเช่นไรถังเสวี่ยหนิงรีบเลื่อนสายตา ทำเป็นมองไม่เห็นสายตาของทั้งคู่ ตัวโง่งมสองคนนี้มองทางนางทำอันใด? มิใช่กำลังบอกทุกคนว่าวันนี้นางต่างหากเป็นคนวางอุบายอีกหรือ?เห็นสภาพการณ์แล้ว เจี่ยงเหวินจิ้งเอ่ยถาม “คนเช่นนี้ย่อมต้องไล่ออกไป!”ข่งฮูหยินพยั
เมื่อถ้อยคำนี้พูดออกไป สีหน้าถังเสวี่ยหนิงเปลี่ยนไปแล้ว แต่ไหนแต่ไรมามารดาเข้มงวดมาก หากรู้ว่านางทำเรื่องพรรค์นี้ จะต้องตำหนินางแรงๆ แน่“ข่งฮูหยิน นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ พวกเราแค่กังวลจะมีคนวางอุบายเข้าใกล้ซื่อจื่อเท่านั้น ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุจึงเกิดความเข้าใจผิดเช่นนี้”“หากแม่นางซ่งพูดให้กระจ่างตั้งแต่แรก พวกเราเองก็ไม่ต้องคาดเดา...”ข่งฮูหยินยกมือ “ไม่ต้องพูดแล้ว เชิญเถอะ”ภายใต้ความเอือมระอา ถังเสวี่ยหนิงทั้งสามคนทำได้เพียงลุกขึ้นยืนอย่างไม่เต็มใจ เผชิญหน้ากับสายตารอบข้างก็ยิ่งรู้สึกอับอาย เหตุใดพวกเขาต้องถูกปฏิบัติเช่นนี้ด้วย!“ซ่งรั่วเจิน ฝากไว้ก่อนเถอะ!”ถังเสวี่ยหนิงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ถลึงตาใส่ซ่งรั่วเจินแรงๆ หนึ่งปราด รู้สึกเสียใจภายหลังภายในใจอย่างอดไม่ได้ เมื่อครู่ไม่สมควรลุกออกมาช่วยพูด หาไม่แล้วต่อให้เจี่ยงเหวินจิ้งทั้งสองถูกไล่ออกไป ก็คงไม่เดือดร้อนมาถึงนาง“ข้ารออยู่นะ”สีหน้าซ่งรั่วเจินเหมือนเดิม ในเมื่อไม่สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้ เช่นนั้นก็ฉีกหน้ากันไปเสียเลย อย่างไร้เสียก็ไม่จำเป็นต้องทนหลังจากพวกถังเสวี่ยหนิงจากไป ใบหน้าข่งฮูหยินเผยรอยยิ้มชมชอ
“หากเรื่องนี้มีเงื่อนงำอยู่จริง เหอเซียงหนิงเองก็น่าสงสารเกินไปแล้วกระมัง!”“นี่คือบีบคั้นคนให้ตาย จะต้องได้รับความทุกข์ใจอย่างหนักเป็นแน่ ซ่งรั่วเจินโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!”กลุ่มคนต่างชี้หน้าบริภาษขึ้นมาระลอกหนึ่ง ฉินซวงซวงลอบลำพองใจภายในใจ เพื่อทำให้ชื่อเสียงซ่งรั่วเจินเสื่อมเสีย นางวางแผนทั้งหมดไว้อย่างดีแล้ว!ฉู่จวินถิงเหลียวมองคนที่เป็นผู้นำของกลุ่มคน ออกคำสั่งผู้อยู่ใต้อาณัติ “จับตามองคนเหล่านั้นอย่างใกล้ชิด ห้ามมิให้หลุดรอดไปได้แม้คนเดียว”“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”“ไม่ต้องกังวล คนเหล่านี้น่าจะถูกซื้อตัวไว้แล้ว จงใจพูดเช่นนี้ อีกเดี๋ยวสอบสวนอย่างละเอียดก็จะรู้ผล”สุ้มเสียงฉู่จวินถิงมั่นใจมาก สอบสวนคนเหล่านี้ เดิมทีก็ไม่ต้องใช้วิธีการมากมายอะไร เพียงถามอย่างไม่ตั้งใจก็สามารถรู้ได้ซ่งรั่วเจินเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “ท่านอ๋องไม่สงสัยหม่อมฉันเลยหรือ?”“เหตุใดข้าต้องสงสัยเจ้าด้วย?” ฉู่จวินถิงสุขุมสงบนิ่ง “ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อแรกเหอเซียงหนิงทำกับเจ้าเยี่ยงไร ข้าเข้าใจทั้งหมดแล้ว”“ยิ่งไม่ต้องพูดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือเจ้า ต่อให้เป็นฝีมือเจ้า ก็ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม”ภายในสายตาของฉู่จวิน
“เจ้าว่ามาเถิด” ฮองเฮาเอ่ยเรือนคิ้วฉู่จวินถิงขมวดขึ้นเล็กน้อย สายตาที่เขาใช้มองไปยังถังเสวี่ยหนิงแกมแฝงด้วยความเยียบเย็นหญิงผู้นี้ยังไม่คิดจะลดราวาศอกอีก!“อย่ากลัวไปเลย มีข้าอยู่”ฉู่จวินถิงหันมองซ่งรั่วเจิน แสดงท่าทีให้นางมั่นใจว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็จะอยู่ข้างกายนางเสมอซ่งรั่วเจินย่อมไม่หวั่นเกรงต่อเล่ห์กลของถังเสวี่ยหนิงและพรรคพวกอยู่แล้ว ทว่าเมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ของฉู่จวินถิง ในใจก็ยังคงอดรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาไม่ได้อยู่ดีถังเสวี่ยหนิงกลับเกรงกลัวฉู่จวินถิงเสียจนแทบไม่กล้าสบสายตาเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อหันมองไปยังซ่งรั่วเจิน ท่าทีก็ยังคงกระด้างกระเดื่องเช่นเดิม“คุณหนูซ่ง ข้าได้ยินเรื่องเช่นนี้แล้วก็ตกใจมากจริงๆ มิอยากจะเชื่อเลยว่าในเมืองหลวงจะยังมีผู้ใดอาจหาญกล้าทำเรื่องเช่นนี้ลงได้ ช่างลบหลู่กฎเกณฑ์ราชสำนักเกินไปแล้ว!”“ดังนั้นข้าจึงอยากใช้โอกาสนี้ถามไถ่ให้ชัดแจ้ง หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”ถ้อยคำหลายต่อหลายคำของถังเสวี่ยหนิง ทำเอาสีหน้าของผู้คนโดยรอบเปลี่ยนไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ต่างพากันสงสัยว่าเป็นเรื่องร้ายแรงประการใดกัน?“รั่วเจิน พวกถังเสวี่ยหนิงดูท่าคงมิได้มีเจตนาดีเป
อวิ๋นเนี่ยนชูเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ปิดไม่มิดถึงความอิจฉา “โชคดีนักที่หลินจือเยว่มิได้แต่งกับนาง หาไม่แล้วคงคลาดกันกับคนดีเช่นฉู่อ๋องไปแล้วกระมัง?”“ฉู่อ๋องไม่เพียงมีรูปโฉมงดงาม วรยุทธเลิศล้ำ อีกทั้งฐานะยังมิธรรมดา สำคัญที่สุดก็คือผู้คนต่างรู้กันดีว่าฉู่อ๋องอารมณ์ร้ายเพียงใด แต่กลับดีต่อนางอยู่เพียงผู้เดียว เรื่องนี้น่าอิจฉาที่สุดแล้ว”อวิ๋นเฉิงเจ๋อเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ข้างกาย นำเอาภาพใบหน้าฉายแววอิจฉานั้นเก็บเอาไว้จนสุดสายตา ไม่รู้ว่าในใจคิดอ่านถึงสิ่งใดอยู่ทว่าถ้อยคำนี้กลับลอยไปเข้าหูหลินจือเยว่เข้าพอดิบพอดี สีหน้าที่หมองหม่นอยู่ก่อนแล้วจึงได้ย่ำแย่เสียยิ่งกว่าเก่าก่อนนี้เขาคิดเพียงว่าฉู่อ๋องคงหูตามืดบอด ตอนนี้เขาเห็นแจ้งแล้วว่าตนเองต่างหากที่หูตามัวหมองไปเลือกคนผิดมาแต่งงานด้วยจนชีวิตพังพินาศ แต่จะทำกระไรได้อีกเล่า?ฉินซวงซวงยืนจ้องมองคนที่ในชาติที่แล้วนางคอยตามตื๊ออยู่นานอย่างฉู่อ๋อง กระทั่งเคยยอมทอดทิ้งศักดิ์ศรีมาแล้วก็ยังไม่อาจแลกเปลี่ยนเป็นการแลเหลียวจากเขาได้แม้แต่สักครั้ง แต่เขากลับปฏิบัติต่อซ่งรั่วเจินดีเช่นนั้น ทำเอานางริษยาเสียจนแทบบ้าอยู่แล้ว!มีสิทธิ์อะไรกัน?ซ่งรั่ว
เมื่อถือเวลาประกาศผลสุดท้าย ก็พลันระเบิดเสียงฮือฮาดังขึ้นมากลางหมู่ฝูงชน“อันดับหนึ่งได้แก่ฉู่อ๋อง!”สิ้นเสียงประกาศ ผู้คนก็ต่างพากันเอ่ยชื่นชมไม่ขาดปาก ทว่าก็หาได้มีผู้ใดแปลกใจแม้แต่น้อย“ฝีมือการขี่ม้าและยิงธนูของฉู่อ๋องตลอดมาก็ล้วนเหนือผู้ใด วันนี้ไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตองค์ชายทั้งสองพระองค์ไว้ได้ อีกทั้งยังคว้าชัยได้อันดับหนึ่งมาครอบครอง สมกับที่ชื่อเสียงเลื่องลือเสียจริงๆ!”“ได้ยินมาว่าสองคนที่หนีรอดไปได้ก็ฉู่อ๋องนั่นล่ะที่จับตัวเอาไว้ได้ เก่งกาจยิ่งนัก!”โดยปกติแล้วฉู่จวินถิงไม่ได้ใส่ใจกับความสำเร็จในลักษณะนี้แม้แต่น้อย ทว่าขณะนั้นเอง สายตาของเขาพลันหันมองไปยังซ่งรั่วเจินซ่งรั่วเจินเองก็หันไปมองฉู่อ๋องทันทีที่ได้ยินคำประกาศ เห็นแต่เพียงใบหน้าหล่อเหลาไม่เป็นสองรองใครของเขากำลังคลี่ยิ้มออกมาเจิดจ้าราวแสงอาทิตย์ชั่วขณะนั้น เขาก็ดูคล้ายจะเปล่งประกายเสียยิ่งกว่าแสงอาทิตย์เสียอีก รอยยิ้มอบอุ่นของเขาแกมแฝงด้วยความไม่แยแสยี่หระ ยิ่งกว่านั้นยังเปี่ยมอิสระเสรีไม่ยึดติดอันเป็นเอกลักษณ์ของคนหนุ่มทำเอาจังหวะเต้นของหัวใจใครหลายคนต่างสะดุดไปตามๆ กันในฐานะอันดับหนึ่ง รางวัลที่ได้ก็ย่อม
ตั้งแต่ซ่งจิ่งเซินกลับมา เขาก็ได้รับรู้ว่าหลินจือเยว่ทอดทิ้งน้องสาวของตนไปเพราะฉินซวงซวง ในใจก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าขุ่นเคืองเพียงใดเดิมทีคิดจะหาโอกาสสั่งสอนหลินจือเยว่เสียบ้าง ต่อมาได้รู้ว่าพวกน้องสามได้จัดการกันไปแล้ว จนบัดนี้แม้แต่ที่ให้ซุกหัวนอนก็ยังไม่มีจะอยู่หากเป็นคนทั่วไปแล้วเล่าก็ ใครยังจะมีแก่ใจมาพลอดรักกันอวดผู้คนให้อับอายขายขี้หน้าเช่นนี้ โชคยังดีที่น้องหญิงห้ายังไม่ทันได้แต่งออกไปกับคนเช่นนั้น!“หน้าของฉินซวงซวงนี่ก็ช่างหนายากจะหาผู้ใดเทียมเทียบจริงเชียว!”เมิ่งชิ่นหรี่เดินตาหยีด้วยแขยงสายตามาอยู่ข้างกายซ่งรั่วเจิน “ตั้งแต่นางมาวันนี้ก็ทำเอาผู้คนไม่น้อยเกิดไม่พอใจ แต่ดูเหมือนนางจะไม่ใส่ใจสักนิด ซ้ำยังจะมีหน้ามาทำระรื่นอยู่ได้”“ข้าว่าหลินจือเยว่ยิ้มได้มิน่าดูเสียยิ่งกว่าร้องไห้อีก แต่นางราวกับมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น ข้าว่าอย่างไรพวกเขาคงไปกันได้ไม่นานนักหรอก”ซ่งรั่วเจินมองเมิ่งชิ่นที่ยู่ตรงหน้าพลางยิ้มบาง “ยันต์คุ้มกายที่ข้าให้ไปใช้ได้ผลดีหรือไม่?”“ได้ผลดียิ่งเลยล่ะ!” เมิ่งชิ่นจับมือซ่งรั่วเจินความตื้นเต้นในใจ หน่วยดวงตาเต็มด้วยความตื้นต้น “หากมิใช่เพราะเจ้า ต
แม้จะกล่าวได้ว่าชื่อเสียงป่นปี้ไปแล้ว แต่ผู้คนต่างรู้ดีว่าอย่างไรนางก็เป็นเหยื่อ ไม่ได้ถึงขั้นที่ต้องถูกรังเกียจเดียดฉันท์ราวหนูโสโครกบนท้องถนนเฉกเช่นทุกวันนี้หลินจือเยว่เมื่อได้เห็นว่าซ่งจืออวี้เจ้าคนกำยำล่ำหนาผู้นั้นได้เป็นถึงราชองครักษ์หน้าพระที่นั่งขั้นสาม ก็อดพาลอิจฉาขึ้นมาไม่ได้อยากจะเป็นราชองครักษ์หน้าพระที่นั่งนั้นไม่ได้ง่ายดาย และแม้จะได้เป็นจริงแล้วก็ต้องเริ่มจากการเป็นราชองครักษ์หลานหลิง ทว่าซ่งจืออวี้กลับข้ามขั้นขึ้นมาเป็นราชองครักษ์หน้าพระที่นั่งขั้นสามโดยตรงเลยเสียนี่ยิ่งไปกว่านั้น ในวันนี้เขาก็ยังมีความดีความชอบจากการช่วยชีพองค์ชายเอาไว้ องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองเห็นในส่วนนี้ย่อมพิจารณาเลื่อนขั้นให้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความใส่ใจที่ฉู่จวินถิงมีต่อสกุลซ่งเขาแทบจะมั่นใจได้เลยว่า หนทางของซ่งจืออวี้ย่อมจะต้องราบรื่นไร้อุปสรรคขวากหนามใดขวางกั้น ทว่าวาสนาทั้งหมดทั้งมวลนี้เดิมทีควรจะเป็นของเขาต่างหากเล่า!“จือเยว่ ซ่งรั่วเจินแย่งชิงวาสนาของเราไปเช่นนี้แล้ว ท่านก็ควรจะรู้ได้แล้วว่านางเป็นคนเช่นไร!” ฉินซวงซวงกล่าวหลินจือเยว่ปรายตามองฉินซวงซวง ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยชอบพอนาง
“ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงหรือ? พี่น้องตระกูลซ่งไม่เพียงช่วยเหลือองค์ชายรอง แต่ยังช่วยองค์ชายใหญ่ไว้ด้วย?”ฉินซวงซวงจับมือเหอเซียงหนิงไว้ด้วยสีหน้าร้อนใจ ดวงตาฉายแววเหลือเชื่อ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?ชาติที่แล้วคนถูกลอบสังหารคือองค์ชายรองชัดๆ นอกจากนี้ ข้อมูลที่สืบพบในตอนท้ายยังเผยว่าทุกอย่างล้วนเป็นฝีมือองค์ชายใหญ่ เหตุใดชาตินี้จึงไม่เหมือนเดิมเล่า?ถ้าองค์ชายใหญ่ก็ถูกลอบโจมตีด้วย เช่นนั้นแล้วตัวการเบื้องหลังคือใครกันแน่?“ไม่ผิดแน่นอน ครู่ก่อนข้าเห็นกับตาว่าพี่น้องตระกูลซ่งพาองค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองกลับมา ซ่งรั่วเจินกับฉู่อ๋องก็กลับมาพร้อมกัน”“หมอหลวงเข้าไปถวายการรักษาในทันที ต่อมายังมีข่าวออกมาว่า องค์ชายทั้งสองถูกลอบโจมตีในเขตล่าสัตว์ของเชื้อพระวงศ์ โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากพี่น้องตระกูลซ่งจึงรักษาชีวิตไว้ได้”เหอเซียงหนิงมีสีหน้าย่ำแย่จนถึงที่สุด เดิมตั้งใจว่าจะใช้โอกาสวันนี้ทำให้ซ่งรั่วเจินพ่ายแพ้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกคนทั้งเมืองหลวงชิงชังรังเกียจเหมือนหนูข้างถนน ทำร้ายนางจนตกอยู่ในสภาพนี้ ซ่งรั่วเจินมีสิทธิ์อะไรถึงยังมีชีวิตดีๆ อยู่ได้?แต่...ยามนี้ตระกูลซ่งสร้างคว
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดบัญชี รออีกสักหน่อยค่อยไปพูดกับซ่งรั่วเจินให้รู้เรื่องก็ยังไม่สาย“อี้ชวน อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” เกากุ้ยเฟยถามอย่างเป็นห่วงฉู่อี้ชวนแสดงคารวะก่อนกล่าวว่า “แม้ลูกจะได้รับบาดเจ็บบ้าง แต่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต เสด็จแม่ไม่ต้องเป็นห่วง”“เช่นนั้นก็ดี” เกากุ้ยเฟยถอนหายใจโล่งอก “เจ้ารีบไปพักผ่อนดีกว่า”ฮ่องเต้รับทราบอาการบาดเจ็บของฉู่อี้ชวนจากปากหมอหลวงแล้ว แม้ไม่ได้สาหัสเท่าฉู่เทียนเช่อ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง ยามนี้ยังมีสีหน้าซีดขาว แต่กลับไม่ได้เน้นย้ำเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคน เด็กคนนี้เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด“นั่งลงพักก่อนเถอะ”“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ”หลังจากฉู่อี้ชวนมาแล้ว มีเขาบอกเล่ารายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ด้วยตัวเอง บวกกับคำบอกเล่าของฉู่จวินถิงก็เป็นการยืนยันความดีความชอบของพี่น้องตระกูลซ่งในที่สุด“ครั้งนี้พวกเจ้าสี่พี่น้องช่วยเหลือองค์ชายทั้งสองเอาไว้ สร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ อยากได้รางวัลแบบไหนก็บอกมาได้เลย!”ฮ่องเต้พอพระทัยสี่พี่น้องตระกูลซ่งยิ่งนัก ซ่งหลินข่าวคราวเงียบหาย ทุกคนล้วนยอมรับกันอย่างเงียบๆ ว่าเขาคงไม่
“พวกเจ้าสี่คนบังเอิญผ่านไปบริเวณนั้นพอดี?”ฮ่องเต้กวาดสายตาผ่านพวกซ่งเยี่ยนโจวสี่พี่น้อง ดูเหมือนถามคำถามทั่วไป แต่กลับทำให้คนรู้สึกกดดันอย่างมากซ่งเยี่ยนโจวกับซ่งอี้อันล้วนเคยเข้าเฝ้าฮ่องเต้มาก่อน แม้จะรู้สึกกดดันไม่น้อย แต่ก็ไม่ถึงกับแตกตื่น ซ่งจืออวี้กับซ่งจิ่งเซินกลับรู้สึกว่าสายพระเนตรของฮ่องเต้มีแรงกดดันใหญ่หลวง ทำให้พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง“พวกกระหม่อมสี่คนกำลังล่าสัตว์อยู่แถวนั้นพอดี น้องสามของกระหม่อมไปพบเข้าก่อน พวกกระหม่อมได้ยินเสียงน้องสามจึงรีบตามไปพ่ะย่ะค่ะ” ซ่งเยี่ยนโจวตอบอย่างไม่เย่อหยิ่งและไม่ต่ำต้อยฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็ทอดพระเนตรซ่งจืออวี้กับซ่งจิ่งเซินพี่น้องฝาแฝดคู่นี้ หน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียด แต่กลับมีลักษณะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงถึงจะไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่ก็เคยได้ยินเกี่ยวกับพี่น้องฝาแฝดตระกูลซ่งคู่นี้ว่านิสัยต่างกันสุดขั้ว ด้วยเหตุนี้จึงสามารถระบุตัวซ่งจืออวี้ได้อย่างง่ายดาย“เราได้ยินว่ามีมือสังหารถึงแปดคน แต่เจ้าตัวคนเดียวก็กล้าบุกเข้าไป?”ซ่งจืออวี้ตอบด้วยท่าทางกริ่งเกรง “ฝ่าบาท ตอนนั้นกระหม่อมเห็นองค์ชายทั้งสองตกอยู่ในอันตรายจึงกระโจนเข้าไปโด