บทที่ 37 ไข่เยี่ยวม้า และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึงเมื่อลุงโจวเดินมาพร้อมไข่ห่อขี้เถ้าหลายฟองที่ได้ลงมือหมักไปเมื่อเจ็ดวันก่อน ยามนี้ได้เวลาที่จะได้รู้แล้วว่ามันเหมือนกับที่ตนเคยเห็นหรือไม่ “คุณชายไข่เยี่ยวม้าของข้าน้อยพร้อมที่จะนำไปกินได้แล้วขอรับ” “ไข่เยี่ยวม้า? ไข่ห่อขี้เถ้านี่นะหรือลุงโจว” มือน้อยหยิบไข่ที่อยู่ในไหดินออกมาหนึ่งฟองแล้วพิจารณาอย่างถี่ถ้วนพลางขมวดคิ้ว คล้ายมากจริง ๆ จะใช่หรือไม่กัน “ใช่แล้วขอรับคุณชาย ไข่เยี่ยวม้าเป็นไข่ถนอมอาหารของทางใต้ที่เป็นบ้านเกิดของข้าก่อนที่จะย้ายเข้าไปเป็นพ่อบ้านในจวนของขุนนาง เนื่องจากทางใต้มีหน้าร้อนยาวนานมากกว่าหน้าหนาวนักอีกทั้งยังนิยมเลี้ยงไก่ไข่ส่งออกขายไปยังต่างเมืองรวมถึงเมืองท่าซือหลินด้วย แม้จะส่งออกไปขายแทบทุกวันก็ตาม แต่แม่ไก่กลับออกไข่มากเกินไปจนขายออกไม่ทันและเน่าเสียไปมากมายจนวันหนึ่งมีพ่อค้าจากแดนไกลเดินทางเข้ามาพร้อมไข่เยี่ยวม้าพวกนี้” โจวหลี่หรงวางไหดินลงแล้วหยิบไข่ขึ้นมาพร้อมแกะขี้เถ้าออกจนเหลือถึงแค่เปลือกไข่จากนั้นจึงตอกไข่เบา ๆ จนเปลือกแตกออกเผยให้เห็นเนื
บทที่ 38 ไข่สีดำ ในระหว่างที่เฝ้ารอให้ไข่เยี่ยวม้าที่ตนเองได้ลงมือพอกถึงเวลาอันสมควรที่จะนำมาขายที่ตลาดได้นั้น หยางเทียนหรงจำต้องลองนำไข่เยี่ยวม้าที่ลุงโจวทำเอาไว้ก่อนหน้ามาให้บรรดาลูกค้าที่มาเลือกซื้อไข่ไก่ที่แผงเป็นประจำได้ลิ้มลองรสชาติก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากไข่เยี่ยวม้ายังมีความคาวอยู่มากหากนำมาให้กินดิบคงไม่อาจขายให้ผู้ใดได้ ดังนั้นเด็กน้อยจึงทำการแปรรูปเป็นอาหารที่สามารถทำได้ทั่วไป แต่เพิ่มไข่เยี่ยวม้าเป็นตัวชูโรงความอร่อย อาหารที่เด็กน้อยเลือกทำมาในวันนี้นั่นก็คือ โจ๊กหมู แม้จะดูเป็นเพียงอาหารจืดชืดธรรมดาแต่เมื่อหั่นไข่เยี่ยวม้าที่มีรสเค็มวางลงไป ยามที่กินเข้าไปนั้นความเค็มจากไข่เยี่ยวม้าจะทำให้โจ๊กหมูธรรมดากลับมีรสชาติดีขึ้นมาเลยทีเดียว “นี่เจ้าหนู เหตุใดวันนี้จึงมีโจ๊กหมูมาขายด้วยเล่า เจ้าอยากขายอาหารหรือ” เกาซือหรงเห็นเด็กน้อยวางถ้วยดินเผาเรียงกันนับสิบใบแล้วทำการตักโจ๊กหมูใส่ลงถ้วยพวกนั้น ชายหนุ่มจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าต้องการขายไข่เยี่ยวม้าขอรับลุงเกา” “ไข่เยี่ยวม้า? มันคือสิ่งใดกัน” ไข่เยี่ยวม้า
บทที่ 1 เด็กอัปมงคล“เอาผิงกั๋วมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ เจ้าเด็กสารเลว” เสียงก่นด่าพลางแกะมือน้อย ๆ ออกจากผลผิงกั๋วที่หลานชายกำมันเอาไว้แน่นด้วยความโมโห เพราะอีกฝ่ายขัดขืนนางจึงลงมือผลักไหล่เจ้าตัวจนเด็กน้อยล้มลงไปบนพื้นดิน “ท่านยายเอาคืนข้ามานะขอรับ นี่มันของท่านพ่อของข้านะ” หลานชังวัยแปดปีอย่าง ‘หยางเทียนหรง’ ไม่ยินยอมจึงเกิดการแย่งชิง แต่แรงอันน้อยนิดของเด็กน้อยมันจะสู้แรงของยายเฒ่าแสนอ้วนท้วมได้อย่างไรกัน พลัก ตุบ “โอ้ย ฮึก” “ให้ข้ามาตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้ว” ยายเฒ่าไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อยว่าหลานชายตรงหน้าจะเจ็บปวดที่ใดนางสนแค่เพียงผลไม้ลูกโตนี่เท่านั้น “แต่ผิงกั๋วผลนั้นข้าเก็บมันมาให้ท่านพ่อไม่ใช่ท่านยายนะขอรับ” เด็กน้อยยังคงไม่ยินยอม และพยายามลุกขึ้นเพื่อที่จะช่วงชิงกลับคืนมาด้วยมันเป็นอาหารมื้อเย็นของบิดา เจ้าตัวน้อยไม่สามารถมอบมันให้บ้านใหญ่ได้อีกต่อไป “เพ้ย เดี๋ยวนี้เจ้ากล้าปากเก่งกับข้าเรอะเจ้าเด็กสารเลว สงสัยอยากจะลองดี อาหลางไปเอาท่อนไม้มาให้ข้า วันนี้ข้าจะสั่งสอนเด็กเลวนี่ให้รู้สำนึกว่าควรนึกถึงผู้ใดเป็นคนแรก หากหาอ
บทที่ 2 ชีวิตใหม่ของหยางเทียนหรง“ทำไมยายแก่นั่นถึงโหดร้ายมากขนาดนี้ นั่นหลานตัวเองไม่ใช่หรือไง ตีกันจนตายได้ยังไง” หยางเทียนหรงมองดูเด็กน้อยที่มีชื่อเหมือนกับตนเองแต่แต่งกายราวกับอยู่ในยุคโบราณ อีกทั้งยังมีใบหน้าคล้ายคลึงตนเองในตอนเด็กอีก ด้วยความสงสารตนจึงก่นด่าหญิงชราใจร้ายไม่หยุด เขาไม่คิดว่าการที่ตนเองหมดอายุขัยในโลกเดิมด้วยโรคร้ายอย่างมะเร็งปอดระยะสุดท้าย สิ่งที่คิดคือ ตนอาจจะต้องไปชดใช้กรรมในนรกสักแห่งหรือไม่ก็ไปเกิดใหม่เป็นสุนัขไม่ก็เดรัจฉานสักตัวในโลกใหม่ ไม่ใช่ถูกดึงวิญญาณมาโผล่ยุคโบราณแบบนี้ “แล้วคุณพาผมมาที่นี่ทำไมครับ ไม่ส่งไปเกิดใหม่หรือไงกัน” หยางเทียนหรงเอ่ยถามบุรุษข้างกายที่ยืนเงียบไม่พูดไม่จากับตนตั้งแต่พามาดูเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว “เจ้ามีนามว่าอะไรนะ” เสียงทุ้มเปล่งออกมาถามหลังก้มมองบันทึกการเกิดใหม่ในโลกจีนโบราณอีกครั้ง เพราะดวงวิญญาณที่ตนต้องนำมานั้นต้องมีนามว่า ‘หยางเทียนหลง’ วิญญาณชายหนุ่มผู้มีชะตาเป็นฮ่องเต้ไม่ใช่เด็กน้อยที่มีชะตาน่าอดสูเช่นนี้ มิน่าถึงได้มาโผล่ที่นี่แทนที่จะเป็นวังหลวง หรือเจ้าหนุ่มนี่มีชะตาผูกก
บทที่ 3 สูญเสียหยางเทียนหรงในร่างเด็กน้อยยังคงนอนแผ่ที่พื้นดินใต้ต้นไม้ใหญ่อยู่เช่นนั้นเพราะยังคงระบมจากบาดแผลที่ถูกทุบตีจากหญิงชราที่เป็นยายของเจ้าของร่าง คนเป็นป้าก็ไม่คิดที่จะห้ามปรามแต่กลับเป็นผู้นำร่างมาทิ้งให้สัตว์ป่ากัดกินซากเพื่อทำลายหลักฐานสารเลวนักคนเหล่านี้ไม่ควรได้รับการอภัยไม่ว่าจะสำนึกหรือไม่ก็ตามยิ่งความทรงจำสุดแสนจะเจ็บปวดของเจ้าของร่างที่ตนเพียงแค่หลับตายมันก็ประดังประเดเข้ามายิ่งกว่าสายธารไหลเชี่ยว มันยิ่งทำให้ตนรู้ว่าเด็กน้อยตรงหน้าผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาได้อย่างยากลำบากซึ่งเกิดจากการกระทำของผู้เป็นยายในวันที่แสงจันทราถูกรัตติกาลกลืนกินจนมืดมิดไปทั่วทั้งหมู่บ้านซีเป่ย คนในหมู่บ้านต่างกำลังหลับใหลอยู่ในเรือนกันอย่างมีความสุขยกเว้นคนในเรือนสกุลหยางที่กำลังเตรียมตัวเดินทางออกจากหมู่บ้านเพื่อไปงานเลี้ยงของจวนขุนนางที่อยู่เมืองหลวง “เจ้ามัวแต่รีรออะไรอยู่เหมยเอ๋อร์ รถม้าของจวนใต้เท้าหลี่ออกมารอที่หน้าหมู่บ้านแล้วไปแต่งกายให้งดงามเร็วเข้า” โจวซือเหยียนเอ่ยเร่งเร้าบุตรสาวที่ยังคงอยู่ในอาภรณ์เปรอะเปื้อนไร้ความงดงามทั้งที่มันได้เวลาออกเดินทางแล้ว แต่อีกฝ่ายย
บทที่ 4 ทุบตีจนตายแม้หญิงชราออกปากตัดขาดสองพ่อลูกออกจากสกุลอัน แต่มันกลับเป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้น เพราะทุกวันนางจะมารอช่วงชิงของป่าที่หลานชายแสนชังหามาได้จากชายป่าทั้งที่ของป่าพวกนั้นเรือนสกุลอันมิเคยขาดแคลนมันเลยแม้แต่น้อยวันนี้ก็เช่นเดียวกัน“เอากระต่ายของข้ามานะ ท่านยายเหตุใดท่านจึงมิห้ามปรามหลางเกอขอรับ เขามาแย่งชิงกระต่ายของข้า” มือน้อยพยายามแย่งชิงกระต่ายผอมแห้งกลับคืนมาหลังจากตนเพิ่งจับมาได้อย่างยากลำบาก เด็กน้อยทวงความยุติธรรมแต่สิ่งตอบแทนกลับล้วนเป็นความเจ็บปวดที่ผู้เป็นยายนั้นตั้งใจมอบให้“ท่านยายข้าอยากกินเนื้อกระต่ายย่างขอรับ” หลานชายอีกคนเป็นผู้แย่งชิงกระต่ายตัวน้อยมาจากเด็กน้อยผอมซูบ แล้วยังหันไปเอ่ยกับผู้เป็นยายว่าตนนั้นอยากกินสัตว์ป่าตัวนี้ทั้งที่มันมิใช่ของตน “เอาสิหลานรัก เดี๋ยวเย็นนี้ให้แม่ของเจ้าทำให้กินดีหรือไม่”“แต่น้องชายไร้ค่าไม่ให้ข้าขอรับ”“เพ้ย กับแค่กระต่ายตัวเดียวแค่นี้จะแบ่งให้พี่ชายเจ้ามิได้เชียวหรือ”“แต่มันคืออาหารของบิดาและข้านะขอรับท่านยาย แล้วจะให้ข้าแบ่งปันให้หลางเกอได้อย่างไรกัน โอ้ย ฮึก ท่านยายข้าเจ็บ” “หลานอกตัญญูเจ้ากล้าขัดข้าอย่างนั้นหรื
บทที่ 5 แม่ไก่ยักษ์ “ต้องขอบคุณเด็กคนนี้ที่เคยเข้าป่ากับพ่ออยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นฉันต้องหลงป่าตายแทนที่จะได้เอาคืนยายแก่นั่น” หยางเทียนหรงพยายามยันตนเองขึ้นมาจากพื้นดินที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้งกรอบ พลางปัดเศษใบไม้ที่ติดตามเสื้อผ้าจนเห็นว่าลักษณะของเสื้อที่สวมใส่อยู่นั้นสมกับเป็นจีนยุคโบราณเสียจริง “คนสมัยก่อนเขาไม่รู้สึกว่ามันโล่งเลยหรือไงกันถึงได้ใส่แค่เสื้อคลุมกับกางเกงยาวแบบนี้โดยไม่ใส่ชั้นใน” แม้จะเอ่ยถามเช่นนั้นแต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบเขาได้อยู่ดี ดังนั้นหยางเทียนหรงจึงทำได้เพียงปลดปลงแล้วค่อย ๆ ก้าวเดินกลับไปตามเส้นทางที่มุ่งสู่บ้านหลังน้อยของตนที่อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก “ก่อนที่จะตายเด็กคนนี้ถูกแย่งผิงกั๋วไปนั่นหมายความว่าป่านนี้แล้วพ่อต้องยังไม่ได้กินอะไรแน่ เราต้องหาของป่ากลับไปกินด้วย อึก ซี่โครงหักหรือเปล่าเนี่ย ทำไมมันเจ็บแบบนี้นะ” เพราะถูกแย่งชิงผิงกั๋วไปหยางเทียนหรงจึงคิดไปเองว่าบิดาของเจ้าของร่างนั้นคงยังไม่ได้กินอะไรแน่นอน ดังนั้นตนจึงคิดเก็บของป่ากลับไปด้วย กะต๊าก กะต๊าก เสียงไก่นี่ อย่าบอกนะว่าไก่ที่ผู้คุมวิญญาณมอบให
บทที่ 6 จากไปแล้ว “ฮ่า ฮ่า ข้าจะบอกให้เจ้ารู้เอาไว้ ว่าบุตรชายที่เจ้ารักนักหนายามนี้ คงกลายเป็นอาหารสัตว์ป่าไปแล้ว อดีตบุตรเขยของข้าเอ๋ย”เท้าของหญิงชราเหยียบลงกลางอกของบุรุษที่มีรูปลักษณ์ซูบตอบอีกทั้งยังตาบอดจนช่วยตนเองแทบไม่ได้ ชาวบ้านหลายคนมามุงดูแต่ก็รีบกลับไปหลังเจอคำขู่จากภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านว่าจะไม่ให้กู้ยืมตำลึงหากมาช่วยอดีตลูกเขยไร้ค่าสาเหตุที่ชาวบ้านเพิกเฉยการช่วยเหลือสองพ่อลูกนั่นเป็นเพราะสกุลอันทำการปล่อยเงินกู้โดยใช้ที่นามาแลกเปลี่ยนและยังคิดดอกเบี้ยเจ็ดส่วนจากสิบส่วน แม้จะดูขูดเลือดไปแต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยแย้งด้วยเกรงกลัวว่าตนเองจะไม่ได้เงิน “ยายแก่นี่เอาอีกแล้วนะ ไหนบอกแยกบ้านกันไปแล้วไง ทำไมถึงได้มาวุ่นวายกับสองพ่อลูกนี่อีก ตัวเองก็มีเงินมากกว่าแท้ ๆ” พลัก
บทที่ 38 ไข่สีดำ ในระหว่างที่เฝ้ารอให้ไข่เยี่ยวม้าที่ตนเองได้ลงมือพอกถึงเวลาอันสมควรที่จะนำมาขายที่ตลาดได้นั้น หยางเทียนหรงจำต้องลองนำไข่เยี่ยวม้าที่ลุงโจวทำเอาไว้ก่อนหน้ามาให้บรรดาลูกค้าที่มาเลือกซื้อไข่ไก่ที่แผงเป็นประจำได้ลิ้มลองรสชาติก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากไข่เยี่ยวม้ายังมีความคาวอยู่มากหากนำมาให้กินดิบคงไม่อาจขายให้ผู้ใดได้ ดังนั้นเด็กน้อยจึงทำการแปรรูปเป็นอาหารที่สามารถทำได้ทั่วไป แต่เพิ่มไข่เยี่ยวม้าเป็นตัวชูโรงความอร่อย อาหารที่เด็กน้อยเลือกทำมาในวันนี้นั่นก็คือ โจ๊กหมู แม้จะดูเป็นเพียงอาหารจืดชืดธรรมดาแต่เมื่อหั่นไข่เยี่ยวม้าที่มีรสเค็มวางลงไป ยามที่กินเข้าไปนั้นความเค็มจากไข่เยี่ยวม้าจะทำให้โจ๊กหมูธรรมดากลับมีรสชาติดีขึ้นมาเลยทีเดียว “นี่เจ้าหนู เหตุใดวันนี้จึงมีโจ๊กหมูมาขายด้วยเล่า เจ้าอยากขายอาหารหรือ” เกาซือหรงเห็นเด็กน้อยวางถ้วยดินเผาเรียงกันนับสิบใบแล้วทำการตักโจ๊กหมูใส่ลงถ้วยพวกนั้น ชายหนุ่มจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าต้องการขายไข่เยี่ยวม้าขอรับลุงเกา” “ไข่เยี่ยวม้า? มันคือสิ่งใดกัน” ไข่เยี่ยวม้า
บทที่ 37 ไข่เยี่ยวม้า และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึงเมื่อลุงโจวเดินมาพร้อมไข่ห่อขี้เถ้าหลายฟองที่ได้ลงมือหมักไปเมื่อเจ็ดวันก่อน ยามนี้ได้เวลาที่จะได้รู้แล้วว่ามันเหมือนกับที่ตนเคยเห็นหรือไม่ “คุณชายไข่เยี่ยวม้าของข้าน้อยพร้อมที่จะนำไปกินได้แล้วขอรับ” “ไข่เยี่ยวม้า? ไข่ห่อขี้เถ้านี่นะหรือลุงโจว” มือน้อยหยิบไข่ที่อยู่ในไหดินออกมาหนึ่งฟองแล้วพิจารณาอย่างถี่ถ้วนพลางขมวดคิ้ว คล้ายมากจริง ๆ จะใช่หรือไม่กัน “ใช่แล้วขอรับคุณชาย ไข่เยี่ยวม้าเป็นไข่ถนอมอาหารของทางใต้ที่เป็นบ้านเกิดของข้าก่อนที่จะย้ายเข้าไปเป็นพ่อบ้านในจวนของขุนนาง เนื่องจากทางใต้มีหน้าร้อนยาวนานมากกว่าหน้าหนาวนักอีกทั้งยังนิยมเลี้ยงไก่ไข่ส่งออกขายไปยังต่างเมืองรวมถึงเมืองท่าซือหลินด้วย แม้จะส่งออกไปขายแทบทุกวันก็ตาม แต่แม่ไก่กลับออกไข่มากเกินไปจนขายออกไม่ทันและเน่าเสียไปมากมายจนวันหนึ่งมีพ่อค้าจากแดนไกลเดินทางเข้ามาพร้อมไข่เยี่ยวม้าพวกนี้” โจวหลี่หรงวางไหดินลงแล้วหยิบไข่ขึ้นมาพร้อมแกะขี้เถ้าออกจนเหลือถึงแค่เปลือกไข่จากนั้นจึงตอกไข่เบา ๆ จนเปลือกแตกออกเผยให้เห็นเนื
บทที่ 36 จัดการป้าซุน“ข้าก็ซื้อเหมือนกัน มิเห็นว่ามันเน่าอย่างที่เจ้าว่าเลยสักนิด” “ใช่ ๆ สามีของข้าก็ซื้อไปเมื่อสองวันก่อน แต่ก็ไม่เห็นว่ามันจะเน่าอย่างที่นางหลี่ว่าจริง ๆ” เสียงชาวบ้านหลายคนที่เดินผ่านมาได้ยินเรื่องราวต่างเอ่ยขึ้นเพื่อยืนยันคำพูดของท่านหมอชราจนทำให้ชาวบ้านหลายคนมองสตรีที่นอนร่ำไห้อยู่ที่พื้นด้วยสายตาดูแคลน “เด็กน้อยอุตส่าห์ทำมาหากินด้วยความขยันขันแข็งเพื่อที่จะเลี้ยงดูบิดาที่ดวงตามืดบอด เหตุใดเจ้าถึงสร้างเรื่องราวใส่ความได้กัน ทั้งที่เจ้าก็มีแขน ขา และดวงตาที่สมบูรณ์กว่าแท้ ๆ แม่นาง” หมอชราเอ่ยตำหนิสตรีตรงหน้าพลางส่ายหน้าแล้วเดินกลับไปหยิบหมูทอดและห่อข้าวบนเกวียนจากนั้นจึงขึ้นรถม้ากลับไปยังโรงหมอ โดยปล่อยให้หญิงสาวเอ่ยคร่ำครวญความเจ็บช้ำออกมาอยู่เช่นนั้น ไม่มีผู้ใดเชื่อลมปากของนางอีกต่อไปในทางกลับกันทหารที่คุ้มกันอยู่จวนท่านเจ้าเมืองก็เดินเข้าไปลากตัวนางออกไป ส่วนแผงเช่าก็ถูกริบทุกอย่างจนหมดสิ้น “พวกท่านจะไปรู้อะไร ลองให้เจ้าหนูไปขายของเหมือนกันดูบ้างสิ มันแย่งลูกค้าข้าไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่จะให้ข้าอยู่เฉยได้หรือ เหอะ
บทที่ 35 ไข่เน่า สามวันต่อมา หลังจากวันที่สนทนาเรื่องขยายเรือนพ่อบ้านโจวก็ไม่ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใด ในทางกลับกันยามนี้ทั้งลุงโจวและลุงโม่ต่างสนทนากันเรื่องการสร้างเรือนได้ถูกคอยิ่งนัก หยางเทียนหรงจึงให้พอบ้านโจวอยู่คุมการสร้างเรือนจนกว่าจะเสร็จสิ้น ส่วนตนเองก็เดินทางออกมาขายไข่ไก่ดังเดิมเพราะหยุดขายไปสองวันแล้ว ขาดรายได้ไปหลายตำลึงทำให้เด็กน้อยต้องออกมาค้าขายให้ได้วันนี้ “คุณชายดูแลตนเองให้ดีนะขอรับ และกลับก่อนยามโหย่วด้วย เข้าใจที่ข้าน้อยบอกหรือไม่คุณชาย” โจวหลี่หรงเอ่ยย้ำอีกคราหลังคุณชายตัวน้อยเริ่มหาวออกมา “ลุงโจวเอ่ยกับข้ามาห้าครั้งแล้ว ข้าไปได้และจะกลับมาก่อนยามโหย่ว” “ข้าเป็นห่วงนี่ขอรับ” “ข้าจะดูแลตนเองให้ดีขอรับ ส่วนลุงโจวก็ดูแลกล่องไม้นั้นให้ดีที่สุดเช่นกันนะขอรับ” “ไม่ต้องกังวลขอรับคุณว” เพราะเห็นว่ามันสายมากแล้วเด็กน้อยจึงเอ่ยร่ำลา “อย่ากังวลนักเลยพ่อบ้านโจวข้าอยู่ทั้งคน จะรีบกำชับให้เจ้าหัวผักกาดรีบกลับเรือนโดยเร็ว” บิดาทำการย้ำเตือนอีกคราว่าเด็กน้อยมิได้ไปเพียงลำพัง พ่อบ้านจะได้คลายค
บทที่ 34 ขยายเรือนอีกครั้ง วันนี้ก็เป็นอีกวันที่มีไข่ไก่เหลืออยู่นับยี่สิบฟองซึ่งมากกว่าทุกวัน นั่นยิ่งตอกย้ำไปอีกว่ากิจการขายไข่ไก่เริ่มสั่นคลอนเล็กน้อย ยิ่งยามนี้แม่ไก่สาวเริ่มเติบโตเต็มที่ไข่ไก่ที่ออกมาล้วนแต่ขนาดที่ใหญ่จนต้องขึ้นราคามาเป็นฟองละห้าอีแปะ ทำให้สูญเสียลูกค้าไปบ้างแต่ก็ส่วนน้อยเนื่องจากขนาดของมันนั้นใหญ่มากกว่าร้านที่ขายในราคาเดียวกันเสียอีก “คุณชายกลับกันเถิดขอรับ หากรอไปมากกว่านี้เห็นทีจะถึงเรือนหลังตะวันตกดิน มันไม่เป็นผลดีแน่ขอรับ” การเดินทางไปยังหมู่บ้านซีเป่ยหลังตะวันตกดินนั้นมิใช่เรื่องที่ดีเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไม่มีเพื่อนร่วมทางแล้วด้วยมันจะกลายเป็นเป้าโจมตีของพวกโจรป่าที่ชอบดักปล้นชิงคนที่เดินทางเพียงลำพังยามค่ำคืน ฉะนั้นกันไว้ดีกว่า
บทที่ 33 พ่อบ้านสกุลหยาง อาการของทาสที่หยางเทียนหรงไถ่ตัวออกมานั้นนับว่าสาหัสพอสมควร เพราะบาดแผลมิได้มีเพียงแค่รอยจากแส้เท่านั้น มันยังมีรอยจากการถูกคมดาบเฉือนเนื้อมากมายนับไม่ถ้วน จนไม่คาดคิดเลยว่าทาสผู้นี้จะมีชีวิตรอดได้นานมากเพียงนี้ “ข้าจัดการบาดแผลภายนอกจนหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ให้บุรุษผู้นั้นตื่นขึ้นมาดื่มโอสถแก้บอบช้ำภายในเท่านั้น” “ขอบคุณท่านหมอที่ช่วยเหลือท่านลุงผู้นี้เอาไว้นะขอรับ” “ลุงของเจ้าหรือ” “มิใช่ขอรับ เขาเป็นทาสที่ข้าได้ช่วยเหลือเอาไว้เพราะไม่อยากให้คนผู้นี้ถูกพ่อค้าทาสทุบตีจนตาย&
บทที่ 32 ช่วยเหลือทาส “อ้าก” เสียงกรีดร้องของทาสตรงหน้าทำให้เด็กน้อยถึงกับชายอาภรณ์ของบิดาเอาไว้แน่นก่อนจะกระตุกสองคราเพื่อเรียกให้บิดาสนใจตนเอง “หึ ร้องออกมาทาสผู้โง่เขลา คิดว่าข้าทาสไร้ราคาเช่นเจ้าข้าจะมิกล้าทุบตีให้ตายหรือ” เสียงทุบตีทาสดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาชาวบ้านหรือแม้แต่นักเดินทางให้หันมามุงดูคนถูกทำร้ายโดยที่ไม่มีผู้ใดกล้ายื่นมือเข้าไปช่วยเหลือแม้แต่คนเดียว แม้แต่ทหารที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ไม่ใส่ใจอีกฝ่ายเมินเฉยราวกับว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำจนเคยชิน เกินไปแล้ว ค
บทที่ 31 ปรับราคาไข่ไก่ เกวียนม้าเทียมกำลังจะเดินทางออกจากเรือนสกุลหยางแต่ไม่ทันได้ออกตัวกลับถูกสตรีนางหนึ่งเดินมาขวางทางเอาไว้เสียก่อน พร้อมเอ่ยเสียงดังด้วยน้ำเสียงเชิงข่มขู่แกมบังคับจนทำให้ชาวบ้านที่กำลังเดินขวักไขว่ไปมาอยู่นั้นหยุดเดินแทบจะทันทีแล้วจับกลุ่มแอบสนทนากันอย่างออกรสว่าวันนี้สตรีนางนี้จะก่อเรื่องอันใดอีก “ป้าซุนจะไปขายของในเมืองหรือขอรับ” “ก็ใช่น่ะสิ ข้าอุตส่าห์เตรียมของรอพวกเจ้าตั้งแต่ยามเหม่า เหตุใดพวกเจ้าสองพ่อลูกจึงออกจากเรือนเชื่องช้านักปล่อยให้ข้ารอตั้งหนึ่งชั่วยาม บ้าไปแล้วหรือ!” หลี่อี้ซุนตวาดออกมาด้วยความฉุนเฉียวที่วันนี้นางต้องออกเดินทางไปขายเนื้อไก่ช้ากว่าที่เคยจนมารดาของสามีเอ่ยถากถางหาว่านางเริ่มทำตัวเกียจคร้าน&
บทที่ 30 มีชีวิตอย่างเข้มแข็ง ฤดูหนาวของหมู่บ้านที่อยู่ติดเขาเหลียนซานนับว่าเลวร้ายกว่าที่อื่นมากนัก ด้วยเขาแห่งนี้เมื่อเข้าสู่เหมันต์ฤดูภูเขาทั้งลูกจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน บรรดาพืชพันธุ์และสัตว์ป่าล้วนเข้าสู่ฤดูการจำศีล หมู่บ้านซีเป่ยก็เช่นเดียวกันยามนี้ทั่วทั้งหมู่บ้านล้วนมีแต่หิมะสูงเทียมเอวของบุรุษร่างสูงใหญ่การเดินฝ่าหิมะออกมาเพื่อที่จะเดินทางไปยังเมืองท่าซือหลินนั้นมิใช่เรื่องง่ายและมันไม่คุ้มค่าพอที่จะเสี่ยงด้วย เพราะอาจทำให้สูญเสียม้าที่เป็นตัวลากเกวียนได้ ฉะนั้น ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงใช้ชีวิตอยู่ในเรือนของตนเองเหมือนดัง หยางเทียนหรงและบิดาที่ยามนี้กำลังนั่งกินอาหารรสชาติเผ็ดร้อนเพื่อคลายความหนาวเหน็บที่กำลังเผชิญอยู่ด้วยการกินหม้อไฟหมาล่าที่เคยทำไปคราก่อน มาวันนี้ได้ท