หยางเทียนหรงในร่างเด็กน้อยยังคงนอนแผ่ที่พื้นดินใต้ต้นไม้ใหญ่อยู่เช่นนั้นเพราะยังคงระบมจากบาดแผลที่ถูกทุบตีจากหญิงชราที่เป็นยายของเจ้าของร่าง คนเป็นป้าก็ไม่คิดที่จะห้ามปรามแต่กลับเป็นผู้นำร่างมาทิ้งให้สัตว์ป่ากัดกินซากเพื่อทำลายหลักฐาน
สารเลวนัก
คนเหล่านี้ไม่ควรได้รับการอภัยไม่ว่าจะสำนึกหรือไม่ก็ตาม
ยิ่งความทรงจำสุดแสนจะเจ็บปวดของเจ้าของร่างที่ตนเพียงแค่หลับตายมันก็ประดังประเดเข้ามายิ่งกว่าสายธารไหลเชี่ยว มันยิ่งทำให้ตนรู้ว่าเด็กน้อยตรงหน้าผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาได้อย่างยากลำบากซึ่งเกิดจากการกระทำของผู้เป็นยาย
ในวันที่แสงจันทราถูกรัตติกาลกลืนกินจนมืดมิดไปทั่วทั้งหมู่บ้านซีเป่ย คนในหมู่บ้านต่างกำลังหลับใหลอยู่ในเรือนกันอย่างมีความสุขยกเว้นคนในเรือนสกุลหยางที่กำลังเตรียมตัวเดินทางออกจากหมู่บ้านเพื่อไปงานเลี้ยงของจวนขุนนางที่อยู่เมืองหลวง
“เจ้ามัวแต่รีรออะไรอยู่เหมยเอ๋อร์ รถม้าของจวนใต้เท้าหลี่ออกมารอที่หน้าหมู่บ้านแล้วไปแต่งกายให้งดงามเร็วเข้า” โจวซือเหยียนเอ่ยเร่งเร้าบุตรสาวที่ยังคงอยู่ในอาภรณ์เปรอะเปื้อนไร้ความงดงามทั้งที่มันได้เวลาออกเดินทางแล้ว แต่อีกฝ่ายยังคงยืนนิ่งจนหญิงชราร้อนใจ
“ข้าไม่ไปเจ้าค่ะท่านแม่ อาหรงกำลังนอนซมด้วยพิษไข้ เชิญพวกท่านไปงานเลี้ยงที่จวนใต้เท้าหลี่ได้เลยเจ้าค่ะไม่ต้องรอข้า” หญิงสาวเอ่ยปฏิเสธคำสั่งของมารดาหลังบุตรชายตัวน้อยถูกพิษไข้เล่นงาน อีกทั้งนางรู้ดีว่ามารดาต้องการสิ่งใด ฉะนั้นนางก็จะไม่ให้หญิงชราได้สมดังหวัง
“ก็ให้สามีของเจ้าดูแลไปเสียสิ งานเลี้ยงครานี้สำคัญกว่าการดูแลบุตรชายแสนอ่อนแอของเจ้าเสียอีก เจ้าคิดเนรคุณต่อข้าหรือ” หญิงชราโพล่งออกมาอย่างมีโทสะหลังจากได้ยินการโต้กลับของบุตรสาวที่นางหมายมั่นปั้นมือว่าจะให้พาสกุลอันสุขสบาย แต่บุตรสาวกลับตอบแทนด้วยการเลือกคนไร้ค่ามาทำสามี และมันคงจะจัดการได้ง่ายดายยิ่งขึ้นหากไม่มีหลานชังที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงบิดาของมันเกิดขึ้นมาเสียก่อน
“อาหรงมิได้อ่อนแอ หากไม่เป็นเพราะอาหลางผลักจนตกลำธารแสนเย็นเหยียบเมื่อตอนเข้าตรู่ บุตรชายของข้าคงไม่ต้องนอนซมเพราะพิษไข้เช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ”
เพี๊ยะ
"เจ้ากล้าใส่ความอาหลางของข้าหรือน้องสาว" อันซีเหมยตวัดหลังมือลงใบหน้านวลของน้องสาวโดยไม่ยั้งมือด้วยมีโทสะในใจที่อีกฝ่ายกล่าวหาบุตรชายของตน
“พี่สาว นี่ท่านตบข้าหรือ”
“เจ้ามันสมควรตายเสียด้วยซ้ำที่กล้ากล่าวหาบุตรชายของข้า”
“แล้วข้าพูดผิดหรือ”
“อันซีหลินนี่เจ้า!”
“แค่ก แค่ก ท่านป้าอย่าทำท่านแม่ของข้า อึก” เด็กน้อยฝืนตัวเดินออกมาจากห้องหลังได้ยินเสียงทะเลาะเบาะแว้งเสียงดัง จนได้มาเห็นกับตาว่าท่านป้าลงมือทุบตีมารดาของตน เจ้าตัวไม่รอช้าที่จะเข้ามาขวางเอาไว้ก่อนที่ฝ่ามือจะตวัดลงมาอีกครา
“พอเสียที ในเมื่อไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป แต่อย่าหวังว่าคราหน้าเจ้าจะรอด” หญิงชราไม่ฝืนบังคับบุตรสาวอีกต่อไปเพราะเห็นใบหน้านางมีรอยช้ำที่มุมปาก ใต้เท้าหลี่เห็นเข้าคงไม่พอใจนัก เช่นนั้นวันนี้คงต้องรับหน้าไปก่อน
หลังจากที่ทุกคนออกไปมารดาจึงทรุดตัวลงแล้วโอบกอดบุตรชายตัวน้อยเอาไว้ หยาดน้ำตาหลั่งรินด้วยความเจ็บปวดที่ไม่สามารถกางปีกบินหนีออกจากมารดาไปได้เพียงเพราะอีกฝ่ายข่มขู่ว่าจะปลิดชีพตนเองหากนางกล้าออกจากเรือนแห่งนี้ไป
สามีจึงต้องแต่งเข้าสกุลอันของนาง แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้สกุลอันแต่อย่างใดเพียงเพราะมารดารังเกียจที่อีกฝ่ายเป็นแค่พรานป่ายากจนคนหนึ่ง บุตรชายที่เกิดมาก็ไม่ได้ใช้สกุลอันของนางเช่นเดียวกัน
มารดานางเกลียดชังใบหน้าที่คล้ายกับสามีจนแยกแทบไม่ออก
"ท่านแม่เจ็บหรือไม่ขอรับ อย่าร่ำไห้เลยนะขอรับ" มือน้อยลูบใบหน้าของมารดาด้วยความแผ่วเบา
ครืด
“ภรรยานี่เจ้าร่ำไห้หรือ เกิดอะไรขึ้น ใบหน้าของเจ้า” หยางเสวี่ยหรงที่เพิ่งกลับลงมาจากการล่าสัตว์ถึงกับทิ้งหมูป่าลงพื้นเมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาของภรรยา
“ท่านป้าทุบตีมารดาขอรับท่านพ่อ”
“ว่าอย่างไรนะ นี่นางกล้าตีเจ้าหรือ”
“ช่างมันเถิดเจ้าค่ะ ว่าแต่ท่านพี่หิวหรือไม่เจ้าคะ ข้าทำอาหารเอาไว้แล้ว มากินกันเถิด” อันซีหลินเบี่ยงเบนความสนใจราวกับไม่อยากนึกถึงมัน
“แต่ว่า”
“ข้าไม่เป็นไร”
เพล้ง
“เสียงอะไรน่ะ เจ้ากับอาหรงเข้าไปหลบอยู่ในห้องก่อน อย่าออกมาหากข้าไม่เรียกเข้าใจหรือไม่” หยางเสวี่ยหรงเอ่ยกำชับทั้งสองก่อนที่จะคว้ามีดสั้นที่ใช้ล่าสัตว์ของตนออกมาแล้วเดินตรงไปยังเสียงดังกล่าว
ผ่านไปหนึ่งเค่อ
นอกจากบิดาจะไม่กลับมาแล้วเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจากด้านนอกก็ดังเข้ามาถึงในห้องจนมารดาอดทนรอไม่ได้
“ท่านแม่จะไปที่ใดขอรับ” เด็กน้อยร้องเรียกเมื่อเห็นว่ามารดากำลังจะเปิดประตูออกไป
“ข้าจะไปช่วยบิดาของเจ้า ตอนนี้คงกำลังลำบากอยู่เป็นแน่” อันซีหลินเอ่ยขึ้นพลางกระชับอาภรณ์ให้รัดกุมและยังนำมีดพกออกไปด้วย
“อยู่ในนี้ห้ามส่งเสียงนะอาหรง ไม่ว่าเจ้าจะได้ยินเสียงอะไรก็ตามอย่าได้ออกมาจนกว่าข้าจะบอกให้ออกมาเข้าใจหรือไม่” ประโยคเดียวกับบิดาถูกเอ่ยให้เด็กน้อยฟังอีกคราก่อนที่มารดาจะออกไป
“แต่ท่านแม่ข้ากลัว”
“อย่าได้หวาดกลัวไปเลย ข้าจะกลับมาแน่นอนบุตรข้า”
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่มารดาเอ่ยกับเด็กน้อยก่อนที่จะออกไปช่วยเหลือบิดาด้านนอกและไม่กลับมาอีกเลย แต่สิ่งที่ทำให้หยางเทียนหรงถึงกับหมดสติไปนั่นเป็นเพราะว่า
“หยุดมือเดี๋ยวนี้นะเจ้าโจรชั่ว อย่าทำอะไรสามีของข้า” มืดสั้นถูกหันไปทางโจรชั่วที่กำลังทุบตีสามีของนางจนโลหิตสาดกระเซ็น อันซีหลินไม่รอช้าพุ่งตัวเข้าไปช่วยสามีจนสุดชีวิต
ฉัวะ! ฉึก! ดาบเล่มยาวตวัดเข้ากลางอกของหญิงสาวแล้วยังซ้ำลงโดยการแทงเข้ากลางท้องจนนางกระอักโลหิตออกมา
“อึก แค่ก แค่ก”
ตุบ
“ท่านแม่!!!”
มารดาถูกโจรชั่วอีกคนตวัดดาบใส่โดยไร้ความปราณีจนทำให้นางตายจากไปทันทีไม่ทันได้ร่ำลาแม้แต่น้อย เด็กน้อยกรีดร้องออกมาด้วยความขวัญเสียแล้วสิ้นสติไปทันที
ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในคืนเดียวหมู่บ้านซีเป่ยถูกโจรภูเขาคร่าชีวิตไปไม่น้อย ไร้ทางการเข้าเหลียวแลด้วยตัวหัวหน้าหมู่บ้านกลับไม่ได้อยู่ในคืนเกิดเหตุ อีกทั้งยังไม่ใส่ใจความเป็นอยู่ของชาวบ้านเลยสักนิด
แม้จะทำการร้องเรียนแต่จดหมายเหล่านั้นกลับถูกทำลายก่อนถึงมือเจ้าเมืองเสียทุกครั้ง นั่นจึงทำให้ชาวบ้านที่เหลือทำการหลีกหนีไม่ข้องเกี่ยวกับสกุลอันหากไม่มีเหตุจำเป็น
“หลินเอ๋อร์ลูกแม่ ฮือ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้” หญิงชรากอดร่างไร้วิญญาณของบุตรสาวคนเล็กพลางร่ำไห้จนชาวบ้านเรือนข้างเคียงมองมาด้วยความสงสารแต่บางคนกลับสาแก่ใจ
“ขออภัยด้วยท่านแม่ที่ปกป้องหลินเอ๋อร์ไว้ไม่ได้” หยางเสวี่ยหรงนั่งคุกเข่าแล้วกล่าวขอโทษที่ตนไม่สามารถปกป้องภรรยาของตนจากโจรภูเขาเอาไว้ได้ ทำให้ภรรยานั้นถูกสังหารจนตาย ส่วนตนเองก็ถูกทำร้ายจนดวงตาจนสูญเสียการมองเห็นไปทั้งสองข้าง
พลัก
หญิงชราผลักร่างหนาที่นั่งคุกเข่าหน้าตนเองจนล้มลง แล้วเดินไปเหยียบหน้าอกยันเอาไว้ไม่ให้มีโอกาสลุกขึ้นมา
“ขอโทษแล้วบุตรสาวของข้าจะกลับมาอย่างนั้นหรือเจ้าโง่ ข้าไม่น่าให้ลูกข้าแต่งกับบุรุษที่มีแต่ตัวเช่นเจ้าเลย ไม่น่าเลยจริง ๆ ฮือ หากแต่งให้นายท่านหลี่ไปก็คงไม่ต้องพบเจอเรื่องราวเช่นนี้”
“อึก ปล่อยข้าเถอะขอรับท่านแม่” หยางเสวี่ยหรงพยายามยกเท้าของหญิงชราออกแต่มันก็ไร้ผล เพราะตนเองนั้นทั้งไร้เรี่ยวแรงและมองไม่เห็นสิ่งใดยามนี้จึงทำได้แค่ไม่ให้เจ้าของฝ่าเท้ากดลงมาอีกก็เพียงพอ
“ท่านยายอย่าทำท่านพ่อขอรับ ข้าขอร้อง” มือน้อยพยายามดึงรั้งขาของผู้เป็นยายออกมา ด้วยความรำคาญหญิงชราทำการสะบัดขาออกทำให้ร่างของเด็กน้อยกระเด็นล้มลงจนก้นจ้ำเบ้า
ตุบ
“ออกไปจากเรือนของข้าทั้งเจ้าและลูกของเจ้า ต่อไปนี้ไม่ต้องมานับญาติกัน อาเหมยเอาข้าวของทั้งหมดที่มีของอดีตลูกเขยของข้ามาให้พวกเขาเร็วเข้า” ยิ่งพิศมองใบหน้าของหลานชายนางยิ่งชิงชังนัก หากใบหน้าละม้ายคล้ายบุตรสาวนางบ้าง บางครานางอาจจะเมตตาหลานชายคนนี้บ้างก็ได้
“ได้เจ้าค่ะท่านแม่”
รอไม่นานข้าวของทุกอย่างที่มีเพียงน้อยนิดก็ถูกพี่สาวของภรรยานำมาโยนกองบนตัวของบุรุษที่นอนกองที่พื้นดิน แม้จะมองไม่เห็นแต่หยางเสวี่ยหรงรู้สึกถึงบางอย่างกระทบเข้าที่กายเนื้อแม้จะไม่รุนแรงแต่หากถูกหลายครามันก็สามารถสร้างความเจ็บปวดได้เช่นกัน
“ท่านแม่”
“ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าท่านแม่ ข้ามิใช่มารดาของเจ้านับตั้งแต่หลินเอ๋อร์ตาย ออกไปจากเรือนข้าได้แล้วที่นี่ไม่ต้องการคนไร้ค่าอย่างพวกเจ้าอีกต่อไป”
สองบิดาและบุตรชายถูกขับไล่ออกจากเรือนสกุลอัน โดยที่มีเพียงแค่อาภรณ์เท่านั้นที่พี่สาวของภรรยาโยนมาให้ หยางเสวี่ยหรงมองไม่เห็นทำให้บุตรชายเป็นคนเก็บของที่ป้าของตนโยนลงบนตัวบิดาใส่ตะกร้าใบน้อยขึ้นหลังของตน จากนั้นจึงคว้าแขนของบิดาเดินออกมาทันที
“เราจะไปอยู่ที่ใดหรือขอรับท่านพ่อ” หลังจากเดินออกมาไกลมากแล้ว หรงหรงตัวน้อยจึงเอ่ยถามผู้เป็นบิดา เพราะตนเองยังไม่เคยไปที่ใดเลยนอกจากวิ่งเล่นอยู่เรือนสกุลอัน
“กลับบ้านเดิมของข้า ในเมื่อท่านยายของเจ้าไม่ต้องการเราสองพ่อลูกแล้วก็กลับไปอยู่บ้านเดิมของข้าที่อยู่ท้ายหมู่บ้านกันเถิด” แม้จะเสียใจที่ไม่ได้นำร่างของผู้เป็นภรรยามาจัดการด้วยตนเองก็ตาม แต่หยางเสวี่ยหรงก็ต้องเข้มแข็งเพราะตนยังมีเจ้าก้อนแป้งตัวน้อยรออยู่ตั้งหนึ่งคน
“แต่ท่านแม่”
“แม่ของเจ้าจะยังอยู่ในนี้เสมอ”
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับท่านพ่อ”
บทที่ 4 ทุบตีจนตายแม้หญิงชราออกปากตัดขาดสองพ่อลูกออกจากสกุลอัน แต่มันกลับเป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้น เพราะทุกวันนางจะมารอช่วงชิงของป่าที่หลานชายแสนชังหามาได้จากชายป่าทั้งที่ของป่าพวกนั้นเรือนสกุลอันมิเคยขาดแคลนมันเลยแม้แต่น้อยวันนี้ก็เช่นเดียวกัน“เอากระต่ายของข้ามานะ ท่านยายเหตุใดท่านจึงมิห้ามปรามหลางเกอขอรับ เขามาแย่งชิงกระต่ายของข้า” มือน้อยพยายามแย่งชิงกระต่ายผอมแห้งกลับคืนมาหลังจากตนเพิ่งจับมาได้อย่างยากลำบาก เด็กน้อยทวงความยุติธรรมแต่สิ่งตอบแทนกลับล้วนเป็นความเจ็บปวดที่ผู้เป็นยายนั้นตั้งใจมอบให้“ท่านยายข้าอยากกินเนื้อกระต่ายย่างขอรับ” หลานชายอีกคนเป็นผู้แย่งชิงกระต่ายตัวน้อยมาจากเด็กน้อยผอมซูบ แล้วยังหันไปเอ่ยกับผู้เป็นยายว่าตนนั้นอยากกินสัตว์ป่าตัวนี้ทั้งที่มันมิใช่ของตน “เอาสิหลานรัก เดี๋ยวเย็นนี้ให้แม่ของเจ้าทำให้กินดีหรือไม่”“แต่น้องชายไร้ค่าไม่ให้ข้าขอรับ”“เพ้ย กับแค่กระต่ายตัวเดียวแค่นี้จะแบ่งให้พี่ชายเจ้ามิได้เชียวหรือ”“แต่มันคืออาหารของบิดาและข้านะขอรับท่านยาย แล้วจะให้ข้าแบ่งปันให้หลางเกอได้อย่างไรกัน โอ้ย ฮึก ท่านยายข้าเจ็บ” “หลานอกตัญญูเจ้ากล้าขัดข้าอย่างนั้นหรื
บทที่ 5 แม่ไก่ยักษ์ “ต้องขอบคุณเด็กคนนี้ที่เคยเข้าป่ากับพ่ออยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นฉันต้องหลงป่าตายแทนที่จะได้เอาคืนยายแก่นั่น” หยางเทียนหรงพยายามยันตนเองขึ้นมาจากพื้นดินที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้งกรอบ พลางปัดเศษใบไม้ที่ติดตามเสื้อผ้าจนเห็นว่าลักษณะของเสื้อที่สวมใส่อยู่นั้นสมกับเป็นจีนยุคโบราณเสียจริง “คนสมัยก่อนเขาไม่รู้สึกว่ามันโล่งเลยหรือไงกันถึงได้ใส่แค่เสื้อคลุมกับกางเกงยาวแบบนี้โดยไม่ใส่ชั้นใน” แม้จะเอ่ยถามเช่นนั้นแต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบเขาได้อยู่ดี ดังนั้นหยางเทียนหรงจึงทำได้เพียงปลดปลงแล้วค่อย ๆ ก้าวเดินกลับไปตามเส้นทางที่มุ่งสู่บ้านหลังน้อยของตนที่อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก “ก่อนที่จะตายเด็กคนนี้ถูกแย่งผิงกั๋วไปนั่นหมายความว่าป่านนี้แล้วพ่อต้องยังไม่ได้กินอะไรแน่ เราต้องหาของป่ากลับไปกินด้วย อึก ซี่โครงหักหรือเปล่าเนี่ย ทำไมมันเจ็บแบบนี้นะ” เพราะถูกแย่งชิงผิงกั๋วไปหยางเทียนหรงจึงคิดไปเองว่าบิดาของเจ้าของร่างนั้นคงยังไม่ได้กินอะไรแน่นอน ดังนั้นตนจึงคิดเก็บของป่ากลับไปด้วย กะต๊าก กะต๊าก เสียงไก่นี่ อย่าบอกนะว่าไก่ที่ผู้คุมวิญญาณมอบให
บทที่ 6 จากไปแล้ว “ฮ่า ฮ่า ข้าจะบอกให้เจ้ารู้เอาไว้ ว่าบุตรชายที่เจ้ารักนักหนายามนี้ คงกลายเป็นอาหารสัตว์ป่าไปแล้ว อดีตบุตรเขยของข้าเอ๋ย”เท้าของหญิงชราเหยียบลงกลางอกของบุรุษที่มีรูปลักษณ์ซูบตอบอีกทั้งยังตาบอดจนช่วยตนเองแทบไม่ได้ ชาวบ้านหลายคนมามุงดูแต่ก็รีบกลับไปหลังเจอคำขู่จากภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านว่าจะไม่ให้กู้ยืมตำลึงหากมาช่วยอดีตลูกเขยไร้ค่าสาเหตุที่ชาวบ้านเพิกเฉยการช่วยเหลือสองพ่อลูกนั่นเป็นเพราะสกุลอันทำการปล่อยเงินกู้โดยใช้ที่นามาแลกเปลี่ยนและยังคิดดอกเบี้ยเจ็ดส่วนจากสิบส่วน แม้จะดูขูดเลือดไปแต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยแย้งด้วยเกรงกลัวว่าตนเองจะไม่ได้เงิน “ยายแก่นี่เอาอีกแล้วนะ ไหนบอกแยกบ้านกันไปแล้วไง ทำไมถึงได้มาวุ่นวายกับสองพ่อลูกนี่อีก ตัวเองก็มีเงินมากกว่าแท้ ๆ” พลัก
บทที่ 7 อ่อนแอเกินไป การสูญเสียทุกอย่างที่รักไปมันทำให้คนคนหนึ่งตายทั้งเป็นได้เลย บิดาผู้นี้กำลังเป็นเช่นนั้น หยางเทียนหรงรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่อีกฝ่ายส่งออกมา ทั้งน้ำเสียงและท่าทางชวนให้คนมองรู้สึกสลดไปด้วย บุรุษที่เคยองอาจจนสามารถล่าสัตว์มาขายเลี้ยงครอบครัวภรรยาได้จนสามารถซื้อเกวียนม้าเทียมได้นับว่าเก่งกาจยิ่งนัก แต่แล้วต้องมาตกอยู่ในห้วงแห่งความมืดมิดแม้แต่จะเดินไปทางก็ยังต้องมีคนนำทางเช่นนี้ หากเขาเป็นเช่นนั้นลางทีตนอาจจะปลิดชีพตนเองไปแล้วก็เป็นได้ หยางเทียนหรงไม่อาจบอกให้บิดาปล่อยวางได้แต่ถ้าหากปล่อยอีกฝ่ายกล่าวโทษตนเองเช่นนี้คงไม่เป็นผลดีนัก  
บทที่ 8 ก่อไฟครั้งแรก ในห้วงแห่งความทรงจำนั้นเด็กน้อยมิเคยได้เห็นขั้นตอนการก่อไฟทำอาหารของมารดาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะเอาแต่ตามบิดาเข้าไปล่าสัตว์และหาของป่าเท่านั้น ไม่เคยได้เข้าใกล้ฟืนไฟจนมาวันนี้ ฉะนั้นเขาต้องการผู้ช่วยโดยด่วนขืนยังยืนงงงวยเช่นนี้เห็นทีวันนี้คงไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องแน่แท้หลังจากที่ยืนงงงวยอยู่ไม่นาน เด็กน้อยจึงเดินไปหาบิดาที่ยังคงนั่งรออยู่ที่ชานเรือนดังเดิม แล้วเอ่ยถามด้วยความเขินอาย “ท่านพ่อขอรับข้าก่อไฟไม่เป็น” “อ่า จริงสิ เจ้ายังไม่เคยถูกสอนเรื่องก่อไฟสินะ เช่นนั้นพาบิดาไปที่ครัวเดี๋ยวข้าจะบอกเจ้าเองว่าต้องทำอย่างไรบ้าง”บิดาคลำไปโดยรอบจนพบเข้ากับเสาจากนั้นจึงจับยึดเอาไว้แล้วพยุงตนเองให
บทที่ 1 เด็กอัปมงคล“เอาผิงกั๋วมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ เจ้าเด็กสารเลว” เสียงก่นด่าพลางแกะมือน้อย ๆ ออกจากผลผิงกั๋วที่หลานชายกำมันเอาไว้แน่นด้วยความโมโห เพราะอีกฝ่ายขัดขืนนางจึงลงมือผลักไหล่เจ้าตัวจนเด็กน้อยล้มลงไปบนพื้นดิน “ท่านยายเอาคืนข้ามานะขอรับ นี่มันของท่านพ่อของข้านะ” หลานชังวัยแปดปีอย่าง ‘หยางเทียนหรง’ ไม่ยินยอมจึงเกิดการแย่งชิง แต่แรงอันน้อยนิดของเด็กน้อยมันจะสู้แรงของยายเฒ่าแสนอ้วนท้วมได้อย่างไรกัน พลัก ตุบ “โอ้ย ฮึก” “ให้ข้ามาตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้ว” ยายเฒ่าไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อยว่าหลานชายตรงหน้าจะเจ็บปวดที่ใดนางสนแค่เพียงผลไม้ลูกโตนี่เท่านั้น “แต่ผิงกั๋วผลนั้นข้าเก็บมันมาให้ท่านพ่อไม่ใช่ท่านยายนะขอรับ” เด็กน้อยยังคงไม่ยินยอม และพยายามลุกขึ้นเพื่อที่จะช่วงชิงกลับคืนมาด้วยมันเป็นอาหารมื้อเย็นของบิดา เจ้าตัวน้อยไม่สามารถมอบมันให้บ้านใหญ่ได้อีกต่อไป “เพ้ย เดี๋ยวนี้เจ้ากล้าปากเก่งกับข้าเรอะเจ้าเด็กสารเลว สงสัยอยากจะลองดี อาหลางไปเอาท่อนไม้มาให้ข้า วันนี้ข้าจะสั่งสอนเด็กเลวนี่ให้รู้สำนึกว่าควรนึกถึงผู้ใดเป็นคนแรก หากหาอ
บทที่ 2 ชีวิตใหม่ของหยางเทียนหรง“ทำไมยายแก่นั่นถึงโหดร้ายมากขนาดนี้ นั่นหลานตัวเองไม่ใช่หรือไง ตีกันจนตายได้ยังไง” หยางเทียนหรงมองดูเด็กน้อยที่มีชื่อเหมือนกับตนเองแต่แต่งกายราวกับอยู่ในยุคโบราณ อีกทั้งยังมีใบหน้าคล้ายคลึงตนเองในตอนเด็กอีก ด้วยความสงสารตนจึงก่นด่าหญิงชราใจร้ายไม่หยุด เขาไม่คิดว่าการที่ตนเองหมดอายุขัยในโลกเดิมด้วยโรคร้ายอย่างมะเร็งปอดระยะสุดท้าย สิ่งที่คิดคือ ตนอาจจะต้องไปชดใช้กรรมในนรกสักแห่งหรือไม่ก็ไปเกิดใหม่เป็นสุนัขไม่ก็เดรัจฉานสักตัวในโลกใหม่ ไม่ใช่ถูกดึงวิญญาณมาโผล่ยุคโบราณแบบนี้ “แล้วคุณพาผมมาที่นี่ทำไมครับ ไม่ส่งไปเกิดใหม่หรือไงกัน” หยางเทียนหรงเอ่ยถามบุรุษข้างกายที่ยืนเงียบไม่พูดไม่จากับตนตั้งแต่พามาดูเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว “เจ้ามีนามว่าอะไรนะ” เสียงทุ้มเปล่งออกมาถามหลังก้มมองบันทึกการเกิดใหม่ในโลกจีนโบราณอีกครั้ง เพราะดวงวิญญาณที่ตนต้องนำมานั้นต้องมีนามว่า ‘หยางเทียนหลง’ วิญญาณชายหนุ่มผู้มีชะตาเป็นฮ่องเต้ไม่ใช่เด็กน้อยที่มีชะตาน่าอดสูเช่นนี้ มิน่าถึงได้มาโผล่ที่นี่แทนที่จะเป็นวังหลวง หรือเจ้าหนุ่มนี่มีชะตาผูกก
บทที่ 8 ก่อไฟครั้งแรก ในห้วงแห่งความทรงจำนั้นเด็กน้อยมิเคยได้เห็นขั้นตอนการก่อไฟทำอาหารของมารดาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะเอาแต่ตามบิดาเข้าไปล่าสัตว์และหาของป่าเท่านั้น ไม่เคยได้เข้าใกล้ฟืนไฟจนมาวันนี้ ฉะนั้นเขาต้องการผู้ช่วยโดยด่วนขืนยังยืนงงงวยเช่นนี้เห็นทีวันนี้คงไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องแน่แท้หลังจากที่ยืนงงงวยอยู่ไม่นาน เด็กน้อยจึงเดินไปหาบิดาที่ยังคงนั่งรออยู่ที่ชานเรือนดังเดิม แล้วเอ่ยถามด้วยความเขินอาย “ท่านพ่อขอรับข้าก่อไฟไม่เป็น” “อ่า จริงสิ เจ้ายังไม่เคยถูกสอนเรื่องก่อไฟสินะ เช่นนั้นพาบิดาไปที่ครัวเดี๋ยวข้าจะบอกเจ้าเองว่าต้องทำอย่างไรบ้าง”บิดาคลำไปโดยรอบจนพบเข้ากับเสาจากนั้นจึงจับยึดเอาไว้แล้วพยุงตนเองให
บทที่ 7 อ่อนแอเกินไป การสูญเสียทุกอย่างที่รักไปมันทำให้คนคนหนึ่งตายทั้งเป็นได้เลย บิดาผู้นี้กำลังเป็นเช่นนั้น หยางเทียนหรงรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่อีกฝ่ายส่งออกมา ทั้งน้ำเสียงและท่าทางชวนให้คนมองรู้สึกสลดไปด้วย บุรุษที่เคยองอาจจนสามารถล่าสัตว์มาขายเลี้ยงครอบครัวภรรยาได้จนสามารถซื้อเกวียนม้าเทียมได้นับว่าเก่งกาจยิ่งนัก แต่แล้วต้องมาตกอยู่ในห้วงแห่งความมืดมิดแม้แต่จะเดินไปทางก็ยังต้องมีคนนำทางเช่นนี้ หากเขาเป็นเช่นนั้นลางทีตนอาจจะปลิดชีพตนเองไปแล้วก็เป็นได้ หยางเทียนหรงไม่อาจบอกให้บิดาปล่อยวางได้แต่ถ้าหากปล่อยอีกฝ่ายกล่าวโทษตนเองเช่นนี้คงไม่เป็นผลดีนัก  
บทที่ 6 จากไปแล้ว “ฮ่า ฮ่า ข้าจะบอกให้เจ้ารู้เอาไว้ ว่าบุตรชายที่เจ้ารักนักหนายามนี้ คงกลายเป็นอาหารสัตว์ป่าไปแล้ว อดีตบุตรเขยของข้าเอ๋ย”เท้าของหญิงชราเหยียบลงกลางอกของบุรุษที่มีรูปลักษณ์ซูบตอบอีกทั้งยังตาบอดจนช่วยตนเองแทบไม่ได้ ชาวบ้านหลายคนมามุงดูแต่ก็รีบกลับไปหลังเจอคำขู่จากภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านว่าจะไม่ให้กู้ยืมตำลึงหากมาช่วยอดีตลูกเขยไร้ค่าสาเหตุที่ชาวบ้านเพิกเฉยการช่วยเหลือสองพ่อลูกนั่นเป็นเพราะสกุลอันทำการปล่อยเงินกู้โดยใช้ที่นามาแลกเปลี่ยนและยังคิดดอกเบี้ยเจ็ดส่วนจากสิบส่วน แม้จะดูขูดเลือดไปแต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยแย้งด้วยเกรงกลัวว่าตนเองจะไม่ได้เงิน “ยายแก่นี่เอาอีกแล้วนะ ไหนบอกแยกบ้านกันไปแล้วไง ทำไมถึงได้มาวุ่นวายกับสองพ่อลูกนี่อีก ตัวเองก็มีเงินมากกว่าแท้ ๆ” พลัก
บทที่ 5 แม่ไก่ยักษ์ “ต้องขอบคุณเด็กคนนี้ที่เคยเข้าป่ากับพ่ออยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นฉันต้องหลงป่าตายแทนที่จะได้เอาคืนยายแก่นั่น” หยางเทียนหรงพยายามยันตนเองขึ้นมาจากพื้นดินที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้งกรอบ พลางปัดเศษใบไม้ที่ติดตามเสื้อผ้าจนเห็นว่าลักษณะของเสื้อที่สวมใส่อยู่นั้นสมกับเป็นจีนยุคโบราณเสียจริง “คนสมัยก่อนเขาไม่รู้สึกว่ามันโล่งเลยหรือไงกันถึงได้ใส่แค่เสื้อคลุมกับกางเกงยาวแบบนี้โดยไม่ใส่ชั้นใน” แม้จะเอ่ยถามเช่นนั้นแต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบเขาได้อยู่ดี ดังนั้นหยางเทียนหรงจึงทำได้เพียงปลดปลงแล้วค่อย ๆ ก้าวเดินกลับไปตามเส้นทางที่มุ่งสู่บ้านหลังน้อยของตนที่อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก “ก่อนที่จะตายเด็กคนนี้ถูกแย่งผิงกั๋วไปนั่นหมายความว่าป่านนี้แล้วพ่อต้องยังไม่ได้กินอะไรแน่ เราต้องหาของป่ากลับไปกินด้วย อึก ซี่โครงหักหรือเปล่าเนี่ย ทำไมมันเจ็บแบบนี้นะ” เพราะถูกแย่งชิงผิงกั๋วไปหยางเทียนหรงจึงคิดไปเองว่าบิดาของเจ้าของร่างนั้นคงยังไม่ได้กินอะไรแน่นอน ดังนั้นตนจึงคิดเก็บของป่ากลับไปด้วย กะต๊าก กะต๊าก เสียงไก่นี่ อย่าบอกนะว่าไก่ที่ผู้คุมวิญญาณมอบให
บทที่ 4 ทุบตีจนตายแม้หญิงชราออกปากตัดขาดสองพ่อลูกออกจากสกุลอัน แต่มันกลับเป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้น เพราะทุกวันนางจะมารอช่วงชิงของป่าที่หลานชายแสนชังหามาได้จากชายป่าทั้งที่ของป่าพวกนั้นเรือนสกุลอันมิเคยขาดแคลนมันเลยแม้แต่น้อยวันนี้ก็เช่นเดียวกัน“เอากระต่ายของข้ามานะ ท่านยายเหตุใดท่านจึงมิห้ามปรามหลางเกอขอรับ เขามาแย่งชิงกระต่ายของข้า” มือน้อยพยายามแย่งชิงกระต่ายผอมแห้งกลับคืนมาหลังจากตนเพิ่งจับมาได้อย่างยากลำบาก เด็กน้อยทวงความยุติธรรมแต่สิ่งตอบแทนกลับล้วนเป็นความเจ็บปวดที่ผู้เป็นยายนั้นตั้งใจมอบให้“ท่านยายข้าอยากกินเนื้อกระต่ายย่างขอรับ” หลานชายอีกคนเป็นผู้แย่งชิงกระต่ายตัวน้อยมาจากเด็กน้อยผอมซูบ แล้วยังหันไปเอ่ยกับผู้เป็นยายว่าตนนั้นอยากกินสัตว์ป่าตัวนี้ทั้งที่มันมิใช่ของตน “เอาสิหลานรัก เดี๋ยวเย็นนี้ให้แม่ของเจ้าทำให้กินดีหรือไม่”“แต่น้องชายไร้ค่าไม่ให้ข้าขอรับ”“เพ้ย กับแค่กระต่ายตัวเดียวแค่นี้จะแบ่งให้พี่ชายเจ้ามิได้เชียวหรือ”“แต่มันคืออาหารของบิดาและข้านะขอรับท่านยาย แล้วจะให้ข้าแบ่งปันให้หลางเกอได้อย่างไรกัน โอ้ย ฮึก ท่านยายข้าเจ็บ” “หลานอกตัญญูเจ้ากล้าขัดข้าอย่างนั้นหรื
บทที่ 3 สูญเสียหยางเทียนหรงในร่างเด็กน้อยยังคงนอนแผ่ที่พื้นดินใต้ต้นไม้ใหญ่อยู่เช่นนั้นเพราะยังคงระบมจากบาดแผลที่ถูกทุบตีจากหญิงชราที่เป็นยายของเจ้าของร่าง คนเป็นป้าก็ไม่คิดที่จะห้ามปรามแต่กลับเป็นผู้นำร่างมาทิ้งให้สัตว์ป่ากัดกินซากเพื่อทำลายหลักฐานสารเลวนักคนเหล่านี้ไม่ควรได้รับการอภัยไม่ว่าจะสำนึกหรือไม่ก็ตามยิ่งความทรงจำสุดแสนจะเจ็บปวดของเจ้าของร่างที่ตนเพียงแค่หลับตายมันก็ประดังประเดเข้ามายิ่งกว่าสายธารไหลเชี่ยว มันยิ่งทำให้ตนรู้ว่าเด็กน้อยตรงหน้าผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาได้อย่างยากลำบากซึ่งเกิดจากการกระทำของผู้เป็นยายในวันที่แสงจันทราถูกรัตติกาลกลืนกินจนมืดมิดไปทั่วทั้งหมู่บ้านซีเป่ย คนในหมู่บ้านต่างกำลังหลับใหลอยู่ในเรือนกันอย่างมีความสุขยกเว้นคนในเรือนสกุลหยางที่กำลังเตรียมตัวเดินทางออกจากหมู่บ้านเพื่อไปงานเลี้ยงของจวนขุนนางที่อยู่เมืองหลวง “เจ้ามัวแต่รีรออะไรอยู่เหมยเอ๋อร์ รถม้าของจวนใต้เท้าหลี่ออกมารอที่หน้าหมู่บ้านแล้วไปแต่งกายให้งดงามเร็วเข้า” โจวซือเหยียนเอ่ยเร่งเร้าบุตรสาวที่ยังคงอยู่ในอาภรณ์เปรอะเปื้อนไร้ความงดงามทั้งที่มันได้เวลาออกเดินทางแล้ว แต่อีกฝ่ายย
บทที่ 2 ชีวิตใหม่ของหยางเทียนหรง“ทำไมยายแก่นั่นถึงโหดร้ายมากขนาดนี้ นั่นหลานตัวเองไม่ใช่หรือไง ตีกันจนตายได้ยังไง” หยางเทียนหรงมองดูเด็กน้อยที่มีชื่อเหมือนกับตนเองแต่แต่งกายราวกับอยู่ในยุคโบราณ อีกทั้งยังมีใบหน้าคล้ายคลึงตนเองในตอนเด็กอีก ด้วยความสงสารตนจึงก่นด่าหญิงชราใจร้ายไม่หยุด เขาไม่คิดว่าการที่ตนเองหมดอายุขัยในโลกเดิมด้วยโรคร้ายอย่างมะเร็งปอดระยะสุดท้าย สิ่งที่คิดคือ ตนอาจจะต้องไปชดใช้กรรมในนรกสักแห่งหรือไม่ก็ไปเกิดใหม่เป็นสุนัขไม่ก็เดรัจฉานสักตัวในโลกใหม่ ไม่ใช่ถูกดึงวิญญาณมาโผล่ยุคโบราณแบบนี้ “แล้วคุณพาผมมาที่นี่ทำไมครับ ไม่ส่งไปเกิดใหม่หรือไงกัน” หยางเทียนหรงเอ่ยถามบุรุษข้างกายที่ยืนเงียบไม่พูดไม่จากับตนตั้งแต่พามาดูเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว “เจ้ามีนามว่าอะไรนะ” เสียงทุ้มเปล่งออกมาถามหลังก้มมองบันทึกการเกิดใหม่ในโลกจีนโบราณอีกครั้ง เพราะดวงวิญญาณที่ตนต้องนำมานั้นต้องมีนามว่า ‘หยางเทียนหลง’ วิญญาณชายหนุ่มผู้มีชะตาเป็นฮ่องเต้ไม่ใช่เด็กน้อยที่มีชะตาน่าอดสูเช่นนี้ มิน่าถึงได้มาโผล่ที่นี่แทนที่จะเป็นวังหลวง หรือเจ้าหนุ่มนี่มีชะตาผูกก
บทที่ 1 เด็กอัปมงคล“เอาผิงกั๋วมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ เจ้าเด็กสารเลว” เสียงก่นด่าพลางแกะมือน้อย ๆ ออกจากผลผิงกั๋วที่หลานชายกำมันเอาไว้แน่นด้วยความโมโห เพราะอีกฝ่ายขัดขืนนางจึงลงมือผลักไหล่เจ้าตัวจนเด็กน้อยล้มลงไปบนพื้นดิน “ท่านยายเอาคืนข้ามานะขอรับ นี่มันของท่านพ่อของข้านะ” หลานชังวัยแปดปีอย่าง ‘หยางเทียนหรง’ ไม่ยินยอมจึงเกิดการแย่งชิง แต่แรงอันน้อยนิดของเด็กน้อยมันจะสู้แรงของยายเฒ่าแสนอ้วนท้วมได้อย่างไรกัน พลัก ตุบ “โอ้ย ฮึก” “ให้ข้ามาตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้ว” ยายเฒ่าไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อยว่าหลานชายตรงหน้าจะเจ็บปวดที่ใดนางสนแค่เพียงผลไม้ลูกโตนี่เท่านั้น “แต่ผิงกั๋วผลนั้นข้าเก็บมันมาให้ท่านพ่อไม่ใช่ท่านยายนะขอรับ” เด็กน้อยยังคงไม่ยินยอม และพยายามลุกขึ้นเพื่อที่จะช่วงชิงกลับคืนมาด้วยมันเป็นอาหารมื้อเย็นของบิดา เจ้าตัวน้อยไม่สามารถมอบมันให้บ้านใหญ่ได้อีกต่อไป “เพ้ย เดี๋ยวนี้เจ้ากล้าปากเก่งกับข้าเรอะเจ้าเด็กสารเลว สงสัยอยากจะลองดี อาหลางไปเอาท่อนไม้มาให้ข้า วันนี้ข้าจะสั่งสอนเด็กเลวนี่ให้รู้สำนึกว่าควรนึกถึงผู้ใดเป็นคนแรก หากหาอ