“ต้องขอบคุณเด็กคนนี้ที่เคยเข้าป่ากับพ่ออยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นฉันต้องหลงป่าตายแทนที่จะได้เอาคืนยายแก่นั่น” หยางเทียนหรงพยายามยันตนเองขึ้นมาจากพื้นดินที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้งกรอบ พลางปัดเศษใบไม้ที่ติดตามเสื้อผ้าจนเห็นว่าลักษณะของเสื้อที่สวมใส่อยู่นั้นสมกับเป็นจีนยุคโบราณเสียจริง
“คนสมัยก่อนเขาไม่รู้สึกว่ามันโล่งเลยหรือไงกันถึงได้ใส่แค่เสื้อคลุมกับกางเกงยาวแบบนี้โดยไม่ใส่ชั้นใน” แม้จะเอ่ยถามเช่นนั้นแต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบเขาได้อยู่ดี ดังนั้นหยางเทียนหรงจึงทำได้เพียงปลดปลงแล้วค่อย ๆ ก้าวเดินกลับไปตามเส้นทางที่มุ่งสู่บ้านหลังน้อยของตนที่อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก
“ก่อนที่จะตายเด็กคนนี้ถูกแย่งผิงกั๋วไปนั่นหมายความว่าป่านนี้แล้วพ่อต้องยังไม่ได้กินอะไรแน่ เราต้องหาของป่ากลับไปกินด้วย อึก ซี่โครงหักหรือเปล่าเนี่ย ทำไมมันเจ็บแบบนี้นะ” เพราะถูกแย่งชิงผิงกั๋วไปหยางเทียนหรงจึงคิดไปเองว่าบิดาของเจ้าของร่างนั้นคงยังไม่ได้กินอะไรแน่นอน ดังนั้นตนจึงคิดเก็บของป่ากลับไปด้วย
กะต๊าก กะต๊าก
เสียงไก่นี่
อย่าบอกนะว่าไก่ที่ผู้คุมวิญญาณมอบให้จะเป็นตัวนี้ เมื่อคิดได้ดังนั้นหยางเทียนหรงไม่รอช้าที่จะวิ่งตามเสียงร้องดังกล่าวไปโดยไม่คิดชีวิต
กะต้ากกกกก
ทว่าเสียงร้องของไก่กลับโหยหวนจนเขาหวั่นใจว่าจะมันจะเกิดเรื่องกับไก่วิเศษของตน สองเท้าน้อยจึงวิ่งเต็มกำลังจนพบเข้ากับเป้าหมายแต่มันกลับไม่ได้มีเพียงแค่ตัวเดียว
กรรร์ กรรร์
ลูกหมาป่า? น่าสนใจไม่น้อย แต่แม่ไก่ตัวนั้นน่าสนใจมากกว่า หยางเทียนหรงไม่รอช้าคว้าเอาท่อนไม้ที่มีขว้างใส่เจ้าหมาป่าด้วยเรี่ยวแรงเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้ โดยหวังว่ามันจะให้หมาป่าที่กำลังขย้ำปีกของแม่ไก่ที่กำลังปกป้องไข่ของมันด้วยชีวิตนั้นหนีจากเป้าหมายของตน
เอ๋ง
ลูกหมาป่าร้องด้วยความเจ็บปวดแล้ววิ่งหนีจากไปทันที หยางเทียนหรงจึงเดินไปหาแม่ไก่ตัวนั้นที่กำลังกกไข่ของตนอีกครั้งแม้เลือดจะไหลออกจากปีกจนเขาคิดไปแล้วว่าหากเป็นเช่นนี้อีกไม่นานแม่ไก่คงได้ตายจากไปเป็นแน่
กะต๊าก
“เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งกางปีก ฉัน ไม่สิ ข้ามาดีนะ” หยางเทียนหรงเดินเข้าไปใกล้หวังจะดูบาดแผลให้กับแม่ไก่ แต่เจ้าตัวกลับกางปีกเพื่อที่จะพุ่งเข้าหาตนแทน
“ข้าจะดูแผลที่ปีกให้”
“ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอกวางใจได้”
“ถ้าข้าทำขึ้นมา จะยอมให้จิกก็ได้เอ้า”
ครั้นเห็นว่าเด็กน้อยไร้ทีท่าจะเข้ามาทำร้ายตัวมันเอง แม่ไก่ยักษ์จึงปีกลดแล้วนั่งนิ่งเพื่อให้อีกฝ่ายดูบาดแผล
กะต๊าก
มันกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดยามที่มือน้อยแตะลงบริเวณปีกที่มีโลหิตหลั่งออกมาไม่หยุด
“ปีกของเจ้าอาจจะหัก เดี๋ยวรอข้าอยู่ตรงนี้ ข้าจะไปหาสมุนไพรมารักษาปีกของเจ้าก่อนนะ” เพราะยังอยู่ในป่าทำให้รอบด้านเต็มไปด้วยสมุนไพรมากมาย แม้หยางเทียนหรงจะรู้จักไม่ทั้งหมดแต่ถ้าหากเป็นสมุนไพรพื้นฐานที่ใช้สำหรับห้ามเลือดล่ะก็เขาจำไม่พลาดแน่นอน
นั่นไง
มือน้อยดึงต้นจิเสวี่ยเฉ่าขึ้นมาทั้งรากจากนั้นจึงมองหาลำธารเพื่อนำไปล้างให้สะอาดโดยเขาเก็บสมุนไพรจำนวนมากห่อใส่อาภรณ์ตัวนอก จากนั้นจึงเดินไปยังน้ำตกที่อยู่ไม่ไกลทันที สองเท้าน้อยก้าวเดินไปอย่างระวังด้วยไม่รู้ว่าจะมีสัตว์ร้ายโผล่มาหรือเปล่า
ต้นจิเสวี่ยเฉ่าเป็นสมุนไพรเย็นที่ชอบขึ้นบริเวณใกล้ลำธาร ใบของมันสามารถนำมารักษาได้ทั้งแผลสดและแก้บอบช้ำจากข้างในได้อีกด้วย เขาจึงเก็บมันมามากพอสมควรเพราะจะนำไปต้มเพื่อรักษาตนเอง
ซ่า ซ่า ซ่า
“ถึงเสียที”
น้ำตกขนาดเล็กอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว หยางเทียนหรงไม่รอช้าเดินเข้าไปบริเวณโขดหินที่มองเห็นยังก้อนหินที่อยู่ด้านล่าง เขามองดูแล้วน้ำแค่นี้คงไม่ทำให้ตนเองจมลงจึงนำสมุนไพรออกมาล้างทีละต้นจนสะอาด
และไม่ลืมนำมาหนึ่งต้นเด็ดเอาแต่ใบของมันนำไปบดจนหยาบแล้วนำมาพอกบริเวณบาดแผลที่ยังคงมีโลหิตไหลซึมอยู่ ระหว่างนั้นจึงสำรวจบาดแผลอื่นที่แห้งกรัง รวมถึงหายดีแล้วก็พบว่ามันเต็มไปด้วยร่องรอยของการถูกทำร้ายด้วยของมีคมหรือท่อนไม้นับไม่ถ้วน
“หนอย ยายแก่นี่ หลานตัวเองแท้ ๆ ทำไมถึงกล้าตีจนมีแต่แผลแบบนี้” หยางเทียนหรงในร่างของเด็กน้อยพอกสมุนไพรจนทั่วทั้งกายทำให้ตอนนี้มีแต่กลิ่นสมุนไพรตลบอบอวลไปหมด
เมื่อทำการล้างจนสะอาดทุกต้นแล้วเขาจึงหอบกลับไปยังบริเวณที่แม่ไก่ตัวนั้นอยู่เพื่อทำการห้ามโลหิตให้หยุดไหลส่วนปีกที่หักไปแล้วค่อยรักษากันอีกครา ตอนนี้ต้องให้โลหิตหยุดไหลเสียก่อน
กะต๊าก
“เจ็บเหรอ รอข้าเดี๋ยวนะ”
มือน้อยหยิบต้นจิเสวี่ยเฉ่ามาหนึ่งต้นแล้วทำเหมือนเดิมคือ บดพอหยาบจนมีน้ำออกมาเล็กน้อยจากนั้นจึงนำไปพอกลงบริเวณปีกของแม่ไก่ หยางเทียนหรงจับปีกแม่ไก่ตัวนั้นด้วยความแผ่วเบาแล้วพอกไปจนทั่วทั้งปีก
เมื่อเห็นว่ามันถูกพอกจนหมดแล้วตนจึงสำรวจบริเวณอื่นว่ามีบาดแผลที่ใดอีกหรือไม่ แต่ก็ไม่พบแต่อย่างใดนอกจากปีกเท่านั้น
แต่แล้วก็มีบางอย่างเกิดขึ้น เมื่อเขาพอกสมุนไพรเสร็จสิ้นกลับมีแสงสีทองไหลออกมาจากฝ่ามือของเขาเองลามไปจนครอบคลุมตั้งแต่ปีกไปจนถึงตัวของแม่ไก่ ทันใดนั้นเอง บาดแผลที่มีโลหิตไหลไม่หยุดกลับค่อย ๆ สมานเข้าหากันจนหายเป็นปกติ
“เห้ย เป็นไปได้ไงน่ะ สมุนไพรมันช่วยแค่ห้ามเลือดมันไม่ได้ช่วยให้แผลหายนะ”
กะต๊าก
แม่ไก่ที่หายดีแล้วร้องขึ้นมาอีกครั้งจากนั้นมันจึงใช้เท้าเขี่ยไข่ไก่ที่มันกกเอาไว้แล้วดันมาทางเขาสองฟอง
“อะไรของเจ้าน่ะ”
กุ๊ก กุ๊ก
เมื่อเห็นว่าเขายังคงมองด้วยความงงงวยอยู่ มันจึงใช้จะงอยปากผลักไข่มาทางเขาอีกครั้ง
“ให้ข้าหรือ”
กุ๊ก กุ๊ก แม่ไก่ตัวอ้วนผงกหัวสองครั้งราวกับบอกว่าใช่แล้ว
“อย่าบอกว่านะว่าไก่วิเศษที่ผู้คุมวิญญาณมอบให้ข้าคือเจ้าน่ะ”
กุ๊ก กุ๊ก
“เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือ”
กุ๊ก กุ๊ก
แสดงว่าแสงสีทองที่โอบล้อมแม่ไก่ก่อนหน้ามันคือพันธสัญญาของเขากับแม่ไก่ตัวนี้สินะ ถ้าอย่างนั้นเขาก็สามารถพามันกลับไปที่บ้านด้วยได้เลยใช่ไหม
“เจ้าจะไปอยู่กับข้าได้ไหม” หยางเทียนหรงเอ่ยถามความยินยอมของแม่ไก่ตัวนี้ก่อนที่ตนจะพามันกลับไปอยู่ด้วยที่เรือน เพราะถ้าหากมันปฏิเสธเขาคงต้องหาสัตว์เสี้ยงตัวใหม่
กุ๊ก กุ๊ก แม่ไก่ผงกหัวสองครั้ง
“เจ้ายอมไปกับข้าแล้ว ถ้าอย่างนั้นเจ้าเดินตามข้ามานะ ส่วนไข่ที่เหลือข้าจะนำมันใส่รวมกับสมุนไพรนี่” เขาคิดไปเองจากท่าทางตอบรับดังกล่าว จากนั้นจึงเดินไปเก็บไข่ทั้งหมดมาห่อใส่รวมกับสมุนไพรที่เก็บมาก่อนหน้า
สองเท้าน้อยเดินย้อนกลับตามเส้นทางในความทรงจำเดิมของเจ้าของร่างโดยที่แม่ไก่ตัวอ้วนเดินตามหลังอย่างขึงขัง
เขามองท่าทางนั้นด้วยความขบขันเพราะแววตาของแม่ไก่พร้อมที่จะกางปีกจิกได้ตลอดเวลา แต่แล้วเสียงร้องโอดโอยคล้ายมีคนถูกทำร้ายก็ดังขึ้นทำเอาเขากำลังจะเดินเข้าไปยังประตูเรือนชะงักเท้าเอาไว้แล้วหลบอยู่หลังกำแพงดินทันที
บทที่ 6 จากไปแล้ว “ฮ่า ฮ่า ข้าจะบอกให้เจ้ารู้เอาไว้ ว่าบุตรชายที่เจ้ารักนักหนายามนี้ คงกลายเป็นอาหารสัตว์ป่าไปแล้ว อดีตบุตรเขยของข้าเอ๋ย”เท้าของหญิงชราเหยียบลงกลางอกของบุรุษที่มีรูปลักษณ์ซูบตอบอีกทั้งยังตาบอดจนช่วยตนเองแทบไม่ได้ ชาวบ้านหลายคนมามุงดูแต่ก็รีบกลับไปหลังเจอคำขู่จากภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านว่าจะไม่ให้กู้ยืมตำลึงหากมาช่วยอดีตลูกเขยไร้ค่าสาเหตุที่ชาวบ้านเพิกเฉยการช่วยเหลือสองพ่อลูกนั่นเป็นเพราะสกุลอันทำการปล่อยเงินกู้โดยใช้ที่นามาแลกเปลี่ยนและยังคิดดอกเบี้ยเจ็ดส่วนจากสิบส่วน แม้จะดูขูดเลือดไปแต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยแย้งด้วยเกรงกลัวว่าตนเองจะไม่ได้เงิน “ยายแก่นี่เอาอีกแล้วนะ ไหนบอกแยกบ้านกันไปแล้วไง ทำไมถึงได้มาวุ่นวายกับสองพ่อลูกนี่อีก ตัวเองก็มีเงินมากกว่าแท้ ๆ” พลัก
บทที่ 7 อ่อนแอเกินไป การสูญเสียทุกอย่างที่รักไปมันทำให้คนคนหนึ่งตายทั้งเป็นได้เลย บิดาผู้นี้กำลังเป็นเช่นนั้น หยางเทียนหรงรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่อีกฝ่ายส่งออกมา ทั้งน้ำเสียงและท่าทางชวนให้คนมองรู้สึกสลดไปด้วย บุรุษที่เคยองอาจจนสามารถล่าสัตว์มาขายเลี้ยงครอบครัวภรรยาได้จนสามารถซื้อเกวียนม้าเทียมได้นับว่าเก่งกาจยิ่งนัก แต่แล้วต้องมาตกอยู่ในห้วงแห่งความมืดมิดแม้แต่จะเดินไปทางก็ยังต้องมีคนนำทางเช่นนี้ หากเขาเป็นเช่นนั้นลางทีตนอาจจะปลิดชีพตนเองไปแล้วก็เป็นได้ หยางเทียนหรงไม่อาจบอกให้บิดาปล่อยวางได้แต่ถ้าหากปล่อยอีกฝ่ายกล่าวโทษตนเองเช่นนี้คงไม่เป็นผลดีนัก  
บทที่ 8 ก่อไฟครั้งแรก ในห้วงแห่งความทรงจำนั้นเด็กน้อยมิเคยได้เห็นขั้นตอนการก่อไฟทำอาหารของมารดาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะเอาแต่ตามบิดาเข้าไปล่าสัตว์และหาของป่าเท่านั้น ไม่เคยได้เข้าใกล้ฟืนไฟจนมาวันนี้ ฉะนั้นเขาต้องการผู้ช่วยโดยด่วนขืนยังยืนงงงวยเช่นนี้เห็นทีวันนี้คงไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องแน่แท้หลังจากที่ยืนงงงวยอยู่ไม่นาน เด็กน้อยจึงเดินไปหาบิดาที่ยังคงนั่งรออยู่ที่ชานเรือนดังเดิม แล้วเอ่ยถามด้วยความเขินอาย “ท่านพ่อขอรับข้าก่อไฟไม่เป็น” “อ่า จริงสิ เจ้ายังไม่เคยถูกสอนเรื่องก่อไฟสินะ เช่นนั้นพาบิดาไปที่ครัวเดี๋ยวข้าจะบอกเจ้าเองว่าต้องทำอย่างไรบ้าง”บิดาคลำไปโดยรอบจนพบเข้ากับเสาจากนั้นจึงจับยึดเอาไว้แล้วพยุงตนเองให
บทที่ 9 ข้าวต้มไข่ “ไก่ของเจ้าได้มันมาอย่างไรอาหรง” บิดาเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ ด้วยตลอดเวลาตนขึ้นเขาล่าสัตว์มาหลายปีมิเคยเห็นไก่ป่าเชื่องกับคนมากเพียงนี้ หากไม่นำมาเลี้ยงตั้งแต่ยังเป็นลูกไก่ เพราะสัตว์ป่าแถบนี้ล้วนแต่ดุร้ายและรักความอิสระทั้งนั้น ก่อนหน้าที่เขาจะตาบอดเขาเคยไปล่าไก่ป่ามาเพื่อที่จะเลี้ยงเอาไข่ แต่กลายเป็นว่ามันสู้สุดชีวิตจนตายทำให้เขาไม่ได้ไก่ป่ามาเพื่อเลี้ยงแต่ได้มาย่างกินแทน แล้วบุตรชายตัวน้อยของตนไปทำอย่างไรมันถึงยอมมาอยู่ด้วยเช่นนี้ บิดาจะถามเรื่องนี้เองหรือ เด็กน้อยพรู่ลมหายใจด้วยความโล่งใจก่อนจะเอ่ยตอบตามความจริงเพียงกึ่งหนึ่ง “ข้าไปหาของป่ามาขอรับ แต่บังเอิญเจอมันถูกลูกหมาป่าทำร้ายอยู่จนปีกหัก ข้าเลยช่วยมันเอาไว้ มันก็เลยเดินตามข้ากล
บทที่ 10 ไม่จำเป็น เมื่อคืนลมหนาวพัดมาเกือบค่อนคืนทำให้สองพ่อลูกนอนกอดกันกลมจนเช้าตรู่ หยางเทียนหรงแทบจะแข็งตายด้วยลืมสวมใส่อาภรณ์ชั้นนอก มันจึงทำให้เด็กน้อยตัวเย็นเหยียบจนแทบไม่อยากออกจากอ้อมกอดของบิดาเอาเสียเลย กะต๊าก กะต๊าก แต่ก็ทำเช่นนั้นไม่ได้เพราะเสียงปลุกจากแม่ไก่ดังสนั่นจนเขาสะดุ้งตัวโยน เพราะมันร้องก้องอยู่ข้างหูของเด็กน้อยจนต้องลืมตาตื่นขึ้นเสียมิได้“หิวหรือเจินเจิน เหตุใดจึงส่งเสียงร้องจนข้าตื่นเช่นนี้กัน” หยางเทียนหรงเอ่ยถามแม่ไก่ตัวอ้วนด้วยความงัวเงีย แต่แม่ไก่กลับยังคงกู่ร้องอยู่เช่นเดิม และยังคงเดินวนเวียนและกางปีกด้วยอาการกระสับกระส่ายอยู่อ
บทที่ 11 เจ้าเติบโตมากทีเดียว “หรงหรง เจ้าอยู่ที่ใด ข้าได้ยินเสียงท่านแม่ นางเข้ามาทุบตีเจ้าอีกแล้วหรือ” บิดาตื่นหลังได้ยินเสียงเอะอะเสียงดังทั้งคนทั้งแม่ไก่ อีกทั้งยังเป็นเสียงคุ้นเคยยิ่งกว่าสิ่งใด อดีตมารดาของภรรยาตามมารังแกบุตรชายของเขาอีกแล้ว “ท่านพ่อตื่นแล้วหรือขอรับ ข้าไม่เป็นอะไรขอรับ ท่านยายไม่ทันได้ทุบตีข้า เจ้าเจินเจินก็โผบินเข้ามาช่วยเหลือข้าก่อนแล้ว” เด็กน้อยไม่บอกว่าตนได้กระทำสิ่งใดกับหญิงชราไปบ้างเพราะความคิดของบิดายังคงมีความกตัญญูต่ออีกฝ่ายมากนัก “เรื่องอาหาร หากมันสามารถแบ่งปันให้ยายของเจ้าได้ก็แบ่งเสียเถิด ข้าไม่อยากให้เจ้าเจ็บตัวอีก” อาหารเป็นสิ่งนอกนอกกาย มันยังสามารถหาใหม่ได้ แต่ชีวิตของบุตรชายไม่สามารถหาได้จากที่ใดอีกแล้ว
บทที่ 12 เข้าป่า กะต๊าก กะต๊าก “ไม่ต้องตามข้ามาเจินเจิน เจ้าอยู่เรือนดูแลท่านพ่อให้ข้า” หยางเทียนหรงเอ่ยกับแม่ไก่หลังมันทำท่าจะเดินตามออกมา กะต๊าก กะต๊าก มันส่ายหัวไม่ยินยอมเพราะต้องการตามติดผู้เป็นนายไปไม่อยากแยกจาก แต่เมื่อได้ยินเหตุผลมันจึงยอมไปกกไข่ใกล้กับบิดาของผู้เป็นนายของมันและยังแอบเหล่ไปทางประตูเรือนด้วยความระแวดระวัง “ข้ากลัวท่านยายบุกเข้ามาทำร้ายท่านพ่อของข้าอีก เจ้าช่วยดูแลท่านพ่อให้ข้าได้หรือไม่” ตัวเขานั้นสามารถวิ่งหนีได้หากเกิดภัยอันตราย แต่บิดานั้นไม่สามารถกระทำได้ ดังนั้นการทิ้งแม่ไก่ตัวอ้วน
บทที่ 13 เห็ดวิเศษ ตุบ “โอ้ย” เคราะห์ซ้ำกำซัดเมื่อกลิ้งหล่นลงมาศีรษะกระแทกเข้าที่ขอนไม้พอดีราวกับจับวาง โลหิตไหลซึมออกมาเตือนสติเด็กน้อยเอาไว้ว่าไม่ควรประมาทเลินเล่อมิเช่นนั้นจะทำให้ตนเองบาดเจ็บเช่นนี้ ชะตาของคนดวงกุดมันเป็นเช่นนี้เองหรือ บัดซบนัก เข้าร่างใหม่ก็ยังมิวายได้รับโชคร้ายอยู่ร่ำไป หรงหรงน้อยส่ายหน้าให้กับโชคชะตาแล้วยันตัวขึ้นมา และยังสัมผัสได้ถึงโลหิตที่กำลังหลั่งรินลงมาเข้าดวงตาของตน จึงมองหาสมุนไ
บทที่ 34 ขยายเรือนอีกครั้ง วันนี้ก็เป็นอีกวันที่มีไข่ไก่เหลืออยู่นับยี่สิบฟองซึ่งมากกว่าทุกวัน นั่นยิ่งตอกย้ำไปอีกว่ากิจการขายไข่ไก่เริ่มสั่นคลอนเล็กน้อย ยิ่งยามนี้แม่ไก่สาวเริ่มเติบโตเต็มที่ไข่ไก่ที่ออกมาล้วนแต่ขนาดที่ใหญ่จนต้องขึ้นราคามาเป็นฟองละห้าอีแปะ ทำให้สูญเสียลูกค้าไปบ้างแต่ก็ส่วนน้อยเนื่องจากขนาดของมันนั้นใหญ่มากกว่าร้านที่ขายในราคาเดียวกันเสียอีก “คุณชายกลับกันเถิดขอรับ หากรอไปมากกว่านี้เห็นทีจะถึงเรือนหลังตะวันตกดิน มันไม่เป็นผลดีแน่ขอรับ” การเดินทางไปยังหมู่บ้านซีเป่ยหลังตะวันตกดินนั้นมิใช่เรื่องที่ดีเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไม่มีเพื่อนร่วมทางแล้วด้วยมันจะกลายเป็นเป้าโจมตีของพวกโจรป่าที่ชอบดักปล้นชิงคนที่เดินทางเพียงลำพังยามค่ำคืน ฉะนั้นกันไว้ดีกว่า
บทที่ 33 พ่อบ้านสกุลหยาง อาการของทาสที่หยางเทียนหรงไถ่ตัวออกมานั้นนับว่าสาหัสพอสมควร เพราะบาดแผลมิได้มีเพียงแค่รอยจากแส้เท่านั้น มันยังมีรอยจากการถูกคมดาบเฉือนเนื้อมากมายนับไม่ถ้วน จนไม่คาดคิดเลยว่าทาสผู้นี้จะมีชีวิตรอดได้นานมากเพียงนี้ “ข้าจัดการบาดแผลภายนอกจนหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ให้บุรุษผู้นั้นตื่นขึ้นมาดื่มโอสถแก้บอบช้ำภายในเท่านั้น” “ขอบคุณท่านหมอที่ช่วยเหลือท่านลุงผู้นี้เอาไว้นะขอรับ” “ลุงของเจ้าหรือ” “มิใช่ขอรับ เขาเป็นทาสที่ข้าได้ช่วยเหลือเอาไว้เพราะไม่อยากให้คนผู้นี้ถูกพ่อค้าทาสทุบตีจนตาย&
บทที่ 32 ช่วยเหลือทาส “อ้าก” เสียงกรีดร้องของทาสตรงหน้าทำให้เด็กน้อยถึงกับชายอาภรณ์ของบิดาเอาไว้แน่นก่อนจะกระตุกสองคราเพื่อเรียกให้บิดาสนใจตนเอง “หึ ร้องออกมาทาสผู้โง่เขลา คิดว่าข้าทาสไร้ราคาเช่นเจ้าข้าจะมิกล้าทุบตีให้ตายหรือ” เสียงทุบตีทาสดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาชาวบ้านหรือแม้แต่นักเดินทางให้หันมามุงดูคนถูกทำร้ายโดยที่ไม่มีผู้ใดกล้ายื่นมือเข้าไปช่วยเหลือแม้แต่คนเดียว แม้แต่ทหารที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ไม่ใส่ใจอีกฝ่ายเมินเฉยราวกับว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำจนเคยชิน เกินไปแล้ว ค
บทที่ 31 ปรับราคาไข่ไก่ เกวียนม้าเทียมกำลังจะเดินทางออกจากเรือนสกุลหยางแต่ไม่ทันได้ออกตัวกลับถูกสตรีนางหนึ่งเดินมาขวางทางเอาไว้เสียก่อน พร้อมเอ่ยเสียงดังด้วยน้ำเสียงเชิงข่มขู่แกมบังคับจนทำให้ชาวบ้านที่กำลังเดินขวักไขว่ไปมาอยู่นั้นหยุดเดินแทบจะทันทีแล้วจับกลุ่มแอบสนทนากันอย่างออกรสว่าวันนี้สตรีนางนี้จะก่อเรื่องอันใดอีก “ป้าซุนจะไปขายของในเมืองหรือขอรับ” “ก็ใช่น่ะสิ ข้าอุตส่าห์เตรียมของรอพวกเจ้าตั้งแต่ยามเหม่า เหตุใดพวกเจ้าสองพ่อลูกจึงออกจากเรือนเชื่องช้านักปล่อยให้ข้ารอตั้งหนึ่งชั่วยาม บ้าไปแล้วหรือ!” หลี่อี้ซุนตวาดออกมาด้วยความฉุนเฉียวที่วันนี้นางต้องออกเดินทางไปขายเนื้อไก่ช้ากว่าที่เคยจนมารดาของสามีเอ่ยถากถางหาว่านางเริ่มทำตัวเกียจคร้าน&
บทที่ 30 มีชีวิตอย่างเข้มแข็ง ฤดูหนาวของหมู่บ้านที่อยู่ติดเขาเหลียนซานนับว่าเลวร้ายกว่าที่อื่นมากนัก ด้วยเขาแห่งนี้เมื่อเข้าสู่เหมันต์ฤดูภูเขาทั้งลูกจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน บรรดาพืชพันธุ์และสัตว์ป่าล้วนเข้าสู่ฤดูการจำศีล หมู่บ้านซีเป่ยก็เช่นเดียวกันยามนี้ทั่วทั้งหมู่บ้านล้วนมีแต่หิมะสูงเทียมเอวของบุรุษร่างสูงใหญ่การเดินฝ่าหิมะออกมาเพื่อที่จะเดินทางไปยังเมืองท่าซือหลินนั้นมิใช่เรื่องง่ายและมันไม่คุ้มค่าพอที่จะเสี่ยงด้วย เพราะอาจทำให้สูญเสียม้าที่เป็นตัวลากเกวียนได้ ฉะนั้น ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงใช้ชีวิตอยู่ในเรือนของตนเองเหมือนดัง หยางเทียนหรงและบิดาที่ยามนี้กำลังนั่งกินอาหารรสชาติเผ็ดร้อนเพื่อคลายความหนาวเหน็บที่กำลังเผชิญอยู่ด้วยการกินหม้อไฟหมาล่าที่เคยทำไปคราก่อน มาวันนี้ได้ท
บทที่ 29 หมูป่าตัวเขื่อง หลังจากผ่านเหตุการณ์คนบ้านใหญ่บุกเข้ามาทำร้ายสองพ่อลูกถึงในเรือนแต่ได้นายช่างโม่ช่วยเหลือเอาไว้ได้ แต่คนกลับไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นหลายคนพุ่งเป้ามาที่สิ่งของที่ทั้งสองได้กลับมาหลังเข้าเมืองไปต่างหาก โดยเฉพาะเรื่องที่เด็กน้อยนั้นเก็บสมุนไพรราคาแพงได้จนสามารถซื้อเกวียนพร้อมม้าได้ถึงสองตัว อีกทั้งยังมือเติบสร้างเรือนให้ไก่หลังโตจนหลายคนต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า หลานชายของยายเฒ่าโจวช่างโง่งมยิ่งนัก มีอย่างที่ไหนเสียเงินมากมายเพื่อไก่แค่สองตัว แล้วเรื่องก็ลือไปจนถึงหูของยายเฒ่าที่ยามนี้เริ่มขยับกายได้บ้างแล้ว นางได้ยินถึงกับอยากกระอักโลหิตออกมาพ่นใส่ใบหน้าของหลานชังผู้นั้นนัก ก
บทที่ 28 เรือนหลังน้อยของเจินเจินและเจาเจา โม่หรงและคนงานจัดการซ่อมแซมเรือนสกุลหยางจนกลับมาดูดีเช่นเดิมจนเสร็จสิ้นภายในสองวัน จนเข้าวันที่สามที่เด็กน้อยร้องขอเพิ่มอีกว่าต้องการโรงเรือนสำหรับเลี้ยงไก่สองตัว คราแรกช่างไม้เข้าใจไปว่าผู้จ้างงานอยากได้เพียงแค่เล้าไก่เล็ก ๆเท่านั้น เพราะเห็นเพียงไก่อวบอ้วนเพียงสองตัว แต่กลายเป็นว่าเจ้าหนูเทียนหรงอยากได้เรือนหลังน้อยเอาไว้ให้ไก่ทั้งสองตัวเสียนี่ “เจ้าหนู แน่ใจแล้วหรือที่จะสร้างเรือนให้ไก่ของเจ้าน่ะ มันใช้ตำลึงไม่น้อยนะเจ้ายอมจ่ายเพื่อไก่สองตัวนี้เชียวหรือ” โม่หรงเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เขาไม่อยากให้เด็กน้อยใช้ตำลึงไปโดยเปล่าประโยชน์ &ldq
บทที่ 27 ก่อนเหมันต์มาเยือนหลังจากที่บิดาหลับไปแล้วมันจึงเป็นเวลาของเด็กน้อยที่จะได้ใช้มันว่าวันนี้จะได้สิ่งใดกลับเรือนไปบ้างหยางเทียนหรงจึงไปเดินเลือกซื้อถ้วยใบใหม่เสียหลายใบ กระทะสองใบ และหม้อสำหรับหุงข้าวสารกับหม้อต้มอีกสามใบ เหมือนเขาจะเห็นหม้อนึ่งซาลาเปาจึงหยิบมันมาด้วย“เท่าไหร่หรือขอรับเถ้าแก่”เถ้าแก่ร้านขายเครื่องครัวเดินปรี่เข้ามาลูกค้าตัวน้อยที่ตั้งแต่เดินเข้าในร้านก็หยิบมันแบบไม่คิดถามราคาแต่อย่างใด อีกทั้งยังเลือกจำนวนมากกว่าหนึ่งชิ้น ทำเอาเถ้าแก่อย่างตนหน้าบานชื่นมื่น“คุณชายเครื่องครัวทั้งหมดนี้ราคาเจ็ดสิบอีแปะขอรับ อ้อ ข้าแถมซึ้งนึ่งให้คุณชายด้วยสองอัน”ไม่แพงเท่าใดนักเขาจึงควักตำลึงจ่ายไปโดยไม่ลังเล“เถ้าแก่ให้คนไปส่งที่โรงหมอเสิ่นหยางได้หรือไม่ขอรับ พอดีว่าเกวียนม้าของข้าจอดอยู่ที่นั่น”“ได้ ได้ คุณชายไม่ต้องกังวลข้าน้อยจะให้เด็กรับใช้นำไปส่งให้ถึงเกวียนเลยขอรับ”“ขอบคุณเถ้าแก่”“อย่าลืมแวะมาเลือกซื้ออีกนะคุณชาย”นอกจากนี้เขายังเข้าร้านขายวัตถุดิบอีกครั้งเพื่อไปเลือกซื้อแป้งสำหรับลองทำบะหมี่ดูเผื่อจำศีลในช่วงฤดูหนาวเขาจะทำให้บิดากิน แต่ความรู้ในด้านนี้น้อยเหลือเกิน
บทที่ 26 บิดาหายดี หลังจากที่ลุงเฉินกลับออกไปแล้วเด็กน้อยทำการผสมรำข้าวกับเม็ดข้าวโพดที่นั่งแกะมันออกเข้าด้วยกันแล้วหว่านลงใกล้กลับบริเวณที่เคยปล่อยไส้เดือนเอาไว้ก่อนหน้า เพื่อให้แม่ไก่ทั้งสองตัว? ได้กินอาหารที่ดีและบำรุงตัวมันเองด้วย จากนั้นจึงเดินไปดูลังไม้ที่ทำเอาไว้ให้เจินเจินและเจาเจานอนเพื่อออกไข่กลับพบว่าสีเปลือกไข่ต่างจากที่เคยเก็บมาโดยตลอด อีกทั้งลังไม้ของเจาเจาไม่มีไข่เลยแม้แต่ฟองเดียว หรือแท้จริงแล้วเจาเจามันจะเป็นตัวผู้กัน แต่มันตัวอวบอ้วนไม่ต่างจากเจินเจินเลยแม้แต่น้อยมันจะใช่ตัวผู้แน่หรือ “เจินเจินเหตุใดไข่ของเจ้าใบใหญ่ขึ้นกว่าเดิมนัก มันเน่าหรือ” เด็กน้อยตะโกนถามแม่ไก่ตัวอ้วนด้วยความสงสัยหลังเห็นไข่ไก่นับสิบฟองเป็นเหมือนกันทั้งหมด กุ๊ก กุ๊ก มันเดินมาแล้วส่ายหน้า “แล้วมันเป็นอะไร สีก็แปลกตากว่าที่ข้าเคยเห็นอีก” กุ๊ก กุ๊ก นอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้ว เจาเจาก็เดินขึ้นไปกกไข่หลังจากกินจนอิ่มหนำ ส่วนเจินเจินก็เดินมาส่ายหน้าให้กับตนแล้วขึ้นนั่งกกไข่เบียดกันสองตัวจนแทบไม่มีที่ว่าง