บทนำ
“ที่นี่คือที่ไหน? ทำไมถึงมืดขนาดนี้ มีใครอยู่ไหมคะ ช่วยเปิดไฟให้หน่อยได้ไหม”
ท่ามกลางความมืดสนิทที่มองไปทางไหนก็ไร้จุดหมาย ซ่งเจียซินเดินไปมาอย่างไร้ทิศทาง เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตนเองกำลังจะเดินข้ามถนนเพื่อไปซื้อเนื้อหมูสดที่ตลาดฝั่งตรงข้าม แต่ขณะที่อยู่ตรงกลางถนนบังเอิญมีหญิงชราคนหนึ่งหกล้ม ด้วยคุณธรรมในใจจึงหันหลังกลับไปช่วยพยุงอีกฝ่ายลุกขึ้น
"เจอกันอีกแล้วนะ"
"เจอกันอีกแล้วเอ่อ... เราสองคนเคยเจอกันมาก่อนด้วยหรือคะ"
หญิงชราคนนั้นไม่ได้ตอบอะไร เพียงยิ้มให้เธอแล้วเดินจากไป ซ่งเจียซินแม้จะสงสัยแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ หมุนตัวเพื่อเดินไปยังอีกฟากของถนนเพื่อเร่งทำธุระของตนต่อ
ใกล้ได้เวลาเข้างานแล้ว ถ้ายังไม่เร่งวันนี้เธออาจจะหมักหมูไม่ทัน แล้วพรุ่งนี้ก็คงไม่มีหมูไปย่างขาย
ในขณะที่ซ่งเจียซินเร่งฝีเท้า แสงไฟจากรถบรรทุกคันหนึ่งก็สาดส่องมาที่ตัวเธอ ไม่ทันตั้งตัวสติก็ดับวูบ ร่างกายมืดมิดขึ้นมากะทันหัน คาดเดาตามสถานการณ์แล้วเธอต้องถูกรถบรรทุกคันนั้นชนตายอย่างแน่นอน แต่เพราะอะไรตอนนี้เธอจึงมาอยู่ที่นี้ หรือว่านี่จะเป็นเส้นทางไปยมโลกที่กล่าวถึงในนิทานระดับประถม
แต่ไม่ทันได้คำตอบที่แน่ชัด ทั่วทั้งตัวของซ่งเจียซินก็รู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกเลาะกระดูก เฉือนเนื้อ เธอกรีดร้องดังลั่น ร่างกายค่อยๆ ทรุดลง ก่อนจะรู้สึกคล้ายมีแรงบางอย่างดึงกระชากราวกับกำลังตกจากที่สูง
"กรี๊ด!" หญิงสาวหลับตากรีดร้องลั่นอีกครั้ง ก่อนความรู้สึกวูบหล่นจะหยุดนิ่ง พร้อมกับอาการเจ็บปวดที่ค่อยๆ ทุเลาลง
เมื่อความเจ็บปวดจางหาย ซ่งเจียซินก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง หากแต่แสงที่สว่างเข้ามาในลานสายตาแบบกะทันหันทำให้เธอรู้สึกแสบตาจนต้องยกมือขึ้นบดบังแสง เพียงแต่มือของเธอ...
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”
ดวงตากลมเบิกกว้าง ดีดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วเลื่อนมือของตนลงมามองด้วยอาการตกใจ
ทำไมมือที่แข็งกระด้างหยาบกร้านของเธอจึงได้เปลี่ยนเป็นขาวเนียนและนุ่มละมุนขนาดนี้ หลังจากพิจารณาจนแน่ใจแล้วว่ามือนี้ไม่ใช่มือของเธอ ซ่งเจียซินก็ขยับตัวลงจากเตียงนอน ยกมือทั้งสองข้างขึ้นสำรวจอีกหน
“นะ... นี่มัน... ไม่ใช่มือของฉัน! แต่ทำไมจึงกลายเป็นมือของฉัน”
ซ่งเจียซินตั้งแต่อายุสิบสามก็ทำอาชีพขายหมูย่างเลี้ยงชีพ ในทุกวันไม่เพียงแต่ต้องออกไปซื้อเนื้อหมูมาหมักเสียบไม้ ยังต้องผ่าฟืนก่อไฟย่างเนื้ออยู่หน้าเตาจนใบหน้าหยาบกร้าน เวลาที่เว้นว่างยังทำงานเสริมสารพัด ตั้งแต่เย็บผ้าไปจนถึงแบกปูน ดังนั้นมือคู่นี้ของเธอจึงทั้งแข็งและแห้งกราน จะนุ่มละมุนและขาวเนียนเช่นนี้ได้ยังไงกัน
ในขณะที่กำลังตกใจกับมือของตนเองที่เปลี่ยนแปลงไป ภาพความทรงจำที่ไม่คุ้นเคยก็ไหลเข้ามาในห้วงความคิดอย่างกะทันหัน
“โอ๊ย!” ซ่งเจียซินกัดฟันร้องในลำคอ ยกสองมือขึ้นกุมศีรษะที่ปวดร้าวราวกับจะปริแตก จนเสียหลักล้มลงบนเตียงอีกหน
นี่มันเรื่องอะไรกัน... ความทรงจำพวกนี้... ทำไม... ทำไมถึงเข้ามาในหัวของฉัน
หญิงสาวดิ้นไปมาบนเตียงนอนอย่างทรมาร จนกระทั่งภาพความทรงจำมากมายที่หลั่งไหลเข้ามาหยุดลง อาการทรมานจึงสิ้นสุด เธอทิ้งตัวหายใจหอบถี่ด้วยความสับสนและหวาดกลัว ดวงตากลมกวาดมองไปรอบๆ ตัว ยิ่งเห็นว่าตนเองอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย หัวใจของเธอก็ยิ่งทวีความรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา
ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วที่นี่คือที่ไหน
นะ... นั่นคนใช่ไหม
สายตาตื่นตระหนกหยุดอยู่บนร่างของชายหนุ่มแปลกหน้าที่นอนขดบนโซฟา แม้จะอยู่ในระยะห่างหลายเมตรแต่ซ่งเจียซินก็สามารถมองเห็นเค้าโครงใบหน้าอันหล่อเหลาและคมเข้ม ของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน พลันภาพความทรงจำหนึ่งก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวของเธออีกครั้ง
อี้โจว หลังดื่มเหล้าแก้วนี้คุณก็นับว่าเป็นสามีโดยสมบูรณ์ของฉันแล้ว
สามี! ที่แท้ชายหนุ่มหล่อเหลาบนโซฟาคนนี้ก็คือสามีเจ้าของร่างเดิม... นายแพทย์ทหารมากฝีมือ ผู้พันหลี่ หลี่โจวอี้ นั่นเอง
ซ่งเจียซินนั่งหายใจหอบอยู่บนเตียง ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับแต่เหตุผลเดียวที่พอจะอธิบายสถานการณ์ของเธอในตอนนี้ได้ก็คือ เธอทะลุมิติ มาเกิดใหม่ในร่างของหญิงสาวที่มีชื่อว่า ‘เสวี่ยชิงหยวน’ หญิงสาวที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความสวย และร้ายกาจจนเลื่องลือไปทั่ว
สตรีไร้ยางอายเช่นเธอ ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งภรรยาของฉัน
คำพูดของหลี่อี้โจวที่ประกาศก้องห้องโถงในค่ำคืนนั้นชัดเจนจนซ่งเจียซินรับรู้ได้ถึงความคับแค้นใจของเจ้าของร่างเดิม เพียงแต่เรื่องนี้หากจะผิดก็ผิดที่เจ้าของร่างเดิมผู้นี้ ใครใช้ให้นางคิดร้ายต่อสามีตนเอง ถึงขั้นวางยาปลุกอารมณ์เพื่อหวังบังคับฝืนใจชายหนุ่มให้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งทางกายด้วย ถูกเขาแสดงท่าทีรังเกียจเช่นนั้นก็นับว่าเหมาะสม เพียงแต่ไม่รู้ว่าการกระทำในอดีตของเจ้าของร่าง จะมีผลต่อ้ธอในอนาคตหรือไม่
เอาเถิดอย่างน้อยก็มีบ้านให้อยู่ มีข้าวให้กิน เทียบกับชีวิตก่อนที่ต้องทำงานหาเงินมาแลกข้าว แลกที่อยู่แล้ว ชีวิตใหม่นี้ก็ไม่เลวนัก
ในขณะที่กำลังพยายามสะกดจิต สงบใจ ให้ยอมรับสถานการณ์อันเหนือธรรมชาติอยู่นั้น หญิงสาวก็ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออก ก่อนที่ใบหน้ากลมราวลูกซาลาเปาก้อนหนึ่งจะโผล่เข้ามา
“แม่! คุณฟื้นแล้ว!”
แม่! ซ่งเจียซินที่ได้ยินเจ้าซาลาเปาน้อยหน้าประตูเรียกขาน ก็ถึงกับอ้าปากค้างไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง แค่เธอทะลุมิติมาเกิดใหม่เป็นสตรีร้ายกาจจนถูกสามีหมางเมินก็ยากจะทำใจยอมรับแล้ว ตอนนี้ยังมีลูกอีกหนึ่งคนมาให้เลี้ยงเพิ่ม...
สวรรค์พวกท่านว่างมากหรือไง ถึงได้เล่นตลกกับชีวิตคนเช่นนี้
.................................................
บทที่ 1ทะลุมิติ มาเกิดใหม่“แม่! คุณฟื้นแล้ว!”แม่! ซ่งเจียซินที่ได้ยินเจ้าซาลาเปาน้อยหน้าประตูเรียกขาน ก็ถึงกับอ้าปากค้างไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง แค่เธอทะลุมิติมาเกิดใหม่เป็นสตรีร้ายกาจจนถูกสามีหมางเมินก็ยากจะทำใจยอมรับแล้ว ตอนนี้ยังมีลูกอีกหนึ่งคนมาให้เลี้ยงเพิ่ม...สวรรค์พวกท่านว่างมากหรือไง ถึงได้เล่นตลกกับชีวิตคนเช่นนี้เพียงแต่ตรงหน้ามีเด็กชายเพียงหนึ่งคน แต่ภาพในหัวของซ่งเจียซินกลับปรากฏเด็กชายสามถึงคน เด็กชายอีกสองคนเป็นใครกัน เพราะใช้ความคิดมากเกินไป ซ่งเจียซินจึงมีอาการปวดหัวจนต้องหลับตาขมวดคิ้วแน่น “จื่อหมิง! จื่อชิง! พวกนายอยู่ไหน แม่ฟื้นแล้ว จื่อหมิง! จื่อชิง!"นี่คือจื่อหมิง จื่อชิง จื่อรั่ว ลูกชายของผมเสียงแนะนำลูกๆ ทั้งสามของหลี่อี้โจวในวันแต่งงานปรากฏขึ้นในความคิด พร้อมกับภาพที่เจ้าของร่างเดิมแสร้งปั้นหน้าแสดงท่าทางเอ็นดูรักใคร่เด็กๆ ก่อนจะเปลี่ยนไปในทันทีที่หลี่อี้โจวเดินออกจากห้องแต่งตัวไป“แม่ คุณสวยมาก พวกเรา... โอ๊ย!เด็กชายตัวเล็กที่สุดในกลุ่มเดินเข้าจับแขนของเสวี่ยชิงหยวน พร้อมกับเจรจาเสียงสดใส ทว่าหญิงสาวกลับมองรอยยิ้มของเขาอย่างดูแคลนกาอนจะสลัดเขาออกจากตัว จน
บทที่ 2ภรรยาที่เปลี่ยนไปคศ.1980!!ซ่งเจียซินเร่งฝีเท้าเดินจนแทบจะกลายเป็นวิ่ง ตรงไปที่ปฏิทิน ก่อนจะหยุดยืนเพ่งมองปีบนมุมบนอีกครั้งเพื่อยืนยันในสิ่งที่ตนกำลังคิดนี่มันเป็นไปได้ยังไง ปกติแล้วการเกิดใหม่ควรหมุนเวียนไปวันเวลาข้างหน้าไม่ใช่หรือไง ทำไมเธอถึงได้หมุนวนย้อนกลับมาข้างหลังแบบนี้กัน หลี่อี้โจวค่อยๆ เปิดตาขึ้นมองหญิงสาวที่วิ่งไปดูปฏิทินด้วยความรู้สึกซับซ้อน ไม่รู้เพราะเหตุใดแต่เขากลับรู้สึกว่าเสวี่ยชิงหยวนคนนี้กับเสวี่ยชิงหยวนคนก่อนนั้นแตกต่างกันราวกับคนละคน แต่เมื่อคิดถึงความสามารถในการเสแสร้งของเธอ หลี่อี้โจวก็สลัดความสงสัยของตนเองทิ้งในทันทีความจริงเขารู้สึกตัวตื่นตั้งนานแล้ว ภาพที่เธอนอนดิ้นทุรนทุรายบนเตียงเขาก็มองเห็นอย่างชัดเจนตั้งแต่แรก แต่ว่าที่ผ่านมาเรื่องเสแสร้งแกล้งป่วยเป็นการกระทำที่เสวี่ยชิงหยวนถนัดที่สุด ดังนั้นเขาจึงไม่ได้หลงเชื่อเธอแม้ว่าทุกกิริยาจะสมจริงแค่ไหนก็ตามทว่าสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจก็คืออาการตื่นตกใจ ราวกับว่าวันเวลาบนปฏิทินนั้นผิดปกติของเธอ หรือว่านี่จะเป็นผลข้างเคียงของดอกลำโพงที่เธอกินประชดเขาไปเมื่อวันก่อนดอกลำโพงนั้นเป็นสมุนไพรที่หาได้ง่า
บทที่ 3หญิงร้ายกาจเสวี่ยชิงหยวน เธอช่างเป็นแม่เลี้ยงที่ประเสริฐจริงๆ อยู่ร่วมบ้านมาสองปีกลับจดจำพวกเขาไม่ได้เลยสักคนซ่งเจียซินก่นด่าเสวี่ยชิงหยวนอยู่ในใจพร้อมกับหยิบเสื้อผ้าที่ปลายเตียงเดินเข้าห้องน้ำ จัดการอาบน้ำล้างตัวเปลี่ยนชุดแล้วเร่งลงมาที่ห้องโถงชั้นล่างก่อนหน้านี้หลี่อี้โจวบอกว่าใกล้ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว ซ่งเจียซินไม่ต้องการให้เด็กๆ รอนานจนส่งผลเสียต่อสุขภาพของพวกเขา จึงไม่แม้แต่จะเสียเวลาแต่งหน้ารีบลงมาในทันทีทว่าเมื่อมาถึงห้องโถงภาพที่เห็นกลับเป็นเด็กทั้งสามกำลังนั่งกินอาหารเช้าด้วยกันโดยไม่มีทีท่าว่าจะรอเธอ“นี่พวกนาย กินข้าวกันแล้ว!”ซ่งเจียซินไม่เคยมีลูกอีกทั้งตลอดชีวิตในชาติก่อนก็ทำแต่งานหาเงินเลี้ยงตัวเอง ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าต้องเปิดบทสนทนาอย่างไรจึงจะสร้างความประทับใจให้กับเด็กแฝดทั้งสามได้“แม่ พวกเราขอโทษ พวกเราไม่ได้...”“จื่อรั่วไม่ต้องเสียเวลาอธิบาย หากเธอจะตีฉันจะรับเอง”ซ่งเจียซินเอียงศีรษะมองเด็กชายสองคนตรงหน้า ที่แม้จะมีใบหน้าที่คล้ายกันแต่แววตาและท่าทางกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง“จื่อหลงพวกเรากินข้าวก่อนคุณแม่ นี่นับเป็นเรื่องไม่สมควรจริงๆ”“แต่ไหนแต่ไร หา
บทที่ 4ความระแวงจากอดีต“แม่ คุณขับรถไม่เป็นไม่ใช่หรือครับแล้วจะพาผมไปโรงพยาบาลได้ยังไง”ซ่งเจียซินได้ยินคำพูดของหลี่จื่อรั่วก็ชะงักเท้าไปเล็กน้อย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างช่างใจ ตระกูลเสวี่ยนนั้นร่ำรวยมาก ตัวเจ้าของร่างเดิมเสวี่ยชิงหยวนที่เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวจึงได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี ไม่เพียงแต่ขับรถไม่เป็น งานการใดๆ ก็ล้วนไม่เคยต้องทำสักอย่าง ดังนั้นหากซ่งเจียซินแสดงความสามารถของตนเองที่ติดตัวมาอาจจะถูกจับสังเกตได้เพียงแต่ในตอนนี้เด็กชายในอ้อมแขนบาดเจ็บหากไม่พาเขาไปโรงพยาบาลอาจมีผลเสียในภายหลังได้“แค่นายไม่เคยเห็นฉันขับ ไม่ได้หมายความว่าฉันขับไม่เป็นเสียหน่อย จริงไหม”“จริงครับ โอ๊ย!”“อดทนหน่อย แขนนายเต็มไปด้วยเศษอาหารต้องล้างออกให้หมดแล้วค่อยใช้ผ้าสะอาดพันปิดแผลไปโรงพยาบาล”“ครับ... โอ๊ย... เจ็บ! แม่ครับผมเจ็บ!”เสียงร้องของหลี่จื่อรั่วที่ดังออกมาจากห้องน้ำ ทำให้หลี่จื่อหมิงและหลี่จื่อชิงร้อนรนด้วยความห่วงใย ขยับตัวดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อให้หลุดจากการจับกุมของจูหลินอิง“ปล่อยนะ! ปล่อย! หญิงใจร้ายห้ามทำร้ายจื่อรั่วของพวกเรานะ ปล่อย!”หลี่จื่อชิงทั้งดิ้นรน ทั้งส่งเสียงโวยวาย หา
บทที่5ข้อแลกเปลี่ยน“ระวัง!”ซ่งเจียซินร้องห้ามรีบโน้มตัวมาดึงผ้าปิดแขนของหลี่จื่อรั่วเอาไว้เหมือนเดิม“จื่อรั่วถูกข้าวต้มลวก ฉันกำลังจะพาเขาไปโรงพยาบาล ไม่ได้จะพาไปปล่อย!”พูดพลางจ้องมองดวงตาของเด็กชายตรงหน้า หลี่จื่อหมิงเมื่อรู้ว่าตนเองเข้าใจมารดาเลี้ยงผิด ในใจก็รู้สึกผิดเล็กน้อย แต่เขาเข้าใจผิดแล้วอย่างไร หากไม่ใช่เพราะเธอเคยพูดเองกับปากว่าจะเอาพวกเขาไปปล่อยทิ้ง วันนี้เขาจะคิดเช่นนี้ได้ยังไง“ไม่จริง เธอไม่มีทางพาจื่อรั่วไปโรงพยาบาล จื่อหมิงนายอย่าไปเชื่อเธอนะ”หลี่จื่อชิงที่ถูกจูหลินอิงจับเอาไว้ร้องบอกพร้อมกับดิ้นรนต่อต้านการจับตัว เขาไม่มีทางเชื่อว่าหญิงใจร้ายคนนี้จะพาแฝดผู้น้องของเขาไปโรงพยาบาล เธอไม่ใช่แม่ที่แท้จริงของพวกเขาจะมาใส่ใจพวกเขาได้ยังไง“จะไปโรงพยาบาลต้องมีเอกสารแสดงตัว คุณเอามาหรือยัง”“จื่อหมิง นายเชื่อเธอหรือ”“จื่อรั่วบาดเจ็บ ยังไงก็ต้องไปโรงพยาบาล จื่อชิงนายไปเอาสมุดประจำตัวของเขามา”ซ่งเจียซินมองเด็กชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกตกใจเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชื่นชม ส่งสายตาให้จูหลินอิงปล่อยคน“จื่อหมิงนายนี่รอบคอบจริงๆ อิงอิงเธอไปกับจื่อชิงเอาสมุดประจำตัวของจื่อรั่ว
โครม! เพียงประโยคเดียวที่ซ่งเจียซินพูดออกมาสิงฉู่หรันก็คล้ายทุกสิ่งรอบตัวหมุนไปหนึ่งหน แขนขวาราวกับถูกหัก แผ่นหลังถูกกระแทก ไม่ทันรู้ตัวร่างกายก็เซถลาล้มลงไปกองที่พื้น“ว้าย!”ซ่งเจียซินไม่คิดจะสนใจผลลัพธ์ของการกระทำของตนเอง เมื่อถีบส่งคนไปแล้วก็หันกลับมาสนใจหลี่จื่อชิงในทันที“จื่อชิง จื่อหมิง พวกนายเป็นอะไรไหม”“ไม่ต้องมายุ่ง คุณก็แค่...”“จื่อชิง!”ริมฝีปากเล็กเม้มเข้าหากันในทันทีที่พี่ชายฝาแฝดเรียกชื่อ ส่งสัญญาณทางสายตามาให้ หากแต่ก็ยังคงไม่ยอมรับการช่วยเหลือของหญิงสาวใจร้าย ขยับตัวลุกขึ้นด้วยตนเอง“เมื่อครู่ผมแค่ไม่ทันระวังจึงล้มลง”“ไม่เจ็บตรงไหนก็ดีแล้ว”ซ่งเจียซินไม่ได้ต้องการให้เด็กทั้งสองซาบซึ้งในการกระทำของเธอ เพราะต่อให้คนที่ถูกสิงฉู่หรันลงมือเมื่อครู่ไม่ใช่พวกเขา เธอก็ยังคงจะทำเช่นนี้“เสวี่ยชิงหยวน! เธอกล้าทำร้ายฉันเหรอ”เสียงสูงชวนแสบแก้วหูดังขึ้น ซ่งเจียซินถอนหายใจยาวอย่างระอาใจก่อนจะลุกขึ้นมายืนเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย“สิงฉู่หรัน! เรื่องในอดีตมันผ่านมาแล้ว ฉันเองก็แต่งงานมีครอบครัวแล้ว ส่วนเธอกับคุณเฉินก็แต่งงานกันแล้วเช่นกัน ทำไมยังยึดติดกับเรื่องไร้สาระพวกนี้อีก”“ไร้สา
“ฉันคือญาติของเด็กชายหลี่จื่อรั่วค่ะ!”ซ่งเจียซินหยุดเท้าที่หน้าพยาบาลสาวแล้วรายงานตัว“ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับคนไข้คะ”“ฉัน...”“เธอเป็นแม่ของพวกเราครับ”หลี่จื่อหมิงเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้ามีท่าทีอึดอัด มือเล็กกำหมัดแน่น รู้ดีว่าในใจของเสวี่ยชิงหยวนผู้นี้ไม่เคยคิดว่าพวกเขาสามพี่น้องเป็นลูก แต่ในเวลานี้พวกเขาอายุเพียงเจ็ดขวบ การตัดสินใจทางการแพทย์จำเป็นต้องให้เธอที่เป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้วรับรอง ดังนั้นไม่ว่าเธอจะยินดีหรือไม่ เขาก็จำเป็นต้องให้เธอยอมรับสถานะนี้ชั่วคราวเพื่อให้การรักษาหลี่จื่อรั่วไม่มีปัญหาซ่งเจียซินตกใจกับคำตอบของเด็กชาย แต่ก็รู้สึกดีที่เด็กชายรู้จักประเมินสถานการณ์ และวางตัวได้เหมาะสม“ใช่ค่ะ... ฉันเป็นแม่ของจื่อรั่ว”“เช่นนั้นเชิญคุณทางนี้เลยค่ะ คุณหมอโจวรออยู่”พยาบาลสาวผายมือแล้วเดินนำทางซ่งเจียซินไปยังห้องข้าง ๆ เมื่อมาถึงหน้าห้องแพทย์ซ่งเจียซินก็ชะงักเท้าเล็กน้อย ปรายตามองเด็กชายด้านหลังแล้วเอ่ยถามพยาบาลตรงหน้าด้วยท่าทางสุภาพ“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าฉันสามารถพาลูก ๆ และคนติดตามเข้าไปด้วยได้ไหม”แม้ซ่งเจียซินจะรู้ว่าสิ่งที่แพทย์ในห้องต้องการพูดคุยคืออาการเจ็บป่วยของห
ซ่งเจียซินทอดสายตามองท้องฟ้ายามค่ำคืนผ่านหน้าต่างห้องนอนชั้นสอง เจ็ดวันแล้วที่เธอเข้ามาอยู่ในร่างของเสวี่ยชิงหยวน เรื่องราวในตอนนี้แม้ว่ายากจะเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ เธอได้กลายมาเป็นเสวี่ยชิงหยวน ภรรยาของหลี่โจวอี้นายแพทย์ทหารชั้นพันเอก และยังเป็นมารดาเลี้ยงของลูกแฝดอีกสามคนเมื่อคิดถึงเด็กแฝดทั้งสามคนซ่งเจียซินก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของร่างเดิมกับลูกเลี้ยงนั้นช่างย่ำแย่เหลือเกิน แม้ว่าเจ็ดวันมานี้พวกเขาและเธอจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แต่ซ่งเจียซินรู้ดีว่านี่เป็นเพียงแค่คลื่นลมที่สงบชั่วคราวเท่านั้น“ขออนุญาตค่ะคุณหนู”เสียงขออนุญาตของหูหลินอิงดังขึ้นที่หน้าห้อง ก่อนที่จะเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับแก้วนมอุ่น“นมอุ่นก่อนนอนค่ะ”“ขอบใจมาก ทางเด็ก ๆ ก็ได้แล้วใช่ไหม”“ได้แล้วค่ะ ดื่มหมดแล้วด้วย”ซ่งเจียซินพยักหน้ารับทราบ ตั้งแต่วันแรกที่เธอเข้ามาอยู่ในร่างของเสวี่ยชิงหยวน ก็ให้หูหลินอิงนำนมอุ่นไปให้เด็กชายทั้งสาม อีกทั้งยังบอกไม้เด็ดหากพวกเขาไม่ยอมดื่มให้บอกว่า ถ้าคุณชายทั้งสามไม่ดื่ม คุณเสวี่ยจะเข้ามาป้อนด้วยตนเองค่ะเด็กชายทั้งสามเว้นหลี่จื่อรั่ว ล้วนไม่มีใครต้องการยุ่งวุ
ซ่งเจียซินเปลี่ยนชุดเสร็จก็เดินกลับมา พร้อมกับซองเอกสารสีน้ำตาล เมื่อนั่งลงบนโซฟาแล้วก็เอายื่นให้กับหลี่โจวอี้“อะไร” หลี่โจวอี้เอ่ยถามพร้อมกับหยิบเอกสารด้านในออกมาดู“สัญญาหย่า!” ดวงตาคมเบิกกว้างมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกตื่นตกใจ“ชิงหยวน นี่เธอกำลังจะขอหย่ากับผมอย่างนั้นหรือ”“ใช่ค่ะ”ซ่งเจียซินตอบกลับด้วยสีหน้าสงสัย เอกสารตรงหน้าเธอระบุชัดเจนถึงจุดประสงค์แล้วเหตุใดชายหนุ่มจึงยังต้องถามย้ำอีกกัน หรือว่าเธอร่างสัญญาไม่ชัดเจน“ก่อนหน้านี้เป็นฉันที่ผิดต่อคุณ ฉกฉวยโอกาสตอนที่คุณกำลังเดือดร้อนบังคับคุณให้ยอมแต่งงานด้วย”ถึงแม้จะบอกว่าเป็นการตกลงที่ล้วนได้ผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย แต่ซ่งเจียซินต้องการยุติความสัมพันธ์นี้จึงจงใจยอมรับความผิดทั้งหมดมาเองเพื่อง่ายต่อการเจรจา“อีกทั้งหลังแต่งงานมาฉันเองก็ทำหน้าที่ภรรยาได้ไม่ดีนัก ตอนนี้ฉันรู้สึกละอายใจต่อคุณจึงอยากมอบอิสระคืนให้คุณค่ะ”มอบอิสระอะไรกัน! เขาเคยบอกหรือว่าต้องการหย่ากับเธอ หลี่โจวอี้ตกใจกับความคิดของตนเองเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาวางแผนเอาไว้ว่าหลังจากที่ทำเรื่องย้ายมาอยู่ในสังกัดใกล้บ้านได้แล้วก็จะเจรจาขอหย่ากับเสวี่ยชิงหยวน ทว่าไม
หลี่จื่อหมิงมองเห็นมารดาเลี้ยงเดินขึ้นไปชั้นบนเพียงลำพังในใจก็เกิดความกังวลถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งเห็นสายตาที่เธอทอดมองมาทางพวกเขาด้วยความเศร้า หัวใจของเด็กชายก็คล้ายถูกบีบรัดเศร้าหมองขึ้นมา“วันนี้พ่อเพิ่งกลับมาคงเหนื่อยมาก ขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องเถอะครับ”“งั้นพวกเราก็ขึ้นห้องนอนกันเถอะ”หลี่โจวอี้ตอบรับลูกชายฝาแฝดคนโตในทันที ทว่ายามที่จะลุกขึ้นพาพวกเขากลับเข้าห้องนอนเช่นทุกครั้ง กลับถูกคัดค้านขึ้นมา“พ่อแต่งงานแล้วจะนอนห้องเดียวกับพวกเราได้ยังไงครับ”“จื่อหมิง ลูกหมายความว่าจะให้พ่อกลับไปนอนที่ห้องเดิม”หลี่โจวอี้ขมวดคิ้วหนาด้วยความสงสัย ปกติแล้วยามที่เขากลับมาบ้านลูกชายทั้งสามจะเกาะติดเขาแน่น และพยายามอย่างหนักในการขัดขวางเขากับเสวี่ยชิงหยวน ทว่าเหตุใดครั้งนี้จึงพูดราวกับจงใจเปิดทางให้เขาใกล้ชิดกับเสวี่ยชิงหยวน“ที่นอนของพวกเราไม่ได้กว้างมาก ปกตินอนกันสามคนก็แน่นมากแล้ว คืนนี้พ่อกลับไปนอนที่ห้องเดิมเถอะครับ”คิ้วเข้มของหลี่โจวอี้ขมวดเข้าหากันแน่นมากขึ้น มองลูกชายคนรองด้วยความรู้สึกสงสัยเป็นทบทวี หากพูดถึงความรู้สึกที่ลูกชายทั้งสามของเขามีต่อเสวี่ยชิงหยวน
หลังมื้อค่ำหลี่โจวอี้ต้องการอยู่พูดคุยกับลูกชายทั้งสามต่อ ซ่งเจียซินรู้ดีว่าตนเองเป็นคนนอกจึงไม่ต้องการรบกวนพวกเขา ใช้ข้ออ้างว่าติดละครช่วงค่ำแยกตัวออกมานั่งดูโทรทัศน์ดวงตาคมมองแผ่นหลังบางที่เดินออกจากห้องอาหารไปด้วยความรู้สึกแปลกใจ ปกติแล้วทุกครั้งที่เขากลับบ้านเสวี่ยชิงหยวนจะต้องใช้ลูกไม้สารพัดทำให้เขายอมอยู่กับเธอ แม้แต่การจงใจกินดอกลำโพงจนตัวเองล้มป่วยเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขาในวันที่เขาจะกลับเข้ากรมเมื่อครั้งก่อนเธอก็เคยทำเช่นนี้แล้วเสวี่ยชิงหยวนในวันนี้เป็นอะไรไป ทำไมเขาจึงรู้สึกไม่คุ้นเคยกับเธอ ราวกับเธอคนนี้ไม่ใช่เสวี่ยชิงหยวนที่เขาเคยรู้จัก“คุณพ่อครับ มาครั้งนี้คุณพ่อจะอยู่กี่วันหรือครับ”“ห้าวัน”“แค่ห้าวันเองหรือครับ”“ทำไมหรือ มีอะไรหรือเปล่า”ปกติแม้ว่าหลี่จื่อรั่วจะเป็นเด็กชายขี้อ้อน ทว่าที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยมีท่าทีเช่นนี้ หรือว่าระหว่างนี้เสวี่ยชิงหยวนจะสร้างความลำบากให้ลูก ๆ ของเขาอีกแล้ว“ผู้หญิงคนนั้นรังแกลูก ๆ อีกแล้วหรือ”ได้ยินคำถามนี้หลี่จื่อรั่วก็รีบเงยหน้าส่ายหัวไปมาดุกดิกอย่างรวดเร็ว“แม่ไม่ได้รังแกพวกเราเลยครับ ยังใจดีมากอีกด้วย”“ใจดี?”ให้หลี่จื่อ
ซ่งเจียซินขบกรามแน่น เขาไม่ได้ลงโทษตีเธอตามคำมั่นที่ให้ไว้กับเด็กทั้งสาม แต่กลับบอกว่าต้องการกินอาหารค่ำฝีมือเธอ หากในตอนนี้คนในร่างเป็นเสวี่ยชิงหยวนคนเดิม เกรงว่าเรื่องราวคงไม่จบโดยง่ายเพียงแต่เธอในเวลานี้คือซ่งเจียซิน ผู้มีฉายาเจ้าแม่ร้อยอาชีพ!“อิงอิง ปกติแล้วคุณหลี่ชอบทานอะไรเป็นพิเศษไหม หรือว่าไม่ชอบทานอะไรบ้างหรือเปล่า”ได้ยินคุณหนูของตนสอบถามความชอบและไม่ชอบของผู้พันหลี่โจวอี้อย่างใส่ใจ หูหลินอิงก็ได้แต่ถอนหายใจยาวด้วยความรู้สึกเสียดาย คุณหนูเสวี่ยของนางแม้จะขาดคุณสมบัติบางประการไป แต่ก็เป็นหญิงสาวที่พร้อมด้วยรูปและทรัพย์ เหตุใดต้องมาทนกับพ่อหม้ายลูกติดหลี่โจวอี้พวกนี้ด้วยนะ“คุณหนูให้ฉันทำให้เถอะค่ะ”“ทำอะไรกัน ผู้พันอยากกินอาหารฝีมือฉัน แน่นอนว่าฉันต้องทำอย่างเต็มความสามารถเพื่อเอาใจเขาสิ”“แต่ว่าคุณหนูทำอาหารไม่เป็นไม่ใช่หรือคะ”เมื่อได้ยินคุณสมบัติส่วนตัวของเจ้าของร่าง ซ่งเจียซินก็ชะงักมือที่กำลังหั่นผักไปชั่วครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มมุมปากแล้วลงมือทำต่ออย่างชำนาญ“ทำไม่เป็นก็หัดได้ ก็แค่อาหารไม่เห็นจะยากเย็นอะไร”ดังนั้นหนึ่งชั่วโมงต่อมาเมื่อทุกคนมาพร้อมหน้าที่โต๊ะอาหาร
หลี่จื่อรั่วจับมือซ่งเจียซินลงมาที่สนามหญ้าหลังบ้าน โดยมีหลี่จื่อชิงและหลี่จื่อหมิงที่วางท่าจำใจตามลงมาเพื่อติดตามดูแลหลี่จื่อรั่วอยู่ไม่ห่าง ซ่งเจียซินที่รู้ทันเด็กน้อยทั้งสองคนจึงไม่ได้ตำหนิ อีกทั้งยังท้าดวลพวกเขาสามคนแข่งกันเตะเข้าประตูแมว แน่นอนว่าด้วยอัตราหนึ่งต่อสามแม้อีกฝ่ายจะเป็นเพียงเด็กชายเจ็ดขวบ แต่ร่างกายที่เติบโตมาราวกับไข่ในหินของเสวี่ยชิงหยวนย่อมอ่อนแอและบอบบาง ผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีก็ถูกเด็กชายทั้งสามนำไปด้วยคะแนน สองต่อศูนย์“แม่ครับ พวกเราพักก่อนดีหรือไม่”หลี่จื่อรั่วเห็นมารดาเลี้ยงสองแก้มแดงก่ำ อีกทั้งยังหายใจหอบถี่ก็เอ่ยถามด้วยความห่วงใย หากแต่หญิงสาวกลับยืดตัวเอ่ยตอบเสียงหนักแน่น“ได้พัก วันนี้ฉันจะต้องชนะพวกนายให้ได้”หลี่จื่อหมิงได้ยินหญิงสาวประกาศกร้าวก็ยกยิ้มขบขัน ก่อนจะจับบอลพลิกตัวไปมา แล้วยิงเข้าประตูทำคะแนนอีกรอบ“จื่อหมิงนายเก่งที่สุด”หลี่จื่อชิงตะโกนชมพี่ชายฝาแฝดของตนเองเสียงก้อง“สามรุมหนึ่ง ชัยชนะนี้น่าภาคภูมิใจมากหรือไร”เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น สายตาสี่คู่ในสนามพลันหันไปมองโดยพร้อมกัน หลี่จื่อหมิงเห็นแววตาคมดุของบิดามีคำตำหนิแฝงก็ก้มหน้าพาน้องชายทั้งสองเ
ซ่งเจียซินยืนพิงขอบหน้าต่างห้องนอนมองดูสนามหญ้าเบื้องล่างด้วยความรู้สึกสงสัย สามวันแล้วที่เธอมอบลูกบอลหนังให้เด็กชายทั้งสามคนไป ทว่าจวบจนวันนี้กลับไม่เคยเห็นพวกเขาหยิบมันมาเล่นเลยสักครั้ง หรือแท้จริงแล้วพวกเขาจะไม่ชอบเล่นบอลกัน“อิงอิง ปกติคุณชายทั้งสามคนเขาชอบเล่นบอลหรือไม่”“ชอบค่ะ”“แล้วทำไม ฉันไม่เห็นเขาเอาบอลมาเล่นที่สนามล่ะ”“เรื่องนี้คุณหนูคงต้องถามตัวเองแล้ว...”ถามตัวเอง หรือว่าเสวี่ยชิงหยวนผู้เป็นเจ้าของร่างเดิมจะทำเรื่องบางอย่างเอาไว้อีกแล้วซ่งเจียซินเพ่งสายตามองไปที่สนามหญ้าด้านล่าง พยายามขบคิดความทรงจำเดิมของเสวี่ยชิงหยวน ก่อนที่ภาพหนึ่งจะสะท้อนเข้ามาในห้วงความคิด“เอามานี่”เสวี่ยชิงหยวนตวาดเสียงหงุดหงิดก่อนจะแย่งบอลในมือของหลี่จื่อรั่วมาแล้วใช้กรรไกรจิ้มจนเกิดรอยรั่วมากมาย “คุณทำอะไร!”หลี่จื่อชิงเข้ามาแย่งบอลคืน หากแต่ก็สายเกินแก้ไข รอยรั่วมากมายทำให้ลูกบอลลูกนี้ไม่อาจเล่นได้อีก หลี่จื่อรั่วน้ำตาไหลอาบแก้ม สะอื้นจนตัวสั่น หากแต่กลับไม่ได้ทำให้เสวี่ยชิงหยวนรู้สึกสงสารเลยสักนิด ตรงกันข้ามเธอกลับกล่าวคำข่มขู่เพิ่มเติม“วันนี้ฉันแค่ทำลายบอลของพวกแก ถ้าวันหน้าพวกแกยังกล้า
บทที่ 14 ได้รับความเชื่อใจ (1)เมื่อกลับมาถึงบ้านหลี่จื่อรั่วที่เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าของตนเองแล้วเห็นชุดใหม่สามชุดแขวนอยู่ก็เบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้นยินดี อีกทั้งยังหยิบทั้งสามชุดออกมาวางทาบตัวด้วยท่าทางกระตือรือร้น“จื่อหมิง จื่อชิง พวกนายดูชุดใหม่พวกนี้สิ พอดีกับตัวพวกเราเลย”หลี่จื่อหมิงขมวดคิ้วเข้มมองดูชุดใหม่ที่น้องชายถือ ไม่ต้องซักถามหรือคาดเดาก็รู้ได้ในทันทีว่าชุดพวกนี้เป็นใครที่ซื้อมาให้ ในขณะที่หลี่จื่อชิงเองก็รีบลุกไปเปิดตู้ของตนเอง เมื่อเห็นว่าเขาเองก็ได้ชุดใหม่ในแบบเดียวกันกับหลี่จื่อรั่วบนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มยินดี สองปีมาแล้วที่เขาไม่เคยได้ชุดใหม่เลย เพียงแต่เมื่อคิดถึงคนที่น่าจะซื้อชุดเหล่านี้ให้ตนเอง ท่าทางยินดีเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นนิ่งสงบ“ไม่เห็นจะสวยสักนิด เลือกชุดก็ไม่เป็น”ทั้งที่ปากบ่นตำหนิ แต่มือกลับจับชุดเหล่านั้นเอาไว้แน่น มุมปากก็ยกขึ้นเป็นครั้งคราวอย่างพยายามอดกลั้นหลี่จื่อหมิงลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าของตนเองก็พบชุดในแบบเดียวกันกับน้องชายเช่นกัน หากแต่บนใบหน้าของเขากลับไม่มีความยินดีเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับแฝงไปด้วยความหวาดระแวงและกังวลใจ“พับให้เรียบ
ซ่งเจียซินใช้เวลาหลังจากที่เด็ก ๆ ไปโรงเรียนแล้วตรวจสอบบัญชีกิจการ เมื่อพบว่าไม่มีปัญหาอะไรให้กังวลเธอก็มอบหมายให้ตงซางผู้จัดการเดิมดูแลต่อ โดยเธอจะแวะเข้ามาตรวจสอบเป็นระยะ ในระหว่างที่กำลังจะกลับบ้านเพื่อเตรียมไปรับเด็ก ๆ สายตาก็หันไปเห็นลูกบอลหนัง ซ่งเจียซินนึกถึงสนามหญ้าด้านหลังบ้านที่มีพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวางเหมาะแก่การทำเป็นสนามฟุตบอลให้เด็ก ๆ ใช้ออกกำลังกาย“อิงอิง ไปซื้อลูกบอลหนังให้ฉันที”“ค่ะ”หูหลินอิงเดินไปซื้อของตามคำสั่งผู้เป็นนาย ขณะที่ซ่งเจียซินเดินไปดูเสื้อผ้าที่แผนกเด็กโต วันก่อนเธอสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าของเด็กชายมีขนาดเล็กเกินไป ก่อนออกจากบ้านจึงไปแอบวัดเสื้อผ้าชุดเดิมมาคร่าว ๆ เพื่อกะขนาดที่ใหญ่ขึ้นสักหน่อยให้พวกเขา ทว่าเลือกดูได้ไม่นานเธอก็ชนเข้ากับแผงอกแกร่งของใครบางคน“อะ... ขอโทษค่ะ”เพราะเธอเดินไม่ระวังจึงชนคน ดังนั้นซ่งเจียซินจึงรีบขอโทษก่อนจะเงยหน้ามองคนที่ตนเองชน และทันทีที่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายคิ้วเรียวก็ขมวดมุ่นในทันที“คุณเฉินเซียว”“คุณเสวี่ย ไม่เจอกันนานคุณสบายดีไหม”“สบายดีค่ะ แล้วนี่ภรรยาของคุณล่ะคะไม่มาด้วยหรือ”เฉินเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อถูกหญิงสา
ซ่งเจียซินยืนพิงขอบหน้าต่างห้องนอน ร่วมเดือนแล้วที่เธอทะลุมิติมาใช้ชีวิตในฐานะของเสวี่ยชิงหยวน แต่ระยะเวลาอันแสนสั้นนี้ก็ทำให้เธอได้รู้ว่า หลี่โจวอี้ไม่ได้ต้องการให้เธอเป็นภรรยาอย่างแท้จริง และเด็กชายทั้งสามก็ไม่ปรารถนาให้เธอเป็นมารดาเลี้ยง เช่นนี้แล้วยังมีเหตุผลใดให้เธอต้องทนอยู่ในบ้านหลังนี้กัน“อิงอิง ในยุคนี้สามีภรรยาสามารถหย่าขาดจากกันได้แล้วใช่ไหม”“ได้ค่ะ แต่การหย่าร้างจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของผู้หญิงนะคะ”หูหลินอิงอยู่กับเสวี่ยชิงหยวนมาหลายปี แม้ช่วงนี้อีกฝ่ายจะมีพฤติกรรมและความคิดที่แปลกไปจากปกติ แต่เธอก็พอจะคาดเดาความคิดของผู้เป็นนายได้“ก็แค่หญิงหม้าย หย่าสามี มีเรื่องใดให้ต้องอับอายกัน”“คุณหนูตัดใจทิ้งคุณชายทั้งสามได้หรือคะ”หากเป็นเมื่อก่อนหูหลินอิงย่อมไม่กล้าถามคำถามนี้ เพราะรู้ดีว่าคุณชายทั้งสามไม่มีความสำคัญใดต่อคุณหนูของตนเลยสักนิด ทว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ขอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณชายน้อยทั้งสาม คุณหนูของเธอก็จะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ“พวกเขาต้องการฉันด้วยหรือ”หลี่จื่อหมิง และ หลี่จื่อรั่วสบตากันก่อนจะมองไปที่หลี่จื่อชิงด้วยความสงสัย ก่อนที่หลี่จื่อรั่วจะข