ซ่งเจียซินทอดสายตามองท้องฟ้ายามค่ำคืนผ่านหน้าต่างห้องนอนชั้นสอง เจ็ดวันแล้วที่เธอเข้ามาอยู่ในร่างของเสวี่ยชิงหยวน เรื่องราวในตอนนี้แม้ว่ายากจะเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ เธอได้กลายมาเป็นเสวี่ยชิงหยวน ภรรยาของหลี่โจวอี้นายแพทย์ทหารชั้นพันเอก และยังเป็นมารดาเลี้ยงของลูกแฝดอีกสามคน
เมื่อคิดถึงเด็กแฝดทั้งสามคนซ่งเจียซินก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของร่างเดิมกับลูกเลี้ยงนั้นช่างย่ำแย่เหลือเกิน แม้ว่าเจ็ดวันมานี้พวกเขาและเธอจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แต่ซ่งเจียซินรู้ดีว่านี่เป็นเพียงแค่คลื่นลมที่สงบชั่วคราวเท่านั้น
“ขออนุญาตค่ะคุณหนู”
เสียงขออนุญาตของหูหลินอิงดังขึ้นที่หน้าห้อง ก่อนที่จะเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับแก้วนมอุ่น
“นมอุ่นก่อนนอนค่ะ”
“ขอบใจมาก ทางเด็ก ๆ ก็ได้แล้วใช่ไหม”
“ได้แล้วค่ะ ดื่มหมดแล้วด้วย”
ซ่งเจียซินพยักหน้ารับทราบ ตั้งแต่วันแรกที่เธอเข้ามาอยู่ในร่างของเสวี่ยชิงหยวน ก็ให้หูหลินอิงนำนมอุ่นไปให้เด็กชายทั้งสาม อีกทั้งยังบอกไม้เด็ดหากพวกเขาไม่ยอมดื่มให้บอกว่า ถ้าคุณชายทั้งสามไม่ดื่ม คุณเสวี่ยจะเข้ามาป้อนด้วยตนเองค่ะ
เด็กชายทั้งสามเว้นหลี่จื่อรั่ว ล้วนไม่มีใครต้องการยุ่งวุ่นวายกับเธอ ดังนั้นเพียงแค่ได้ยินว่าเธอจะไปหาพวกเขาถึงในห้อง นมในแก้วก็ถูกยกดื่มจนหมดในรวดเดียว
“อืม... เช่นนั้นก็ดี วันนี้หมอโจวบอกว่าแผลของจื่อรั่วหายดีแล้ว พรุ่งนี้ก็ให้เขาไปโรงเรียนพร้อมกันกับจื่อหมิง จื่อชิง”
ตั้งแต่วันแรกที่เธอมาอยู่ในร่างนี้ ซ่งเจียซินก็ตระหนักได้ถึงการจัดการเหตุฉุกเฉิน เพราะหากวันนั้นคนที่บาดเจ็บคือเธอ การจะให้คนอื่นขับรถไปโรงพยาบาลคงเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก ดังนั้นในวันถัดมาซ่งเจียซินจึงให้หูหลินอิงหาคนขับรถและสาวใช้มาเพิ่ม ดังนั้นในบ้านตอนนี้นอกจากเธอและเด็กชายฝาแฝดทั้งสาม ก็มีหูหลินอิงคนใช้เก่าแก่ที่ติดตามเสวี่ยชิงหยวนมาจากบ้านเสวี่ย เหอเถาที่มาเป็นคนขับรถ และ อู๋จินอ้ายสาวใช้คนใหม่ รวมแล้วจึงมีด้วยกันถึงเจ็ดชีวิต
“คุณหนูคะ นี่เป็นจดหมายจากทางโรงเรียนที่คุณชายจื่อรั่วแอบฝากฉันมาให้คุณค่ะ”
ซ่งเจียซินรับจดหมายจากมือของหูหลินอิงมาเปิดดู หนังสือเชิญประชุมผู้ปกครอง
“มีฉบับเดียวหรือ”
“ค่ะ”
แน่นอนว่าจดหมายนี้เด็กชายทั้งสามล้วนต้องได้รับมาทุกคน ดังนั้นจึงควรมีสามฉบับ แต่คาดว่าที่หลี่จื่อหมิงและหลี่จื่อชิงไม่นำมาให้เธอก็เพราะไม่ต้องการให้เธอไปร่วมงานในครั้งนี้นั่นเอง
“คุณหนูจะไปร่วมงานไหมคะ ฉันจะได้เตรียมชุดให้”
“ไม่ต้องหรอก ดึกแล้วเธอไปนอนเถอะ”
ยึดตามความต้องการของพวกเขาทั้งสามด้วยคะแนนเสียงสองต่อหนึ่ง ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การประชุมผู้ปกครองของพวกเขาในครั้งนี้เธอไม่ควรไป
ในยามเช้าวันต่อมาขณะที่เด็กชายทั้งสามกำลังกินมื้อเช้า หลี่จื่อรั่วก็มักจะแอบมองไปที่บันไดอยู่บ่อย ๆ ในใจคาดหวังว่ามารดาเลี้ยงของตนจะเดินลงมาพร้อมกับบอกว่า จะไปร่วมงานประชุมผู้ปกครองของพวกเขา เพียงแต่จนกระทั่งพวกเขาขึ้นรถออกจากบ้านมาแล้ว แม้แต่เงาของมารดาเลี้ยงก็ไม่ได้เห็น
“จื่อรั่ว นายไม่ต้องเสียใจ ฉันแอบส่งจดหมายเชิญนี้ไปให้คุณแม่ของพวกเราแล้ว เธอจะต้องมาร่วมงานแน่ ๆ”
หลี่จื่อชิงบอกด้วยน้ำเสียงสดใส งานประชุมผู้ปกครองก็สมควรให้ผู้ปกครองตัวจริงของพวกเขาไปร่วมงาน หญิงสาวร้ายกาจคนนั้นไม่ได้เป็นอะไรกับพวกเขาเสียหน่อยจะให้เธอไปทำไมกัน
“ปีที่แล้วนายก็ส่งไป แต่แม่ก็ไม่มาไม่ใช่หรือ”
“นั่น... นั่นเพราะเธอติดธุระ หากไม่ติดธุระเธอต้องมาแน่ ๆ”
หลี่จื่อชิงบอกก่อนจะเม้มริมฝีปากเล็ก เพราะความจริงแล้วไม่ใช่แค่ปีที่แล้วที่มารดาผู้ให้กำเนิดไม่มาร่วมงาน ในช่วงที่เขาเรียนระดับปฐมวัย มารดาของเขาก็ไม่เคยมาแสดงตัวที่โรงเรียนเลยสักครั้งเช่นกัน คิดดูแล้วทุกครั้งที่เขาได้พบหน้าเธอก็จะเป็นช่วงเวลาที่เธอต้องการเงินจากพ่อของพวกเขาเท่านั้น
“ไม่ว่าใครก็ไม่จำเป็นต้องมา พวกเราสามคนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพวกเธอ”
เป็นหลี่จื่อหมิงที่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ พวกเขาสามพี่น้องไม่จำเป็นต้องพึ่งพามารดา ไม่ว่าจะเป็นมารดาผู้ให้กำเนิด หรือมารดาเลี้ยงก็ล้วนไม่จำเป็น
ในปีนี้โรงเรียนประถมซีซวน จัดการประชุมผู้ปกครองโดยแบ่งแยกตามระดับชั้น ในขั้นตอนแรกจะให้เด็ก ๆ นั่งรอที่หน้าห้องเรียน หากผู้ปกครองของใครมาแล้วก็ให้พาเข้าไปนั่งภายในห้องเรียนได้ รอจนทุกคนมาครบก็จะเริ่มประชุมโดยพร้อมกัน
แม้ว่าจะเตรียมตัวเตรียมใจมาแล้วว่าวันนี้พวกเขาสามคนจะต้องถูกทิ้งไว้ที่หน้าห้อง แต่เมื่อเห็นเพื่อนร่วมชั้นต่างพากันจับจูงมือของพ่อบ้าง ของแม่บ้าง หรือบางคนก็มีทั้งพ่อและแม่ เดินเข้าไปในห้องเรียนทีละคนในใจของเด็กชายฝาแฝดทั้งสามก็รู้สึกเจ็บปวดอยู่ในที
“จื่อหมิง จื่อชิง จื่อรั่ว พ่อกับแม่ของพวกนายล่ะ ทำไมยังไม่มา”
ชางยุน เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งเดินออกมาถามเด็กชายทั้งสามที่หน้าประตูห้อง เพราะในตอนนี้ผู้ปกครองของทุกคนมากันครบหมดแล้ว รอแค่ผู้ปกครองของเด็กแฝดทั้งสามเท่านั้นก็จะเริ่มการประชุมได้
“นั่นสิ พวกเรารอตั้งนานแล้วทำไมไม่รู้จักเวลาเลย”
“ฉันได้ยินมาว่าแม่ของเด็กแฝดทั้งสามคนนี้หย่ากับพ่อของเขาแล้ว ที่บ้านมีแค่แม่เลี้ยงใหม่ ดูแล้วคงไม่มีใครมา”
“ปีที่แล้วก็ไม่มีใครมา อย่างนั้นพวกเราก็เริ่มประชุมกันเลยดีไหมคะครูหยาง”
เมื่อได้ยินผู้ปกครองคนอื่นเอ่ยวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ภายในครอบครัวพวกเขาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันดูแคลน หลี่จื่อหมิงก็กำหมัดแน่นตวัดสายตาดุดันจ้องมอง ในขณะที่หลี่จื่อรั่วน้ำตาคลอดวงตาแดงก่ำกอดแขนพี่ชายฝาแฝดคนโตเอาไว้แน่น หลี่จื่อชิงที่เชื่อมั่นว่า กวงเหยียนฟาง มารดาผู้ให้กำเนิดต้องมาแน่ ๆ คล้ายหัวใจแตกสลาย มองดูภาพความอบอุ่นของครอบครัวคนอื่นแล้วพลันเกิดคำถามในใจ ทำไมแม่ถึงไม่มา มือเล็กกำเข้าหากันแน่น เม้มริมฝีปากข่มอารมณ์แล้วก้าวเท้าเล็กตรงไปทางบันไดอย่างรวดเร็ว เพียงแต่เดินยังไม่ทันถึงบันไดร่างสูงเพรียวอันคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้น
“ฉันมาช้าไปหรือไม่”
“แม่!”
หลี่จื่อรั่วเห็นซ่งเจียซินปรากฏตัวในใจก็ยินดี ปล่อยมือจากพี่ชายของตนเองวิ่งกางแขนไปหามารดาเลี้ยงในทันที ซ่งเจียซินย่อตัวโอบอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาแนบอกด้วยรอยยิ้ม
“คุณมาทำไม”
หลี่จื่อชิงถามเสียงแข็งกร้าว เขาไม่ได้ขอร้องให้หญิงใจร้ายคนนี้มาสักหน่อย จะมาทำไมก็ไม่รู้ เพียงแต่ทั้งที่ควรจะโมโหการกระทำโดยพลการของเธอเช่นทุกครั้ง แต่ครั้งนี้หลี่จื่อชิงกลับมีความรู้สึกยินดีกับการมาของเธออย่างที่ไม่เคยเป็น
“เป็นฉันที่บอกให้คุณแม่มาเอง ขอบคุณแม่มากนะครับที่มางานของพวกเรา”
หลี่จื่อรั่วพูดพลางโอบกอดลำคอและซบหน้าลงบนอกของมารดาอย่างออดอ้อน ซ่งเจียซินยิ้มกว้างกดจมูกลงบนเส้นผมของเด็กชายด้วยความเอ็นดู
“จื่อรั่วนี่นาย...”
หลี่จื่อชิงโมโหน้องชายตัวน้อย หากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แม้แต่จะดุก็ยังทำไม่ลง สุดท้ายที่ทำได้จึงมีเพียงกอดอกเดินไปหาพี่ชายฝาแฝด
“จื่อรั่วอย่าเอาแต่คุยเล่น ทุกคนกำลังรอพวกเราอยู่”
แม้คำพูดของหลี่จื่อหมิงจะดูคล้ายเป็นการบอกกล่าวหลี่จื่อรั่ว แต่แท้จริงกลับเป็นการเตือนมารดาเลี้ยงให้รู้จักเวลา ซ่งเจียซินไม่ได้ตำหนิการกระทำของเขาอีกทั้งยังวางหลี่จื่อรั่วลงแล้วพาพวกเขาเดินเข้าไปในห้องเพื่อเริ่มประชุม
“ไม่รู้จักเวลาจริง ๆ ปล่อยให้คนอื่นรอแบบนี้ไม่มีมารยาท”
“นั่นน่ะสิ อย่างว่าแหละก็แค่งานของลูกเลี้ยง จะให้ใส่ใจอะไรมากมาย”
เสียงของผู้ปกครองหญิงด้านหลังดังขึ้น หลี่จื่อชิงหมุนตัวหันกลับไปคิดจะโต้ตอบ แต่ข้อมือเล็กกลับถูกจับห้ามปรามเอาไว้โดยคนตัวโตข้าง ๆ
“จื่อชิง ลูกเรียนเรื่องการดูเวลาหรือยัง”
“เรียนแล้ว”
“เช่นนั้นมองไปที่นาฬิกาหน้าห้องหน่อยว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว”
“แปดโมงสี่สิบห้า”
“เก่งมาก”
ชมจบซ่งเจียซินก็หันไปทางด้านหลัง มองป้ายชื่อที่อกของเด็กชายแล้วพูดเสียงอ่อนโยน
“ลู่อันเฉิง สุ่ยหรันเอิน พวกนายเองก็เรียนเรื่องการดูเวลาแล้วใช่หรือไม่”
“ครับ” / “ครับ”
“เช่นนั้นกลับบ้านไปนายสองคนคงต้องสอนเรื่องนี้กับแม่ของนายสักหน่อย”
พูดจบซ่งเจียซินก็ตวัดสายตาแข็งกร้าวไม่ยอมคนมองไปที่หญิงสาวที่ร่วมกันสนทนาตำหนิตนก่อนหน้า แล้วส่งรอยยิ้มโดยไม่ถึงดวงตาให้หนึ่งหน
“หรือบางทีพวกนายอาจต้องสอนพวกเธออ่านหนังสือเพิ่มด้วย จะได้รู้ว่ากำหนดการวันนี้เขาเริ่มประชุมตอนกี่โมง”
กล่าวจบซ่งเจียซินก็ไม่สนใจสีหน้าที่เขียวคล้ำของหญิงสาวด้านหลัง และก่อนที่เรื่องจะวุ่นวายมากไปกว่านี้คุณครูหยางก็ประกาศเริ่มการประชุม หลี่จื่อรั่วส่งยิ้มให้มารดาเลี้ยงอย่างชื่นชมพร้อมกับโอบกอดเอวบางแล้วซบหน้าลงบนต้นแขนนุ่ม
“แม่ คุณเก่งที่สุด”
“แน่นอนว่าต้องเป็นเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นจะเป็นแม่ของพวกนายได้อย่างไร”
เสียงสนทนากระซิบแผ่วเบา หลี่จื่อรั่วยิ้มกว้างเงยหน้าขึ้นยิ้มจนตาหยี ซ่งเจียซินมองดูท่าทางชวนเอ็นดูนี้แล้วก็อดที่จะบีบจมูกเล็กของเขาไม่ได้
ส่วนหลี่จื่อชิงเมื่อเห็นท่าทางสนิทสนมของน้องชายกับหญิงใจร้ายก็อดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้
“ผู้หญิงขี้อวด! เมื่อครู่หากไม่มีฉันช่วยเธอจะจัดการคนปากร้ายพวกนั้นได้อย่างไร จื่อหมิงนายคิดเหมือนฉันไหม”
“คิด! ว่าเหมือนกัน ทั้งนายและเธอล้วนขี้อวด”
“จื่อหมิงนี่นาย!!!...”
หลี่จื่อชิงถูกพี่ชายยอกย้อนกลับมาก็โมโหจนหน้างอง้ำ หากแต่เมื่อเห็นมือหนายื่นลูกกวาดสามเม็ดมาตรงหน้า อาการหงุดหงิดก็หายไปในทันที รีบหยิบลูกอมหวานขึ้นมาหนึ่งเม็ดแล้วแกะใส่ปาก เช่นเดียวกับหลี่จื่อรั่วที่หยิบมาแกะกินด้วยอีกหนึ่งเม็ดพร้อมรอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันหลอสองซี่หน้าของเขา
ที่แท้เพราะถูกหลอกล่อด้วยขนมหวานเช่นนี้ เจ้าแฝดน้อยจื่อรั่วถึงได้ฟันผุไปถึงสองซี่
“กินสิ!”
ซ่งเจียซินขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อลูกกวาดเม็ดสุดท้ายถูกส่งมาที่เบื้องหน้า ปกติแล้วเธอไม่ชอบกินของหวานแต่เพราะคนส่งมาคือหลี่จื่อหมิง ดังนั้นซ่งเจียซินจึงรับมาแกะกิน
ทั้งที่ลูกกวาดนี้มีเพียงสามเม็ด หลี่จื่อหมิงกลับยอมเสียสละมอบมันให้เธอหนึ่งเม็ด
ดูแล้วการตัดสินใจมาร่วมงานประชุมในครั้งนี้นับว่าได้กำไรไม่น้อยการประชุมผู้ปกครองครั้งนี้เสร็จสิ้นในช่วงบ่าย หลังรับคำขอบคุณจากครูประจำชั้นแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันออกมา
“นี่คือลู่อันเฉิงใช่หรือไม่ ได้ยินว่าเทอมที่แล้วนายสอบได้อันดับหนึ่งของระดับชั้นประถมหนึ่ง ถิงหรานของเราต่อไปคงต้องฝากคนเก่ง ๆ อย่างนายช่วยดูแลแล้ว”
เสียงของผู้ปกครองหญิงอีกคนเข้ามาทักทายเด็กชายที่นั่งด้านหลัง เดิมทีซ่งเจียซินไม่ได้สนใจอะไรมากมายแต่เมื่อได้ยินประโยคต่อมาของอีกฝ่ายก็อดที่จะหงุดหงิดไม่ได้
“เพื่อนในวัยเด็กไม่ใช่ใครก็ควรคบหา จะต้องเลือกที่ภูมิหลังดี และมีปัญญาฉลาดเฉลียว พวกที่บ้านแตกสาแหรกขาด ไร้การอบรม ย่อมไม่สมควรคบหา”
“คุณ!...”
เป็นอีกครั้งที่ซ่งเจียซินจับแขนเล็กของหลี่จื่อชิงมาหลบที่ด้านหลัง จากนั้นก็ขยับเท้ามาเผชิญหน้ากับคนปากหาเรื่อง ยกมือขึ้นกอดอกแล้วส่งยิ้มกว้าง
“ดูเหมือนคุณนายลู่จะลืมคุณสมบัติสำคัญอีกข้อในการคบเพื่อนไปนะคะ”
“คุณสมบัติสำคัญอะไรหรือคุณนายหลี่”
คุณนายถิงนั้นเป็นคนในชนบทที่บังเอิญได้ตบแต่งเข้าตระกูลถิง มีนิสัยซื่อตรง หัวอ่อน เป้าหมายในชีวิตมีเพียงส่งเสริมลูกชายและสามี เมื่อได้ยินซ่งเจียซินพูดถึงคุณสมบัติสำคัญในการเลือกคบเพื่อนก็แสดงท่าทีสนใจอย่างชัดเจน
“นิสัยของผู้ปกครอง เพราะนิสัยของผู้เลี้ยงดูในวันนี้ก็คือนิสัยของเด็กในวันหน้า ให้ดีพร้อมแค่ไหนถ้ามีนิสัยชอบระราน ดูแคลนคนอื่น ภายหน้าก็คงยากจะคบหา”
ซ่งเจียซินเดิมทีไม่อยากพูดจาเช่นนี้ เพราะคนที่ได้รับผลกระทบในภายหน้าจากการโต้แย้งนี้ก็คือเด็กชายที่ไร้เดียงสาผู้หนึ่ง เพียงแต่หากนางมีคุณธรรม สงสารผู้อื่นแล้วไม่อาจปกป้องคนในบ้านได้ เช่นนั้นก็ให้นางเป็นหญิงไร้คุณธรรมไปเถิด
“เอ่อ... ฉันเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระ คุณนายลู่เอาไว้โอกาสหน้าเราค่อยทักทายกันนะคะ”
คนถูกหักหน้ารู้สึกร้อนผ่าวจนหน้าเขียวคล้ำหันมาชี้หน้าของซ่งเจียซินด้วยความขุ่นเคืองใจ
“คุณกล้าตำหนิ ด่าทอฉันหรือ”
“ฉันปกป้องลูก ๆ ของฉันจากคำพูดของคุณจะเรียกว่ารังแกคุณได้ยังไง”
“คุณ!”
“คุณนายลู่ฉันขอเตือนเอาไว้ก่อน นิสัยของฉันไม่ใช่คนดีนัก ชื่อเสียงก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ดังนั้นหากคุณกล้าแตะต้องลูก ๆ ของฉันไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ฉันสาบานว่าจะทำทุกทางเพื่อเอาคืนคุณเป็นสองเท่า”
เมื่อถูกข่มขู่ซึ่งหน้า คุณนายลู่ก็รู้สึกใจสั่นหวาดหวั่นขึ้นมา สองขาสั่นเทาถอยหนีก่อนจะหมุนตัวพาลูกชายเดินจากไปพร้อมกับคุณนายสุ่ย ซ่งเจียซินถอนหายใจยาวหันกลับมาทางคุณครูหยางและผู้ปกครองคนอื่น ๆ ก่อนจะโค้งศีรษะขออภัยกับการกระทำที่ไม่เหมาะสมของตนเอง
หลี่จื่อหมิงขมวดคิ้วแน่น เรื่องทั้งหมดมารดาเลี้ยงของเขาไม่ได้เป็นคนเริ่ม เหตุใดต้องเป็นคนรับผิดชอบเอ่ยขอโทษแทนผู้อื่นแบบนี้ จนกระทั่งกลับขึ้นมาบนรถซ่งเจียซินจึงเอ่ยอธิบายและสอนเด็กชายทั้งสามไปในตัว
“การขอโทษ ไม่เพียงเป็นการยอมรับผิด แต่ยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบ และการโต้ตอบที่น่ากลัวที่สุด”
หลังจากที่เด็กชายทั้งสามไปโรงเรียนแล้ว ซ่งเจียซินก็เปิดตู้เสื้อผ้าดูของใช้ส่วนตัวของเสวี่ยชิงหยวน แม้จะบอกว่าเจ้าของร่างเดิมมีรสนิยมที่ดี แต่ว่าเสื้อผ้าหลายชิ้นและยุ่งยากในการสวมใส่เช่นนี้ซ่งเจียซินกลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เกินความจำเป็นไปบ้างที่จะสวมใส่ในชีวิตประจำวัน“อิงอิง ฉันจะออกไปข้างนอกสักหน่อย เธอไปเตรียมตัว”“ค่ะ”เพราะความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมยังปะติดปะต่อไม่ได้ทั้งหมด ซ่งเจียซินไม่อยากไปหลงทางอยู่กลางเมือง ดังนั้นการพาอิงอิงไปด้วยนับว่าเป็นทางเลือกที่ดี“ฉันต้องการไปซื้อเสื้อผ้า แล้วก็ของใช้ส่วนตัว เธอพาไปหน่อยได้ไหม”“ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะแจ้งลุงเหอให้เอารถออกนะคะ”“ไม่ต้อง สนามหญ้าด้านหลังหญ้าสูงมากแล้ว ให้ลุงเหอจัดการที ส่วนเรื่องขับรถเดี๋ยวฉันขับเอง เธอช่วยบอกทางก็พอ”“แต่ว่า...”“ไม่มีแต่รีบไปจัดการ”“ค่ะ”หูหลินอิงตอบรับอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงนัก ปกติตอนที่อยู่บ้านตระกูลเสวี่ยคุณหนูของเธอไม่เคยขับรถเลย ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่อีกฝ่ายสามารถขับรถได้อย่างคล่องแคล่วเช่นนี้ อีกทั้งยังจะขับเองอีกด้วยผ่านไปครึ่งชั่วโมงซ่งเจียซินก็ขับรถมาหยุดที่หน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ
“คุณแม่” / “หญิงใจร้าย”“เป็นเด็กเป็นเล็กใช้เตาไฟโดยไม่มีผู้ใหญ่อันตรายแค่ไหนไม่รู้หรือไง”“พวกเราเป็นผู้ชายเจ็ดขวบแล้ว ขึ้นชั้นประถมแล้วด้วย ไม่ใช่เด็กแล้ว”หลี่จื่อชิงร้องโวยวายโต้แย้ง พ่อเคยบอกว่าพวกเขาเป็นผู้ชาย ตอนนี้เจ็ดขวบแล้วอีกทั้งยังขึ้นชั้นประถมแล้วไม่นับว่าเป็นเด็กอีกต่อไป ต้องรู้จักพึ่งพาช่วยเหลือตนเอง หญิงใจร้ายตรงหน้าไม่รู้เรื่องของผู้ชายละสิ ถึงได้ยังคิดว่าพวกเขาเป็นเด็กแบบพวกผู้หญิงซ่งเจียซินถอนหายใจยาวมองดูความดื้อดึงของเด็กชายตรงหน้าอย่างระอาใจ ทว่าพริบตาก็เปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองจ้องมองใบหน้าแต่ละคนด้วยสายตาไม่พอใจ“จื่อชิง แค่พูดไม่ระวัง ถ้าคุณไม่พอใจที่พวกเราใช้เตาไฟอย่างนั้นพวกเราก็จะไม่ใช้”หลี่จื่อหมิงเห็นสายตาขุ่นเคืองของหญิงสาวตรงหน้าก็คิดว่าเธอคงไม่พอใจที่หลี่จื่อชิงโต้แย้งเมื่อครู่ ดังนั้นเพื่อไม่ให้น้องถูกทำโทษขังในห้อง หรือให้อดอาหารเหมือนในอดีต หลี่จื่อหมิงจึงหลบเลี่ยงด้วยการคิดจะพาน้อง ๆ กลับขึ้นห้องคิดแล้วก็โมโหตนเอง เพราะหลายวันมานี้เสวี่ยชิงหยวนใจดีกับพวกเขามากไป ดังนั้นหลี่จื่อหมิงจึงชะล่าใจไม่ได้เตรียมอาหารแห้งซ่อนไว้ในห้องเช่นเมื่อก่อน วันนี้จึงจำใจ
ซ่งเจียซินมาถึงโรงเรียนพร้อมกับเด็กชายฝาแฝดทั้งสามคน ทว่าเวลาที่มาถึงนั้นกลับไม่ใช่ช่วงเช้าแต่เป็นช่วงบ่าย อีกทั้งห้องที่เธอพาพวกเด็ก ๆ ไปนั้นก็ไม่ใช่ห้องเรียน แต่เป็นห้องของ...“ผอ.หวัง คะ ผู้ปกครองของหลี่จื่อหมิง หลี่จื่อชิง หลี่จื่อรั่ว มาขอพบค่ะ”“ผู้ปกครองของสามแฝดหลี่หรือ มีเรื่องอะไร”“เอ่อ... เห็นว่ามาร้องเรียนค่ะ”“ร้องเรียน! ร้องเรียนใคร เรื่องอะไร”“ลูกชายของครูติงค่ะ”หวังเต๋อห้าว ได้ยินว่าอีกฝ่ายมาร้องเรียนติงฝูไห่ก็ถอนหายใจยาว เรื่องที่ติงฝูไห่รีดไถเงินของนักเรียนรุ่นน้องนั้นเขาเคยตักเตือนติงอี้เทาไปหลายหนแล้ว ไม่คิดว่าครั้งนี้จะเกิดเรื่องขึ้นจริง“ไปเรียกครูติงกับนักเรียนติงฝูไห่มา”“ค่ะ”ซ่งเจียซินขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้รับคำอธิบายเหตุการณ์ที่เด็กแฝดทั้งสามของเธอถูกทำร้ายว่าเป็นเพียงการหยอกล้อกันเท่านั้น ส่วนเรื่องรีดไถเงินนั้นอีกฝ่ายยืนกรานว่าไม่เคยเกิดขึ้น เงินไม่มีเจ้าของดังนั้นจึงไม่อาจพิสูจน์ได้“ได้ค่ะ ในเมื่อครูติงและผอ.หวังยืนยันเช่นนี้ ฉันก็จะเชื่อค่ะ”ได้ยินหญิงสาวตรงหน้าเจรจาง่ายดายเช่นนี้หวังเต๋อห้าวและติงอี้เทาก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ติงฝูไห่ยังยกยิ้มเย้ยหยัน
ซ่งเจียซินยืนพิงขอบหน้าต่างห้องนอน ร่วมเดือนแล้วที่เธอทะลุมิติมาใช้ชีวิตในฐานะของเสวี่ยชิงหยวน แต่ระยะเวลาอันแสนสั้นนี้ก็ทำให้เธอได้รู้ว่า หลี่โจวอี้ไม่ได้ต้องการให้เธอเป็นภรรยาอย่างแท้จริง และเด็กชายทั้งสามก็ไม่ปรารถนาให้เธอเป็นมารดาเลี้ยง เช่นนี้แล้วยังมีเหตุผลใดให้เธอต้องทนอยู่ในบ้านหลังนี้กัน“อิงอิง ในยุคนี้สามีภรรยาสามารถหย่าขาดจากกันได้แล้วใช่ไหม”“ได้ค่ะ แต่การหย่าร้างจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของผู้หญิงนะคะ”หูหลินอิงอยู่กับเสวี่ยชิงหยวนมาหลายปี แม้ช่วงนี้อีกฝ่ายจะมีพฤติกรรมและความคิดที่แปลกไปจากปกติ แต่เธอก็พอจะคาดเดาความคิดของผู้เป็นนายได้“ก็แค่หญิงหม้าย หย่าสามี มีเรื่องใดให้ต้องอับอายกัน”“คุณหนูตัดใจทิ้งคุณชายทั้งสามได้หรือคะ”หากเป็นเมื่อก่อนหูหลินอิงย่อมไม่กล้าถามคำถามนี้ เพราะรู้ดีว่าคุณชายทั้งสามไม่มีความสำคัญใดต่อคุณหนูของตนเลยสักนิด ทว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ขอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณชายน้อยทั้งสาม คุณหนูของเธอก็จะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ“พวกเขาต้องการฉันด้วยหรือ”หลี่จื่อหมิง และ หลี่จื่อรั่วสบตากันก่อนจะมองไปที่หลี่จื่อชิงด้วยความสงสัย ก่อนที่หลี่จื่อรั่วจะข
ซ่งเจียซินใช้เวลาหลังจากที่เด็ก ๆ ไปโรงเรียนแล้วตรวจสอบบัญชีกิจการ เมื่อพบว่าไม่มีปัญหาอะไรให้กังวลเธอก็มอบหมายให้ตงซางผู้จัดการเดิมดูแลต่อ โดยเธอจะแวะเข้ามาตรวจสอบเป็นระยะ ในระหว่างที่กำลังจะกลับบ้านเพื่อเตรียมไปรับเด็ก ๆ สายตาก็หันไปเห็นลูกบอลหนัง ซ่งเจียซินนึกถึงสนามหญ้าด้านหลังบ้านที่มีพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวางเหมาะแก่การทำเป็นสนามฟุตบอลให้เด็ก ๆ ใช้ออกกำลังกาย“อิงอิง ไปซื้อลูกบอลหนังให้ฉันที”“ค่ะ”หูหลินอิงเดินไปซื้อของตามคำสั่งผู้เป็นนาย ขณะที่ซ่งเจียซินเดินไปดูเสื้อผ้าที่แผนกเด็กโต วันก่อนเธอสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าของเด็กชายมีขนาดเล็กเกินไป ก่อนออกจากบ้านจึงไปแอบวัดเสื้อผ้าชุดเดิมมาคร่าว ๆ เพื่อกะขนาดที่ใหญ่ขึ้นสักหน่อยให้พวกเขา ทว่าเลือกดูได้ไม่นานเธอก็ชนเข้ากับแผงอกแกร่งของใครบางคน“อะ... ขอโทษค่ะ”เพราะเธอเดินไม่ระวังจึงชนคน ดังนั้นซ่งเจียซินจึงรีบขอโทษก่อนจะเงยหน้ามองคนที่ตนเองชน และทันทีที่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายคิ้วเรียวก็ขมวดมุ่นในทันที“คุณเฉินเซียว”“คุณเสวี่ย ไม่เจอกันนานคุณสบายดีไหม”“สบายดีค่ะ แล้วนี่ภรรยาของคุณล่ะคะไม่มาด้วยหรือ”เฉินเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อถูกหญิงสา
บทที่ 14 ได้รับความเชื่อใจ (1)เมื่อกลับมาถึงบ้านหลี่จื่อรั่วที่เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าของตนเองแล้วเห็นชุดใหม่สามชุดแขวนอยู่ก็เบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้นยินดี อีกทั้งยังหยิบทั้งสามชุดออกมาวางทาบตัวด้วยท่าทางกระตือรือร้น“จื่อหมิง จื่อชิง พวกนายดูชุดใหม่พวกนี้สิ พอดีกับตัวพวกเราเลย”หลี่จื่อหมิงขมวดคิ้วเข้มมองดูชุดใหม่ที่น้องชายถือ ไม่ต้องซักถามหรือคาดเดาก็รู้ได้ในทันทีว่าชุดพวกนี้เป็นใครที่ซื้อมาให้ ในขณะที่หลี่จื่อชิงเองก็รีบลุกไปเปิดตู้ของตนเอง เมื่อเห็นว่าเขาเองก็ได้ชุดใหม่ในแบบเดียวกันกับหลี่จื่อรั่วบนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มยินดี สองปีมาแล้วที่เขาไม่เคยได้ชุดใหม่เลย เพียงแต่เมื่อคิดถึงคนที่น่าจะซื้อชุดเหล่านี้ให้ตนเอง ท่าทางยินดีเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นนิ่งสงบ“ไม่เห็นจะสวยสักนิด เลือกชุดก็ไม่เป็น”ทั้งที่ปากบ่นตำหนิ แต่มือกลับจับชุดเหล่านั้นเอาไว้แน่น มุมปากก็ยกขึ้นเป็นครั้งคราวอย่างพยายามอดกลั้นหลี่จื่อหมิงลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าของตนเองก็พบชุดในแบบเดียวกันกับน้องชายเช่นกัน หากแต่บนใบหน้าของเขากลับไม่มีความยินดีเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับแฝงไปด้วยความหวาดระแวงและกังวลใจ“พับให้เรียบ
ซ่งเจียซินยืนพิงขอบหน้าต่างห้องนอนมองดูสนามหญ้าเบื้องล่างด้วยความรู้สึกสงสัย สามวันแล้วที่เธอมอบลูกบอลหนังให้เด็กชายทั้งสามคนไป ทว่าจวบจนวันนี้กลับไม่เคยเห็นพวกเขาหยิบมันมาเล่นเลยสักครั้ง หรือแท้จริงแล้วพวกเขาจะไม่ชอบเล่นบอลกัน“อิงอิง ปกติคุณชายทั้งสามคนเขาชอบเล่นบอลหรือไม่”“ชอบค่ะ”“แล้วทำไม ฉันไม่เห็นเขาเอาบอลมาเล่นที่สนามล่ะ”“เรื่องนี้คุณหนูคงต้องถามตัวเองแล้ว...”ถามตัวเอง หรือว่าเสวี่ยชิงหยวนผู้เป็นเจ้าของร่างเดิมจะทำเรื่องบางอย่างเอาไว้อีกแล้วซ่งเจียซินเพ่งสายตามองไปที่สนามหญ้าด้านล่าง พยายามขบคิดความทรงจำเดิมของเสวี่ยชิงหยวน ก่อนที่ภาพหนึ่งจะสะท้อนเข้ามาในห้วงความคิด“เอามานี่”เสวี่ยชิงหยวนตวาดเสียงหงุดหงิดก่อนจะแย่งบอลในมือของหลี่จื่อรั่วมาแล้วใช้กรรไกรจิ้มจนเกิดรอยรั่วมากมาย “คุณทำอะไร!”หลี่จื่อชิงเข้ามาแย่งบอลคืน หากแต่ก็สายเกินแก้ไข รอยรั่วมากมายทำให้ลูกบอลลูกนี้ไม่อาจเล่นได้อีก หลี่จื่อรั่วน้ำตาไหลอาบแก้ม สะอื้นจนตัวสั่น หากแต่กลับไม่ได้ทำให้เสวี่ยชิงหยวนรู้สึกสงสารเลยสักนิด ตรงกันข้ามเธอกลับกล่าวคำข่มขู่เพิ่มเติม“วันนี้ฉันแค่ทำลายบอลของพวกแก ถ้าวันหน้าพวกแกยังกล้า
หลี่จื่อรั่วจับมือซ่งเจียซินลงมาที่สนามหญ้าหลังบ้าน โดยมีหลี่จื่อชิงและหลี่จื่อหมิงที่วางท่าจำใจตามลงมาเพื่อติดตามดูแลหลี่จื่อรั่วอยู่ไม่ห่าง ซ่งเจียซินที่รู้ทันเด็กน้อยทั้งสองคนจึงไม่ได้ตำหนิ อีกทั้งยังท้าดวลพวกเขาสามคนแข่งกันเตะเข้าประตูแมว แน่นอนว่าด้วยอัตราหนึ่งต่อสามแม้อีกฝ่ายจะเป็นเพียงเด็กชายเจ็ดขวบ แต่ร่างกายที่เติบโตมาราวกับไข่ในหินของเสวี่ยชิงหยวนย่อมอ่อนแอและบอบบาง ผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีก็ถูกเด็กชายทั้งสามนำไปด้วยคะแนน สองต่อศูนย์“แม่ครับ พวกเราพักก่อนดีหรือไม่”หลี่จื่อรั่วเห็นมารดาเลี้ยงสองแก้มแดงก่ำ อีกทั้งยังหายใจหอบถี่ก็เอ่ยถามด้วยความห่วงใย หากแต่หญิงสาวกลับยืดตัวเอ่ยตอบเสียงหนักแน่น“ได้พัก วันนี้ฉันจะต้องชนะพวกนายให้ได้”หลี่จื่อหมิงได้ยินหญิงสาวประกาศกร้าวก็ยกยิ้มขบขัน ก่อนจะจับบอลพลิกตัวไปมา แล้วยิงเข้าประตูทำคะแนนอีกรอบ“จื่อหมิงนายเก่งที่สุด”หลี่จื่อชิงตะโกนชมพี่ชายฝาแฝดของตนเองเสียงก้อง“สามรุมหนึ่ง ชัยชนะนี้น่าภาคภูมิใจมากหรือไร”เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น สายตาสี่คู่ในสนามพลันหันไปมองโดยพร้อมกัน หลี่จื่อหมิงเห็นแววตาคมดุของบิดามีคำตำหนิแฝงก็ก้มหน้าพาน้องชายทั้งสองเ
ซ่งเจียซินเปลี่ยนชุดเสร็จก็เดินกลับมา พร้อมกับซองเอกสารสีน้ำตาล เมื่อนั่งลงบนโซฟาแล้วก็เอายื่นให้กับหลี่โจวอี้“อะไร” หลี่โจวอี้เอ่ยถามพร้อมกับหยิบเอกสารด้านในออกมาดู“สัญญาหย่า!” ดวงตาคมเบิกกว้างมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกตื่นตกใจ“ชิงหยวน นี่เธอกำลังจะขอหย่ากับผมอย่างนั้นหรือ”“ใช่ค่ะ”ซ่งเจียซินตอบกลับด้วยสีหน้าสงสัย เอกสารตรงหน้าเธอระบุชัดเจนถึงจุดประสงค์แล้วเหตุใดชายหนุ่มจึงยังต้องถามย้ำอีกกัน หรือว่าเธอร่างสัญญาไม่ชัดเจน“ก่อนหน้านี้เป็นฉันที่ผิดต่อคุณ ฉกฉวยโอกาสตอนที่คุณกำลังเดือดร้อนบังคับคุณให้ยอมแต่งงานด้วย”ถึงแม้จะบอกว่าเป็นการตกลงที่ล้วนได้ผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย แต่ซ่งเจียซินต้องการยุติความสัมพันธ์นี้จึงจงใจยอมรับความผิดทั้งหมดมาเองเพื่อง่ายต่อการเจรจา“อีกทั้งหลังแต่งงานมาฉันเองก็ทำหน้าที่ภรรยาได้ไม่ดีนัก ตอนนี้ฉันรู้สึกละอายใจต่อคุณจึงอยากมอบอิสระคืนให้คุณค่ะ”มอบอิสระอะไรกัน! เขาเคยบอกหรือว่าต้องการหย่ากับเธอ หลี่โจวอี้ตกใจกับความคิดของตนเองเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาวางแผนเอาไว้ว่าหลังจากที่ทำเรื่องย้ายมาอยู่ในสังกัดใกล้บ้านได้แล้วก็จะเจรจาขอหย่ากับเสวี่ยชิงหยวน ทว่าไม
หลี่จื่อหมิงมองเห็นมารดาเลี้ยงเดินขึ้นไปชั้นบนเพียงลำพังในใจก็เกิดความกังวลถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งเห็นสายตาที่เธอทอดมองมาทางพวกเขาด้วยความเศร้า หัวใจของเด็กชายก็คล้ายถูกบีบรัดเศร้าหมองขึ้นมา“วันนี้พ่อเพิ่งกลับมาคงเหนื่อยมาก ขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องเถอะครับ”“งั้นพวกเราก็ขึ้นห้องนอนกันเถอะ”หลี่โจวอี้ตอบรับลูกชายฝาแฝดคนโตในทันที ทว่ายามที่จะลุกขึ้นพาพวกเขากลับเข้าห้องนอนเช่นทุกครั้ง กลับถูกคัดค้านขึ้นมา“พ่อแต่งงานแล้วจะนอนห้องเดียวกับพวกเราได้ยังไงครับ”“จื่อหมิง ลูกหมายความว่าจะให้พ่อกลับไปนอนที่ห้องเดิม”หลี่โจวอี้ขมวดคิ้วหนาด้วยความสงสัย ปกติแล้วยามที่เขากลับมาบ้านลูกชายทั้งสามจะเกาะติดเขาแน่น และพยายามอย่างหนักในการขัดขวางเขากับเสวี่ยชิงหยวน ทว่าเหตุใดครั้งนี้จึงพูดราวกับจงใจเปิดทางให้เขาใกล้ชิดกับเสวี่ยชิงหยวน“ที่นอนของพวกเราไม่ได้กว้างมาก ปกตินอนกันสามคนก็แน่นมากแล้ว คืนนี้พ่อกลับไปนอนที่ห้องเดิมเถอะครับ”คิ้วเข้มของหลี่โจวอี้ขมวดเข้าหากันแน่นมากขึ้น มองลูกชายคนรองด้วยความรู้สึกสงสัยเป็นทบทวี หากพูดถึงความรู้สึกที่ลูกชายทั้งสามของเขามีต่อเสวี่ยชิงหยวน
หลังมื้อค่ำหลี่โจวอี้ต้องการอยู่พูดคุยกับลูกชายทั้งสามต่อ ซ่งเจียซินรู้ดีว่าตนเองเป็นคนนอกจึงไม่ต้องการรบกวนพวกเขา ใช้ข้ออ้างว่าติดละครช่วงค่ำแยกตัวออกมานั่งดูโทรทัศน์ดวงตาคมมองแผ่นหลังบางที่เดินออกจากห้องอาหารไปด้วยความรู้สึกแปลกใจ ปกติแล้วทุกครั้งที่เขากลับบ้านเสวี่ยชิงหยวนจะต้องใช้ลูกไม้สารพัดทำให้เขายอมอยู่กับเธอ แม้แต่การจงใจกินดอกลำโพงจนตัวเองล้มป่วยเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขาในวันที่เขาจะกลับเข้ากรมเมื่อครั้งก่อนเธอก็เคยทำเช่นนี้แล้วเสวี่ยชิงหยวนในวันนี้เป็นอะไรไป ทำไมเขาจึงรู้สึกไม่คุ้นเคยกับเธอ ราวกับเธอคนนี้ไม่ใช่เสวี่ยชิงหยวนที่เขาเคยรู้จัก“คุณพ่อครับ มาครั้งนี้คุณพ่อจะอยู่กี่วันหรือครับ”“ห้าวัน”“แค่ห้าวันเองหรือครับ”“ทำไมหรือ มีอะไรหรือเปล่า”ปกติแม้ว่าหลี่จื่อรั่วจะเป็นเด็กชายขี้อ้อน ทว่าที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยมีท่าทีเช่นนี้ หรือว่าระหว่างนี้เสวี่ยชิงหยวนจะสร้างความลำบากให้ลูก ๆ ของเขาอีกแล้ว“ผู้หญิงคนนั้นรังแกลูก ๆ อีกแล้วหรือ”ได้ยินคำถามนี้หลี่จื่อรั่วก็รีบเงยหน้าส่ายหัวไปมาดุกดิกอย่างรวดเร็ว“แม่ไม่ได้รังแกพวกเราเลยครับ ยังใจดีมากอีกด้วย”“ใจดี?”ให้หลี่จื่อ
ซ่งเจียซินขบกรามแน่น เขาไม่ได้ลงโทษตีเธอตามคำมั่นที่ให้ไว้กับเด็กทั้งสาม แต่กลับบอกว่าต้องการกินอาหารค่ำฝีมือเธอ หากในตอนนี้คนในร่างเป็นเสวี่ยชิงหยวนคนเดิม เกรงว่าเรื่องราวคงไม่จบโดยง่ายเพียงแต่เธอในเวลานี้คือซ่งเจียซิน ผู้มีฉายาเจ้าแม่ร้อยอาชีพ!“อิงอิง ปกติแล้วคุณหลี่ชอบทานอะไรเป็นพิเศษไหม หรือว่าไม่ชอบทานอะไรบ้างหรือเปล่า”ได้ยินคุณหนูของตนสอบถามความชอบและไม่ชอบของผู้พันหลี่โจวอี้อย่างใส่ใจ หูหลินอิงก็ได้แต่ถอนหายใจยาวด้วยความรู้สึกเสียดาย คุณหนูเสวี่ยของนางแม้จะขาดคุณสมบัติบางประการไป แต่ก็เป็นหญิงสาวที่พร้อมด้วยรูปและทรัพย์ เหตุใดต้องมาทนกับพ่อหม้ายลูกติดหลี่โจวอี้พวกนี้ด้วยนะ“คุณหนูให้ฉันทำให้เถอะค่ะ”“ทำอะไรกัน ผู้พันอยากกินอาหารฝีมือฉัน แน่นอนว่าฉันต้องทำอย่างเต็มความสามารถเพื่อเอาใจเขาสิ”“แต่ว่าคุณหนูทำอาหารไม่เป็นไม่ใช่หรือคะ”เมื่อได้ยินคุณสมบัติส่วนตัวของเจ้าของร่าง ซ่งเจียซินก็ชะงักมือที่กำลังหั่นผักไปชั่วครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มมุมปากแล้วลงมือทำต่ออย่างชำนาญ“ทำไม่เป็นก็หัดได้ ก็แค่อาหารไม่เห็นจะยากเย็นอะไร”ดังนั้นหนึ่งชั่วโมงต่อมาเมื่อทุกคนมาพร้อมหน้าที่โต๊ะอาหาร
หลี่จื่อรั่วจับมือซ่งเจียซินลงมาที่สนามหญ้าหลังบ้าน โดยมีหลี่จื่อชิงและหลี่จื่อหมิงที่วางท่าจำใจตามลงมาเพื่อติดตามดูแลหลี่จื่อรั่วอยู่ไม่ห่าง ซ่งเจียซินที่รู้ทันเด็กน้อยทั้งสองคนจึงไม่ได้ตำหนิ อีกทั้งยังท้าดวลพวกเขาสามคนแข่งกันเตะเข้าประตูแมว แน่นอนว่าด้วยอัตราหนึ่งต่อสามแม้อีกฝ่ายจะเป็นเพียงเด็กชายเจ็ดขวบ แต่ร่างกายที่เติบโตมาราวกับไข่ในหินของเสวี่ยชิงหยวนย่อมอ่อนแอและบอบบาง ผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีก็ถูกเด็กชายทั้งสามนำไปด้วยคะแนน สองต่อศูนย์“แม่ครับ พวกเราพักก่อนดีหรือไม่”หลี่จื่อรั่วเห็นมารดาเลี้ยงสองแก้มแดงก่ำ อีกทั้งยังหายใจหอบถี่ก็เอ่ยถามด้วยความห่วงใย หากแต่หญิงสาวกลับยืดตัวเอ่ยตอบเสียงหนักแน่น“ได้พัก วันนี้ฉันจะต้องชนะพวกนายให้ได้”หลี่จื่อหมิงได้ยินหญิงสาวประกาศกร้าวก็ยกยิ้มขบขัน ก่อนจะจับบอลพลิกตัวไปมา แล้วยิงเข้าประตูทำคะแนนอีกรอบ“จื่อหมิงนายเก่งที่สุด”หลี่จื่อชิงตะโกนชมพี่ชายฝาแฝดของตนเองเสียงก้อง“สามรุมหนึ่ง ชัยชนะนี้น่าภาคภูมิใจมากหรือไร”เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น สายตาสี่คู่ในสนามพลันหันไปมองโดยพร้อมกัน หลี่จื่อหมิงเห็นแววตาคมดุของบิดามีคำตำหนิแฝงก็ก้มหน้าพาน้องชายทั้งสองเ
ซ่งเจียซินยืนพิงขอบหน้าต่างห้องนอนมองดูสนามหญ้าเบื้องล่างด้วยความรู้สึกสงสัย สามวันแล้วที่เธอมอบลูกบอลหนังให้เด็กชายทั้งสามคนไป ทว่าจวบจนวันนี้กลับไม่เคยเห็นพวกเขาหยิบมันมาเล่นเลยสักครั้ง หรือแท้จริงแล้วพวกเขาจะไม่ชอบเล่นบอลกัน“อิงอิง ปกติคุณชายทั้งสามคนเขาชอบเล่นบอลหรือไม่”“ชอบค่ะ”“แล้วทำไม ฉันไม่เห็นเขาเอาบอลมาเล่นที่สนามล่ะ”“เรื่องนี้คุณหนูคงต้องถามตัวเองแล้ว...”ถามตัวเอง หรือว่าเสวี่ยชิงหยวนผู้เป็นเจ้าของร่างเดิมจะทำเรื่องบางอย่างเอาไว้อีกแล้วซ่งเจียซินเพ่งสายตามองไปที่สนามหญ้าด้านล่าง พยายามขบคิดความทรงจำเดิมของเสวี่ยชิงหยวน ก่อนที่ภาพหนึ่งจะสะท้อนเข้ามาในห้วงความคิด“เอามานี่”เสวี่ยชิงหยวนตวาดเสียงหงุดหงิดก่อนจะแย่งบอลในมือของหลี่จื่อรั่วมาแล้วใช้กรรไกรจิ้มจนเกิดรอยรั่วมากมาย “คุณทำอะไร!”หลี่จื่อชิงเข้ามาแย่งบอลคืน หากแต่ก็สายเกินแก้ไข รอยรั่วมากมายทำให้ลูกบอลลูกนี้ไม่อาจเล่นได้อีก หลี่จื่อรั่วน้ำตาไหลอาบแก้ม สะอื้นจนตัวสั่น หากแต่กลับไม่ได้ทำให้เสวี่ยชิงหยวนรู้สึกสงสารเลยสักนิด ตรงกันข้ามเธอกลับกล่าวคำข่มขู่เพิ่มเติม“วันนี้ฉันแค่ทำลายบอลของพวกแก ถ้าวันหน้าพวกแกยังกล้า
บทที่ 14 ได้รับความเชื่อใจ (1)เมื่อกลับมาถึงบ้านหลี่จื่อรั่วที่เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าของตนเองแล้วเห็นชุดใหม่สามชุดแขวนอยู่ก็เบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้นยินดี อีกทั้งยังหยิบทั้งสามชุดออกมาวางทาบตัวด้วยท่าทางกระตือรือร้น“จื่อหมิง จื่อชิง พวกนายดูชุดใหม่พวกนี้สิ พอดีกับตัวพวกเราเลย”หลี่จื่อหมิงขมวดคิ้วเข้มมองดูชุดใหม่ที่น้องชายถือ ไม่ต้องซักถามหรือคาดเดาก็รู้ได้ในทันทีว่าชุดพวกนี้เป็นใครที่ซื้อมาให้ ในขณะที่หลี่จื่อชิงเองก็รีบลุกไปเปิดตู้ของตนเอง เมื่อเห็นว่าเขาเองก็ได้ชุดใหม่ในแบบเดียวกันกับหลี่จื่อรั่วบนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มยินดี สองปีมาแล้วที่เขาไม่เคยได้ชุดใหม่เลย เพียงแต่เมื่อคิดถึงคนที่น่าจะซื้อชุดเหล่านี้ให้ตนเอง ท่าทางยินดีเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นนิ่งสงบ“ไม่เห็นจะสวยสักนิด เลือกชุดก็ไม่เป็น”ทั้งที่ปากบ่นตำหนิ แต่มือกลับจับชุดเหล่านั้นเอาไว้แน่น มุมปากก็ยกขึ้นเป็นครั้งคราวอย่างพยายามอดกลั้นหลี่จื่อหมิงลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าของตนเองก็พบชุดในแบบเดียวกันกับน้องชายเช่นกัน หากแต่บนใบหน้าของเขากลับไม่มีความยินดีเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับแฝงไปด้วยความหวาดระแวงและกังวลใจ“พับให้เรียบ
ซ่งเจียซินใช้เวลาหลังจากที่เด็ก ๆ ไปโรงเรียนแล้วตรวจสอบบัญชีกิจการ เมื่อพบว่าไม่มีปัญหาอะไรให้กังวลเธอก็มอบหมายให้ตงซางผู้จัดการเดิมดูแลต่อ โดยเธอจะแวะเข้ามาตรวจสอบเป็นระยะ ในระหว่างที่กำลังจะกลับบ้านเพื่อเตรียมไปรับเด็ก ๆ สายตาก็หันไปเห็นลูกบอลหนัง ซ่งเจียซินนึกถึงสนามหญ้าด้านหลังบ้านที่มีพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวางเหมาะแก่การทำเป็นสนามฟุตบอลให้เด็ก ๆ ใช้ออกกำลังกาย“อิงอิง ไปซื้อลูกบอลหนังให้ฉันที”“ค่ะ”หูหลินอิงเดินไปซื้อของตามคำสั่งผู้เป็นนาย ขณะที่ซ่งเจียซินเดินไปดูเสื้อผ้าที่แผนกเด็กโต วันก่อนเธอสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าของเด็กชายมีขนาดเล็กเกินไป ก่อนออกจากบ้านจึงไปแอบวัดเสื้อผ้าชุดเดิมมาคร่าว ๆ เพื่อกะขนาดที่ใหญ่ขึ้นสักหน่อยให้พวกเขา ทว่าเลือกดูได้ไม่นานเธอก็ชนเข้ากับแผงอกแกร่งของใครบางคน“อะ... ขอโทษค่ะ”เพราะเธอเดินไม่ระวังจึงชนคน ดังนั้นซ่งเจียซินจึงรีบขอโทษก่อนจะเงยหน้ามองคนที่ตนเองชน และทันทีที่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายคิ้วเรียวก็ขมวดมุ่นในทันที“คุณเฉินเซียว”“คุณเสวี่ย ไม่เจอกันนานคุณสบายดีไหม”“สบายดีค่ะ แล้วนี่ภรรยาของคุณล่ะคะไม่มาด้วยหรือ”เฉินเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อถูกหญิงสา
ซ่งเจียซินยืนพิงขอบหน้าต่างห้องนอน ร่วมเดือนแล้วที่เธอทะลุมิติมาใช้ชีวิตในฐานะของเสวี่ยชิงหยวน แต่ระยะเวลาอันแสนสั้นนี้ก็ทำให้เธอได้รู้ว่า หลี่โจวอี้ไม่ได้ต้องการให้เธอเป็นภรรยาอย่างแท้จริง และเด็กชายทั้งสามก็ไม่ปรารถนาให้เธอเป็นมารดาเลี้ยง เช่นนี้แล้วยังมีเหตุผลใดให้เธอต้องทนอยู่ในบ้านหลังนี้กัน“อิงอิง ในยุคนี้สามีภรรยาสามารถหย่าขาดจากกันได้แล้วใช่ไหม”“ได้ค่ะ แต่การหย่าร้างจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของผู้หญิงนะคะ”หูหลินอิงอยู่กับเสวี่ยชิงหยวนมาหลายปี แม้ช่วงนี้อีกฝ่ายจะมีพฤติกรรมและความคิดที่แปลกไปจากปกติ แต่เธอก็พอจะคาดเดาความคิดของผู้เป็นนายได้“ก็แค่หญิงหม้าย หย่าสามี มีเรื่องใดให้ต้องอับอายกัน”“คุณหนูตัดใจทิ้งคุณชายทั้งสามได้หรือคะ”หากเป็นเมื่อก่อนหูหลินอิงย่อมไม่กล้าถามคำถามนี้ เพราะรู้ดีว่าคุณชายทั้งสามไม่มีความสำคัญใดต่อคุณหนูของตนเลยสักนิด ทว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ขอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณชายน้อยทั้งสาม คุณหนูของเธอก็จะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ“พวกเขาต้องการฉันด้วยหรือ”หลี่จื่อหมิง และ หลี่จื่อรั่วสบตากันก่อนจะมองไปที่หลี่จื่อชิงด้วยความสงสัย ก่อนที่หลี่จื่อรั่วจะข