บทที่ 4
ความระแวงจากอดีต
“แม่ คุณขับรถไม่เป็นไม่ใช่หรือครับแล้วจะพาผมไปโรงพยาบาลได้ยังไง”
ซ่งเจียซินได้ยินคำพูดของหลี่จื่อรั่วก็ชะงักเท้าไปเล็กน้อย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างช่างใจ ตระกูลเสวี่ยนนั้นร่ำรวยมาก ตัวเจ้าของร่างเดิมเสวี่ยชิงหยวนที่เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวจึงได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี ไม่เพียงแต่ขับรถไม่เป็น งานการใดๆ ก็ล้วนไม่เคยต้องทำสักอย่าง ดังนั้นหากซ่งเจียซินแสดงความสามารถของตนเองที่ติดตัวมาอาจจะถูกจับสังเกตได้
เพียงแต่ในตอนนี้เด็กชายในอ้อมแขนบาดเจ็บหากไม่พาเขาไปโรงพยาบาลอาจมีผลเสียในภายหลังได้
“แค่นายไม่เคยเห็นฉันขับ ไม่ได้หมายความว่าฉันขับไม่เป็นเสียหน่อย จริงไหม”
“จริงครับ โอ๊ย!”
“อดทนหน่อย แขนนายเต็มไปด้วยเศษอาหารต้องล้างออกให้หมดแล้วค่อยใช้ผ้าสะอาดพันปิดแผลไปโรงพยาบาล”
“ครับ... โอ๊ย... เจ็บ! แม่ครับผมเจ็บ!”
เสียงร้องของหลี่จื่อรั่วที่ดังออกมาจากห้องน้ำ ทำให้หลี่จื่อหมิงและหลี่จื่อชิงร้อนรนด้วยความห่วงใย ขยับตัวดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อให้หลุดจากการจับกุมของจูหลินอิง
“ปล่อยนะ! ปล่อย! หญิงใจร้ายห้ามทำร้ายจื่อรั่วของพวกเรานะ ปล่อย!”
หลี่จื่อชิงทั้งดิ้นรน ทั้งส่งเสียงโวยวาย หากแต่เพราะพวกเขาเรี่ยวแรงมีน้อยกว่าจูหลินอิงมาก ดังนั้นทำอย่างไรก็ไม่อาจหลุดไปจากแขนที่รัดตัวพวกเขาเอาไว้ได้
หลี่จื่อหมิงเองแม้ไม่ได้โวยวายเช่นน้องชายแต่ก็ต่อต้านดิ้นรนไม่ต่างกัน ยิ่งเห็นมารดาเลี้ยงแสนร้ายกาจคนนั้นห่อตัวหลี่จื่อรั่วด้วยผ้าผืนใหญ่แล้วอุ้มเขาไปที่รถยนต์ก็ยิ่งกังวลใจ ก่อนจะตัดสินใจก้มหน้ากัดแขนที่รัดตัวเขาเอาไว้สุดแรง
“โอ๊ย!”
จูหลินอิงถูกความเจ็บปวดที่แขนโจมตีก็เผลอปล่อยคน หลี่จื่อชิงเห็นวิธีการของแฝดผู้พี่ก็ทำตาม ดังนั้นเพียงพริบตาเด็กชายทั้งสองก็วิ่งออกมาจากบ้าน
หลี่จื่อหมิงมองไปยังรถยนต์ที่กำลังขับออกจากบ้าน ก็คิดไปถึงคำพูดของมารดาเลี้ยงในวันวาน
หากมีโอกาสเมื่อไหร่ฉันจะจับเด็กพวกนั้นใส่รถเอาไปปล่อยไกลๆ ให้กลายเป็นคนไร้บ้าน เป็นเด็กจรจัดข้างถนน
เมื่อคิดว่าเสวี่ยชิงหยวนกำลังจะพาหลี่จื่อรั่วไปปล่อยอย่างที่เธอเคยพูด เท้าเล็กก็รีบวิ่งไปขวางทางรถโดยไม่คิดถึงอันตรายของตนเอง
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมให้สตรีร้ายกาจจับหลี่จื่อรั่วไปปล่อยเด็ดขาด
เอี๊ยด!!! ซ่งเจียซินเหยียบเบรกรถสุดแรงเท้า ดวงตากลมเบิกกว้าง มองเด็กชายตัวน้อยที่ยืนขวางหน้ารถด้วยความรู้สึกทั้งตกใจและโมโห ก่อนจะเปิดประตูรถออกมา
“หลี่จื่อหมิง นายทำอะไรของนาย”
“คุณจะพาจื่อรั่วไปไหน”
ซ่งเจียซินถอนหายใจยาว พยายามควบคุมอารมณ์โมโหของตนเองสุดกำลัง
“แม่ครับ คุณอย่าโมโหจื่อหมิงเลยนะครับ เขาแค่เป็นห่วงผมเท่านั้น”
ซ่งเจียซินหันมามองเด็กชายที่นั่งข้างๆ พวกเขาสามคนเป็นฝาแฝดที่หน้าเหมือนกันจนแยกไม่ออก ทว่านิสัยกลับแตกต่างกันราวขาวกับดำ
“จื่อรั่วรีบลงมา”
หลี่จื่อชิงเปิดประตูรถอีกด้านออกแล้วพยายามจะพาหลี่จื่อรั่วลงมาจากรถ ซ่งเจียซินเห็นการกระทำของเขาก็ตวัดสายตาดุ
“จื่อชิง นายจะทำอะไร!”
“คุณนั่นแหละจะทำอะไร คิดจะพาจื่อรั่วไปปล่อยใช่ไหม หากคุณพ่อรู้เข้าจะต้องโมโหคุณแน่ๆ”
พาไปปล่อย! ซ่งเจียซินได้ยินหลี่จื่อหมิงบอกถึงเหตุผลที่เขาวิ่งมาขวางทางรถก็อดที่จะผ่อนลมหายใจขบขันเบาๆ ไม่ได้ แม้จะรู้ดีว่าเด็กชายทั้งสามคนกำลังอยู่ในวัยแห่งจินตนาการ แต่ต่อให้เจ้าของร่างเดิมอย่างเสวี่ยชิงหยวนจะร้ายกาจแค่ไหนก็คงไม่ถึงกับคิดเอาเด็กไปปล่อยแบบนั้น...
“หากมีโอกาสเมื่อไหร่ฉันจะจับเด็กพวกนั้นใส่รถเอาไปปล่อยไกลๆ ให้กลายเป็นคนไร้บ้าน เป็นเด็กจรจัดข้างถนน”
“แล้วหากคุณหลี่รู้เข้าจะยอมหรือคะ”
“ไม่ยอมแล้วยังไง เขาจะกล้าหย่ากับฉันเหรอ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเจียซินพลันแข็งค้าง เมื่อภาพในความทรงผุดขึ้นมา เสวี่ยชิงหยวนถึงกลับพูดเรื่องแบบนี้ออกมาโดยไม่เกรงกลัว ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ว่าประโยคพวกนี้ต้องถูกเด็กชายทั้งสามคนได้ยินอย่างแน่นอน
“แม่ครับ แม่จะเอาผมไปปล่อยที่ไกลๆ จริงๆ หรือครับ ผม... ไม่ไปได้ไหม ผมสัญญาผมจะเป็นเด็กดีเชื่อฟังคุณ”
“จื่อรั่วไม่ต้องไปอ้อนวอนเธอ เธอไม่ใช่แม่จริงๆ ของพวกเรา รีบลงรถมา!”
หลี่จื่อชิงพูดพลางเข้ามาจับแขนของหลี่จื่อรั่วเพื่อดึงเขาลงจากรถ แต่เพราะร่างกายของแฝดผู้น้องถูกผ้าห่อเอาไว้ หลี่จื่อชิงไม่เห็นว่าแขนของน้องชายเป็นแผล ดังนั้นจึงจับโดนแผลของอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ
“โอ๊ย! จื่อชิง ฉันเจ็บ!”
หลี่จื่อชิงได้ยินหลี่จื่อรั่วร้องด้วยความเจ็บปวดก็ตกใจจนเผลอปล่อยมือ พอดีกับที่จูหลินอิงวิ่งตามออกจับตัวเขาถอยออกไป
หลี่จื่อหมิงที่ได้ยินแฝดคนน้องบอกว่าเจ็บก็คิดว่าเขาถูกเสวี่ยชิงหยวนทำร้าย ดังนั้นจึงเข้าเปิดผ้าดูแขนของคนในรถ เพียงแต่ทันทีที่เห็นรอยแผลใบหน้าของเด็กชายก็พลันซีดเซียว
“ระวัง!”
......................................
บทที่5ข้อแลกเปลี่ยน“ระวัง!”ซ่งเจียซินร้องห้ามรีบโน้มตัวมาดึงผ้าปิดแขนของหลี่จื่อรั่วเอาไว้เหมือนเดิม“จื่อรั่วถูกข้าวต้มลวก ฉันกำลังจะพาเขาไปโรงพยาบาล ไม่ได้จะพาไปปล่อย!”พูดพลางจ้องมองดวงตาของเด็กชายตรงหน้า หลี่จื่อหมิงเมื่อรู้ว่าตนเองเข้าใจมารดาเลี้ยงผิด ในใจก็รู้สึกผิดเล็กน้อย แต่เขาเข้าใจผิดแล้วอย่างไร หากไม่ใช่เพราะเธอเคยพูดเองกับปากว่าจะเอาพวกเขาไปปล่อยทิ้ง วันนี้เขาจะคิดเช่นนี้ได้ยังไง“ไม่จริง เธอไม่มีทางพาจื่อรั่วไปโรงพยาบาล จื่อหมิงนายอย่าไปเชื่อเธอนะ”หลี่จื่อชิงที่ถูกจูหลินอิงจับเอาไว้ร้องบอกพร้อมกับดิ้นรนต่อต้านการจับตัว เขาไม่มีทางเชื่อว่าหญิงใจร้ายคนนี้จะพาแฝดผู้น้องของเขาไปโรงพยาบาล เธอไม่ใช่แม่ที่แท้จริงของพวกเขาจะมาใส่ใจพวกเขาได้ยังไง“จะไปโรงพยาบาลต้องมีเอกสารแสดงตัว คุณเอามาหรือยัง”“จื่อหมิง นายเชื่อเธอหรือ”“จื่อรั่วบาดเจ็บ ยังไงก็ต้องไปโรงพยาบาล จื่อชิงนายไปเอาสมุดประจำตัวของเขามา”ซ่งเจียซินมองเด็กชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกตกใจเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชื่นชม ส่งสายตาให้จูหลินอิงปล่อยคน“จื่อหมิงนายนี่รอบคอบจริงๆ อิงอิงเธอไปกับจื่อชิงเอาสมุดประจำตัวของจื่อรั่ว
โครม! เพียงประโยคเดียวที่ซ่งเจียซินพูดออกมาสิงฉู่หรันก็คล้ายทุกสิ่งรอบตัวหมุนไปหนึ่งหน แขนขวาราวกับถูกหัก แผ่นหลังถูกกระแทก ไม่ทันรู้ตัวร่างกายก็เซถลาล้มลงไปกองที่พื้น“ว้าย!”ซ่งเจียซินไม่คิดจะสนใจผลลัพธ์ของการกระทำของตนเอง เมื่อถีบส่งคนไปแล้วก็หันกลับมาสนใจหลี่จื่อชิงในทันที“จื่อชิง จื่อหมิง พวกนายเป็นอะไรไหม”“ไม่ต้องมายุ่ง คุณก็แค่...”“จื่อชิง!”ริมฝีปากเล็กเม้มเข้าหากันในทันทีที่พี่ชายฝาแฝดเรียกชื่อ ส่งสัญญาณทางสายตามาให้ หากแต่ก็ยังคงไม่ยอมรับการช่วยเหลือของหญิงสาวใจร้าย ขยับตัวลุกขึ้นด้วยตนเอง“เมื่อครู่ผมแค่ไม่ทันระวังจึงล้มลง”“ไม่เจ็บตรงไหนก็ดีแล้ว”ซ่งเจียซินไม่ได้ต้องการให้เด็กทั้งสองซาบซึ้งในการกระทำของเธอ เพราะต่อให้คนที่ถูกสิงฉู่หรันลงมือเมื่อครู่ไม่ใช่พวกเขา เธอก็ยังคงจะทำเช่นนี้“เสวี่ยชิงหยวน! เธอกล้าทำร้ายฉันเหรอ”เสียงสูงชวนแสบแก้วหูดังขึ้น ซ่งเจียซินถอนหายใจยาวอย่างระอาใจก่อนจะลุกขึ้นมายืนเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย“สิงฉู่หรัน! เรื่องในอดีตมันผ่านมาแล้ว ฉันเองก็แต่งงานมีครอบครัวแล้ว ส่วนเธอกับคุณเฉินก็แต่งงานกันแล้วเช่นกัน ทำไมยังยึดติดกับเรื่องไร้สาระพวกนี้อีก”“ไร้สา
“ฉันคือญาติของเด็กชายหลี่จื่อรั่วค่ะ!”ซ่งเจียซินหยุดเท้าที่หน้าพยาบาลสาวแล้วรายงานตัว“ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับคนไข้คะ”“ฉัน...”“เธอเป็นแม่ของพวกเราครับ”หลี่จื่อหมิงเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้ามีท่าทีอึดอัด มือเล็กกำหมัดแน่น รู้ดีว่าในใจของเสวี่ยชิงหยวนผู้นี้ไม่เคยคิดว่าพวกเขาสามพี่น้องเป็นลูก แต่ในเวลานี้พวกเขาอายุเพียงเจ็ดขวบ การตัดสินใจทางการแพทย์จำเป็นต้องให้เธอที่เป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้วรับรอง ดังนั้นไม่ว่าเธอจะยินดีหรือไม่ เขาก็จำเป็นต้องให้เธอยอมรับสถานะนี้ชั่วคราวเพื่อให้การรักษาหลี่จื่อรั่วไม่มีปัญหาซ่งเจียซินตกใจกับคำตอบของเด็กชาย แต่ก็รู้สึกดีที่เด็กชายรู้จักประเมินสถานการณ์ และวางตัวได้เหมาะสม“ใช่ค่ะ... ฉันเป็นแม่ของจื่อรั่ว”“เช่นนั้นเชิญคุณทางนี้เลยค่ะ คุณหมอโจวรออยู่”พยาบาลสาวผายมือแล้วเดินนำทางซ่งเจียซินไปยังห้องข้าง ๆ เมื่อมาถึงหน้าห้องแพทย์ซ่งเจียซินก็ชะงักเท้าเล็กน้อย ปรายตามองเด็กชายด้านหลังแล้วเอ่ยถามพยาบาลตรงหน้าด้วยท่าทางสุภาพ“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าฉันสามารถพาลูก ๆ และคนติดตามเข้าไปด้วยได้ไหม”แม้ซ่งเจียซินจะรู้ว่าสิ่งที่แพทย์ในห้องต้องการพูดคุยคืออาการเจ็บป่วยของห
ซ่งเจียซินทอดสายตามองท้องฟ้ายามค่ำคืนผ่านหน้าต่างห้องนอนชั้นสอง เจ็ดวันแล้วที่เธอเข้ามาอยู่ในร่างของเสวี่ยชิงหยวน เรื่องราวในตอนนี้แม้ว่ายากจะเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ เธอได้กลายมาเป็นเสวี่ยชิงหยวน ภรรยาของหลี่โจวอี้นายแพทย์ทหารชั้นพันเอก และยังเป็นมารดาเลี้ยงของลูกแฝดอีกสามคนเมื่อคิดถึงเด็กแฝดทั้งสามคนซ่งเจียซินก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของร่างเดิมกับลูกเลี้ยงนั้นช่างย่ำแย่เหลือเกิน แม้ว่าเจ็ดวันมานี้พวกเขาและเธอจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แต่ซ่งเจียซินรู้ดีว่านี่เป็นเพียงแค่คลื่นลมที่สงบชั่วคราวเท่านั้น“ขออนุญาตค่ะคุณหนู”เสียงขออนุญาตของหูหลินอิงดังขึ้นที่หน้าห้อง ก่อนที่จะเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับแก้วนมอุ่น“นมอุ่นก่อนนอนค่ะ”“ขอบใจมาก ทางเด็ก ๆ ก็ได้แล้วใช่ไหม”“ได้แล้วค่ะ ดื่มหมดแล้วด้วย”ซ่งเจียซินพยักหน้ารับทราบ ตั้งแต่วันแรกที่เธอเข้ามาอยู่ในร่างของเสวี่ยชิงหยวน ก็ให้หูหลินอิงนำนมอุ่นไปให้เด็กชายทั้งสาม อีกทั้งยังบอกไม้เด็ดหากพวกเขาไม่ยอมดื่มให้บอกว่า ถ้าคุณชายทั้งสามไม่ดื่ม คุณเสวี่ยจะเข้ามาป้อนด้วยตนเองค่ะเด็กชายทั้งสามเว้นหลี่จื่อรั่ว ล้วนไม่มีใครต้องการยุ่งวุ
หลังจากที่เด็กชายทั้งสามไปโรงเรียนแล้ว ซ่งเจียซินก็เปิดตู้เสื้อผ้าดูของใช้ส่วนตัวของเสวี่ยชิงหยวน แม้จะบอกว่าเจ้าของร่างเดิมมีรสนิยมที่ดี แต่ว่าเสื้อผ้าหลายชิ้นและยุ่งยากในการสวมใส่เช่นนี้ซ่งเจียซินกลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เกินความจำเป็นไปบ้างที่จะสวมใส่ในชีวิตประจำวัน“อิงอิง ฉันจะออกไปข้างนอกสักหน่อย เธอไปเตรียมตัว”“ค่ะ”เพราะความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมยังปะติดปะต่อไม่ได้ทั้งหมด ซ่งเจียซินไม่อยากไปหลงทางอยู่กลางเมือง ดังนั้นการพาอิงอิงไปด้วยนับว่าเป็นทางเลือกที่ดี“ฉันต้องการไปซื้อเสื้อผ้า แล้วก็ของใช้ส่วนตัว เธอพาไปหน่อยได้ไหม”“ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะแจ้งลุงเหอให้เอารถออกนะคะ”“ไม่ต้อง สนามหญ้าด้านหลังหญ้าสูงมากแล้ว ให้ลุงเหอจัดการที ส่วนเรื่องขับรถเดี๋ยวฉันขับเอง เธอช่วยบอกทางก็พอ”“แต่ว่า...”“ไม่มีแต่รีบไปจัดการ”“ค่ะ”หูหลินอิงตอบรับอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงนัก ปกติตอนที่อยู่บ้านตระกูลเสวี่ยคุณหนูของเธอไม่เคยขับรถเลย ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่อีกฝ่ายสามารถขับรถได้อย่างคล่องแคล่วเช่นนี้ อีกทั้งยังจะขับเองอีกด้วยผ่านไปครึ่งชั่วโมงซ่งเจียซินก็ขับรถมาหยุดที่หน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ
“คุณแม่” / “หญิงใจร้าย”“เป็นเด็กเป็นเล็กใช้เตาไฟโดยไม่มีผู้ใหญ่อันตรายแค่ไหนไม่รู้หรือไง”“พวกเราเป็นผู้ชายเจ็ดขวบแล้ว ขึ้นชั้นประถมแล้วด้วย ไม่ใช่เด็กแล้ว”หลี่จื่อชิงร้องโวยวายโต้แย้ง พ่อเคยบอกว่าพวกเขาเป็นผู้ชาย ตอนนี้เจ็ดขวบแล้วอีกทั้งยังขึ้นชั้นประถมแล้วไม่นับว่าเป็นเด็กอีกต่อไป ต้องรู้จักพึ่งพาช่วยเหลือตนเอง หญิงใจร้ายตรงหน้าไม่รู้เรื่องของผู้ชายละสิ ถึงได้ยังคิดว่าพวกเขาเป็นเด็กแบบพวกผู้หญิงซ่งเจียซินถอนหายใจยาวมองดูความดื้อดึงของเด็กชายตรงหน้าอย่างระอาใจ ทว่าพริบตาก็เปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองจ้องมองใบหน้าแต่ละคนด้วยสายตาไม่พอใจ“จื่อชิง แค่พูดไม่ระวัง ถ้าคุณไม่พอใจที่พวกเราใช้เตาไฟอย่างนั้นพวกเราก็จะไม่ใช้”หลี่จื่อหมิงเห็นสายตาขุ่นเคืองของหญิงสาวตรงหน้าก็คิดว่าเธอคงไม่พอใจที่หลี่จื่อชิงโต้แย้งเมื่อครู่ ดังนั้นเพื่อไม่ให้น้องถูกทำโทษขังในห้อง หรือให้อดอาหารเหมือนในอดีต หลี่จื่อหมิงจึงหลบเลี่ยงด้วยการคิดจะพาน้อง ๆ กลับขึ้นห้องคิดแล้วก็โมโหตนเอง เพราะหลายวันมานี้เสวี่ยชิงหยวนใจดีกับพวกเขามากไป ดังนั้นหลี่จื่อหมิงจึงชะล่าใจไม่ได้เตรียมอาหารแห้งซ่อนไว้ในห้องเช่นเมื่อก่อน วันนี้จึงจำใจ
ซ่งเจียซินมาถึงโรงเรียนพร้อมกับเด็กชายฝาแฝดทั้งสามคน ทว่าเวลาที่มาถึงนั้นกลับไม่ใช่ช่วงเช้าแต่เป็นช่วงบ่าย อีกทั้งห้องที่เธอพาพวกเด็ก ๆ ไปนั้นก็ไม่ใช่ห้องเรียน แต่เป็นห้องของ...“ผอ.หวัง คะ ผู้ปกครองของหลี่จื่อหมิง หลี่จื่อชิง หลี่จื่อรั่ว มาขอพบค่ะ”“ผู้ปกครองของสามแฝดหลี่หรือ มีเรื่องอะไร”“เอ่อ... เห็นว่ามาร้องเรียนค่ะ”“ร้องเรียน! ร้องเรียนใคร เรื่องอะไร”“ลูกชายของครูติงค่ะ”หวังเต๋อห้าว ได้ยินว่าอีกฝ่ายมาร้องเรียนติงฝูไห่ก็ถอนหายใจยาว เรื่องที่ติงฝูไห่รีดไถเงินของนักเรียนรุ่นน้องนั้นเขาเคยตักเตือนติงอี้เทาไปหลายหนแล้ว ไม่คิดว่าครั้งนี้จะเกิดเรื่องขึ้นจริง“ไปเรียกครูติงกับนักเรียนติงฝูไห่มา”“ค่ะ”ซ่งเจียซินขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้รับคำอธิบายเหตุการณ์ที่เด็กแฝดทั้งสามของเธอถูกทำร้ายว่าเป็นเพียงการหยอกล้อกันเท่านั้น ส่วนเรื่องรีดไถเงินนั้นอีกฝ่ายยืนกรานว่าไม่เคยเกิดขึ้น เงินไม่มีเจ้าของดังนั้นจึงไม่อาจพิสูจน์ได้“ได้ค่ะ ในเมื่อครูติงและผอ.หวังยืนยันเช่นนี้ ฉันก็จะเชื่อค่ะ”ได้ยินหญิงสาวตรงหน้าเจรจาง่ายดายเช่นนี้หวังเต๋อห้าวและติงอี้เทาก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ติงฝูไห่ยังยกยิ้มเย้ยหยัน
ซ่งเจียซินยืนพิงขอบหน้าต่างห้องนอน ร่วมเดือนแล้วที่เธอทะลุมิติมาใช้ชีวิตในฐานะของเสวี่ยชิงหยวน แต่ระยะเวลาอันแสนสั้นนี้ก็ทำให้เธอได้รู้ว่า หลี่โจวอี้ไม่ได้ต้องการให้เธอเป็นภรรยาอย่างแท้จริง และเด็กชายทั้งสามก็ไม่ปรารถนาให้เธอเป็นมารดาเลี้ยง เช่นนี้แล้วยังมีเหตุผลใดให้เธอต้องทนอยู่ในบ้านหลังนี้กัน“อิงอิง ในยุคนี้สามีภรรยาสามารถหย่าขาดจากกันได้แล้วใช่ไหม”“ได้ค่ะ แต่การหย่าร้างจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของผู้หญิงนะคะ”หูหลินอิงอยู่กับเสวี่ยชิงหยวนมาหลายปี แม้ช่วงนี้อีกฝ่ายจะมีพฤติกรรมและความคิดที่แปลกไปจากปกติ แต่เธอก็พอจะคาดเดาความคิดของผู้เป็นนายได้“ก็แค่หญิงหม้าย หย่าสามี มีเรื่องใดให้ต้องอับอายกัน”“คุณหนูตัดใจทิ้งคุณชายทั้งสามได้หรือคะ”หากเป็นเมื่อก่อนหูหลินอิงย่อมไม่กล้าถามคำถามนี้ เพราะรู้ดีว่าคุณชายทั้งสามไม่มีความสำคัญใดต่อคุณหนูของตนเลยสักนิด ทว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ขอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณชายน้อยทั้งสาม คุณหนูของเธอก็จะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ“พวกเขาต้องการฉันด้วยหรือ”หลี่จื่อหมิง และ หลี่จื่อรั่วสบตากันก่อนจะมองไปที่หลี่จื่อชิงด้วยความสงสัย ก่อนที่หลี่จื่อรั่วจะข
ซ่งเจียซินเปลี่ยนชุดเสร็จก็เดินกลับมา พร้อมกับซองเอกสารสีน้ำตาล เมื่อนั่งลงบนโซฟาแล้วก็เอายื่นให้กับหลี่โจวอี้“อะไร” หลี่โจวอี้เอ่ยถามพร้อมกับหยิบเอกสารด้านในออกมาดู“สัญญาหย่า!” ดวงตาคมเบิกกว้างมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกตื่นตกใจ“ชิงหยวน นี่เธอกำลังจะขอหย่ากับผมอย่างนั้นหรือ”“ใช่ค่ะ”ซ่งเจียซินตอบกลับด้วยสีหน้าสงสัย เอกสารตรงหน้าเธอระบุชัดเจนถึงจุดประสงค์แล้วเหตุใดชายหนุ่มจึงยังต้องถามย้ำอีกกัน หรือว่าเธอร่างสัญญาไม่ชัดเจน“ก่อนหน้านี้เป็นฉันที่ผิดต่อคุณ ฉกฉวยโอกาสตอนที่คุณกำลังเดือดร้อนบังคับคุณให้ยอมแต่งงานด้วย”ถึงแม้จะบอกว่าเป็นการตกลงที่ล้วนได้ผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย แต่ซ่งเจียซินต้องการยุติความสัมพันธ์นี้จึงจงใจยอมรับความผิดทั้งหมดมาเองเพื่อง่ายต่อการเจรจา“อีกทั้งหลังแต่งงานมาฉันเองก็ทำหน้าที่ภรรยาได้ไม่ดีนัก ตอนนี้ฉันรู้สึกละอายใจต่อคุณจึงอยากมอบอิสระคืนให้คุณค่ะ”มอบอิสระอะไรกัน! เขาเคยบอกหรือว่าต้องการหย่ากับเธอ หลี่โจวอี้ตกใจกับความคิดของตนเองเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาวางแผนเอาไว้ว่าหลังจากที่ทำเรื่องย้ายมาอยู่ในสังกัดใกล้บ้านได้แล้วก็จะเจรจาขอหย่ากับเสวี่ยชิงหยวน ทว่าไม
หลี่จื่อหมิงมองเห็นมารดาเลี้ยงเดินขึ้นไปชั้นบนเพียงลำพังในใจก็เกิดความกังวลถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งเห็นสายตาที่เธอทอดมองมาทางพวกเขาด้วยความเศร้า หัวใจของเด็กชายก็คล้ายถูกบีบรัดเศร้าหมองขึ้นมา“วันนี้พ่อเพิ่งกลับมาคงเหนื่อยมาก ขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องเถอะครับ”“งั้นพวกเราก็ขึ้นห้องนอนกันเถอะ”หลี่โจวอี้ตอบรับลูกชายฝาแฝดคนโตในทันที ทว่ายามที่จะลุกขึ้นพาพวกเขากลับเข้าห้องนอนเช่นทุกครั้ง กลับถูกคัดค้านขึ้นมา“พ่อแต่งงานแล้วจะนอนห้องเดียวกับพวกเราได้ยังไงครับ”“จื่อหมิง ลูกหมายความว่าจะให้พ่อกลับไปนอนที่ห้องเดิม”หลี่โจวอี้ขมวดคิ้วหนาด้วยความสงสัย ปกติแล้วยามที่เขากลับมาบ้านลูกชายทั้งสามจะเกาะติดเขาแน่น และพยายามอย่างหนักในการขัดขวางเขากับเสวี่ยชิงหยวน ทว่าเหตุใดครั้งนี้จึงพูดราวกับจงใจเปิดทางให้เขาใกล้ชิดกับเสวี่ยชิงหยวน“ที่นอนของพวกเราไม่ได้กว้างมาก ปกตินอนกันสามคนก็แน่นมากแล้ว คืนนี้พ่อกลับไปนอนที่ห้องเดิมเถอะครับ”คิ้วเข้มของหลี่โจวอี้ขมวดเข้าหากันแน่นมากขึ้น มองลูกชายคนรองด้วยความรู้สึกสงสัยเป็นทบทวี หากพูดถึงความรู้สึกที่ลูกชายทั้งสามของเขามีต่อเสวี่ยชิงหยวน
หลังมื้อค่ำหลี่โจวอี้ต้องการอยู่พูดคุยกับลูกชายทั้งสามต่อ ซ่งเจียซินรู้ดีว่าตนเองเป็นคนนอกจึงไม่ต้องการรบกวนพวกเขา ใช้ข้ออ้างว่าติดละครช่วงค่ำแยกตัวออกมานั่งดูโทรทัศน์ดวงตาคมมองแผ่นหลังบางที่เดินออกจากห้องอาหารไปด้วยความรู้สึกแปลกใจ ปกติแล้วทุกครั้งที่เขากลับบ้านเสวี่ยชิงหยวนจะต้องใช้ลูกไม้สารพัดทำให้เขายอมอยู่กับเธอ แม้แต่การจงใจกินดอกลำโพงจนตัวเองล้มป่วยเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขาในวันที่เขาจะกลับเข้ากรมเมื่อครั้งก่อนเธอก็เคยทำเช่นนี้แล้วเสวี่ยชิงหยวนในวันนี้เป็นอะไรไป ทำไมเขาจึงรู้สึกไม่คุ้นเคยกับเธอ ราวกับเธอคนนี้ไม่ใช่เสวี่ยชิงหยวนที่เขาเคยรู้จัก“คุณพ่อครับ มาครั้งนี้คุณพ่อจะอยู่กี่วันหรือครับ”“ห้าวัน”“แค่ห้าวันเองหรือครับ”“ทำไมหรือ มีอะไรหรือเปล่า”ปกติแม้ว่าหลี่จื่อรั่วจะเป็นเด็กชายขี้อ้อน ทว่าที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยมีท่าทีเช่นนี้ หรือว่าระหว่างนี้เสวี่ยชิงหยวนจะสร้างความลำบากให้ลูก ๆ ของเขาอีกแล้ว“ผู้หญิงคนนั้นรังแกลูก ๆ อีกแล้วหรือ”ได้ยินคำถามนี้หลี่จื่อรั่วก็รีบเงยหน้าส่ายหัวไปมาดุกดิกอย่างรวดเร็ว“แม่ไม่ได้รังแกพวกเราเลยครับ ยังใจดีมากอีกด้วย”“ใจดี?”ให้หลี่จื่อ
ซ่งเจียซินขบกรามแน่น เขาไม่ได้ลงโทษตีเธอตามคำมั่นที่ให้ไว้กับเด็กทั้งสาม แต่กลับบอกว่าต้องการกินอาหารค่ำฝีมือเธอ หากในตอนนี้คนในร่างเป็นเสวี่ยชิงหยวนคนเดิม เกรงว่าเรื่องราวคงไม่จบโดยง่ายเพียงแต่เธอในเวลานี้คือซ่งเจียซิน ผู้มีฉายาเจ้าแม่ร้อยอาชีพ!“อิงอิง ปกติแล้วคุณหลี่ชอบทานอะไรเป็นพิเศษไหม หรือว่าไม่ชอบทานอะไรบ้างหรือเปล่า”ได้ยินคุณหนูของตนสอบถามความชอบและไม่ชอบของผู้พันหลี่โจวอี้อย่างใส่ใจ หูหลินอิงก็ได้แต่ถอนหายใจยาวด้วยความรู้สึกเสียดาย คุณหนูเสวี่ยของนางแม้จะขาดคุณสมบัติบางประการไป แต่ก็เป็นหญิงสาวที่พร้อมด้วยรูปและทรัพย์ เหตุใดต้องมาทนกับพ่อหม้ายลูกติดหลี่โจวอี้พวกนี้ด้วยนะ“คุณหนูให้ฉันทำให้เถอะค่ะ”“ทำอะไรกัน ผู้พันอยากกินอาหารฝีมือฉัน แน่นอนว่าฉันต้องทำอย่างเต็มความสามารถเพื่อเอาใจเขาสิ”“แต่ว่าคุณหนูทำอาหารไม่เป็นไม่ใช่หรือคะ”เมื่อได้ยินคุณสมบัติส่วนตัวของเจ้าของร่าง ซ่งเจียซินก็ชะงักมือที่กำลังหั่นผักไปชั่วครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มมุมปากแล้วลงมือทำต่ออย่างชำนาญ“ทำไม่เป็นก็หัดได้ ก็แค่อาหารไม่เห็นจะยากเย็นอะไร”ดังนั้นหนึ่งชั่วโมงต่อมาเมื่อทุกคนมาพร้อมหน้าที่โต๊ะอาหาร
หลี่จื่อรั่วจับมือซ่งเจียซินลงมาที่สนามหญ้าหลังบ้าน โดยมีหลี่จื่อชิงและหลี่จื่อหมิงที่วางท่าจำใจตามลงมาเพื่อติดตามดูแลหลี่จื่อรั่วอยู่ไม่ห่าง ซ่งเจียซินที่รู้ทันเด็กน้อยทั้งสองคนจึงไม่ได้ตำหนิ อีกทั้งยังท้าดวลพวกเขาสามคนแข่งกันเตะเข้าประตูแมว แน่นอนว่าด้วยอัตราหนึ่งต่อสามแม้อีกฝ่ายจะเป็นเพียงเด็กชายเจ็ดขวบ แต่ร่างกายที่เติบโตมาราวกับไข่ในหินของเสวี่ยชิงหยวนย่อมอ่อนแอและบอบบาง ผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีก็ถูกเด็กชายทั้งสามนำไปด้วยคะแนน สองต่อศูนย์“แม่ครับ พวกเราพักก่อนดีหรือไม่”หลี่จื่อรั่วเห็นมารดาเลี้ยงสองแก้มแดงก่ำ อีกทั้งยังหายใจหอบถี่ก็เอ่ยถามด้วยความห่วงใย หากแต่หญิงสาวกลับยืดตัวเอ่ยตอบเสียงหนักแน่น“ได้พัก วันนี้ฉันจะต้องชนะพวกนายให้ได้”หลี่จื่อหมิงได้ยินหญิงสาวประกาศกร้าวก็ยกยิ้มขบขัน ก่อนจะจับบอลพลิกตัวไปมา แล้วยิงเข้าประตูทำคะแนนอีกรอบ“จื่อหมิงนายเก่งที่สุด”หลี่จื่อชิงตะโกนชมพี่ชายฝาแฝดของตนเองเสียงก้อง“สามรุมหนึ่ง ชัยชนะนี้น่าภาคภูมิใจมากหรือไร”เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น สายตาสี่คู่ในสนามพลันหันไปมองโดยพร้อมกัน หลี่จื่อหมิงเห็นแววตาคมดุของบิดามีคำตำหนิแฝงก็ก้มหน้าพาน้องชายทั้งสองเ
ซ่งเจียซินยืนพิงขอบหน้าต่างห้องนอนมองดูสนามหญ้าเบื้องล่างด้วยความรู้สึกสงสัย สามวันแล้วที่เธอมอบลูกบอลหนังให้เด็กชายทั้งสามคนไป ทว่าจวบจนวันนี้กลับไม่เคยเห็นพวกเขาหยิบมันมาเล่นเลยสักครั้ง หรือแท้จริงแล้วพวกเขาจะไม่ชอบเล่นบอลกัน“อิงอิง ปกติคุณชายทั้งสามคนเขาชอบเล่นบอลหรือไม่”“ชอบค่ะ”“แล้วทำไม ฉันไม่เห็นเขาเอาบอลมาเล่นที่สนามล่ะ”“เรื่องนี้คุณหนูคงต้องถามตัวเองแล้ว...”ถามตัวเอง หรือว่าเสวี่ยชิงหยวนผู้เป็นเจ้าของร่างเดิมจะทำเรื่องบางอย่างเอาไว้อีกแล้วซ่งเจียซินเพ่งสายตามองไปที่สนามหญ้าด้านล่าง พยายามขบคิดความทรงจำเดิมของเสวี่ยชิงหยวน ก่อนที่ภาพหนึ่งจะสะท้อนเข้ามาในห้วงความคิด“เอามานี่”เสวี่ยชิงหยวนตวาดเสียงหงุดหงิดก่อนจะแย่งบอลในมือของหลี่จื่อรั่วมาแล้วใช้กรรไกรจิ้มจนเกิดรอยรั่วมากมาย “คุณทำอะไร!”หลี่จื่อชิงเข้ามาแย่งบอลคืน หากแต่ก็สายเกินแก้ไข รอยรั่วมากมายทำให้ลูกบอลลูกนี้ไม่อาจเล่นได้อีก หลี่จื่อรั่วน้ำตาไหลอาบแก้ม สะอื้นจนตัวสั่น หากแต่กลับไม่ได้ทำให้เสวี่ยชิงหยวนรู้สึกสงสารเลยสักนิด ตรงกันข้ามเธอกลับกล่าวคำข่มขู่เพิ่มเติม“วันนี้ฉันแค่ทำลายบอลของพวกแก ถ้าวันหน้าพวกแกยังกล้า
บทที่ 14 ได้รับความเชื่อใจ (1)เมื่อกลับมาถึงบ้านหลี่จื่อรั่วที่เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าของตนเองแล้วเห็นชุดใหม่สามชุดแขวนอยู่ก็เบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้นยินดี อีกทั้งยังหยิบทั้งสามชุดออกมาวางทาบตัวด้วยท่าทางกระตือรือร้น“จื่อหมิง จื่อชิง พวกนายดูชุดใหม่พวกนี้สิ พอดีกับตัวพวกเราเลย”หลี่จื่อหมิงขมวดคิ้วเข้มมองดูชุดใหม่ที่น้องชายถือ ไม่ต้องซักถามหรือคาดเดาก็รู้ได้ในทันทีว่าชุดพวกนี้เป็นใครที่ซื้อมาให้ ในขณะที่หลี่จื่อชิงเองก็รีบลุกไปเปิดตู้ของตนเอง เมื่อเห็นว่าเขาเองก็ได้ชุดใหม่ในแบบเดียวกันกับหลี่จื่อรั่วบนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มยินดี สองปีมาแล้วที่เขาไม่เคยได้ชุดใหม่เลย เพียงแต่เมื่อคิดถึงคนที่น่าจะซื้อชุดเหล่านี้ให้ตนเอง ท่าทางยินดีเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นนิ่งสงบ“ไม่เห็นจะสวยสักนิด เลือกชุดก็ไม่เป็น”ทั้งที่ปากบ่นตำหนิ แต่มือกลับจับชุดเหล่านั้นเอาไว้แน่น มุมปากก็ยกขึ้นเป็นครั้งคราวอย่างพยายามอดกลั้นหลี่จื่อหมิงลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าของตนเองก็พบชุดในแบบเดียวกันกับน้องชายเช่นกัน หากแต่บนใบหน้าของเขากลับไม่มีความยินดีเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับแฝงไปด้วยความหวาดระแวงและกังวลใจ“พับให้เรียบ
ซ่งเจียซินใช้เวลาหลังจากที่เด็ก ๆ ไปโรงเรียนแล้วตรวจสอบบัญชีกิจการ เมื่อพบว่าไม่มีปัญหาอะไรให้กังวลเธอก็มอบหมายให้ตงซางผู้จัดการเดิมดูแลต่อ โดยเธอจะแวะเข้ามาตรวจสอบเป็นระยะ ในระหว่างที่กำลังจะกลับบ้านเพื่อเตรียมไปรับเด็ก ๆ สายตาก็หันไปเห็นลูกบอลหนัง ซ่งเจียซินนึกถึงสนามหญ้าด้านหลังบ้านที่มีพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวางเหมาะแก่การทำเป็นสนามฟุตบอลให้เด็ก ๆ ใช้ออกกำลังกาย“อิงอิง ไปซื้อลูกบอลหนังให้ฉันที”“ค่ะ”หูหลินอิงเดินไปซื้อของตามคำสั่งผู้เป็นนาย ขณะที่ซ่งเจียซินเดินไปดูเสื้อผ้าที่แผนกเด็กโต วันก่อนเธอสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าของเด็กชายมีขนาดเล็กเกินไป ก่อนออกจากบ้านจึงไปแอบวัดเสื้อผ้าชุดเดิมมาคร่าว ๆ เพื่อกะขนาดที่ใหญ่ขึ้นสักหน่อยให้พวกเขา ทว่าเลือกดูได้ไม่นานเธอก็ชนเข้ากับแผงอกแกร่งของใครบางคน“อะ... ขอโทษค่ะ”เพราะเธอเดินไม่ระวังจึงชนคน ดังนั้นซ่งเจียซินจึงรีบขอโทษก่อนจะเงยหน้ามองคนที่ตนเองชน และทันทีที่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายคิ้วเรียวก็ขมวดมุ่นในทันที“คุณเฉินเซียว”“คุณเสวี่ย ไม่เจอกันนานคุณสบายดีไหม”“สบายดีค่ะ แล้วนี่ภรรยาของคุณล่ะคะไม่มาด้วยหรือ”เฉินเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อถูกหญิงสา
ซ่งเจียซินยืนพิงขอบหน้าต่างห้องนอน ร่วมเดือนแล้วที่เธอทะลุมิติมาใช้ชีวิตในฐานะของเสวี่ยชิงหยวน แต่ระยะเวลาอันแสนสั้นนี้ก็ทำให้เธอได้รู้ว่า หลี่โจวอี้ไม่ได้ต้องการให้เธอเป็นภรรยาอย่างแท้จริง และเด็กชายทั้งสามก็ไม่ปรารถนาให้เธอเป็นมารดาเลี้ยง เช่นนี้แล้วยังมีเหตุผลใดให้เธอต้องทนอยู่ในบ้านหลังนี้กัน“อิงอิง ในยุคนี้สามีภรรยาสามารถหย่าขาดจากกันได้แล้วใช่ไหม”“ได้ค่ะ แต่การหย่าร้างจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของผู้หญิงนะคะ”หูหลินอิงอยู่กับเสวี่ยชิงหยวนมาหลายปี แม้ช่วงนี้อีกฝ่ายจะมีพฤติกรรมและความคิดที่แปลกไปจากปกติ แต่เธอก็พอจะคาดเดาความคิดของผู้เป็นนายได้“ก็แค่หญิงหม้าย หย่าสามี มีเรื่องใดให้ต้องอับอายกัน”“คุณหนูตัดใจทิ้งคุณชายทั้งสามได้หรือคะ”หากเป็นเมื่อก่อนหูหลินอิงย่อมไม่กล้าถามคำถามนี้ เพราะรู้ดีว่าคุณชายทั้งสามไม่มีความสำคัญใดต่อคุณหนูของตนเลยสักนิด ทว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ขอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณชายน้อยทั้งสาม คุณหนูของเธอก็จะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ“พวกเขาต้องการฉันด้วยหรือ”หลี่จื่อหมิง และ หลี่จื่อรั่วสบตากันก่อนจะมองไปที่หลี่จื่อชิงด้วยความสงสัย ก่อนที่หลี่จื่อรั่วจะข