Share

บทที่ 6

“อ๊า...”

ความจริงตอนที่ผมช่วยตัวเองยังไม่รู้สึกว่ามันถึงใจมากขนาดนี้ ถึงขั้นที่อาจต้องรอสักพักกว่าจะปลดปล่อยออกมา

อาจเป็นเพราะหลังจากที่เห็นหลี่ลี่เจียวแอบมองตอนผมตอนทำเรื่องแบบนั้น มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกเร้าใจ ตื่นเต้น และถูกกระตุ้นมากยิ่งขึ้น

จนมันพุ่งทะลักออกมา

เพราะเมื่อครู่ผมทำโดยปราศจากเสื้อผ้าห่อหุ้มร่างกาย จึงไม่เปื้อนโดนกางเกงตัวเอง แต่มันกลับทำให้เบาะที่นั่งคนขับเลอะเป็นวงกว้าง

กระจายไปทุกที่

ผมกังวลเป็นอย่างมาก

ถ้าพี่สะใภ้เห็นขึ้นมา จะต้องน่าอายมากแน่ ๆ

นี่คือรถที่เธอรักมากเสียด้วย

เมื่อวานตอนที่เธอกับพี่ตงขับรถมารับผม เธอยังไม่ให้พี่ตงขับรถเธอเลย พี่ตงเล่าว่ารถคันนี้เป็นคนที่พี่สะใภ้ซื้อด้วยตัวเอง เธอเล็งมันมานานแล้ว และรักมันมากด้วย

ผมรีบหยิบกระดาษทิชชูจากที่นั่งข้าง ๆ คนขับมาทำความสะอาดทันที

แต่มันยังคงมีคราบเหลืออยู่ และไม่รู้ว่าหลังทานข้าวเสร็จจะแห้งไหม?

ถ้าทิ้งคราบไว้แบบนี้ คงจะน่าอายเป็นอย่างมาก

พี่สะใภ้ให้มาเรียน แต่สุดท้ายผมกลับทำเรื่องแบบนั้นในรถที่เธอรัก

พี่สะใภ้จะต้องโกรธมากแน่ ๆ

หลังจากที่เก็บรถแล้ว ผมก็จัดการกับตัวเองต่อ

แต่ผมยังคงนั่งอยู่ในรถไม่ไปไหน

ผมสบายตัวแล้ว แต่จะขึ้นไปยังไงดีล่ะ?

โดยเฉพาะจะเผชิญหน้ากับหลี่ลี่เจียวยังไง?

นึกถึงเหตุการณ์ที่เราสบตากันเมื่อครู่ ผมก็ยิ่งอายมาก

หลี่ลี่เจียวเห็นผมกำลังทำเรื่องแบบนั้นอยู่

เธอคงจะคิดว่าผมเป็นโรคจิตแน่ ๆ

เดิมทีเธอก็พยายามตีตัวออกห่างผมอยู่แล้ว และเมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เธอคงไปฟ้องพี่สะใภ้แน่ ๆ

พี่สะใภ้ช่วยผมมาโดยตลอด แต่ผมกลับทำทุกอย่างพังลง

ผมรู้สึกผิดในใจเป็นอย่างมาก

และอายแทบแทรกแผ่นดินหนีเช่นกัน

ตอนนี้ผมไม่กล้าขึ้นไปแล้ว

ผมลังเลอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจส่งข้อความไปหาพี่สะใภ้

เพื่อถามดูสถานการณ์ปัจจุบันของหลี่ลี่เจียว

พี่สะใภ้ตอบกลับผมอย่างรวดเร็ว ‘พี่ลี่เจียวของเธอบอกว่าจะลงไปเอาของ จนตอนนี่ก็ยังไม่กลับมา พี่ก็ว่าจะถามเธออยู่เหมือนกันว่าเธอเห็นเธอบ้างไหม’

เมื่อเห็นข้อความของพี่สะใภ้ ทำให้ผมทั้งงุนงงและสงสัย

จากเหตุการณ์เมื่อครู่จนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปสิบกว่านาทีแล้ว โดยปกติแล้ว หลี่ลี่เจียวก็น่าจะกลับไปแล้วนี่นา

เธอไม่ได้กลับไปหาพี่สะใภ้ แล้วเธอไปที่ไหนกัน?

ถึงแม้จะสงสัย แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก กลับรู้สึกโล่งใจเบา ๆ มากกว่า

หลี่ลี่เจียวยังไม่ได้กลับไป งั้นเธอก็ยังไม่มีโอกาสเล่าเรื่องนั้นให้พี่สะใภ้ฟัง

ถ้าตอนนี้ผมกลับไปสารภาพกับพี่สะใภ้ ไม่แน่ว่าอาจทำให้เรื่องมันดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

เพราะแบบนี้ หลังจากที่ถามถึงที่อยู่ของพี่สะใภ้แล้ว ผมจึงรีบไปที่นั่นทันที

พี่สะใภ้กำลังนั่งเล่นมือถืออยู่คนเดียว เมื่อเห็นว่าผมมา เธอก็ยิ้มและโบกมือเรียก “เอ้อร์โก่ว ทางนี้”

เมื่อเห็นหน้าพี่สะใภ้ ผมก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจ

ถึงแม้ผมจะมาเพื่อสารภาพ แต่เมื่อคิดว่าผมอาจทำให้เรื่องทุกอย่างพังลง ผมก็รู้สึกกระวนกระวายใจมาก

ผมนั่งตรงข้ามพี่สะใภ้ แต่กลับไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร

“เป็นอะไรไป? ทำไมหน้าแดงแบบนั้นล่ะ? ได้ดูวิดีโอแบบนั้นครั้งแรก ก็เลยเขินใช่ไหม?”

พี่สะใภ้เป็นฝ่ายเริ่มถามก่อน ดวงตาดำขลับของเธอมองมาที่ผม

ผมรู้สึกได้ว่าหน้าของผมแดงและร้อนมาก แม้แต่หูก็ร้อน

ยังไรก็ตาม การที่ผมต้องพูดเรื่องแบบนั้นกับพี่สะใภ้ในที่สาธารณะแบบนี้ ทำให้ผมรู้สึกอายมาก

ถึงขั้นที่รู้สึกว่าคนอื่น ๆ กำลังมองมาที่ผมอยู่

แต่ในความเป็นจริง พอผมแอบดูก็ไม่เห็นมีใครสนใจพวกเรา

นี่คงจะเป็นอาการประหม่าของคนที่ทำผิด

“พี่สะใภ้ ผม ผมมีเรื่องจะคุยกับพี่” ผมลังเลไปสักพัก ก่อนจะตัดสินใจสารภาพเรื่องนี้กับเธอ

“เรื่องอะไร พูดมาสิ ทำไมต้องเกรงใจพี่สะใภ้ด้วย?” พี่สะใภ้พูด พร้อมจิบชาหนึ่งอึก

ผมโบกมือให้พี่สะใภ้ เพื่อบอกให้เธอโน้มตัวเข้ามา

พี่สะใภ้โถมตัวลงมาบนโต๊ะ

เนินภูเขาหิมะสองลูกของเธอกดลงบนโต๊ะ เหมือนกับมันจะสามารถทะลักออกมาได้ตลอดเวลา

ถึงแม้ผมเพิ่งปลดปล่อยมา แต่เมื่อเห็นภาพนี้ ผมก็ยังคงใจเต้นอยู่ดี

ในหัวของผมกลับนึกถึงภาพที่ได้แอบฟังเมื่อเช้านี้

สายตาของผมถูกล็อคเอาไว้ที่หน้าอกของพี่สะใภ้

ผมไม่กล้ามองตรงนั้นของพี่สะใภ้อีก จึงเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้หูของพี่สะใภ้ ก่อนจะมองไปทางอื่น

แบบนี้สิจิตใจจะได้สงบลงหน่อย

“พี่สะใภ้ เมื่อกี้ผมดูวิดีโอที่พี่ส่งมาในรถแล้วทนไม่ไหวจริง ๆ ก็เลยใช้มือเพื่อปลดปล่อยมัน”

“ในตอนที่ผมทำอยู่ ผมก็เห็นว่าพี่ลี่เจียวกำลังยืนอยู่ที่นอกรถ”

ผมหน้าแดงแจ๋ ในขณะที่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้พี่สะใภ้ฟัง

หลังจากที่พูดจบ ผมก็รู้สึกอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี

ผมไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าพี่สะใภ้

แต่พี่สะใภ้กลับถามอย่างตื่นเต้น “แล้วหลังจากนั้นล่ะ? หลี่ลี่เจียวมีปฏิกิริยายังไง?”

เมื่อเห็นว่าพี่สะใภ้ไม่ต่อว่าอะไร ผมจึงไม่รู้สึกกระวนกระวายเท่าเดิม

ผมเล่าต่อ “ตอนที่ผมเห็นพี่ลี่เจียว เธอมองจ้องมาที่ผมตาค้าง แต่หลังจากที่เธอรู้ว่าผมเห็นเธอ เธอก็หันหลังวิ่งหนีไปทันที”

พี่สะใภ้ถามขึ้นอีก “แล้วยังไงต่อ?”

“ไม่มีต่อแล้ว หลังจากที่พี่ลี่เจียววิ่งหนีไป ผมก็จัดการตัวเอง”

“ผมก็นึกว่าเธอจะมาฟ้องพี่ แต่จนถึงตอนนี้เธอยังไม่มาเลย”

“พี่สะใภ้ พี่ว่าพี่ลี่เจียวจะคิดว่าผมเป็นโรคจิตไหม?”

พี่สะใภ้ขมวดคิ้ว “ไม่แน่ใจนะ หลี่ลี่เจียวเป็นผู้หญิงที่หัวโบราณคนหนึ่ง การที่เธอเห็นคนทำเรื่องแบบนั้นบนรถ พี่คิดว่าเธอคงจะรับไม่ได้”

“แต่หวังเจี้ยนกั๋วทิ้งเธอเอาไว้ตั้งครึ่งปีแล้ว พี่ไม่เชื่อว่าเธอจะไม่มีความต้องการบ้าง”

“อีกอย่าง เธอมีต้นทุนชีวิตดีขนาดนั้น ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนที่เจอเธอ ก็ต้องอยากได้ทั้งนั้นแหละ”

พี่สะใภ้พูดพร้อมกับยืดคอมองลงไปยังส่วนล่างของผม

สายตาของเธอดูแปลก ๆ

การกระทำของพี่สะใภ้ทำให้ผมคันยุบยิบในใจ

ตอนนี้พวกเรากำลังคุยเรื่องจริงจังกันอยู่ ไม่ใช่เรื่องที่จะมาล้อเล่นกันแบบนี้ แต่สายตาของพี่สะใภ้กลับดูแพรวพราวร้อนแรงขนาด ทำให้ผมอดที่จะจินตนาการไม่ได้

อีกอย่างเมื่อครู่เธอบอกว่า ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนที่เจอผมก็ต้องอยากได้ทั้งนั้น เธอก็เป็นหนึ่งในผู้หญิงเหล่านั้นด้วยหรือเปล่านะ?

ถึงแม้ผมจะไม่กล้าคิดอะไรกับพี่สะใภ้ แต่ผมก็ไม่อยากให้เธอมองว่าผมเป็นเด็ก ๆ

ผมอยากพิสูจน์ให้เธอได้เห็นว่าผมโตแล้ว!

ผมจ้องมือขาวเนียนของพี่สะใภ้ และคิดที่จะลูบไล้มัน

ทุก ๆ ครั้งจะเป็นเธอที่ยั่วผม แต่คราวนี้ผมอยากจะยั่วเธอคืนบ้าง

แต่สุดท้ายผมก็ไม่มีความกล้ามากพอ

ในขณะนั้นเอง โทรศัพท์ของพี่สะใภ้ก็สั่นขึ้น “ลี่เจียวเหรอ เธอไปไหนมา?”

“กลับแล้ว? ทำไมกลับไปคนเดียวล่ะ?”

พี่สะใภ้มองหน้าผม ก่อนจะตั้งใจถามปลายสายว่า “เอ้อร์โก่วรังแกเธอเหรอ? ถ้าเป็นแบบนั้น เธอบอกฉันได้นะ ฉันจะช่วยจัดการเขาเอง”

พี่สะใภ้กำลังต้อนให้หลี่ลี่เจียวพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

หลี่ลี่เจียวเป็นคนหัวโบราณและขี้อายมาก คงจะเป็นเรื่องยาก หากจะให้เธอพูดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ออกมาได้

แต่พี่สะใภ้ต้องการแนะนำให้เธอเปิดใจ

พี่สะใภ้บอกว่า ถ้าหลี่ลี่เจียวสามารถเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ได้อย่างสบายใจ โอกาสของผมก็จะมากขึ้น

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status