บทนำ
หลี่อ้ายเฉินทุ่มเทเพื่อความรักอย่างหมดใจ แม้จะต้องปกปิดฐานะที่แท้จริงของตนเพื่อพิสูจน์ว่ารักแท้นั้นมีอยู่จริง หวังเพียงแต่งงานมีครอบครัวที่รักอบอุ่นและรักใคร่ หวังเพียงได้พบเจอบุรุษที่รักนางที่นางเป็นนาง หาใช่ทรัพย์สมบัติที่ตระกูลนางมี แล้ววันหนึ่งนางก็ได้พบบุรุษผู้นั้น
เจ้าเมืองหนุ่มผู้เที่ยงธรรม
ทั้งสองแต่งงานกัน แต่หลังจากแต่งงานกันทุกสิ่งอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่นางหวัง หยางพ่านชุนเย็นชากับนางยิ่งกว่าแม่น้ำในหน้าหนาวเสียอีก
แม้เกิดเหตุร้ายครั้งใหญ่ เมืองหลวงอย่างลั่วหยางระส่ำ เมืองท่าห่างไกลอย่างเมืองเฉิงก็ได้รับผลกระทบ
หลี่อ้ายเฉินต้องพลัดพรากจากพ่อแม่พี่ชาย ด้วยหน้าที่ของเขาในฐานะเจ้าเมือง เขาสามารถช่วยชีวิตทุกคนในเมืองเฉิงเอาไว้ได้ เว้นแต่นาง เว้นแต่ครอบครัวของนาง ลูกคนเดียวต้องตายจาก เนื่องจากเขาไม่สามารถช่วยเหลือครอบครัวของนางได้
เลือกสามีผิดคิดจนตัวตาย! เป็นเช่นไรรู้ก็เมื่อสายไปเสียแล้ว
เมื่อมีโอกาสให้ย้อนกลับมาอีกครั้ง นางตัดสินใจที่จะถอยห่างจากเขาและอดีตที่เคยขมขื่น แต่ทำไมเขาถึงไม่ยอมปล่อยนางไป ทั้ง ๆ ที่ในอดีตเขาเคยเย็นชากับนางอย่างยิ่ง ความพยายามตัดใจจากเขากลับกลายเป็นการท้าทายให้เขากลับมาหานางอีกครั้ง แม้ว่านางจะพยายาม
ตัดบัวไม่ให้เหลือใย ยามตัดใจย่อมไม่ให้เหลือรัก
แต่การตัดใจนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายในเมื่ออดีตและความรู้สึกยังคงตามมาดั่งเงาตามตัว
บทที่ 1
เช้ามืดที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงลมพัดเบา ๆ ผ่านหน้าต่างที่แง้มไว้ หลี่อ้ายเฉินนั่งอยู่บนเตียงนอนเก่า ๆ เพียงลำพัง
ห้องนอนที่เคยเต็มไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะของบุตรชาย บัดนี้มันกลับกลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความเงียบเหงาและความทรงจำที่แสนเจ็บปวด หญิงสาวผู้เคยงดงามสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์สีเงินงามอร่ามตา นางนั่งกอดภาพวาดเสมือนจริงของบุตรชายไว้แนบอก น้ำตาไหลพรากออกมาไม่ขาดสาย
"หากบุตรชายข้ายังอยู่ ข้าคงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้...เสี่ยวชิงเอ๋อร์ลูกแม่ เป็นแม่ที่ปกป้องเจ้าไว้ไม่ได้"
นางสะอื้อไห้กับตัวเองเสียงแผ่วเบา ราวกับจะให้เสียงนั้นไปถึงวิญญาณของบุตรชายที่ล่วงลับไปแล้ว
แสงเช้ามืดเริ่มส่องผ่านเล็ดลอดหน้าต่างเข้ามา จนสาดส่องให้เห็นใบหน้าที่เหี่ยวย่นจากความทุกข์ทรมานของหลี่อ้ายเฉิน นางค่อย ๆ วางภาพวาดบุตรชายลงบนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบจดหมายที่เขียนไว้ตั้งแต่เมื่อคืน จดหมายลาตายที่นางเขียนถึงครอบครัว
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่...ขอโทษที่อ้ายเฉินไม่อาจอยู่ต่อได้อีกแล้ว ความทุกข์ทรมานนี้มันเกินที่ข้าจะทนไหว...ข้าไม่อาจทนมันได้อีกแล้ว”
นางจรดปลายพู่กันเขียนลงบนกระดาษขาว ความรู้สึกทั้งหมดถูกถ่ายทอดผ่านลายมือที่สั่นเทา
หลี่อ้ายเฉินนึกย้อนกลับไปในวันที่บุตรชายตายจากไป วันนั้นฝนตกหนักมาก นางนั่งเฝ้าเสี่ยวชิงที่กำลังเจ็บป่วยบนเตียง มือน้อย ๆ ที่เคยจับนางไว้แน่นค่อย ๆ ผ่อนคลายลง จนกระทั่งไม่มีแรงเหลืออีกต่อไป
"ท่านแม่...ข้าหนาว..."
เสียงเล็ก ๆ แหบแห้งของบุตรชายยังดังก้องในความทรงจำ นางพยายามห่มผ้าให้เขาอย่างดี แต่ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ ในที่สุดเสี่ยวชิงก็สิ้นลมหายใจในอ้อมกอดของนางเอง
หลี่อ้ายเฉินหลั่งน้ำตาออกมาราวกับจะกลายเป็นสายเลือด นางแทบสิ้นใจตามบุตรชายไปเสียเดี๋ยวนั้น นางกอดร่างไร้วิญญาณของบุตรชายคนเดียวเอาไว้ทั้งคืนอยู่เช่นนั้น ไร้เงาของคนเป็นสามี คนเป็นบิดา
หลี่อ้ายเฉินหันกลับมาที่เตียงอีกครั้ง ดวงตาหมองหม่นทอดมองไปยังภาพเหมือนเสี่ยวชิงที่ยังคงตั้งอยู่ตรงนั้น ความเจ็บปวดของนางท่วมท้นในใจ
"ท่านพี่...ทำไมท่านถึงเย็นชากับข้าถึงเพียงนี้ ลูกของเราต้องตายไปเพราะท่านไม่เคยใส่ใจ...ตั้งแต่แต่งงานเข้ามา ท่านเป็นคนดี ทำหน้าที่เจ้าเมืองที่ดีดูแลปวงประชาอยู่เสมอ แต่เมื่อยามเป็นเรื่องของข้าหรือลูก ท่านกลับไม่เคยคิดใส่ใจ เพราะเหตุใดกัน เกลียดชังอันใดต่อข้านักหนางั้นหรือ หากเกลียดข้าแต่เสี่ยวชิงเป็นบุตรชายคนเดียวของท่าน ใยไม่เหลี่ยวแลเขาบ้าง สักนิดก็มีให้ได้เลยหรือ"
นางพูดกับตัวเองทั้งน้ำตา คำพูดที่ไม่เคยเอ่ยมา ตลอดเวลาที่แต่งงานเข้าจวนเจ้าเมืองมา นางกล้ำกลืนความทุกข์ระทมนี้มาเพียงลำพังมาตลอด ผู้คนอาจกล่าวว่าหลี่อ้ายเฉินนั้นโชคดีเพียงไรที่ได้แต่งงานเป็นภรรยาของเจ้าเมือง ผู้เป็นชายหนุ่มอนาคตไกลจากเมืองหลวง
แต่ไม่เลย
ภรรยาผู้นี้ไม่เคยได้รับความเมตตาจากสามีผู้แสนดีของชาวเมืองเลยสักครั้ง ความใจดีและเมตตาของเขามีไว้เพื่อประชาชน ชาวบ้านในเมืองเท่านั้น หาใช่คนในครอบครัวไม่ หาใช่สำหรับนางไม่
หลี่อ้ายเฉินนั่งกอดชุดของบุตรชายพลางร้องไห้จนน้ำตากลายเป็นสายเลือด บุตรชายของนางจากไปหลายวันแล้วแต่ผู้เป็นบิดากลับยังไม่มีข่าวคราวและเงียบหาย
ตั้งแต่บุตรชายมีท่าทางแปลก ๆ นางก็ส่งจดหมายให้กับสามีที่ออกไปช่วยเหลือชาวบ้านแล้ว การไม่มีข่าวคราวตอบกลับมามันเป็นเรื่องปกติ แต่นางก็ยังคิดว่าสามีจะกลับมาผ่านในวันสองวัน แต่ก็ไม่
“ฮูหยินกินอะไรบ้างเถอะเจ้าคะ หากฮูหยินไม่กินคุณชายน้อยรู้จะยิ่งเสียใจนะเจ้าคะ” สาวใช้ประจำตัวรวมถึงแม่นมไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับภรรยาเจ้าเมืองที่นั่งดวงตาเหม่อลอยอยู่ที่หน้าโล่งศพของบุตรชาย
มือเรียวของอ้ายเฉินจิกแน่นเข้าไปในมือที่จับชุดเอาไว้ มันแน่นจนเล็บของนางจิกเข้าไปในมือของตัวเองจนเลือดซึม แต่มันก็เทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดที่นางได้รับจากการสูญเสียบุตรชายเลยแม้แต่นิด
เลือดและน้ำตาหยดใส่ชุดผ้าดิบหยดแล้วหยดเล่าก่อนที่ใบหน้าสวยที่ซีดเซียวจนไร้เรี่ยวแรงจะยิ้มเยาะให้กับชีวิตของตน
“พวกเจ้าออกไปเถอะ แล้วก็วันพรุ่งหากท่านเจ้าเมืองไม่กลับมาก็ฝังคุณชายน้อยเถอะ” ใครจะคิดว่านั่นจะเป็นคำสั่งสุดท้ายของนายหญิงแห่งจวนเจ้าเมือง
หลี่อ้ายเฉินตัดสินใจแน่วแน่ หยิบยาพิษที่เตรียมไว้ขึ้นมาดื่มจนหมด ความเย็นไหลผ่านลำคอ นางรับรู้ได้ถึงความเย็นที่เริ่มแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ก่อนที่จะทรุดตัวลงบนเตียง
"ลูกรัก...แม่จะตามไปหาเจ้าแล้ว"
เสียงสุดท้ายของนางเบาจนแทบไม่ได้ยิน ร่างบางกระอักเลือดออกมาคำโตจนกระทั่งร่างเล็ก ๆ ในชุดสีขาวเงินงดงามก่อนหน้านี้ จมอยู่กลางกองเลือดสีแดงชาด ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดลง
ห้องนอนกลับมาสู่ความเงียบงันอีกครั้ง มีเพียงภาพวาดบุตรชายที่ยิ้มแย้มบนภาพวาดที่ติดอยู่ข้างผนัง เปรียบเสมือนเป็นพยานแห่งความรักและความเจ็บปวดที่ไม่อาจลืมเลือนได้
ในตอนเช้าแม่นมและสาวใช้เจอฮูหยินในสภาพน่าสลด บนใบหน้าของนางเต็มไปด้วยน้ำตา แต่มันกลับมิได้ใส ที่คนว่าร้องไห้จนน้ำตากลายเป็นสายเลือดคงจะเป็นจริงเสียแล้ว และร่างของฮูหยินที่ไร้ลมหายใจบนเตียงนอนเย็นเฉียบ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งฝั่งร่างบุตรชายไปไม่นาน
ภาพนั้นทำให้ทุกคนที่มองรู้สึกเจ็บที่หัวใจ เมื่อคนมีอายุมากกว่าต้องส่งคนอายุน้อยกว่าข้ามสะพานไน่เหอย่อมเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าฮูหยินของท่านเจ้าเมืองนางจะตายไปจริง ๆ
ทิ้งเอาไว้เพียงแค่ความทรมานให้กับคนที่อยู่ด้านหลังที่ไม่สามารถชดเชยอะไรได้อีกแล้ว เพราะเลือกชีวิตของชาวบ้านนับร้อยจึงต้องแลกกับชีวิตของคนที่รักทั้งสองคน แม้จะสำนึกแต่ก็สายไปเสียแล้ว
บทที่ 2แต่แล้ว...ลมแรงที่พัดดอกเหมยปลิวไปทั่วทั้งบริเวณจนเข้ามาถึงห้องนอนของฮูหยินของท่านเจ้าเมืองทำให้ดวงตาสวยที่ยังคงมีน้ำตาซึมค่อย ๆ เปิดขึ้นช้า ๆ แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำให้ห้องนอนที่เงียบสงัดกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหลี่อ้ายเฉินรู้สึกตัวขึ้นมาอย่างช้า ๆ ความหนาวเย็นที่แผ่ซ่านทั่วร่างกายทำให้นางสะดุ้งตื่นจากความฝันอันเลวร้ายรอยคราบน้ำตายังแห้งติดอยู่ข้างแก้ม ร่างบอบบางที่อยู่บนเตียงนอนค่อยๆ ลืมตาและพบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่"ข้ายังไม่ตายหรือ" หลี่อ้ายเฉินขมวดคิ้วพูดกับตัวเองด้วยความสับสนและงุนงง สายตาส่องสำรวจไปรอบ ๆ ห้องนอนที่คุ้นเคย แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะต่างออกไป“ฮูหยินตื่นหรือยังเจ้าคะ ข้าจะเข้าไปแล้วนะเจ้าคะ” ใบหน้าของเชียงเชียงสาวใช้ที่ติดตามมาจากตระกูลของตนเดินเข้ามาในห้องนอนของนายหญิงตนเองอย่างยินดีไม่ใช่สิ่งที่ฝูหรงสังเกตเมื่อลุกขึ้นจากเตียง ก็รู้สึกว่าร่างกายยังมีพลังและสดชื่นกว่าที่คาดคิด ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มานานนับสิบปีแล้ว แต่สิ่งแรกที่ทำและนึกถึง กลับเป็นบุตรชายอันเป็นที่รัก นางจึงรีบลุกเดินไปยังโต๊ะข้างเตียงที่วางภาพวาดของบุตรชายของนางอยู่แต่ก
บทที่ 3หยางพ่านชุนกลับมาจากดูแลชาวบ้านก็ตรงกลับจวนเจ้าเมือง เดินตรงเข้าเรือนไปเปลี่ยนชุดและรีบออกมากินข้าว เขาไม่ได้กลับจวนมาหลายวันเพราะติดภารกิจของบ้านเมือง กลับมาก็หวังว่าจะได้เห็นฮูหยินรออยู่ที่จวนแต่กลับไม่มี“ฮูหยินไปที่ไหน” เสียงเข้มเอ่ยถามคนในจวน ไม่แม้แต่จะยกอาหารตรงหน้าขึ้นมากิน “ข้าถาม ใครก็ได้ตอบข้ามาสักคน”พ่อบ้านที่เป็นคนดูแลตระกูลหยางก่อนที่หยางพ่านชุนจะย้ายเข้าจวนเจ้าเมืองเป็นคนเดียวที่กล้าพูดออกมา“นางกลับไปตระกูลหลี่ขอรับ” คิ้วของเจ้าเมืองหนุ่มขมวดแน่น “กลับตระกูลของนางทำไมกัน” เมื่อรับรู้แล้วว่าที่ภรรยาไม่ออกมาต้อนรับเพราะไม่อยู่ มือแกร่งก็เอื้อมออกไปหยิบถ้วยข้าวตรงหน้าก่อนจะคีบเอากับมาวาง ระหว่างรอคำตอบจากพ่อบ้าน“ไม่ได้บอกขอรับ แต่มีจดหมายบางอย่างฝากเอาไว้ให้นายท่านอยู่ที่ห้อง ฮูหยินบอกว่าท่านเจ้าเมืองจะเข้าใจทุกอย่างหลังจากได้อ่านจดหมายนั่นขอรับ” หยางพ่านชุนพยักหน้าก่อนจะปัดมือส่ง ๆ ราวกับจะบอกให้พ่อบ้านออกไปเขาเริ่มกินอาหารต่อ และก็รู้สึกว่ารสชาติมันไม่ได้เป็นอย่างที่อยากกินเลยแม้แต่นิด ก่อนหน้านี้ตอนที่ไม่กลับจวนก็รู้สึกไม่พอใจอาหารข้างนอกนี่ยังต้องมารำคาญใ
บทที่ 4ในห้องรับแขกที่ประดับประดาด้วยเครื่องเรือนหรูหรา มารดาของหลี่อ้ายเฉินก้าวเข้ามากอดหลี่อ้ายเฉินด้วยความรัก ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใยทำให้นางรู้สึกถึงความรักที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง นางรักบุตรชายเท่าใด มารดาของนางก็คงรักนางไม่ต่างกัน"ท่านแม่..." หลี่อ้ายเฉินพูดเสียงสั่นเครือ "ข้าตัดสินใจที่จะไม่กลับไปหาหยางพ่านชุนอีก ข้าทนไม่ไหวแล้ว"มารดาของนางจับมือนางอย่างอบอุ่น "เจ้าได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วลูก เจ้าไม่จำเป็นต้องทนทุกข์อีกต่อไป แม่ยินดีที่เจ้าได้กลับมา""ข้า...ข้าตัดสินใจแล้วว่า ข้าจะไม่กลับไปหาหยางพ่านชุนอีก" นางพูดทั้งน้ำตา "ข้าไม่อาจทนความเย็นชาและการทอดทิ้งของเขาได้อีกต่อไป ข้าอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่""ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขอโทษที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง ข้าจะไม่กลับไปหาหยางพ่านชุนอีกแล้ว ข้าทนไม่ไหวกับความเย็นชาของเขา" นางพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง แม้ในใจยังคงเจ็บปวดบิดาของหลี่อ้ายเฉินพยักหน้าเข้าใจและปลอบโยนนาง "เจ้าได้ตัดสินใจอย่างกล้าหาญแล้วลูก พ่อจะสนับสนุนเจ้าเสมอ ไม่ว่าเจ้าจะเลือกทางใด อ้ายเฉิน ลูกไม่ต้องห่วง ทุกคนในครอบครัวนี้พร้อมจะอยู่เคียงข้างเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะตัดสินใจอย
บทที่ 5เจ้าของร้านที่คิดจะเข้ามาต้อนรับนางจึงเลือกที่จะไปต้อนรับหยางพ่านชุนแทน แต่สิ่งที่ทำให้ความรู้สึกเจ็บช้ำที่คิดว่าจางหายไปแล้วของหลี่อ้ายเฉินย้อนกลับมาก็คือท่าทางที่เย็นชาของหยางพ่านชุนอดีตสามีของนาง“ไปกันเถอะเชียงเชียง” หลี่อ้ายเฉินเรียกคนของตนก่อนจะเดินออกมาที่นอกร้าน โดยไม่ได้เห็นสายตาของคนที่มองตามมาเลยแม้แต่น้อย“เชียงเชียงข้าเปลี่ยนใจแล้วกลับกันดีกว่า” ทั้ง ๆ ที่คิดว่าเป็นคนเดินออกมาจากความสัมพันธ์ที่ทำให้ต่างฝ่ายต่างก็เจ็บช้ำแล้วจะดีซะอีก สุดท้ายแล้วก็คงมีแค่นางสินะที่เจ็บปวดเพราะการกระทำของชายคนนี้ “แต่ว่าคุณหนู” ยังไม่ทันที่เชียงเชียงจะพูดอ้ายเฉินก็เอ่ยขัด “ข้ารู้สึกไม่ดี”สายตาเย็นชาเมื่อครู่ที่ได้สบกันเพียงชั่วอึดใจทำเอาร่างทั้งร่างของหลี่อ้ายเฉินไม่เป็นของตัวเองเลย นางรู้สึกราวกับหายใจไม่ออก ที่เขาบอกว่าเลือกสามีผิดคิดจนตัวตายคงเป็นเรื่องจริง ขนาดนางตายไปแล้วจนได้ย้อนกลับมา ความรู้สึกเจ็บปวดยังคงติดตามมาเลย เสียดายก็เพียงแค่รู้เมื่อสายไปหากนางไม่เลือกเขาตั้งแต่แรก เสี่ยวชิงก็คงไม่ต้องเกิดมาและตายไปอย่างทรมาน"อ้ายเฉิน" เขาเรียกชื่อนางด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความรู้
บทที่ 6“ท่านเจ้าเมือง” หยางพ่านชุนสะดุ้งน้อย ๆ จนแทบไม่ทันสังเกต เขาหันมองไปรอบ ๆ เรื่องของอ้ายเฉินทำให้เขาติดอยู่ในภวังค์ความคิด กว่าจะรู้ตัวหญิงสาวก็เดินจากไปแล้วอีกไม่นานเขาจะต้องไปรวมตัวในพิธีไหว้บรรพบุรุษกับตระกูลใหญ่ การหย่าร้างกับภรรยาคงจะกลายเป็นคำถามที่ทำให้เขาหนักใจเป็นที่สุด“ชางเกิงจัดการซื้อของตามที่ข้าบอกเจ้าแล้วเอากลับไปที่เรือน” หยางพ่านชุนไม่อยากอยู่ตรงนี้อีกต่อไป แม้จะดูเหมือนเขาไม่เสียใจ แต่...ช่างเถอะในเมื่อนางเลือกแล้ว ที่ต้องจัดการคือเรื่องที่ถูกภรรยาทิ้งหนังสือหย่าเอาไว้มากกว่าแค่เรื่องหย่าก็วุ่นวายแล้วหากท่านแม่ของเขากลับมาเจ้ากี้เจ้าการหาคนนั้นคนนี้มาให้เขาอีกคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ และแม้จะไม่อยากพบเจอกันต่อหน้าธารกำนัลให้เสียหน้า แต่ตรงหน้าของเขาห่างไปไม่เกินสิบก้าวก็คืออดีตฮูหยินที่กำลังจะขึ้นรถม้าระหว่างการสวนทางกันของอดีคคู่สามีภรรยาชาวบ้านหลายคนที่มาพักผ่อน บางคนมองดูพวกเขาด้วยความเห็นใจ แต่บางคนกลับมีแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยและวิพากษ์วิจารณ์"เจ้าคิดว่าเจ้าเมืองมีอะไรแปลกหรือไม่ ท่านเจ้าเมืองก็เป็นคนดีอยู่หรอกนะ แต่ถึงขนาดภรรยาเขียนจดหมายหย่าแล้วหน
บทที่ 7“อ้ายเฉิน” น้องสาวที่เดินอย่างรวดเร็วเข้าไปในเรือนโดยไม่ได้หยุดฟังคำเรียกทำให้คนเป็นพี่ชายกังวล เชียงเชียงที่เดินไม่ทันเจ้านายของตนจึงตกเป็นเหยื่อให้กับหลี่เม่าพี่ชายของหญิงสาว “เจ้า! เชียงเชียงน้องข้าเป็นอะไรกัน” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงกดดัน เพราะรู้ว่าอ้ายเฉินนางมีเรื่องให้กังวลเยอะและก็ไม่ค่อยบอกออกมาจึงต้องบังคับคนใกล้ตัวนางเช่นนี้ บางทีมันอาจจะทำให้รู้เรื่องราวที่ควรรู้ได้บ้าง “คือว่า...คุณหนูไปเจอเข้ากับท่านเจ้าเมืองเจ้าคะ” หลี่เม่ากำมือแน่น “แล้วมันทำอะไรน้องข้าหรือไม่” ชายหนุ่มถามด้วยอารมณ์ แต่คำตอบที่ไม่มีอะไรกลับทำให้เขาโกรธยิ่งกว่า “คือท่านเจ้าเมืองไม่มองคุณหนูด้วยซ้ำ” น
บทที่ 7“อ้ายเฉิน” น้องสาวที่เดินอย่างรวดเร็วเข้าไปในเรือนโดยไม่ได้หยุดฟังคำเรียกทำให้คนเป็นพี่ชายกังวล เชียงเชียงที่เดินไม่ทันเจ้านายของตนจึงตกเป็นเหยื่อให้กับหลี่เม่าพี่ชายของหญิงสาว “เจ้า! เชียงเชียงน้องข้าเป็นอะไรกัน” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงกดดัน เพราะรู้ว่าอ้ายเฉินนางมีเรื่องให้กังวลเยอะและก็ไม่ค่อยบอกออกมาจึงต้องบังคับคนใกล้ตัวนางเช่นนี้ บางทีมันอาจจะทำให้รู้เรื่องราวที่ควรรู้ได้บ้าง “คือว่า...คุณหนูไปเจอเข้ากับท่านเจ้าเมืองเจ้าคะ” หลี่เม่ากำมือแน่น “แล้วมันทำอะไรน้องข้าหรือไม่” ชายหนุ่มถามด้วยอารมณ์ แต่คำตอบที่ไม่มีอะไรกลับทำให้เขาโกรธยิ่งกว่า “คือท่านเจ้าเมืองไม่มองคุณหนูด้วยซ้ำ” น
บทที่ 6“ท่านเจ้าเมือง” หยางพ่านชุนสะดุ้งน้อย ๆ จนแทบไม่ทันสังเกต เขาหันมองไปรอบ ๆ เรื่องของอ้ายเฉินทำให้เขาติดอยู่ในภวังค์ความคิด กว่าจะรู้ตัวหญิงสาวก็เดินจากไปแล้วอีกไม่นานเขาจะต้องไปรวมตัวในพิธีไหว้บรรพบุรุษกับตระกูลใหญ่ การหย่าร้างกับภรรยาคงจะกลายเป็นคำถามที่ทำให้เขาหนักใจเป็นที่สุด“ชางเกิงจัดการซื้อของตามที่ข้าบอกเจ้าแล้วเอากลับไปที่เรือน” หยางพ่านชุนไม่อยากอยู่ตรงนี้อีกต่อไป แม้จะดูเหมือนเขาไม่เสียใจ แต่...ช่างเถอะในเมื่อนางเลือกแล้ว ที่ต้องจัดการคือเรื่องที่ถูกภรรยาทิ้งหนังสือหย่าเอาไว้มากกว่าแค่เรื่องหย่าก็วุ่นวายแล้วหากท่านแม่ของเขากลับมาเจ้ากี้เจ้าการหาคนนั้นคนนี้มาให้เขาอีกคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ และแม้จะไม่อยากพบเจอกันต่อหน้าธารกำนัลให้เสียหน้า แต่ตรงหน้าของเขาห่างไปไม่เกินสิบก้าวก็คืออดีตฮูหยินที่กำลังจะขึ้นรถม้าระหว่างการสวนทางกันของอดีคคู่สามีภรรยาชาวบ้านหลายคนที่มาพักผ่อน บางคนมองดูพวกเขาด้วยความเห็นใจ แต่บางคนกลับมีแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยและวิพากษ์วิจารณ์"เจ้าคิดว่าเจ้าเมืองมีอะไรแปลกหรือไม่ ท่านเจ้าเมืองก็เป็นคนดีอยู่หรอกนะ แต่ถึงขนาดภรรยาเขียนจดหมายหย่าแล้วหน
บทที่ 5เจ้าของร้านที่คิดจะเข้ามาต้อนรับนางจึงเลือกที่จะไปต้อนรับหยางพ่านชุนแทน แต่สิ่งที่ทำให้ความรู้สึกเจ็บช้ำที่คิดว่าจางหายไปแล้วของหลี่อ้ายเฉินย้อนกลับมาก็คือท่าทางที่เย็นชาของหยางพ่านชุนอดีตสามีของนาง“ไปกันเถอะเชียงเชียง” หลี่อ้ายเฉินเรียกคนของตนก่อนจะเดินออกมาที่นอกร้าน โดยไม่ได้เห็นสายตาของคนที่มองตามมาเลยแม้แต่น้อย“เชียงเชียงข้าเปลี่ยนใจแล้วกลับกันดีกว่า” ทั้ง ๆ ที่คิดว่าเป็นคนเดินออกมาจากความสัมพันธ์ที่ทำให้ต่างฝ่ายต่างก็เจ็บช้ำแล้วจะดีซะอีก สุดท้ายแล้วก็คงมีแค่นางสินะที่เจ็บปวดเพราะการกระทำของชายคนนี้ “แต่ว่าคุณหนู” ยังไม่ทันที่เชียงเชียงจะพูดอ้ายเฉินก็เอ่ยขัด “ข้ารู้สึกไม่ดี”สายตาเย็นชาเมื่อครู่ที่ได้สบกันเพียงชั่วอึดใจทำเอาร่างทั้งร่างของหลี่อ้ายเฉินไม่เป็นของตัวเองเลย นางรู้สึกราวกับหายใจไม่ออก ที่เขาบอกว่าเลือกสามีผิดคิดจนตัวตายคงเป็นเรื่องจริง ขนาดนางตายไปแล้วจนได้ย้อนกลับมา ความรู้สึกเจ็บปวดยังคงติดตามมาเลย เสียดายก็เพียงแค่รู้เมื่อสายไปหากนางไม่เลือกเขาตั้งแต่แรก เสี่ยวชิงก็คงไม่ต้องเกิดมาและตายไปอย่างทรมาน"อ้ายเฉิน" เขาเรียกชื่อนางด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความรู้
บทที่ 4ในห้องรับแขกที่ประดับประดาด้วยเครื่องเรือนหรูหรา มารดาของหลี่อ้ายเฉินก้าวเข้ามากอดหลี่อ้ายเฉินด้วยความรัก ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใยทำให้นางรู้สึกถึงความรักที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง นางรักบุตรชายเท่าใด มารดาของนางก็คงรักนางไม่ต่างกัน"ท่านแม่..." หลี่อ้ายเฉินพูดเสียงสั่นเครือ "ข้าตัดสินใจที่จะไม่กลับไปหาหยางพ่านชุนอีก ข้าทนไม่ไหวแล้ว"มารดาของนางจับมือนางอย่างอบอุ่น "เจ้าได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วลูก เจ้าไม่จำเป็นต้องทนทุกข์อีกต่อไป แม่ยินดีที่เจ้าได้กลับมา""ข้า...ข้าตัดสินใจแล้วว่า ข้าจะไม่กลับไปหาหยางพ่านชุนอีก" นางพูดทั้งน้ำตา "ข้าไม่อาจทนความเย็นชาและการทอดทิ้งของเขาได้อีกต่อไป ข้าอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่""ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขอโทษที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง ข้าจะไม่กลับไปหาหยางพ่านชุนอีกแล้ว ข้าทนไม่ไหวกับความเย็นชาของเขา" นางพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง แม้ในใจยังคงเจ็บปวดบิดาของหลี่อ้ายเฉินพยักหน้าเข้าใจและปลอบโยนนาง "เจ้าได้ตัดสินใจอย่างกล้าหาญแล้วลูก พ่อจะสนับสนุนเจ้าเสมอ ไม่ว่าเจ้าจะเลือกทางใด อ้ายเฉิน ลูกไม่ต้องห่วง ทุกคนในครอบครัวนี้พร้อมจะอยู่เคียงข้างเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะตัดสินใจอย
บทที่ 3หยางพ่านชุนกลับมาจากดูแลชาวบ้านก็ตรงกลับจวนเจ้าเมือง เดินตรงเข้าเรือนไปเปลี่ยนชุดและรีบออกมากินข้าว เขาไม่ได้กลับจวนมาหลายวันเพราะติดภารกิจของบ้านเมือง กลับมาก็หวังว่าจะได้เห็นฮูหยินรออยู่ที่จวนแต่กลับไม่มี“ฮูหยินไปที่ไหน” เสียงเข้มเอ่ยถามคนในจวน ไม่แม้แต่จะยกอาหารตรงหน้าขึ้นมากิน “ข้าถาม ใครก็ได้ตอบข้ามาสักคน”พ่อบ้านที่เป็นคนดูแลตระกูลหยางก่อนที่หยางพ่านชุนจะย้ายเข้าจวนเจ้าเมืองเป็นคนเดียวที่กล้าพูดออกมา“นางกลับไปตระกูลหลี่ขอรับ” คิ้วของเจ้าเมืองหนุ่มขมวดแน่น “กลับตระกูลของนางทำไมกัน” เมื่อรับรู้แล้วว่าที่ภรรยาไม่ออกมาต้อนรับเพราะไม่อยู่ มือแกร่งก็เอื้อมออกไปหยิบถ้วยข้าวตรงหน้าก่อนจะคีบเอากับมาวาง ระหว่างรอคำตอบจากพ่อบ้าน“ไม่ได้บอกขอรับ แต่มีจดหมายบางอย่างฝากเอาไว้ให้นายท่านอยู่ที่ห้อง ฮูหยินบอกว่าท่านเจ้าเมืองจะเข้าใจทุกอย่างหลังจากได้อ่านจดหมายนั่นขอรับ” หยางพ่านชุนพยักหน้าก่อนจะปัดมือส่ง ๆ ราวกับจะบอกให้พ่อบ้านออกไปเขาเริ่มกินอาหารต่อ และก็รู้สึกว่ารสชาติมันไม่ได้เป็นอย่างที่อยากกินเลยแม้แต่นิด ก่อนหน้านี้ตอนที่ไม่กลับจวนก็รู้สึกไม่พอใจอาหารข้างนอกนี่ยังต้องมารำคาญใ
บทที่ 2แต่แล้ว...ลมแรงที่พัดดอกเหมยปลิวไปทั่วทั้งบริเวณจนเข้ามาถึงห้องนอนของฮูหยินของท่านเจ้าเมืองทำให้ดวงตาสวยที่ยังคงมีน้ำตาซึมค่อย ๆ เปิดขึ้นช้า ๆ แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำให้ห้องนอนที่เงียบสงัดกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหลี่อ้ายเฉินรู้สึกตัวขึ้นมาอย่างช้า ๆ ความหนาวเย็นที่แผ่ซ่านทั่วร่างกายทำให้นางสะดุ้งตื่นจากความฝันอันเลวร้ายรอยคราบน้ำตายังแห้งติดอยู่ข้างแก้ม ร่างบอบบางที่อยู่บนเตียงนอนค่อยๆ ลืมตาและพบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่"ข้ายังไม่ตายหรือ" หลี่อ้ายเฉินขมวดคิ้วพูดกับตัวเองด้วยความสับสนและงุนงง สายตาส่องสำรวจไปรอบ ๆ ห้องนอนที่คุ้นเคย แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะต่างออกไป“ฮูหยินตื่นหรือยังเจ้าคะ ข้าจะเข้าไปแล้วนะเจ้าคะ” ใบหน้าของเชียงเชียงสาวใช้ที่ติดตามมาจากตระกูลของตนเดินเข้ามาในห้องนอนของนายหญิงตนเองอย่างยินดีไม่ใช่สิ่งที่ฝูหรงสังเกตเมื่อลุกขึ้นจากเตียง ก็รู้สึกว่าร่างกายยังมีพลังและสดชื่นกว่าที่คาดคิด ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มานานนับสิบปีแล้ว แต่สิ่งแรกที่ทำและนึกถึง กลับเป็นบุตรชายอันเป็นที่รัก นางจึงรีบลุกเดินไปยังโต๊ะข้างเตียงที่วางภาพวาดของบุตรชายของนางอยู่แต่ก
บทนำหลี่อ้ายเฉินทุ่มเทเพื่อความรักอย่างหมดใจ แม้จะต้องปกปิดฐานะที่แท้จริงของตนเพื่อพิสูจน์ว่ารักแท้นั้นมีอยู่จริง หวังเพียงแต่งงานมีครอบครัวที่รักอบอุ่นและรักใคร่ หวังเพียงได้พบเจอบุรุษที่รักนางที่นางเป็นนาง หาใช่ทรัพย์สมบัติที่ตระกูลนางมี แล้ววันหนึ่งนางก็ได้พบบุรุษผู้นั้น เจ้าเมืองหนุ่มผู้เที่ยงธรรม ทั้งสองแต่งงานกัน แต่หลังจากแต่งงานกันทุกสิ่งอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่นางหวัง หยางพ่านชุนเย็นชากับนางยิ่งกว่าแม่น้ำในหน้าหนาวเสียอีกแม้เกิดเหตุร้ายครั้งใหญ่ เมืองหลวงอย่างลั่วหยางระส่ำ เมืองท่าห่างไกลอย่างเมืองเฉิงก็ได้รับผลกระทบ หลี่อ้ายเฉินต้องพลัดพรากจากพ่อแม่พี่ชาย ด้วยหน้าที่ของเขาในฐานะเจ้าเมือง เขาสามารถช่วยชีวิตทุกคนในเมืองเฉิงเอาไว้ได้ เว้นแต่นาง เว้นแต่ครอบครัวของนาง ลูกคนเดียวต้องตายจาก เนื่องจากเขาไม่สามารถช่วยเหลือครอบครัวของนางได้เลือกสามีผิดคิดจนตัวตาย! เป็นเช่นไรรู้ก็เมื่อสายไปเสียแล้วเมื่อมีโอกาสให้ย้อนกลับมาอีกครั้ง นางตัดสินใจที่จะถอยห่างจากเขาและอดีตที่เคยขมขื่น แต่ทำไมเขาถึงไม่ยอมปล่อยนางไป ทั้ง ๆ ที่ในอดีตเขาเคยเย็นชากับนางอย่างยิ่ง ความพยายามตัดใจจากเขากลับกล