บทที่ 9
เจ้าเมืองหนุ่มคงไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนั้นยิ่งทำให้ตกเป็นเป้ากับคนที่ไม่หวังดีได้โดยง่าย
ป่าริมทางระหว่างการเดินทางไปยังเมืองหลวงของหยางพ่านชุน ในยามนี้เต็มไปด้วยความเงียบสงบ มีเพียงเสียงนกและเสียงลมที่พัดผ่านต้นไม้เท่านั้นที่คอยทำลายความเงียบนี้
หยางพ่านชุนและลูกน้องขี่ม้าผ่านป่าอย่างระมัดระวัง โดยมีคาราวานตามหลัง เพราะได้โอกาสติดตามเจ้าเมืองไปยังเมืองหลวงด้วยเลย ใครจะไม่อยากไป เพราะคิดว่าอย่างไรคนของทางการก็ต้องดูแลให้พวกเขาปลอดภัยได้แน่นอน
อีกทั้งในใจของหยางพ่านชุนยังคงเต็มไปด้วยความมั่นใจในความสามารถของตนเอง ขณะที่คิดเช่นนั้น ทันใดนั้นเอง กลุ่มโจรป่าก็ปรากฏตัวจากหลังต้นไม้ใหญ่ พวกเขาถือดาบและธนูเข้ามาโจมตี หยางพ่านชุนตกใจและพยายามต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด
"โจรป่า! พวกเราต้องสู้!"
เจ้าเมืองหนุ่มตะโกนสั่งลูกน้องขณะที่พวกเขาพยายามต่อสู้กับโจรป่า ความสับสนและความกลัวที่ไม่เคยมีมาก่อนเริ่มก่อตัวในใจของทุกคน เกิดเป็นความโกลาหลวุ่นวายอย่างยิ่ง เพราะนอกจากคนของทางการแล้ว ยังมีชาวบ้านธรรมดาที่เดินทางมากับคาราวานอีกให้ปกป้องดูแล
การเดินทางของหยางพ่านชุนในครั้งนี้มีชาวบ้านเดินทางมาด้วยมากกว่าทุกครั้ง พวกคนร้ายก็ไม่สนใจเพราะหากกำจัดหยางพ่านชุนได้พวกเขาก็จะกลับไปยึดตลาดมืดเมืองเฉิงได้อีกครั้ง
แม้จะโดนภรรยากล่าวตักตือนมาก่อนก็ตาม ทำให้เขาไม่ทันได้สังเกตเลยว่ามีบริเวณหนึ่งที่เงียบลงอย่างผิดปกติ ไม่มีแม้เสียงสัตว์สักตัวเดียว
‘อ้ายเฉินคงกังวลเกินไป ข้าไม่ได้เห็นโจรป่าแถบนี้มานานแล้ว’ หยางพ่านชุนคิดกับตัวเอง ขณะที่ม้าของเขาเดินทางผ่านป่าที่หนาแน่น เขายังจำคำเตือนของหลี่อ้ายเฉินได้ แต่เขาก็ยังไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริง
ไม่เชื่อคำพูดตักเตือนของภรรยา หากยอมเชื่อก็คงไม่ให้คาราวานติดตามมา และชาวบ้านก็คงไม่ต้องโดนลูกหลงไปด้วย
‘อ้ายเฉินเตือนข้าแล้ว แต่ข้ากลับไม่เชื่อ ข้าควรฟังนาง ข้าควรเชื่อคำพูดของนางบ้าง หากแม้ฉุกคิดสักนิดก็คงจะเตรียมการรับมือได้ดีกว่านี้เมื่อเกิดเรื่องขึ้น’
ในขณะที่การต่อสู้ดำเนินไป หยางพ่านชุนเริ่มรู้สึกสำนึกผิด ที่เขาคิดในใจขณะที่พยายามสู้เพื่อเอาชีวิตรอด
เลือดสาดกระเซ็นและเสียงการต่อสู้ดังขึ้นทั่วป่า หยางพ่านชุนรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ได้รับ แต่เขายังคงต่อสู้อย่างไม่ยอมแพ้ ‘ข้าต้องรอด ข้าต้องกลับไปหาอ้ายเฉิน ข้าต้องขอโทษนาง’ เขาคิดในใจ ขณะที่พยายามสู้ต่อไป
การต่อสู้ดำเนินไปนานจนกระทั่งโจรป่าถอยหนี หยางพ่านชุนยืนอยู่ท่ามกลางลูกน้องที่บาดเจ็บและล้มตาย มีชาวบ้านมากมายที่พลัดหลงระหว่างเกิดเหตุ ที่ตายไปก็มี
"ข้าผิดเอง ข้าควรใส่ใจเจ้ากว่านี้ " เขาพูดเบาๆ กับตัวเอง ขณะที่มองดูบาดแผลที่ตัวเองได้รับและม้าที่บาดเจ็บ ความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้ท่วมท้นในใจของเขา เลวร้ายกว่าการผิดคือการทำผิดแล้วไม่ยอมรับ และไม่สำนึก
เขาตัดสินใจรวบรวมผู้รอดชีวิตและลูกน้องที่เหลืออยู่ แล้วสั่งให้ทุกคนเดินทางกลับไปยังเมืองทันที เขาไม่อยากเสี่ยงที่จะสูญเสียใครไปอีก และต้องการกลับไปหาภรรยาเพื่อขอโทษและขอการให้อภัย
"อ้ายเฉิน ข้าผิดไปแล้ว ข้าควรเชื่อเจ้าตั้งแต่แรก ข้าขอโทษ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
ครั้งก่อนต้องรอจนถึงตอนที่เจ้าเมืองหนุ่มออกมานอกรถม้าจึงลงมือได้ แต่ครั้งนี้เพียงแค่ผ่านออกนอกเมืองไปไม่กี่ลี้ก็โดนโจรป่าที่เหิมเกริมทำร้ายจนหมดสติถูกหามกลับมายังจวนเจ้าเมือง
“เกิดอะไรขึ้น” พ่อบ้านชราที่เพิ่งส่งเจ้านายของตัวเองออกไปได้ไม่ถึงสองชั่วยามกลับต้องรีบตามหมอเพื่อมาดูแลคนป่วยที่นอนไร้สติอยู่บนเปลที่หามกลับมา
ข่าวเจ้าเมืองโดนทำร้ายดังไปทั่วเพราะร่างของท่านเจ้าเมืองที่หมดสติถูกพากลับมาอย่างรวดเร็วเพราะต้องหนีเหล่าโจรป่าด้วย
“ไม่มีบาดแผลภายนอก ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น พอจะมีใครเห็นเหตุการณ์บ้างหรือเปล่า” หมอที่ถูกตามมาไม่รู้จะรักษาอย่างไร เพราะไม่เจอบาดแผลใด ๆ ทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าเพราะอะไร ชายหนุ่มถึงได้หมดสติเช่นนี้
แต่ระหว่างที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างเคร่งเครียด หยางพ่านชุนก็สะดุ้งลุกขึ้นมา และตะโกนเรียกชื่อของอดีตฮูหยินดังลั่นทั้งยังพยายามจะลุกไปที่ห้องโถงของจวน
“อ้ายเฉิน เจ้าอยู่ที่ไหน”
“นายท่านฮูหยินไม่อยู่แล้ว” คำของพ่อบ้านทำให้ชายหนุ่มดึงสาบเสื้อของอีกฝ่ายจะแทบจะหลุดติดมือ
“มันเกิดอะไรขึ้น”
หลี่อ้ายเฉินนั่งอยู่ในห้องรับแขก หัวใจของนางเต็มไปด้วยความกังวล นางพยายามทำใจให้สงบและสวดภาวนาให้หยางพ่านชุนปลอดภัย ขณะที่นางกำลังนั่งเงียบ ๆ ในห้องรับแขกนั้น หัวใจของนางไม่อาจสงบได้ เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ นางเฝ้ารอคอยข่าวคราวจากหยางพ่านชุนด้วยความกระวนกระวาย ทันใดนั้นเอง มีเสียงเคาะประตูเรือนเบา ๆ นางรีบลุกขึ้นไปเปิดประตูพบว่าคนรับใช้เข้ามารายงาน
"คุณหนู ท่านเจ้าเมืองกลับมาแล้วขอรับ แต่ดูเหมือนท่านเจ้าเมืองจะได้รับบาดเจ็บ"
หลี่อ้ายเฉินรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรง นางรีบวิ่งออกไปทันที เมื่อมาถึงที่หน้าจวนเจ้าเมือง นางเห็นคนของจวนเจ้าเมืองกลับมาพร้อมกับบาดแผลที่เห็นได้ชัดและดูเหนื่อยล้า แต่ถ้ากลับมาถึงจวนเจ้าเมืองได้แสดงว่าคงไม่รับอันตรายถึงชีวิต นางทำเพียงหมุนตัวกลับแล้วมุ่งกลับจวนตระกูลหลี่
บทที่ 10“นายท่านเป็นอะไรมากหรือไม่ รู้สึกเจ็บตรงไหนหรือไม่ ข้าให้ท่านหมอมาตรวจแล้วแต่เพราะไม่มีบาดแผลก็ต้องฟังอาการจากปากของนายท่านด้วย” พ่อบ้านเอ่ยถามอย่างร้อนรนหลังจากดึงตัวของเจ้านายตนให้กลับมานอนที่เตียงและอธิบายว่าฮูหยินกลับไปจวนตระกูลเดิมของตนไปแล้วให้นายท่านรักษาตัวก่อน แม้หยางพ่านชุนจะยังงุนงงกับคำว่ากลับไปตระกูลหลี่แล้ว แต่สุดท้ายก็ยอมกลับไปนั่งที่เตียงของตน เพราะหัวที่กระทบกระเทือนก็ทำให้รู้สึกงุนงงไม่น้อยพ่อบ้านจัดการทุกอย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ในจวนแห่งนี้คงไม่มีใครเป็นกังวลใจเกี่ยวกับการบาดเจ็บของท่านเจ้าเมืองได้มากเท่ากับชายชราผู้นี้อีกแล้ว เขาดูแลนายท่านของเขามาตั้งแต่อีกฝ่ายยังเป็นคุณชายน้อย จนตอนนี้เติบใหญ่เป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์ ก็หวังจะให้นายท่านของเขาอยู่ไปอีกนาน ๆ ดูแลชาวเมืองอย่างดีเช่นนี้ตลอดไป“ข้าเจ
บทที่ 11แม้ตระกูลหลี่มีฐานะแต่คนในเรือนกลับไม่ได้มากมายเหมือนจวนขุนนางชั้นสูง หรือคหบดีในเมืองหลวง เพราะร้านหรือโรงเตี๊ยมที่ตระกูลหลี่เป็นเจ้าของก็อยู่ใกล้แค่เพียงเอื้อม จะกินจะอยู่อย่างไรก็แค่ให้คนไปบอกที่ร้านก็จะเตรียมให้ทันที ไม่ต้องวุ่นวายนำมาทำที่จวนนั่นจึงทำให้คนในตระกูลหลี่ได้กินอาหารชั้นดีอยู่เสมอ ๆ และเพราะอย่างนั้นในจวนจึงเงียบสงบไม่ได้วุ่นวายมากนัก ซึ่งเป็นสิ่งที่มารดาของอ้ายเฉินชอบ และนางเองก็ชอบเช่นเดียวกันครอบครัวเล็ก ๆ กินอาหารด้วยกันแทบจะทุกมื้อ ใส่ใจกันและกัน ครอบครัวของนางเป็นเช่นนั้น แต่กลับแต่งไปเจอกับชายที่มีแต่ความเย็นชาให้ มองนางเป็นเพียงแค่ภรรยาในนาม ไม่ใส่ใจความรู้สึกกันเท่าที่ควร ทั้ง ๆ ที่ตอนเริ่มต้นก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นหญิงสาวเลิกนึกถึงเรื่องของหยางพ่านชุนในระหว่างเดินไปเตรียมของกำนัลให้กับคนที่มาอาศัยจวนข้าง ๆ
บทที่ 12ทางฝั่งตระกูลหลี่ก็กลับมากินอาหารที่จวนของตัวเอง พี่ชายยังคงบ่นไม่หยุดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น “มันตั้งใจชัด ๆ ทำให้เราไม่รู้ว่ามันเป็นใคร ตอนที่แต่งกับเจ้าไม่เห็นเจ้าเล่ห์แบบนี้” หลี่เม่าพูดไปพรางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไปพลาง จนอ้ายเฉินได้ฟังคำของพี่ชายที่ต่อว่าอดีตสามีก็ไม่รู้จะพูดเช่นไร ไม่พอบิดาและมารดาของนางยังนิ่งเงียบราวกับคิดอะไรอยู่อย่างนั้น“เจ้าตามออกมาทีหลัง พ่อบ้านของทางนั้นบอกว่าอะไร เพราะอะไรเขาถึงได้ทำแบบนี้” คำถามของบิดาทำให้หลี่เม่าที่ดูเหมือนจะไม่ได้ตั้งใจฟังเรื่องราวที่อีกฝ่ายแก้ตัวเท่าไรเอ่ยเล่าทุกอย่างเท่าที่รับรู้“มีคนมาดูแลรักษาการทำหน้าที่เจ้าเมืองแทนหยางพ่านชุน เขาก็เลยออกมาหาที่อยู่ใหม่” หลี่อ้ายเฉินได้ยินเสียง เหอะ จากบิดาของนา
บทที่ 13การปรากฏตัวของชิงเอ๋อร์ทำให้หยางพ่านชุนรู้ว่าบิดาและมารดาของเขารับรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นทางนี้แล้ว ทั้งเรื่องที่บาดเจ็บและเรื่องที่เขาไม่อยากให้รู้อย่างเรื่องที่เขาหย่ากับหลี่อ้ายเฉินแล้วตอนที่เขายังไม่แต่งงานท่านแม่ก็สรรหาสตรีคนนั้นคนนี้มาให้เสมอ ๆ เขารู้ว่าที่บ้านใหญ่ต้องการให้เขาแต่งกับบุตรีของขุนนางสักคนเพื่อที่จะช่วยสนับสนุนกันเวลาที่เข้าประชุมเช้ากับฮ่องเต้ หรือเสนอฎีกาต่าง ๆ แต่เขาไม่ได้ชอบแม่นางพวกนั้นนี่ที่ปกติไม่อยากกลับไปที่บ้านใหญ่ก็เป็นเพราะเกรงพ่อแม่ของเขารวมถึงคนอื่นชอบแสดงท่าทางที่ไม่เหมาะสมกับภรรยาของตน ไม่นึกว่าครั้งนี้จะส่งแม่นางชิงเอ๋อร์มา มิรู้ว่าตระกูลของนางยอมปล่อยนางมาได้อย่างไร เป็นหญิงสาวยังไม่ได้ออกเรือนแต่มาอยู่จวนของบุรุษ“ท่านพี่ข้าทำขนมมาให้ลองชิมดูไหมเจ้าคะ”
บทที่ 14“ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับข้าเลยนี่เชียงเชียง เจ้าไม่ต้องตามข่าวคราวเรื่องนี้แล้ว หรือว่าเจ้าว่างไปข้าจะให้ท่านพี่หางานให้เจ้าเพิ่มดีหรือไม่” เชียงเชียงส่ายหน้าหวือ “ข้าก็แค่อยากให้คุณหนูรับรู้ความเป็นจริง กะ..ก็เท่านั้น” รอยยิ้มเศร้าปรากฏขึ้นอีกครั้งบนใบหน้างดงามของหลี่อ้ายเฉิน และมันก็ทำให้เชียงเชียงที่มองอยู่ไม่เข้าใจนักความเป็นจริงหรือ หญิงสาวยิ้มเยาะตนเอง ช่างเป็นคำที่สะท้อนความรู้สึกได้ดีจริง ๆ ก่อนที่จะแต่งนั้นคงเป็นความฝัน แต่งมาสักพักคงเป็นความจริงสินะ มันถึงขมจนกลืนไม่ลงแต่ก็จำได้ทุกอย่างไม่มีลืม ทั้งคำพูดที่หวานราวกับน้ำผึ้ง หรือแม้กระทั่งความเย็นชาราวกับชีวิตช่วงนั้นมีแต่ฤดูหนาวที่มีแต่หิมะก็ยังตราตรึงอยู่ในทุกห้วงความทรงจำทั้งวาจาที่เอ่ยบอกว่าไม่เป็นอะไร
บทที่ 15“ท่านพี่พ่านชุนไปที่ไหนกันล่ะ” แม่นางชิงเอ๋อร์ที่ทำตัวราวกับจวนนี้เป็นของตนเองจนคนเป็นเจ้าของจวนจริง ๆ อย่างหยางพ่านชุนต้องพยายามหนีไปอยู่ที่นั่นที่นี่ นางเดินตามหาชายหนุ่มมานานนับชั่วยามแล้วนางได้รับคำสั่งจากมารดาของอีกฝ่ายให้มาจับตาดูและทำอย่างไรก็ได้ให้เป็นฮูหยินของหยางพ่านชุนแม้ตระกูลใหญ่จะชอบค่อนขอดหยางพ่านชุนที่เป็นคนมาจากตระกูลรองอยู่เสมอ แต่อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นเจ้าเมือง เป็นขุนนางที่มีปากมีเสียงและอำนาจ เก็บเอาไว้เป็นพวกของตนย่อมไม่เสียหาย ทั้งยังทำให้เวลายื่นข้อเสนอกับคนกลุ่มอื่น ๆ ตระกูลของพวกเขาทั้งหมดก็จะแข็งแกร่งและดูยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีกมันเป็นเรื่องของอำนาจล้วน ๆ แต่หยางพ่านชุนกลับไปรับสาวชาวบ้านมาเป็นภรรยา โชคดีที่แล้วหลี่อ้ายเฉินรู้สึกนึกตนได้ว่าไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง จึงได้ออกไปจากฐานะฮูหยินเจ้าเมืองไม่เช่นน
บทที่ 16“อ้ายเฉิน” เสียงของชายหนุ่มที่คุ้นเคยทำให้หญิงสาวที่กำลังทำอาหารสำหรับวันนี้ให้ครอบครัวต้องสะดุ้ง “ท่านเจ้าเมือง” นางเอ่ยเรียกชายหนุ่มที่เดินเข้ามาในจวนของตนด้วยสายตาไม่เข้าใจและตกใจ เหตุใดชายหนุ่มถึงอยู่ที่นี่ และยังแววตาที่เต็มไปด้วยความรักและความห่วงหานั่นอีก นางมั่นใจว่าไม่ได้คิดไปเองแน่ ๆนี่เป็นครั้งแรกหลังจากที่นางหย่าออกมาและได้ประชันหน้ากับอดีตสามีตามลำพัง เพราะครั้งก่อนก็เจอกันเพียงครู่ ร่างบางหันซ้ายหันขวา แต่ก็เป็นนางเองที่เพิ่งบอกให้เชียงเชียงและสาวใช้ออกไปเอาวัตถุดิบบางอย่างที่ร้านของตระกูลหลี่ “ทำไมถึงกลัวข้าขนาดนั้นเล่าฮูหยิน” ดวงตาสวยวาวโลดแสดงชัดถึงความไม่พอใจ “ข้ามิใช่ฮูหยินของท่านเจ้าเมืองอีกแล้ว” หลังจากคำของตนอ้ายเฉินก็สังเกตเห็นถึงท่าทางและสีหน้าของอดีตสามีที่หมองลง มันช่างเป็นเรื่องไม่ชินตาที่อีกฝ่ายแสดงอารมณ์มากกว่าแต่ก่อน คราวก่อนที่พบกันแม้จะสำนึกผิดแต่ยังไม่มีแววตาเช่นนี้“ท่านกลับไปที่จวนของตนเองเถอะเจ้าค่ะ ทำเช่นนี้จะไม่เหมาะเท่าไร” นางเอ่ยเตือนก่อนจะขยับถอยมาให้ห่างจากอีกฝ่าย “แต่ว่าเจ้าเป็นภรรยาของข้านี่มีอะไรไม่เหมาะไม่ควร” ท่าทางราวกับไม่
บทที่ 17“นายท่านไปไหนมาขอรับ”เขากลับมาทางเดิมที่คราวก่อนกลับมา แสร้งทำเป็นนอนกลางวันเพราะเหนื่อยล้าจากอาการป่วยทั้ง ๆ ที่ร่างกายของเขาเกือบจะเป็นปกติดีแล้วด้วยซ้ำแต่พอกระโดดข้ามหน้าต่างมาก็เจอเข้ากับพ่อบ้านที่เอ่ยถามเขาด้วยความสงสัย “แค่อย่าบอกใครก็พอ ข้าไปทำธุระมา”พ่อบ้านจึงพยักหน้าตอบรับก่อนจะปล่อยให้เจ้านายพักผ่อน เมื่อคล้อยหลังพ่อบ้าน มีเงามืดหนึ่งสายพุ่งเข้ามาทางหน้าต่าง“เป็นคนที่เจ้าคิดจริง ๆ “ เจ้าของเงาดำทรุดลงนั่งข้างเตียงก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบขวดเล็ก ๆ ที่บรรจุสุราชั้นดีออกมาจิบหยางพ่านชุนไม่แม้จะลืมตามองเขาเพียงพยักหน้าเพื่อให้คนที่นั่งอยู่บนเตียงนอนของเขารู้ว่าเขารับรู้แล้ว“แล้วเจ้าจะทำเช่นไรต่อไป” เจ้าของเงาดำยังคงถามต่อเมื่อเห็นคนวางแผนทุกอย่างนิ่งเฉย แต่ก็ชินเสียแล้วสหายเขาเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่จำความได้กระมั้ง“ทำอย่างที่ทำมาตลอด แสร้งไม่รู้ แล้วคนพวกนั้นล่ะ” หยางพ่านชุนหมายถึงโจรป่าที่ลอบทำร้ายเขา “พ่อบ้านเจ้าสั่งให้คนสังหารปิดปากเกือบทั้งหมด แต่หัวหน้าพวกมันหนีไปได้”“ข้าเคยหวังว่าจะไม่ใช่ชางเกิง” ร่างหนาที่นอนหลับตาบนเตียงเอ่ยเสียงเรียบ แต่แฝงไปด้วยความเจ็บปว
บทที่ 41หลังจากการสอบสิ้นสุด จอหงวนใหม่ก็ถูกย้ายมาเป็นเจ้าเมือง แน่นอนว่าคนคนนั้น คือคนที่ทั้งเมืองแห่งนี้รู้จักดี เพราะคือบุตรชายของอดีตเจ้าเมือง ในยุคบิดาทำดีมาเช่นไร ยุคบุตรชายก็ทำดีไม่ต่างกัน เพียงแต่เพราะเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาและยังโสดแถมอายุก็ยังน้อยกว่ายามที่บิดาของตนมาเป็นเจ้าเมืองเสียอีก จึงยิ่งทำให้บรรดาคุณหนูทั้งหลายต่างหมายปองเจ้าเมืองหนุ่มผู้นี้ไม่ต่างจากสมัยบิดาและยิ่งทุกคนรู้ว่าชายหนุ่มยังไม่ปักใจรักใคร่ใครเป็นพิเศษแล้ว ก็ต่างหวังว่าตนเองอาจจะมีสิทธิ์ แต่ดูเหมือนเชื้อจะไม่ทิ้งแถว ลูกไม้ย่อมไม่ตกไกลต้น เจ้าเมืองหนุ่มเอาแต่ทำงานจนบรรดาแม่นางทั้งหลายต่างเมินหน้าหนี“นิสัยเสียนี้ลูกดันไปเหมือนท่านได้อย่างไรกัน” เสียงตำหนิไม่จริงจังจากมารดา เสี่ยวชิงเพียงแค่ส่งยิ้มรับหยางพ่านชุนไม่ได้มองว่านี่ไม่ดี “เขายังเด็กกว่าข้า ทั้งยังไม่มีคนรัก อาจจะเหมือนข้าวัยเยาว์ที่เอาแต่อ่านตำราเพื่อสอบมากกว่า ที่สำคัญเพราะอาชิงใช้ความรักของพวกเราเลี้ยงมา เจ้าเห็นหรือไม่ ถึงเขาจะไม่กลับมาจวนทุกวันเพราะนอนที่จวนเจ้าเมือง แต่ก็กลับมาทุกอาทิตย์ หากเขามีคนรักข้าก็เชื่อว่าเขาจะทำได้ดี อีกทั้
บทที่ 40“แม่ไม่อยากให้เจ้าไปเมืองหลวงเลย” วันเวลาผ่านไปยามนี้เสี่ยวชิงเป็นหนุ่มแล้ว แต่เพราะความสนิทสนมในครอบครัวจึงทำให้อ้ายเฉินตัดใจให้ลูกจากไปไกลตาได้ยาก “เจ้าก็ให้ลูกไปเถอะ เขาจะไปสอบเพื่อจะกลับมาเป็นเจ้าเมืองแทนข้าไม่ดีหรือ” เรื่องนั้นย่อมเป็นเรื่องดีแต่การต้องจากบุตรชายเกือบสามปีและถ้าสอบได้อาจจะนานกว่านั้นทำให้น้ำตาของอ้ายเฉินไหล“เจ้าไปเถอะเสี่ยวชิง ยื้อกันไว้เช่นนี้วันนี้ก็คงไม่ได้ไป” อาการของภรรยาในวันนี้ทำให้หยางพ่านชุนอดคิดไปถึงเรื่องราวในอดีตไม่ได้ ถึงจะแทบตัดพ่อตัดลูกไปแล้วแต่อย่างไรก็ยังคงแอบคิดถึงตอนเขาไปที่ใดก็ตามมีเพียงท่านพ่อบ้านที่ตอนนี้ชราเต็มทีแล้วพอนึกได้ว่าอีกฝ่ายจะจากไปในเวลาอันใกล้นี้ก็ส่งจดหมายไปขอบคุณ แม้ชางเกิงจะหลงผิดไปบ้าง แต่ชางเกิงก็เป็นคนที่ดูแลเขามาตลอด หยางพ่านชุนส่งคนไปรับชายชรากลับมาอยู่ที่จวนเจ้าเมืองกับเขาอีกครั้ง ตอนนี้ชางเกิงคงชรามากแล้วคงไม่สามารถทำอะไรภรรยาของเขาได้อีก อีกทั้งอำนาจในจวนเจ้าเมืองตอนนี้ล้วนเป็นของภรรยาเขา“ภรรยารัก ลูกไปเพื่อความเจริญนะ เหมือนที่ท่านพ่อที่ท่านพี่ของเจ้าต้องเดินทางไกลไปหาสินค้าแปลก ๆ มาขาย” อ้ายเฉินพยักหน้
บทที่ 39หลี่อ้ายเฉินกลับมาดูแลสามีของนางที่จวน เรื่องที่เกิดขึ้นมันทำให้นางเกือบลืมเรื่องก่อนหน้านี้ที่คุยกับบิดา“ข้ากังวลแทบแย่คิดว่าท่านจะเป็นอะไรไปแล้ว” หยางพ่านชุนดึงคนรักเข้ามากอด “ข้าจะไม่ทำอะไรไม่ระวังตัวเช่นนี้อีก ครั้งนี้เพราะเด็กคนนั้นเขาเหมือนเสี่ยวชิงมากจริง ๆ ข้าที่กำลังกังวลหลาย ๆ เรื่องอยู่จึงเผลอกระโดดตามเด็กไป และที่จริงตอนแรกมันก็ไม่อันตราย แต่หลังจากข้าส่งเด็กขึ้นมาฝายก็พังทำให้น้ำไหลแรง จนดึงขึ้นฝั่งไม่ได้” หลี่อ้ายเฉินมองสามีด้วยสายตาไม่พอใจ“เมื่อก่อนก็ทำตัวเสี่ยงตายเช่นนี้ใช่หรือไม่” แม้จะอยากตอบว่าไม่แต่เขาก็ทำเช่นนั้นจริง ๆ “ท่านพี่ต้องนึกว่าที่จวนมีข้ากับลูกรออยู่สิเจ้าคะ จะได้ระมัดระวังตัวเองมากกว่่านี้” หยางพ่านชุนเห็นภรรยาเป็นห่วงก็รู้สึกผิดเหมือนกัน “ต่อไปข้าจะระวังตัวตลอดเจ้าไม่ต้องกังวลใจไป ที่จริงเรื่องนี้ข้าไม่ต้องไปดูเองก็ได้ แต่ไหน ๆ ก็ผ่านไปเลยแวะดูไม่นึกว่าจะมีปัญหา”“ของหลาย ๆ อย่างทำเอาไว้แล้วก็ต้องหาคนเฝ้า หาคนบูรณะ ไม่เช่นนั้นก็พังไปตามเวลา” แม้จะรู้ข้อที่ภรรยาบอกเป็นอย่างดี แต่พอมีเรื่องยุ่งหลาย ๆ อย่างจึงลืมที่จะส่งคนไปดูแลเป็นพิเศษ “ท่านพ
บทที่ 38“สามีของลูกเขาเป็นอะไรหรือเปล่าช่วงนี้เขาดูแปลก ๆ ไปนะ” บิดาของอ้ายเฉินถามบุตรสาว เพราะเป็นคนที่ทำการค้าจึงมองคนต่างจากคนอื่น และสัมผัสได้ไวกว่า“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เหมือนว่าเขายังคงติดอยู่กับความผิดครั้งก่อน” อ้ายเฉินพูดออกไปคล้ายจะเป็นการคาดเดาแต่จริง ๆ นางรู้ว่านี่แหละคือต้นตอของปัญหาในจิตใจของสามีของนางแม้ว่าหยางพ่านชุนจะทำทุกอย่างได้ดีแล้ว แต่ก็ยังมีความรู้สึกส่วนหนึ่งที่อีกฝ่ายยังทิ้งไปไม่ได้“คุยกันบ้างหรือยังลูก เกี่ยวกับเรื่องครั้งก่อน” มารดาเอ่ยถามด้วยเสียงอ่อนโยนอ้ายเฉินพยักหน้า “แน่นอนเจ้าค่ะ หลายครั้งแล้ว แต่เขาก็ยังคงรู้สึกผิดอยู่ดี” คนเป็นพ่อได้ฟังก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อีกอย่างเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องที่หนักอกหนักใจทั้งบุตรสาวและลูกเขยนั่นคืออะไร “ลองเปิดใจคุยรายละเอียดกันดูอีกครั้ง แม้ว่าจะทำให้เจ็บแต่นั่นก็สามารถช่วยทำให้แผลที่มีสมานได้” มารดาเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แม้นางจะพูดน้อย นิ่งสงบในทุกเรื่อง แต่ยามใดที่ติดใจและสงสัย นางก็จะเรียกสามีมาคุยจนกว่าจะเข้าใจกัน ไม่เคยปล่อยผ่านให้เรื่องราวข้ามคืนเลยสักครั้ง จึงรักษาชีวิตคู่ที่สงบสุขมาได้จนถึ
บทที่ 37หลังจากอ้ายเฉินคลอดลูกคนแรกจวนทั้งสองก็ถูกทุบกำแพงเพื่อเปิดหากันตอนนี้หยางพ่านชุนถือว่าบิดาของภรรยากับพี่ชายภรรยาเป็นคนในครอบครัวมากกว่า ตระกูลใหญ่ของเขาซะอีก หลังจากเรื่องวุ่นวายต่าง ๆ ผ่านไป เขาก็ไม่ได้กลับไปร่วมพิธีไหว้บรรพบุรุษที่เมืองหลวงอีกเลย แม้จะรู้สึกผิดแต่หากต้องเสี่ยงชีวิตลูกเมียเขายอมที่จะเป็นคนอกตัญญูวันเวลาหมุนผ่านไปจนเสี่ยวชิงโตจนวิ่งได้ เป็นบุตรชายของพวกเขามาเกิดใหม่อย่างแน่นอนเพราะใบหน้าที่คงยังเหมือนเดิมทุกประการ แต่นิสัยกลับไม่เหมือนเดิมแม้แต่น้อย คงเป็นเพราะการเลี้ยงดูและลุงกับท่านตาที่ตามใจจนบางทีหยางพ่านชุนก็กลัวบุตรชายคนโตจะเสียคนและตอนนี้พวกเขาไม่ได้มีบุตรชายเพียงแค่คนเดียวแต่ยังมีบุตรสาวอย่างอี้อี้ด้วย เสี่ยวชิงเป็นพี่ชายที่ดีคอยดูแลน้องสาว ไม่ได้เหงาโดดเดี่ยวเหมือนชาติก่อน ความสัมพันธ์ของครอบครัวตอนนี้ไม่ได้เหมือนกับชาติก่อน ทุกคนต่างมีรอยยิ้มให้กัน และอยู่กันอย่างมีความสุข อะไรที่ไม่ดีก็ถูกตัดไปจากชีวิต พ่อบ้านที่เคยช่วยเหลือหยางพ่านชุนมาตั้งแต่เด็กก็ถูกส่งกลับไปอยู่ที่เมืองหลวง เขาจ้างคนใหม่ให้คอยดูแลคุณหนูและคุณชายน้อยต่อไปเด็กทั้งสองไม่เคยได
บทที่ 36การปราบโจรได้ทำให้การค้าในเมืองคึกคักขึ้นเพราะไม่ต้องกลัวว่าจะถูกปล้นระหว่างเดินทางข้ามเมือง ทุกอย่างค่อย ๆ เป็นไปในทางที่ดีขึ้น เรื่องนี้ทำให้ทั้งตระกูลหลี่ และเจ้าเมืองอย่างหยางพ่านชุนเจริญก้าวหน้าขึ้นไปอีก ต่างจากตระกูลใหญ่ของเจ้าเมืองหนุ่มที่หลังจากชิงเอ๋อร์กลับไปที่ตระกูลตน บิดาของเขาและบิดาของหญิงสาวก็ไม่ติดต่อกันอีกเนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับบุตรสาวทางตระกูลใหญ่ที่มักจะชอบใช้วิธีรวมหมู่รวมก๊ก พอพันธมิตรหลักไม่อยู่ซะแล้ว คนอื่น ๆ ก็เริ่มหนีหน้า จากที่เคยกร่างได้ก็ต้องหลบอยู่แต่ในมุมของตนเอง เพราะถึงทุกคนจะรู้ว่ามีบุตรชายเป็นเจ้าเมืองและเป็นถึงขุนนางขั้นสามแต่ใคร ๆ ก็รู้ว่าทั้งสองไม่ถูกกัน นั่นไม่ใช่เพราะใครแต่เพราะความปากมากของบิดาของหยางพ่านชุนเอง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเอ่ยกับสหายสนิทว่าเขาไม่ได้คาดหวังกับบุตรชายคนนี้ อีกทั้งเขายังไม่ใช่คนโปรดและตอนที่หยางพ่านชุนได้ดี ก็ไม่เห็นขุนนางเฒ่าผู้นี้จะเอาเรื่องของบุตรชายมาโอ้อวดซึ่งแปลกจึงทำให้ทุกคนคิดว่าเรื่องที่บาดหมางกันนั้นคงจะเป็นจริง แน่ ๆถึงแม้ว่ายามนี้หยางพ่านชุนจะกลับมาทำงานเป็นเจ้าเมืองเหมือนเดิมแล้ว แต่เขาก็ยังคงมาพ
บทที่ 35“ท่านพ่อตาข้าโง่เขลาได้โปรดให้คำแนะนำข้าด้วย” คนมีอายุส่ายหัวก่อนจะหันไปสบตาคู่ชีวิตของตน“หากข้าบอกแล้วจะมีประโยชน์อะไร อะไรที่เคยทำผิดเจ้าก็เอาสิ่งนั้นเป็นบทเรียน อะไรที่ดีอยู่แล้วก็เก็บเอาไว้ ความสัมพันธ์มันก็เป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจดูแลไม่ต่างจากงานหรอกนะท่านเจ้าเมือง ข้าพูดจนเหนื่อยแล้ว หากมีอะไรก็ค่อยคุยกันวันหลังเถอะ ป่ะฮูหยินเราสองคนไปพักผ่อนกันเถอะ” หยางพ่านชุนพยักหน้ารับปล่อยให้พ่อตาโอบพยุงหลี่ฮูหยินกลับเรือนพักผ่อน แต่ก็ไม่วายร้องถาม “ข้าขอคุยกับอ้ายเฉินได้หรือไม่”“นั่นมันแล้วแต่นาง หลี่เม่าไปกินข้าวกันเถอะ” แม้จะบอกว่าแล้วแต่บุตรสาว แต่การเรียกไปแต่บุตรชายก็เหมือนจะเปิดโอกาสให้แล้ว“อ้ายเฉินทำเช่นไรดีเรื่องคงไม่ง่ายแล้ว” แม้เหมือนพ่อตาจะเปิดโอกาส แต่หยางพ่านชุนก็ไม่รู้ว่าต้องเริ่มเช่นไรหญิงสาวยิ้มอย่างพอใจ “ข้าว่าท่านพ่อก็มีเหตุผลนะเจ้าคะ บางทีพวกเราอาจจะต้องใช้เวลากันอีกสักพัก”“แต่อีกไม่นานพระราชโองการก็จะมาถึง ข้าอยากให้เจ้าได้ตำแหน่งฮูหยินบันทึกเอาไว้ด้วย ที่จริงข้าส่งชื่อเจ้าไปแล้วด้วย”หลี่อ้ายเฉินได้ฟังก็ขมวดคิ้ว “นิสัยชอบตัดสินใจเองของท่านนี่เมื่อไรจะหายเจ
บทที่ 34“ท่านพี่ให้เขาเข้ามาเถอะเจ้าค่ะ” อ้ายเฉินที่มาตั้งแต่เมื่อไรแล้วก็ไม่รู้เอ่ย “แต่ว่า” หลี่เม่ายังคงไม่ไว้ใจอดีตน้องเขยคนนี้เท่าไรนัก“ข้าเข้าใจที่ท่านจะไม่ไว้ใจข้า แต่วันนี้ข้าจะมาอธิบายเรื่องราวและขอโทษในสิ่งที่ข้าทำผิด” หลี่เม่าพ่นลมหายใจแรง “เหอะขุนนางอย่างท่านเนี่ยนะ จะมาขอโทษชาวบ้านเช่นนี้” หยางพ่านชุนคุกเข่าลงไปตรงหน้าพี่ชายภรรยา“ข้าไม่ได้ขอโทษชาวบ้านธรรมดาทั่วไป แต่ข้าขอโทษภรรยา ข้าทำผิดต่อนาง ที่ข้าเอาแต่ทำงานจนละเลยนาง ทั้งยังขอโทษคนตระกูลหลี่ที่ทำให้ได้รับชื่อเสียงเสียหายจากการหย่าด้วย แต่ข้าและอ้ายเฉินไม่เคยหย่าขาดกัน หากท่านพี่จะให้ข้าแต่งนางอีกครั้งข้าก็ไม่ขัด เรื่องที่ผ่านมาเป็นเพียงการเข้าใจผิดเท่านั้น” แม้หยางพ่านชุนจะเอ่ยเช่นนั้น แต่การที่แม่นางชิงเอ๋อร์ผู้นั้นมาอยู่ในจวนเดียวกันกับชายหนุ่มนานนับเดือนก็เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดคำครหาได้หลี่อ้ายเฉินเห็นท่าไม่ดีจึงเรียกพี่ชายพร้อมทั้งหยางพ่านชุนเข้าไปคุยด้านใน “ท่านพี่ลองฟังเขาก่อนเถอะ บางทีอาจจะเป็นข้าที่หุนหันไปเอง” หลี่เม่ามองหน้าน้องสาวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าไม่ฟังคำพี่อีกแล้วหากเขาทำให้เจ้าเสียใจอีกเล่า
บทที่ 33แสงอาทิตย์ยามบ่ายสาดส่องผ่านเมฆหม่น มอบแสงสว่างอันอบอุ่นให้กับสถานที่ที่เงียบงัน แต่สำหรับเขา มันไม่มีความหมายอะไรเลย ความเศร้าโศกในใจเขาหนักหนาจนไม่สามารถรู้สึกถึงความอบอุ่นใดๆ ได้เขาคุกเข่าลงหน้าหลุมศพ วางมือสั่นเทาลงบนดินที่เย็นเยียบ ความทรงจำกับคนรักหลั่งไหลเข้ามาในใจ ทั้งเสียงหัวเราะและคำพูดหวานหูที่เคยพูดกัน ความเจ็บปวดในใจเขาเพิ่มขึ้นทุกวินาที เหมือนมีดบาดลึกเข้าไปในหัวใจอย่างไม่หยุดยั้งน้ำตาไหลอาบแก้มอย่างเงียบงัน เขาปล่อยให้น้ำตาไหลลงไปบนดินและดอกไม้เหมือนกับความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายได้ เขากระซิบคำพูดที่ไม่สามารถกล่าวได้เมื่อตอนนางยังมีชีวิตอยู่ "ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกินอ้ายเฉิน ทุกวันที่ผ่านไป มันเหมือนกับเวลาหยุดเดิน ข้าไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไรที่ไม่มีเจ้า"ลมเย็นพัดผ่าน สายลมที่เย็นเฉียบเหมือนกับความเหงาและความเดียวดายที่เขารู้สึก เขาทรุดตัวลงอย่างช้า ๆ โอบกอดป้ายชื่อของคนรักด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอาลัย“นายท่านอย่าทำแบบนี้เลยขอรับ” น้ำตาที่เคยไหลออกมาตลอดการจากไปของภรรยาและบุตร ไหลออกมาอีกครั้ง “ข้าไม่อยากอยู่แล้วมันเจ็บเหลือเกิน” หยางพ่านชุนเอ