บทที่ 6
“ท่านเจ้าเมือง” หยางพ่านชุนสะดุ้งน้อย ๆ จนแทบไม่ทันสังเกต เขาหันมองไปรอบ ๆ เรื่องของอ้ายเฉินทำให้เขาติดอยู่ในภวังค์ความคิด กว่าจะรู้ตัวหญิงสาวก็เดินจากไปแล้ว
อีกไม่นานเขาจะต้องไปรวมตัวในพิธีไหว้บรรพบุรุษกับตระกูลใหญ่ การหย่าร้างกับภรรยาคงจะกลายเป็นคำถามที่ทำให้เขาหนักใจเป็นที่สุด
“ชางเกิงจัดการซื้อของตามที่ข้าบอกเจ้าแล้วเอากลับไปที่เรือน” หยางพ่านชุนไม่อยากอยู่ตรงนี้อีกต่อไป แม้จะดูเหมือนเขาไม่เสียใจ แต่...ช่างเถอะในเมื่อนางเลือกแล้ว ที่ต้องจัดการคือเรื่องที่ถูกภรรยาทิ้งหนังสือหย่าเอาไว้มากกว่า
แค่เรื่องหย่าก็วุ่นวายแล้วหากท่านแม่ของเขากลับมาเจ้ากี้เจ้าการหาคนนั้นคนนี้มาให้เขาอีกคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ และแม้จะไม่อยากพบเจอกันต่อหน้าธารกำนัลให้เสียหน้า แต่ตรงหน้าของเขาห่างไปไม่เกินสิบก้าวก็คืออดีตฮูหยินที่กำลังจะขึ้นรถม้า
ระหว่างการสวนทางกันของอดีคคู่สามีภรรยาชาวบ้านหลายคนที่มาพักผ่อน บางคนมองดูพวกเขาด้วยความเห็นใจ แต่บางคนกลับมีแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยและวิพากษ์วิจารณ์
"เจ้าคิดว่าเจ้าเมืองมีอะไรแปลกหรือไม่ ท่านเจ้าเมืองก็เป็นคนดีอยู่หรอกนะ แต่ถึงขนาดภรรยาเขียนจดหมายหย่าแล้วหนีกลับบ้านมาเช่นนี้ เห็นทีคงดูแลหลังบ้านได้ไม่ดีเลยแม้แต่น้อย" ชาวบ้านคนหนึ่งกระซิบกับสหายของเขา
"ข้าไม่เห็นว่าเจ้าเมืองจะขาดตกบกพร่องสิ่งใด เขาเป็นคนดียุติธรรมและเที่ยงตรง เจ้าเมืองก็เป็นคนแบบนี้มานานแล้ว เป็นภรรยาเขาเสียมากกว่าที่เรียกร้องจนเกินไป"
หลี่อ้ายเฉินได้ยินคำพูดนั้นของชาวบ้านที่เดินสวนไปมา ใจของนางรู้สึกหน่วงหนัก
"ภรรยาควรยอมรับความผิดพลาดของสามีและให้อภัยเมื่อเขาทำผิด" ชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขากำลังสนทนากันในเรื่องที่ หยางพ่านชุนติดตามง้องอนหลี่อ้ายเฉินอยู่เป็นแน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่บังเอิญพบกันได้เช่นนี้ หลายคนเริ่มพูดถึงความเชื่อโบราณที่สตรีควรยอมรับและให้อภัยสามีเมื่อทำผิด หลายคนเชื่อว่าผู้ชายควรเป็นใหญ่และมีสิทธิ์ในการตัดสินใจทุกอย่าง ในเรื่องหย่าร้างกันครั้งนี้หลี่อ้ายเฉินย่อมผิดมากกว่าท่านเจ้าเมือง
ไม่มีใครรู้ว่าที่หลี่อ้ายเฉินหย่าขาดจากเจ้าเมืองผู้แสนดีของทุกคนนั้น ไม่ใช่หยางพ่านชุนในตอนนี้ แต่เป็นหยางพ่านชุนในอีกสิบปีข้างหน้าต่างหาก ความเย็นชาที่เขามีต่อนางสะสมท่วมท้นจนนางไม่อาจยอมให้อภัยง่าย ๆ เพราะในชาติก่อนเขาทำร้ายนางไว้หนักมาก แต่ชาวบ้านที่ไม่ได้รู้อะไรด้วยเลย กลับมาตัดสินว่านางผิดงั้นหรือ หลี่อ้ายเฉินรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย แค่เป็นหญิงสาวก็ต้องยอมชายหนุ่มตลอดไปงั้นหรือ
หลี่อ้ายเฉินฟังคำพูดนั้นด้วยความรู้สึกที่ขัดแย้ง นางรู้ว่าความเชื่อเหล่านี้มีอิทธิพลต่อความคิดของผู้คนในยุคนี้ แต่นางต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบ ไม่ใช่เพียงฟังคำพูดของชาวบ้าน แต่ควรฟังหัวใจตัวเอง เพราะชาติที่แล้วก็ฟังคำพูดของชาวบ้านนี่แหละ แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไรล่ะ!
‘ข้ารู้ว่าความเชื่อของชาวบ้านชาวเมืองเขาเป็นอย่างไร แต่ข้าจะไม่ยอมให้ความเจ็บปวดที่ข้าได้รับมากำหนดชีวิตของข้าอีกต่อไป เกิดเป็นสตรีเสียเปรียบทุกทาง อยู่บ้านต้องเชื่อฟังบิดา แต่งออกไปต้องเชื่อฟังสามี’
หลี่อ้ายเฉินเชิดใบหน้างดงามขึ้นสูงอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ก่อนที่จะก้าวขึ้นรถม้า
แม้ตอนนี้หยางพ่านชุนจะยังไม่ได้ทำสิ่งใด แต่นางที่ย้อนกลับมา แบกความทุกข์ภายในใจกลับมาด้วย นางเสียใจเพียงลำพังอยู่ที่จวนเจ้าเมืองกี่ปีกัน เมื่อรู้ล่วงหน้าว่าต้องกลับไปมีชีวิตเช่นนั้น และจะกลับไปทำไมเล่า นางรู้ว่าการให้อภัยไม่ใช่เรื่องง่าย ทำให้หลี่อ้ายเฉินต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบ
แม้ในใจจะกู่ร้องว่ายังคงรักบุรุษตรงหน้าอยู่ ความรักสิบกว่าปีไม่เคยจืดจางลงเลยสักนิด คงจะเทียบเท่าความหมางเมินของเขาที่มีแก่นางหลังจากแต่งงาน หากเขาเป็นเช่นนั้นก่อนที่จะรักกันนางคงสะบั้นรักหยางพ่านชุนได้ง่ายกว่านี้
หยางพ่านชุนถอนหายใจเมื่อเห็นสายตาทุกคนที่มองมาที่เขา เรื่องที่ตระกูลหลักก็คงไม่แย่ไปกว่านี้แล้วกระมัง เจ้าเมืองหนุ่มสะบัดหน้าไปอีกทางท่ามกลางสายตาชาวเมืองตรงนั้น
“เหตุใดนางจึงตัดสินใจทำเช่นนี้ หากเป็นเรื่องสตรีอื่น ข้าไม่เคยแม้แต่จะสนทนาด้วย"
นั้นสิแล้วเหตุใดนางจึงเขียนหนังสือหย่าออกมา ทำไมจึงตัดสินใจทำเช่นนี้ หยางพ่านชุนนิ่งเงียบ เขาพยายามคิดเรื่องราวระหว่างเขาและนางที่ผ่านมาว่าตนนั้นทำสิ่งใดให้นางไม่พอใจ
ก็ไม่มี
บทที่ 7“อ้ายเฉิน” น้องสาวที่เดินอย่างรวดเร็วเข้าไปในเรือนโดยไม่ได้หยุดฟังคำเรียกทำให้คนเป็นพี่ชายกังวล เชียงเชียงที่เดินไม่ทันเจ้านายของตนจึงตกเป็นเหยื่อให้กับหลี่เม่าพี่ชายของหญิงสาว “เจ้า! เชียงเชียงน้องข้าเป็นอะไรกัน” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงกดดัน เพราะรู้ว่าอ้ายเฉินนางมีเรื่องให้กังวลเยอะและก็ไม่ค่อยบอกออกมาจึงต้องบังคับคนใกล้ตัวนางเช่นนี้ บางทีมันอาจจะทำให้รู้เรื่องราวที่ควรรู้ได้บ้าง “คือว่า...คุณหนูไปเจอเข้ากับท่านเจ้าเมืองเจ้าคะ” หลี่เม่ากำมือแน่น “แล้วมันทำอะไรน้องข้าหรือไม่” ชายหนุ่มถามด้วยอารมณ์ แต่คำตอบที่ไม่มีอะไรกลับทำให้เขาโกรธยิ่งกว่า “คือท่านเจ้าเมืองไม่มองคุณหนูด้วยซ้ำ” น
บทที่ 8“หลายวันมานี่คุณหนูจับที่แขนบ่อย ๆ เจ็บหรือปวดหรือเจ้าคะข้าจะได้หายามานวดให้” หลี่อ้ายเฉินส่ายหน้า ที่นางจับเพราะความทรงจำในชาติก่อนย้อนกลับมาในทุกคืน ช่วงเวลาใกล้ ๆ นี่ หรือบางทีอาจจะเกิดไปแล้ว นางจำวันเวลาที่แน่นอนไม่ได้ แต่คงจะก่อนวันที่จะไหว้บรรพชนไปไม่กี่วันการเดินทางของนางที่ต้องเดินทางไปกับสามีเจ้าเมืองอย่างหยางพ่านชุนกลับไปยังตระกูลเดิมที่อยู่เมืองหลวง เป็นที่รับรู้กันโดยทั่ว ทำให้คนร้ายรู้ว่าควรจะดักจัดการชายหนุ่มที่ไหนหลี่อ้ายเฉินจำได้แม่นยำเพราะมันคือความทรงจำในชีวิตก่อนของนาง หลังจากออกมาจากจวนเจ้าเมืองได้ไม่นานนักไม่ถึงวันด้วยซ้ำ ระหว่างที่คนงานกำลังจะสร้างกระโจมเพื่อพักในตอนกลางคืนก็ถูกโจรดักซุ่มโจมตีจากคนที่แต่งตัวเหมือนกับโจรป่าคนเหล่านั้นต้องการที่จะกำจัดเจ้
บทที่ 9เจ้าเมืองหนุ่มคงไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนั้นยิ่งทำให้ตกเป็นเป้ากับคนที่ไม่หวังดีได้โดยง่ายป่าริมทางระหว่างการเดินทางไปยังเมืองหลวงของหยางพ่านชุน ในยามนี้เต็มไปด้วยความเงียบสงบ มีเพียงเสียงนกและเสียงลมที่พัดผ่านต้นไม้เท่านั้นที่คอยทำลายความเงียบนี้หยางพ่านชุนและลูกน้องขี่ม้าผ่านป่าอย่างระมัดระวัง โดยมีคาราวานตามหลัง เพราะได้โอกาสติดตามเจ้าเมืองไปยังเมืองหลวงด้วยเลย ใครจะไม่อยากไป เพราะคิดว่าอย่างไรคนของทางการก็ต้องดูแลให้พวกเขาปลอดภัยได้แน่นอนอีกทั้งในใจของหยางพ่านชุนยังคงเต็มไปด้วยความมั่นใจในความสามารถของตนเอง ขณะที่คิดเช่นนั้น ทันใดนั้นเอง กลุ่มโจรป่าก็ปรากฏตัวจากหลังต้นไม้ใหญ่ พวกเขาถือดาบและธนูเข้ามาโจมตี หยางพ่านชุนตกใจและพยายามต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด"โจรป่า! พวกเราต้องสู้!"
บทที่ 10“นายท่านเป็นอะไรมากหรือไม่ รู้สึกเจ็บตรงไหนหรือไม่ ข้าให้ท่านหมอมาตรวจแล้วแต่เพราะไม่มีบาดแผลก็ต้องฟังอาการจากปากของนายท่านด้วย” พ่อบ้านเอ่ยถามอย่างร้อนรนหลังจากดึงตัวของเจ้านายตนให้กลับมานอนที่เตียงและอธิบายว่าฮูหยินกลับไปจวนตระกูลเดิมของตนไปแล้วให้นายท่านรักษาตัวก่อน แม้หยางพ่านชุนจะยังงุนงงกับคำว่ากลับไปตระกูลหลี่แล้ว แต่สุดท้ายก็ยอมกลับไปนั่งที่เตียงของตน เพราะหัวที่กระทบกระเทือนก็ทำให้รู้สึกงุนงงไม่น้อยพ่อบ้านจัดการทุกอย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ในจวนแห่งนี้คงไม่มีใครเป็นกังวลใจเกี่ยวกับการบาดเจ็บของท่านเจ้าเมืองได้มากเท่ากับชายชราผู้นี้อีกแล้ว เขาดูแลนายท่านของเขามาตั้งแต่อีกฝ่ายยังเป็นคุณชายน้อย จนตอนนี้เติบใหญ่เป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์ ก็หวังจะให้นายท่านของเขาอยู่ไปอีกนาน ๆ ดูแลชาวเมืองอย่างดีเช่นนี้ตลอดไป“ข้าเจ
บทที่ 11แม้ตระกูลหลี่มีฐานะแต่คนในเรือนกลับไม่ได้มากมายเหมือนจวนขุนนางชั้นสูง หรือคหบดีในเมืองหลวง เพราะร้านหรือโรงเตี๊ยมที่ตระกูลหลี่เป็นเจ้าของก็อยู่ใกล้แค่เพียงเอื้อม จะกินจะอยู่อย่างไรก็แค่ให้คนไปบอกที่ร้านก็จะเตรียมให้ทันที ไม่ต้องวุ่นวายนำมาทำที่จวนนั่นจึงทำให้คนในตระกูลหลี่ได้กินอาหารชั้นดีอยู่เสมอ ๆ และเพราะอย่างนั้นในจวนจึงเงียบสงบไม่ได้วุ่นวายมากนัก ซึ่งเป็นสิ่งที่มารดาของอ้ายเฉินชอบ และนางเองก็ชอบเช่นเดียวกันครอบครัวเล็ก ๆ กินอาหารด้วยกันแทบจะทุกมื้อ ใส่ใจกันและกัน ครอบครัวของนางเป็นเช่นนั้น แต่กลับแต่งไปเจอกับชายที่มีแต่ความเย็นชาให้ มองนางเป็นเพียงแค่ภรรยาในนาม ไม่ใส่ใจความรู้สึกกันเท่าที่ควร ทั้ง ๆ ที่ตอนเริ่มต้นก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นหญิงสาวเลิกนึกถึงเรื่องของหยางพ่านชุนในระหว่างเดินไปเตรียมของกำนัลให้กับคนที่มาอาศัยจวนข้าง ๆ
บทที่ 12ทางฝั่งตระกูลหลี่ก็กลับมากินอาหารที่จวนของตัวเอง พี่ชายยังคงบ่นไม่หยุดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น “มันตั้งใจชัด ๆ ทำให้เราไม่รู้ว่ามันเป็นใคร ตอนที่แต่งกับเจ้าไม่เห็นเจ้าเล่ห์แบบนี้” หลี่เม่าพูดไปพรางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไปพลาง จนอ้ายเฉินได้ฟังคำของพี่ชายที่ต่อว่าอดีตสามีก็ไม่รู้จะพูดเช่นไร ไม่พอบิดาและมารดาของนางยังนิ่งเงียบราวกับคิดอะไรอยู่อย่างนั้น“เจ้าตามออกมาทีหลัง พ่อบ้านของทางนั้นบอกว่าอะไร เพราะอะไรเขาถึงได้ทำแบบนี้” คำถามของบิดาทำให้หลี่เม่าที่ดูเหมือนจะไม่ได้ตั้งใจฟังเรื่องราวที่อีกฝ่ายแก้ตัวเท่าไรเอ่ยเล่าทุกอย่างเท่าที่รับรู้“มีคนมาดูแลรักษาการทำหน้าที่เจ้าเมืองแทนหยางพ่านชุน เขาก็เลยออกมาหาที่อยู่ใหม่” หลี่อ้ายเฉินได้ยินเสียง เหอะ จากบิดาของนา
บทที่ 13การปรากฏตัวของชิงเอ๋อร์ทำให้หยางพ่านชุนรู้ว่าบิดาและมารดาของเขารับรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นทางนี้แล้ว ทั้งเรื่องที่บาดเจ็บและเรื่องที่เขาไม่อยากให้รู้อย่างเรื่องที่เขาหย่ากับหลี่อ้ายเฉินแล้วตอนที่เขายังไม่แต่งงานท่านแม่ก็สรรหาสตรีคนนั้นคนนี้มาให้เสมอ ๆ เขารู้ว่าที่บ้านใหญ่ต้องการให้เขาแต่งกับบุตรีของขุนนางสักคนเพื่อที่จะช่วยสนับสนุนกันเวลาที่เข้าประชุมเช้ากับฮ่องเต้ หรือเสนอฎีกาต่าง ๆ แต่เขาไม่ได้ชอบแม่นางพวกนั้นนี่ที่ปกติไม่อยากกลับไปที่บ้านใหญ่ก็เป็นเพราะเกรงพ่อแม่ของเขารวมถึงคนอื่นชอบแสดงท่าทางที่ไม่เหมาะสมกับภรรยาของตน ไม่นึกว่าครั้งนี้จะส่งแม่นางชิงเอ๋อร์มา มิรู้ว่าตระกูลของนางยอมปล่อยนางมาได้อย่างไร เป็นหญิงสาวยังไม่ได้ออกเรือนแต่มาอยู่จวนของบุรุษ“ท่านพี่ข้าทำขนมมาให้ลองชิมดูไหมเจ้าคะ”
บทที่ 14“ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับข้าเลยนี่เชียงเชียง เจ้าไม่ต้องตามข่าวคราวเรื่องนี้แล้ว หรือว่าเจ้าว่างไปข้าจะให้ท่านพี่หางานให้เจ้าเพิ่มดีหรือไม่” เชียงเชียงส่ายหน้าหวือ “ข้าก็แค่อยากให้คุณหนูรับรู้ความเป็นจริง กะ..ก็เท่านั้น” รอยยิ้มเศร้าปรากฏขึ้นอีกครั้งบนใบหน้างดงามของหลี่อ้ายเฉิน และมันก็ทำให้เชียงเชียงที่มองอยู่ไม่เข้าใจนักความเป็นจริงหรือ หญิงสาวยิ้มเยาะตนเอง ช่างเป็นคำที่สะท้อนความรู้สึกได้ดีจริง ๆ ก่อนที่จะแต่งนั้นคงเป็นความฝัน แต่งมาสักพักคงเป็นความจริงสินะ มันถึงขมจนกลืนไม่ลงแต่ก็จำได้ทุกอย่างไม่มีลืม ทั้งคำพูดที่หวานราวกับน้ำผึ้ง หรือแม้กระทั่งความเย็นชาราวกับชีวิตช่วงนั้นมีแต่ฤดูหนาวที่มีแต่หิมะก็ยังตราตรึงอยู่ในทุกห้วงความทรงจำทั้งวาจาที่เอ่ยบอกว่าไม่เป็นอะไร
บทที่ 41หลังจากการสอบสิ้นสุด จอหงวนใหม่ก็ถูกย้ายมาเป็นเจ้าเมือง แน่นอนว่าคนคนนั้น คือคนที่ทั้งเมืองแห่งนี้รู้จักดี เพราะคือบุตรชายของอดีตเจ้าเมือง ในยุคบิดาทำดีมาเช่นไร ยุคบุตรชายก็ทำดีไม่ต่างกัน เพียงแต่เพราะเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาและยังโสดแถมอายุก็ยังน้อยกว่ายามที่บิดาของตนมาเป็นเจ้าเมืองเสียอีก จึงยิ่งทำให้บรรดาคุณหนูทั้งหลายต่างหมายปองเจ้าเมืองหนุ่มผู้นี้ไม่ต่างจากสมัยบิดาและยิ่งทุกคนรู้ว่าชายหนุ่มยังไม่ปักใจรักใคร่ใครเป็นพิเศษแล้ว ก็ต่างหวังว่าตนเองอาจจะมีสิทธิ์ แต่ดูเหมือนเชื้อจะไม่ทิ้งแถว ลูกไม้ย่อมไม่ตกไกลต้น เจ้าเมืองหนุ่มเอาแต่ทำงานจนบรรดาแม่นางทั้งหลายต่างเมินหน้าหนี“นิสัยเสียนี้ลูกดันไปเหมือนท่านได้อย่างไรกัน” เสียงตำหนิไม่จริงจังจากมารดา เสี่ยวชิงเพียงแค่ส่งยิ้มรับหยางพ่านชุนไม่ได้มองว่านี่ไม่ดี “เขายังเด็กกว่าข้า ทั้งยังไม่มีคนรัก อาจจะเหมือนข้าวัยเยาว์ที่เอาแต่อ่านตำราเพื่อสอบมากกว่า ที่สำคัญเพราะอาชิงใช้ความรักของพวกเราเลี้ยงมา เจ้าเห็นหรือไม่ ถึงเขาจะไม่กลับมาจวนทุกวันเพราะนอนที่จวนเจ้าเมือง แต่ก็กลับมาทุกอาทิตย์ หากเขามีคนรักข้าก็เชื่อว่าเขาจะทำได้ดี อีกทั้
บทที่ 40“แม่ไม่อยากให้เจ้าไปเมืองหลวงเลย” วันเวลาผ่านไปยามนี้เสี่ยวชิงเป็นหนุ่มแล้ว แต่เพราะความสนิทสนมในครอบครัวจึงทำให้อ้ายเฉินตัดใจให้ลูกจากไปไกลตาได้ยาก “เจ้าก็ให้ลูกไปเถอะ เขาจะไปสอบเพื่อจะกลับมาเป็นเจ้าเมืองแทนข้าไม่ดีหรือ” เรื่องนั้นย่อมเป็นเรื่องดีแต่การต้องจากบุตรชายเกือบสามปีและถ้าสอบได้อาจจะนานกว่านั้นทำให้น้ำตาของอ้ายเฉินไหล“เจ้าไปเถอะเสี่ยวชิง ยื้อกันไว้เช่นนี้วันนี้ก็คงไม่ได้ไป” อาการของภรรยาในวันนี้ทำให้หยางพ่านชุนอดคิดไปถึงเรื่องราวในอดีตไม่ได้ ถึงจะแทบตัดพ่อตัดลูกไปแล้วแต่อย่างไรก็ยังคงแอบคิดถึงตอนเขาไปที่ใดก็ตามมีเพียงท่านพ่อบ้านที่ตอนนี้ชราเต็มทีแล้วพอนึกได้ว่าอีกฝ่ายจะจากไปในเวลาอันใกล้นี้ก็ส่งจดหมายไปขอบคุณ แม้ชางเกิงจะหลงผิดไปบ้าง แต่ชางเกิงก็เป็นคนที่ดูแลเขามาตลอด หยางพ่านชุนส่งคนไปรับชายชรากลับมาอยู่ที่จวนเจ้าเมืองกับเขาอีกครั้ง ตอนนี้ชางเกิงคงชรามากแล้วคงไม่สามารถทำอะไรภรรยาของเขาได้อีก อีกทั้งอำนาจในจวนเจ้าเมืองตอนนี้ล้วนเป็นของภรรยาเขา“ภรรยารัก ลูกไปเพื่อความเจริญนะ เหมือนที่ท่านพ่อที่ท่านพี่ของเจ้าต้องเดินทางไกลไปหาสินค้าแปลก ๆ มาขาย” อ้ายเฉินพยักหน้
บทที่ 39หลี่อ้ายเฉินกลับมาดูแลสามีของนางที่จวน เรื่องที่เกิดขึ้นมันทำให้นางเกือบลืมเรื่องก่อนหน้านี้ที่คุยกับบิดา“ข้ากังวลแทบแย่คิดว่าท่านจะเป็นอะไรไปแล้ว” หยางพ่านชุนดึงคนรักเข้ามากอด “ข้าจะไม่ทำอะไรไม่ระวังตัวเช่นนี้อีก ครั้งนี้เพราะเด็กคนนั้นเขาเหมือนเสี่ยวชิงมากจริง ๆ ข้าที่กำลังกังวลหลาย ๆ เรื่องอยู่จึงเผลอกระโดดตามเด็กไป และที่จริงตอนแรกมันก็ไม่อันตราย แต่หลังจากข้าส่งเด็กขึ้นมาฝายก็พังทำให้น้ำไหลแรง จนดึงขึ้นฝั่งไม่ได้” หลี่อ้ายเฉินมองสามีด้วยสายตาไม่พอใจ“เมื่อก่อนก็ทำตัวเสี่ยงตายเช่นนี้ใช่หรือไม่” แม้จะอยากตอบว่าไม่แต่เขาก็ทำเช่นนั้นจริง ๆ “ท่านพี่ต้องนึกว่าที่จวนมีข้ากับลูกรออยู่สิเจ้าคะ จะได้ระมัดระวังตัวเองมากกว่่านี้” หยางพ่านชุนเห็นภรรยาเป็นห่วงก็รู้สึกผิดเหมือนกัน “ต่อไปข้าจะระวังตัวตลอดเจ้าไม่ต้องกังวลใจไป ที่จริงเรื่องนี้ข้าไม่ต้องไปดูเองก็ได้ แต่ไหน ๆ ก็ผ่านไปเลยแวะดูไม่นึกว่าจะมีปัญหา”“ของหลาย ๆ อย่างทำเอาไว้แล้วก็ต้องหาคนเฝ้า หาคนบูรณะ ไม่เช่นนั้นก็พังไปตามเวลา” แม้จะรู้ข้อที่ภรรยาบอกเป็นอย่างดี แต่พอมีเรื่องยุ่งหลาย ๆ อย่างจึงลืมที่จะส่งคนไปดูแลเป็นพิเศษ “ท่านพ
บทที่ 38“สามีของลูกเขาเป็นอะไรหรือเปล่าช่วงนี้เขาดูแปลก ๆ ไปนะ” บิดาของอ้ายเฉินถามบุตรสาว เพราะเป็นคนที่ทำการค้าจึงมองคนต่างจากคนอื่น และสัมผัสได้ไวกว่า“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เหมือนว่าเขายังคงติดอยู่กับความผิดครั้งก่อน” อ้ายเฉินพูดออกไปคล้ายจะเป็นการคาดเดาแต่จริง ๆ นางรู้ว่านี่แหละคือต้นตอของปัญหาในจิตใจของสามีของนางแม้ว่าหยางพ่านชุนจะทำทุกอย่างได้ดีแล้ว แต่ก็ยังมีความรู้สึกส่วนหนึ่งที่อีกฝ่ายยังทิ้งไปไม่ได้“คุยกันบ้างหรือยังลูก เกี่ยวกับเรื่องครั้งก่อน” มารดาเอ่ยถามด้วยเสียงอ่อนโยนอ้ายเฉินพยักหน้า “แน่นอนเจ้าค่ะ หลายครั้งแล้ว แต่เขาก็ยังคงรู้สึกผิดอยู่ดี” คนเป็นพ่อได้ฟังก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อีกอย่างเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องที่หนักอกหนักใจทั้งบุตรสาวและลูกเขยนั่นคืออะไร “ลองเปิดใจคุยรายละเอียดกันดูอีกครั้ง แม้ว่าจะทำให้เจ็บแต่นั่นก็สามารถช่วยทำให้แผลที่มีสมานได้” มารดาเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แม้นางจะพูดน้อย นิ่งสงบในทุกเรื่อง แต่ยามใดที่ติดใจและสงสัย นางก็จะเรียกสามีมาคุยจนกว่าจะเข้าใจกัน ไม่เคยปล่อยผ่านให้เรื่องราวข้ามคืนเลยสักครั้ง จึงรักษาชีวิตคู่ที่สงบสุขมาได้จนถึ
บทที่ 37หลังจากอ้ายเฉินคลอดลูกคนแรกจวนทั้งสองก็ถูกทุบกำแพงเพื่อเปิดหากันตอนนี้หยางพ่านชุนถือว่าบิดาของภรรยากับพี่ชายภรรยาเป็นคนในครอบครัวมากกว่า ตระกูลใหญ่ของเขาซะอีก หลังจากเรื่องวุ่นวายต่าง ๆ ผ่านไป เขาก็ไม่ได้กลับไปร่วมพิธีไหว้บรรพบุรุษที่เมืองหลวงอีกเลย แม้จะรู้สึกผิดแต่หากต้องเสี่ยงชีวิตลูกเมียเขายอมที่จะเป็นคนอกตัญญูวันเวลาหมุนผ่านไปจนเสี่ยวชิงโตจนวิ่งได้ เป็นบุตรชายของพวกเขามาเกิดใหม่อย่างแน่นอนเพราะใบหน้าที่คงยังเหมือนเดิมทุกประการ แต่นิสัยกลับไม่เหมือนเดิมแม้แต่น้อย คงเป็นเพราะการเลี้ยงดูและลุงกับท่านตาที่ตามใจจนบางทีหยางพ่านชุนก็กลัวบุตรชายคนโตจะเสียคนและตอนนี้พวกเขาไม่ได้มีบุตรชายเพียงแค่คนเดียวแต่ยังมีบุตรสาวอย่างอี้อี้ด้วย เสี่ยวชิงเป็นพี่ชายที่ดีคอยดูแลน้องสาว ไม่ได้เหงาโดดเดี่ยวเหมือนชาติก่อน ความสัมพันธ์ของครอบครัวตอนนี้ไม่ได้เหมือนกับชาติก่อน ทุกคนต่างมีรอยยิ้มให้กัน และอยู่กันอย่างมีความสุข อะไรที่ไม่ดีก็ถูกตัดไปจากชีวิต พ่อบ้านที่เคยช่วยเหลือหยางพ่านชุนมาตั้งแต่เด็กก็ถูกส่งกลับไปอยู่ที่เมืองหลวง เขาจ้างคนใหม่ให้คอยดูแลคุณหนูและคุณชายน้อยต่อไปเด็กทั้งสองไม่เคยได
บทที่ 36การปราบโจรได้ทำให้การค้าในเมืองคึกคักขึ้นเพราะไม่ต้องกลัวว่าจะถูกปล้นระหว่างเดินทางข้ามเมือง ทุกอย่างค่อย ๆ เป็นไปในทางที่ดีขึ้น เรื่องนี้ทำให้ทั้งตระกูลหลี่ และเจ้าเมืองอย่างหยางพ่านชุนเจริญก้าวหน้าขึ้นไปอีก ต่างจากตระกูลใหญ่ของเจ้าเมืองหนุ่มที่หลังจากชิงเอ๋อร์กลับไปที่ตระกูลตน บิดาของเขาและบิดาของหญิงสาวก็ไม่ติดต่อกันอีกเนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับบุตรสาวทางตระกูลใหญ่ที่มักจะชอบใช้วิธีรวมหมู่รวมก๊ก พอพันธมิตรหลักไม่อยู่ซะแล้ว คนอื่น ๆ ก็เริ่มหนีหน้า จากที่เคยกร่างได้ก็ต้องหลบอยู่แต่ในมุมของตนเอง เพราะถึงทุกคนจะรู้ว่ามีบุตรชายเป็นเจ้าเมืองและเป็นถึงขุนนางขั้นสามแต่ใคร ๆ ก็รู้ว่าทั้งสองไม่ถูกกัน นั่นไม่ใช่เพราะใครแต่เพราะความปากมากของบิดาของหยางพ่านชุนเอง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเอ่ยกับสหายสนิทว่าเขาไม่ได้คาดหวังกับบุตรชายคนนี้ อีกทั้งเขายังไม่ใช่คนโปรดและตอนที่หยางพ่านชุนได้ดี ก็ไม่เห็นขุนนางเฒ่าผู้นี้จะเอาเรื่องของบุตรชายมาโอ้อวดซึ่งแปลกจึงทำให้ทุกคนคิดว่าเรื่องที่บาดหมางกันนั้นคงจะเป็นจริง แน่ ๆถึงแม้ว่ายามนี้หยางพ่านชุนจะกลับมาทำงานเป็นเจ้าเมืองเหมือนเดิมแล้ว แต่เขาก็ยังคงมาพ
บทที่ 35“ท่านพ่อตาข้าโง่เขลาได้โปรดให้คำแนะนำข้าด้วย” คนมีอายุส่ายหัวก่อนจะหันไปสบตาคู่ชีวิตของตน“หากข้าบอกแล้วจะมีประโยชน์อะไร อะไรที่เคยทำผิดเจ้าก็เอาสิ่งนั้นเป็นบทเรียน อะไรที่ดีอยู่แล้วก็เก็บเอาไว้ ความสัมพันธ์มันก็เป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจดูแลไม่ต่างจากงานหรอกนะท่านเจ้าเมือง ข้าพูดจนเหนื่อยแล้ว หากมีอะไรก็ค่อยคุยกันวันหลังเถอะ ป่ะฮูหยินเราสองคนไปพักผ่อนกันเถอะ” หยางพ่านชุนพยักหน้ารับปล่อยให้พ่อตาโอบพยุงหลี่ฮูหยินกลับเรือนพักผ่อน แต่ก็ไม่วายร้องถาม “ข้าขอคุยกับอ้ายเฉินได้หรือไม่”“นั่นมันแล้วแต่นาง หลี่เม่าไปกินข้าวกันเถอะ” แม้จะบอกว่าแล้วแต่บุตรสาว แต่การเรียกไปแต่บุตรชายก็เหมือนจะเปิดโอกาสให้แล้ว“อ้ายเฉินทำเช่นไรดีเรื่องคงไม่ง่ายแล้ว” แม้เหมือนพ่อตาจะเปิดโอกาส แต่หยางพ่านชุนก็ไม่รู้ว่าต้องเริ่มเช่นไรหญิงสาวยิ้มอย่างพอใจ “ข้าว่าท่านพ่อก็มีเหตุผลนะเจ้าคะ บางทีพวกเราอาจจะต้องใช้เวลากันอีกสักพัก”“แต่อีกไม่นานพระราชโองการก็จะมาถึง ข้าอยากให้เจ้าได้ตำแหน่งฮูหยินบันทึกเอาไว้ด้วย ที่จริงข้าส่งชื่อเจ้าไปแล้วด้วย”หลี่อ้ายเฉินได้ฟังก็ขมวดคิ้ว “นิสัยชอบตัดสินใจเองของท่านนี่เมื่อไรจะหายเจ
บทที่ 34“ท่านพี่ให้เขาเข้ามาเถอะเจ้าค่ะ” อ้ายเฉินที่มาตั้งแต่เมื่อไรแล้วก็ไม่รู้เอ่ย “แต่ว่า” หลี่เม่ายังคงไม่ไว้ใจอดีตน้องเขยคนนี้เท่าไรนัก“ข้าเข้าใจที่ท่านจะไม่ไว้ใจข้า แต่วันนี้ข้าจะมาอธิบายเรื่องราวและขอโทษในสิ่งที่ข้าทำผิด” หลี่เม่าพ่นลมหายใจแรง “เหอะขุนนางอย่างท่านเนี่ยนะ จะมาขอโทษชาวบ้านเช่นนี้” หยางพ่านชุนคุกเข่าลงไปตรงหน้าพี่ชายภรรยา“ข้าไม่ได้ขอโทษชาวบ้านธรรมดาทั่วไป แต่ข้าขอโทษภรรยา ข้าทำผิดต่อนาง ที่ข้าเอาแต่ทำงานจนละเลยนาง ทั้งยังขอโทษคนตระกูลหลี่ที่ทำให้ได้รับชื่อเสียงเสียหายจากการหย่าด้วย แต่ข้าและอ้ายเฉินไม่เคยหย่าขาดกัน หากท่านพี่จะให้ข้าแต่งนางอีกครั้งข้าก็ไม่ขัด เรื่องที่ผ่านมาเป็นเพียงการเข้าใจผิดเท่านั้น” แม้หยางพ่านชุนจะเอ่ยเช่นนั้น แต่การที่แม่นางชิงเอ๋อร์ผู้นั้นมาอยู่ในจวนเดียวกันกับชายหนุ่มนานนับเดือนก็เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดคำครหาได้หลี่อ้ายเฉินเห็นท่าไม่ดีจึงเรียกพี่ชายพร้อมทั้งหยางพ่านชุนเข้าไปคุยด้านใน “ท่านพี่ลองฟังเขาก่อนเถอะ บางทีอาจจะเป็นข้าที่หุนหันไปเอง” หลี่เม่ามองหน้าน้องสาวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าไม่ฟังคำพี่อีกแล้วหากเขาทำให้เจ้าเสียใจอีกเล่า
บทที่ 33แสงอาทิตย์ยามบ่ายสาดส่องผ่านเมฆหม่น มอบแสงสว่างอันอบอุ่นให้กับสถานที่ที่เงียบงัน แต่สำหรับเขา มันไม่มีความหมายอะไรเลย ความเศร้าโศกในใจเขาหนักหนาจนไม่สามารถรู้สึกถึงความอบอุ่นใดๆ ได้เขาคุกเข่าลงหน้าหลุมศพ วางมือสั่นเทาลงบนดินที่เย็นเยียบ ความทรงจำกับคนรักหลั่งไหลเข้ามาในใจ ทั้งเสียงหัวเราะและคำพูดหวานหูที่เคยพูดกัน ความเจ็บปวดในใจเขาเพิ่มขึ้นทุกวินาที เหมือนมีดบาดลึกเข้าไปในหัวใจอย่างไม่หยุดยั้งน้ำตาไหลอาบแก้มอย่างเงียบงัน เขาปล่อยให้น้ำตาไหลลงไปบนดินและดอกไม้เหมือนกับความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายได้ เขากระซิบคำพูดที่ไม่สามารถกล่าวได้เมื่อตอนนางยังมีชีวิตอยู่ "ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกินอ้ายเฉิน ทุกวันที่ผ่านไป มันเหมือนกับเวลาหยุดเดิน ข้าไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไรที่ไม่มีเจ้า"ลมเย็นพัดผ่าน สายลมที่เย็นเฉียบเหมือนกับความเหงาและความเดียวดายที่เขารู้สึก เขาทรุดตัวลงอย่างช้า ๆ โอบกอดป้ายชื่อของคนรักด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอาลัย“นายท่านอย่าทำแบบนี้เลยขอรับ” น้ำตาที่เคยไหลออกมาตลอดการจากไปของภรรยาและบุตร ไหลออกมาอีกครั้ง “ข้าไม่อยากอยู่แล้วมันเจ็บเหลือเกิน” หยางพ่านชุนเอ