ในช่วงบ่ายอันร้อนระอุ กานต์นั่งทำงานอยู่ในสำนักงานไม้ที่ปาง ท่ามกลางเสียงเครื่องจักรและเสียงคนงานที่ทำงานกันอย่างขะมักเขม้น ทันใดนั้น เสียงทะเลาะวิวาทจากข้างนอกก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้กานต์ต้องลุกขึ้นและเดินไปดูสถานการณ์
เมื่อกานต์มาถึงจุดเกิดเหตุ เขาเห็นคนงานสองกลุ่มกำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรง ท่าทางดุดันและสีหน้าที่เคร่งเครียดของพวกเขาทำให้กานต์รู้สึกกังวล กานต์พยายามเข้าไปห้ามปรามและพูดให้ทุกคนสงบลง แต่ดูเหมือนว่าคำพูดของเขาจะไม่มีผลกับใครเลย ต่างคนต่างหน้ามืดไม่ยอมฟังเสียงของกานต์ ในจังหวะที่ความรุนแรงเพิ่มขึ้น หนึ่งในคนงานก็พลาดไปผลักกานต์จนกระเด็นไปไกล เขาล้มลงกับพื้นอย่างแรง ขาแพลงและรู้สึกเจ็บปวดแผ่ซ่านจนแทบยืนขึ้นไม่ไหว เสียงร้องด้วยความเจ็บของกานต์ถูกกลบด้วยเสียงทะเลาะที่ยังไม่สิ้นสุด คนงานบางคนที่เห็นเหตุการณ์เริ่มตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและพยายามเข้ามาช่วย แต่ความเสียหายก็เกิดขึ้นแล้ว กานต์นอนอยู่กับพื้น หายใจแรงด้วยความเจ็บปวด ขณะที่สถานการณ์รอบตัวเขาเริ่มค่อยๆ สงบลง มิ่งและลุงอุ้ยเห็นเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นจากระยะไกล ทั้งสองรีบเร่งฝีเท้าพร้อมกับคนงานอีกกลุ่มหนึ่งที่ตามมาด้วยความร้อนรน เมื่อพวกเขาเข้าใกล้มากพอที่จะเห็นความวุ่นวายทั้งหมด มิ่งไม่รอช้า เขาตะโกนสั่งเสียงเข้มก้องไปทั่วปาง “หยุดเดี๋ยวนี้!” แต่คนงานที่กำลังต่อสู้กลับไม่มีใครฟัง ท่ามกลางความวุ่นวาย “ปัง! ปัง!” เสียงปืนกึกก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณทำให้ทุกคนหยุดชะงักทันที เสียงอึกทึกเงียบลงในพริบตา ทุกสายตาหันมามองมิ่งที่กำลังถือปืนอยู่ “หยุดเดี๋ยวนี้! หรืออยากเจออะไรที่แรงกว่านี้?” มิ่งตะโกนเสียงดังอย่างดุดัน พร้อมกับจ้องมองคนงานแต่ละคนด้วยความโกรธ เมื่อเสียงสั่งการดังขึ้น คนงานทุกคนค่อยๆ คลายตัวจากการต่อสู้ ความโกรธในดวงตาของพวกเขาลดลงแทนที่ด้วยความกลัว มิ่งและลุงอุ้ยรีบเข้าไปหากานต์ที่นอนอยู่บนพื้นอย่างเจ็บปวด พวกเขาช่วยกันประคองกานต์ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง พร้อมส่งสัญญาณให้คนงานคนอื่นๆ รีบเคลียร์พื้นที่และกลับไปทำงานตามปกติ ลุงอุ้ยรีบวิ่งเข้ามาช่วยกานต์ที่นอนเจ็บอยู่บนพื้น ลุงอุ้ยและคนงานอีกสองคนช่วยกันประคองกานต์ขึ้นมา ………………………………………………………….. มิ่งยืนกอดอกมองหมอที่กำลังตรวจอาการของกานต์อยู่ หมอที่ตรวจเสร็จแล้วพูดขึ้น “ไม่หักครับ แต่ต้องใส่เฝือกอ่อนครับ คงต้องพักสักอาทิตย์นะครับ น่าจะเดินไปมาในปางไม่ไหว” กานต์ที่นั่งอยู่บนเตียงหันไปมองหมอด้วยความตกใจ “ไม่น่าเป็นไรมากนะครับคุณหมอ ขอไม้เท้าเพิ่มมาก็พอครับ หยุดเป็นอาทิตย์ไม่น่าไหวหรอกครับ งานผมเยอะมากครับ” หมอพยักหน้าให้เข้าใจ “เข้าใจครับ แต่นี่คือทางเลือกที่ดีที่สุด หากคุณยังคงเดินมากเกินไปอาจทำให้บาดเจ็บหนักขึ้นได้ ผมแนะนำให้พักผ่อนตามที่กล่าวไว้ดีที่สุดครับ” มิ่งมองกานต์ที่ดูตกใจและกังวล เขาเดินไปหากานต์และพูดเสียงต่ำแต่หนักแน่น “คุณต้องพักครับ ไม่เช่นนั้นอาการอาจจะทรุดลงไปกว่านี้ และงานที่คุณพูดถึงก็จะล่าช้ากว่าเดิมอีก” กานต์หันมามองมิ่ง “แต่ผม...” “ไม่ต้องพูดครับ” มิ่งตัดบท “ผมจะจัดการเรื่องงานให้คุณเอง และจะหาไม้เท้ามาให้คุณด้วย ส่วนเรื่องการพักผ่อน คุณต้องทำตามคำแนะนำของหมอเพื่อให้หายเร็วที่สุด” กานต์ยิ้มบาง ๆ รู้สึกถึงความห่วงใยจากมิ่ง “ขอบคุณครับมิ่ง” ……………………………………………………………… ธนินได้รับข่าวจากลุงอุ้ยว่าเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้กานต์ได้รับบาดเจ็บ เขารีบบึ่งรถกลับมาที่ปางด้วยความรีบร้อนและไม่สบายใจ โดยไม่รอช้า เขาขับรถอย่างเร็วเต็มที่เพื่อให้ถึงที่ปางให้เร็วที่สุด แต่เมื่อลงจากรถ ธนินได้รับรู้จากลุงอุ้ยว่ามิ่งได้พากานต์ไปหาหมอแล้ว ธนินเดินไปที่ระเบียงบ้านใหญ่ พยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเอง แต่ความรู้สึกภายในเขากำลังร้อนเป็นไฟ เขายืนกอดอกมองดูที่รถและทางเข้าอย่างไม่สบอารมณ์ ดวงตาคมของเขาสะท้อนถึงความห่วงใยและความวิตกกังวลที่ไม่สามารถซ่อนเร้นได้ มิ่งจอดรถแล้วรีบไปเปิดประตูข้างให้กานต์ ร่างบอบบางที่ต้องการความช่วยเหลือถูกประคองขึ้นจากรถ มิ่งจับมือกานต์ไว้แน่น ขณะช่วยพาเขาเดินเข้ามาในบ้าน เขาเห็นมิ่งประคองกานต์เข้าไปในบ้านและลุงอุ้ยที่อยู่ข้างล่างก็มาช่วยอีกข้าง ภาพนั้นกระตุ้นให้ธนินรู้สึกหงุดหงิดและร้อนรนอย่างมาก ความรู้สึกนี้ไม่ได้มาจากแค่ความกังวลต่ออาการบาดเจ็บของกานต์ แต่ยังรวมถึงความไม่พอใจที่เห็นคนอื่นเข้ามาใกล้ชิดคนของเขามากเกินไปธนินเดินตามมาที่บ้านใหญ่ ใจเขาเต้นรัวเมื่อเห็นกานต์อยู่บนบันได ขึ้นไปด้วยท่าทางไม่มั่นคง เขาเห็นกานต์เก้ๆ กังๆ พยายามปีนบันไดอย่างยากลำบากและยังต้องอาศัยไม้เท้าช่วยพยุงตัวเองธนินรีบก้าวไปข้างหน้าและตรงเข้าไปหากานต์ โดยไม่รอให้เขาเห็นหรือขออนุญาต เขาจับไม้เท้าแล้วดึงกานต์เข้าไปในอ้อมแขนของเขาอย่างรวดเร็วและอ่อนโยน“ให้ผมช่วยคุณ” ธนินพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและแรงดึงดูดที่เขาไม่สามารถปกปิดได้ ธนินในสภาพเปลือยท่อนบน เผยให้เห็นแผงอกใหญ่ที่เต็มไปด้วยรอยสักอันทรงพลัง ผิวแทนเข้มขับให้รอยสักยิ่งโดดเด่น เขาสวมเพียงกางเกงแพรตัวหลวม ตวัดแขนแข็งแรงรอบร่างบอบบางของกานต์ที่ขาแพลงโดยไม่พูดอะไร กานต์ที่ถูกยกร่างอย่างไม่ทันตั้งตัวรู้สึกกระดากใจและอายอย่างบอกไม่ถูก หน้าเขาแดงระเรื่อ ขณะที่พยายามข่มความรู้สึกอึดอัดในใจ ธนินอุ้มกานต์เดินตรงไปยังห้องนอนอย่างมั่นคง ราวกับน้ำหนักของกานต์เป็นเพียงขนนก กานต์หลบสายตาไม่กล้ามองตรงไปยังแผงอกของธนิน แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธความร้อนจากร่างกายที่แนบชิดได้ หัวใจของเขาเต้นระรัว ขณะถูกธนินพาเข้าไปในห้อง รู้สึกสับสนระหว่างความกลัวและความหวั่นไหวที่ปะทุขึ้
มิ่งเดินเคียงข้างกานต์ขณะที่พวกเขาเดินไปตามทางมืดที่มีไฟฉายส่องนำทาง ท้องฟ้าสีดำยามค่ำคืนถูกปกคลุมไปด้วยดาวระยิบระยับที่ดูเหมือนจะส่องแสงระยิบระยับทั่วทั้งท้องฟ้า"ดาววันนี้สวยจังนะครับคุณกานต์" มิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่สดใสขณะเดินไปตามทางดินที่นำไปสู่บ้านพัก "พอดีว่าวันนี้อากาศดีมาก คุณอาจจะต้องรู้สึกดีขึ้นหน่อยนะครับ" กานต์ยิ้มเล็กน้อย แต่ดวงตาของเขายังเต็มไปด้วยความคิดถึงและความรู้สึกที่ซับซ้อนจากค่ำคืนที่ผ่านมา "ครับ มิ่ง ดาวสวยจริง ๆ" เขาตอบเบา ๆ ขณะที่มองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว "แต่วันนี้ผมรู้สึกว่ามันจะสวยขึ้นมาก ถ้ามันไม่ได้มีบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกซับซ้อน"มิ่งหันมองกานต์ด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย "มีอะไรหรือเปล่าครับ? ดูเหมือนว่าคุณกานต์จะไม่ค่อยสดใสนัก"มิ่งถามด้วยความสงสัย ขณะเดินไปยังประตูบ้านที่เปิดกว้าง "คิดถึงบ้านเหรอครับคุณกานต์? เคยอยู่แต่ในเมืองใหญ่ ต้องมาทำงานอยู่กลางป่าอย่างนี้คงเหงาน่าดู"กานต์หันไปมองมิ่้ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความคิดถึง "ใช่ครับ มิ่ง ตอนแรกมันก็ดูแปลกใหม่และน่าตื่นเต้น แต่บางครั้งผมก็คิดถึงความสะดวกสบายและความคุ้นเคยของเมืองใหญ่"มิ่งย
ลุงอุ้ยเอ่ยขึ้นหลังจากที่ธนินหันกลับไปสนใจคนงานคนอื่น "นายหัวว่าให้คุณกานต์พักที่เรือนหลังใหญ่ครับ" เสียงของลุงอุ้ยนั้นแผ่วเบา แต่ชัดเจน กานต์หันมองลุงด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย"เรือนใหญ่ที่นายหัวพักอยู่?" กานต์ถามซ้ำ รู้สึกแปลกใจกับการจัดที่พักให้เขา ซึ่งเป็นสถานที่ที่ดูเงียบสงบและเป็นส่วนตัวอย่างมาก ลุงอุ้ยพยักหน้า "ใช่ครับ ที่นั่นเงียบสงบ ห่างไกลจากผู้คน นายหัวไม่ชอบให้ใครเข้าออกเรือนนั้นมากนัก จะมีแค่ป้าพิไลที่มาทำอาหารกับทำความสะอาดตามเวลา แล้วก็ไม่ได้พักที่นั่นหรอกครับ แค่เข้ามาทำงานแล้วก็กลับไป"กานต์ฟังแล้วรู้สึกถึงบรรยากาศที่เงียบสงัดของสถานที่นั้น เขาพยายามทำใจรับสถานการณ์ แต่ในใจก็ยังคงรู้สึกประหม่า ความเงียบของเรือนใหญ่ดูจะเป็นความเงียบที่มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่"ผมต้องอยู่คนเดียวเหรอครับ?" กานต์ถามเสียงเบาลุงอุ้ยหัวเราะเล็กน้อย "ใช่ครับ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก คุณกานต์ เดี๋ยวก็ชินไปเอง" หลังเรือนใหญ่ที่กานต์กำลังจะย้ายเข้าไปพักเป็นพื้นที่สวนขนาดใหญ่ที่รายล้อมด้วยดอกไม้นานาพรรณ สีสันสดใสและกลิ่นหอมของดอกไม้ในสวนทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลาย แม้เรือนจะตั้งอยู่ห่างไกลผู้คน แต่สว