ธนินมองกานต์ที่นอนหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนจากฤทธิ์ของไข้และยา เขานั่งลงข้างเตียงอย่างระมัดระวัง ถอนหายใจยาวๆ พร้อมกับความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย
การสัมผัสของเขาที่ผ่านมาทำให้เขารู้สึกถึงความร้อนแรงและความรู้สึกที่คับข้องใจ แต่เมื่อเห็นกานต์หลับไปอย่างสงบ ธนินรู้สึกได้ถึงความโล่งใจ แม้จะยังคงรู้สึกถึงความตึงเครียดที่เขาพยายามจะควบคุม แต่ในที่สุดสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำให้กานต์รู้สึกดีขึ้นและปลอดภัย เขาพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นไปยังโต๊ะข้างเตียงหยิบผ้าชุบน้ำเย็นมาเช็ดเบาๆ ที่หน้าผากของกานต์ เพื่อช่วยลดความร้อนในร่างกาย จากนั้นเขานั่งลงอีกครั้ง มองดูใบหน้าของกานต์ที่ตอนนี้สงบและผ่อนคลาย ธนินรู้สึกว่าการจัดการกับอารมณ์ของเขานั้นยากมากเพียงใด แต่การเห็นกานต์นอนหลับอย่างสงบทำให้เขารู้สึกได้ถึงความสงบและความพึงพอใจในระดับหนึ่ง เขารู้ว่าตัวเขาเกือบจะสูญเสียการควบคุม แต่เขาก็พยายามเต็มที่เพื่อให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เขายิ้มให้กับตัวเองเล็กน้อยเมื่อมองดูร่างกายของกานต์ที่นอนอยู่ในสภาพที่สงบ ในที่สุดก็ทำให้เขาสามารถปล่อยความรู้สึกทั้งหมดไปได้ชั่วคราว ป้าพิไลถือถาดอาหารเดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบเชียบ เธอวางถาดลงบนโต๊ะข้างเตียงด้วยความระมัดระวัง แล้วหันไปมองที่กานต์ที่นอนหลับอยู่บนเตียง “อาหารมาแล้วค่ะคุณกานต์” ป้าพิไลพูดเสียงเบาๆ อย่างอ่อนโยน เพื่อไม่ให้กานต์สะดุ้งตื่น “นายหัวออกไปทำงานแล้วนะคะ ท่านสั่งให้ป้าอยู่เป็นเพื่อนคุณกานต์ในช่วงนี้ ห้ามให้ใครเข้าไปกวน คุณธนินบอกแล้วว่าต้องดูแลคุณกานต์ให้ดีๆ” ………………………………………………………… กานต์นั่งพิงเก้าอี้ตรงระเบียง ปล่อยสายตาไล่ตามวิวทิวทัศน์ที่แผ่กว้างออกไปเบื้องหน้า เขาเห็นภูเขาสูงตระหง่านทอดยาวสลับซับซ้อน ปกคลุมด้วยต้นไม้เขียวขจีที่ดูเหมือนพรมผืนใหญ่ที่ธรรมชาติปูไว้อย่างบรรจง ท้องฟ้าสีครามสดใสกับเมฆขาวลอยละล่อง ทำให้ทิวเขาดูสงบงามและยิ่งใหญ่ในคราเดียวกัน ใกล้ ๆ กันนั้น เป็นสวนดอกไม้ที่จัดอย่างงดงามตามสไตล์ของนายหัวธนิน ดอกไม้นานาพรรณเบ่งบานอวดสีสันสดใส ทั้งสีแดงของดอกกุหลาบ สีเหลืองสดของดอกดาวเรือง และสีม่วงอ่อนของดอกลาเวนเดอร์ กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากสวนดอกไม้พัดมากับสายลมเย็น ทำให้กานต์รู้สึกผ่อนคลายจากความวุ่นวายที่รุมเร้าในใจ สวนนี้ถูกดูแลอย่างพิถีพิถัน ทุกตารางนิ้วแสดงถึงความใส่ใจของเจ้าของ ทุกต้นไม้ ทุกดอกไม้ เติบโตอย่างอิสระแต่เป็นระเบียบ ภาพนี้ทำให้กานต์รู้สึกถึงความสงบและความปลอดภัย เป็นสถานที่ที่แตกต่างจากชีวิตวุ่นวายในเมืองใหญ่ "ที่นี่มันสงบจริง ๆ" กานต์คิดในใจ ขณะสูดหายใจลึก ๆ รับความสดชื่นจากธรรมชาติรอบตัว เขาหลับตาลง พยายามปล่อยให้เสียงลมพัดผ่านใบไม้และเสียงนกร้องเบา ๆ ทำให้ความคิดที่รบกวนใจเขาจางหายไปชั่วครู่หนึ่ง แต่ความคิดในหัวกลับไม่หยุดพัก สายตาเขาทอดยาวออกไปไกล เห็นวิวของปางไม้ที่แสนสงบเงียบ มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขาในช่วงที่ผ่านมา ความทรงจำเก่า ๆ ไหลเวียนเข้ามาในหัว กานต์นึกถึงความวุ่นวายที่ตัวเองสร้างขึ้นในเมืองใหญ่ ปัญหาทางการงาน ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน และความกดดันที่ทับถมเขาไว้จนแทบหายใจไม่ออก มันเป็นเหมือนคลื่นลูกใหญ่ที่ทำให้เขาต้องหาทางหนี หนีจากความจริงที่เจ็บปวด หนีจากความผิดพลาดที่ตัวเองก่อ แต่แม้จะมาอยู่ในที่ที่สงบเงียบอย่างปางไม้แห่งนี้ ความรู้สึกผิดและความกลัวก็ยังคงตามมาหลอกหลอนเขา กานต์พิงหลังกับเก้าอี้และถอนหายใจยาว รู้สึกได้ถึงความสบายใจเพียงชั่วขณะหนึ่งที่ถูกแทนที่ด้วยความคิดถึงสิ่งที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจ "ทำไมถึงหนีมาถึงที่นี่นะ..." เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พลางหลับตาลง หวังว่าลมเย็น ๆ ที่พัดผ่านจะช่วยพัดพาความคิดฟุ้งซ่านนี้ไปสักที "ออกไปตากลมอะไรตรงนั้น!" เสียงดุเข้มดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้กานต์สะดุ้งตื่นจากภวังค์ทันที เขาหันไปมองและเห็นธนินยืนอยู่ที่ประตูระเบียง สีหน้าของเขาดูเข้มงวด และสายตาที่มองมาก็เต็มไปด้วยความกังวล "ผมแค่ออกมาสูดอากาศนิดหน่อยครับ" กานต์ตอบเสียงแผ่ว รู้สึกใจเต้นแรงเพราะเสียงดุนั้น แต่ก็พยายามเก็บความรู้สึกไม่ให้แสดงออกมากนัก ธนินเดินเข้ามาใกล้ มองกานต์ด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความห่วงใย "ร่างกายยังไม่หายดี อย่าเพิ่งออกมาเจอลมเจอแดด เดี๋ยวไข้จะกลับมาอีก" เขาพูดพร้อมกับเอื้อมมือมาจับต้นแขนของกานต์เบา ๆ กานต์มองธนินด้วยความรู้สึกหลากหลาย เขารู้ว่าธนินพูดถูก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นไหวกับความใกล้ชิดนี้ "ผมขอโทษครับ จะเข้าไปเดี๋ยวนี้" กานต์พูดเบา ๆ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ ไม่ทันที่กานต์จะได้ขยับตัวหรือพูดอะไรต่อ ธนินก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาตวัดแขนอุ้มกานต์ขึ้นมาแนบอกทันที การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและมั่นคงนั้นทำให้กานต์ตกใจ รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากร่างกายของธนินที่แนบชิดกับตัวเขาอีกครั้ง “อีกแล้ว...” กานต์พึมพำกับตัวเอง ใจเต้นแรงจนรู้สึกว่ามันอาจจะหลุดออกมาจากอก เขารู้สึกเหมือนถูกดูแลแต่ก็ถูกควบคุมในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้ทำให้กานต์ต้องพยายามรักษาสมดุลในใจเอาไว้ไม่ให้เตลิดไปไกล ธนินมองหน้ากานต์ที่ดูตกใจเล็กน้อย เขายิ้มบาง ๆ แต่ไม่พูดอะไร มือใหญ่ของเขากระชับร่างบางนั้นแน่นขึ้นนิดหนึ่งก่อนจะพาเดินกลับเข้าห้องอย่างมั่นคง ความเงียบในห้องถูกเติมเต็มด้วยเสียงหัวใจที่เต้นถี่ของกานต์ที่รู้สึกถึงการดูแลอย่างลึกซึ้งของธนินผ่านไปเกือบสองอาทิตย์แล้ว กานต์ฟื้นตัวจนหายดี คืนนี้เป็นคืนพิเศษที่มีงานเลี้ยงวันเกิดของมิ่งที่จัดขึ้นที่สำนักงาน คนงานมากมายต่างพากันมาเข้าร่วมงาน บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เสียงหัวเราะ ร้องเพลง และการดื่มกินรอบกองไฟมิ่งนั่งชิดกับกานต์ หัวเราะพูดคุยและดื่มอย่างไม่ขาดสาย เสียงเพลงและเสียงหัวเราะของพวกเขาดังขึ้นเรื่อย ๆ แต่ท่ามกลางความครึกครื้นนั้น บางคนกลับไม่รู้สึกสนุกไปด้วย ธนินยืนมองภาพนั้นจากที่ห่างออกมา ความโกรธเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเขา เขามองเห็นมิ่งที่นั่งใกล้ชิดกับกานต์มากเกินไป และท่าทางที่เป็นกันเองระหว่างพวกเขาทำให้เขารู้สึกไม่พอใจนายหัวลมออกหูแล้ว ความอิจฉาและความโกรธที่ถูกกักเก็บมานานเริ่มปะทุขึ้นในใจของเขา เขาไม่สามารถทนดูภาพนั้นได้อีกต่อไป ความคิดก็แล่นเข้ามาในหัวทันที “คงต้องรีบรวบหัวรวบหางซะแล้วสินะ” เขาคิดในใจ รู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องทำอะไรบางอย่าง ก่อนที่มิ่งจะคิดไม่ซื่อกับกานต์ ความใกล้ชิดและการหยอกล้อกันระหว่างมิ่งและกานต์ทำให้ธนินรู้สึกไม่สบายใจ เขารู้ดีว่าตัวเองจะต้องลงมือก่อนที่อะไรจะเกินควบคุมไปมากกว่านี้ และแล้วภาพต่อไป กานต์ที่เริ่มเมาได้ที่ คุย
ธนินยืนอยู่ใต้ฝักบัวขนาดใหญ่ น้ำไหลลงมาที่แผงอกกว้าง ร่างสูงใหญ่ของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแรง ผิวสีแทนเป็นประกายเมื่อสะท้อนแสงจากน้ำ สายน้ำที่ไหลลงมาตามแนวกล้ามเนื้อของเขา คลึงเคล้าไปตามแผงอกที่กว้างและรอยสักที่ประดับอยู่บนร่างกายของเขา การเคลื่อนไหวของน้ำกระทบเส้นกล้ามเนื้อที่ชัดเจนและกระชับทำให้แต่ละลอนของน้ำไหลลงไปตามร่างกายเขาดูเซ็กซี่อย่างยิ่ง น้ำเย็นที่ไหลลงมาจากฝักบัวทำให้ผิวเขาเปล่งประกายและสัมผัสถึงความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้ออย่างชัดเจน กล้ามท้องของเขาเป็นแนวลอนชัดเจน บ่งบอกถึงความแข็งแรงและความเพรียวบาง ธนินยกมือขึ้นเช็ดน้ำจากใบหน้าและเสยผมออกจากหน้าผาก น้ำไหลจากเส้นผมไปตามลำคอและตกลงบนแผงอก การเคลื่อนไหวนี้ทำให้รู้สึกถึงความร้อนที่ยังคงอยู่ในตัวเขา แม้ว่าจะมีน้ำเย็นกระทบก็ตาม เขาเสยผมของตัวเองที่ยังเปียกชื้น น้ำที่ไหลลงมาทำให้ผมของเขาติดกับใบหน้าและคอ ปล่อยให้หยดน้ำไหลลงมาตามใบหน้าและคอ ทำให้ผิวของเขาดูเย้ายวนใจ ดวงตาของเขาเป็นประกาย สื่อถึงความอดกลั้นและความร้อนแรงที่ยังไม่สามารถระบายออกมาได้ ชายหนุ่มพยายามควบคุมตัวเอง รู้สึกถึงความต้องการที่รุนแรง……………………………………………
หลังจากคืนนั้นที่กระท่อม ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปในตัวกานต์ เขารู้สึกหวั่นไหวทุกครั้งที่เห็นธนิน ไม่ว่าจะเป็นแค่ภาพท่อนบนเปลือยเปล่าที่โชว์แผงอกแข็งแรง กล้ามเนื้อที่ขยับเคลื่อนตัวตามจังหวะการหายใจ รอยสักขนาดใหญ่บนผิวสีแทนที่ดูมีเสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งเหล่านี้ตามหลอกหลอนจิตใจของกานต์อยู่เรื่อยมา แม้เขาจะพยายามหนีความรู้สึกนั้น แต่มันกลับชัดเจนมากขึ้นทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดธนิน วันนี้ก็เช่นกัน ธนินใช้หน้าที่เป็นข้ออ้างบังคับให้กานต์มาด้วย ทั้งสองนั่งอยู่ในรถจี๊บเปิดประทุนที่ขับลัดเลาะไปตามทางป่ากว้าง เสียงเครื่องยนต์ดังกลบความเงียบระหว่างทั้งคู่ แต่กานต์ไม่สามารถหยุดความคิดวุ่นวายในหัวได้ ทุกครั้งที่ธนินหันมา หรือแม้แต่ขยับตัวเพียงเล็กน้อย กานต์ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองแผงอกกว้างที่ดูแข็งแกร่ง อยู่ๆ ธนินก็ตัดสินใจจอดรถกลางป่าโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ กานต์รู้สึกหัวใจเต้นระรัว มือที่จับกันไว้บนตักอยู่นั้นสั่นเล็กน้อย เขาพยายามหาคำถามเพื่อเติมเต็มความเงียบ แต่เสียงของตัวเองกลับแผ่วเบาอย่างน่าตกใจ“ทำไม... ทำไมคุณจอดรถตรงนี้?” กานต์ถามออกไป น้ำเสียงสั่นน้อยๆธนินไม่ได้ตอบในทันที เขาหันมามองกาน
เมื่อธนินมาส่งกานต์ที่สำนักงาน ความเงียบแผ่ปกคลุมในรถ ทั้งที่ภายนอกดูเหมือนสงบ แต่ภายในใจของกานต์กลับยังร้อนรุ่มไม่หาย ความทรงจำจากบทรักเอาแต่ใจของธนินที่เพิ่งผ่านไปยังคงก้องในหัวของเขา ร่างกายเขายังรู้สึกถึงสัมผัสที่รุนแรงและทิ้งร่องรอยแห่งความปรารถนาไว้ กานต์หันหน้าหลบสายตาของธนินที่มองมา รู้สึกอับอายและไม่กล้าเงยหน้าขึ้น แม้ในใจจะยังสั่นไหวและคิดวนเวียนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขากัดริมฝีปากตัวเองเบา ๆ พลางพยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แต่ความร้อนผ่าวในร่างยังไม่จางหาย ธนินเหลือบมองกานต์ที่นั่งข้าง ๆ ด้วยรอยยิ้มบางที่แฝงไปด้วยความพึงพอใจ เขารู้ดีว่ากานต์ยังสั่นไหวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ราวกับรอยจูบและสัมผัสที่เขามอบให้ยังคงอยู่กับกานต์อย่างชัดเจนใบหน้าของกานต์ที่ยังไม่หายจากความร้อนรุ่มและความกระตือรือร้นจากบทรักที่พวกเขามีร่วมกัน เขารู้สึกอิ่มเอมและพอใจจากการครอบครอง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังไม่รู้สึกถึงความพอใจที่เต็มที่ ธนินมองกานต์ด้วยสายตาที่ลึกล้ำ ยิ้มมุมปากเล็กน้อยขณะเอื้อมมือมาปลดล็อกประตูฝั่งกานต์ ท่าทางของเขาดูอ้อยอิ่งเหมือนจะอยากยื้อเวลาช่วงนี้ให้นานขึ้น กานต์เบือนหน้าหนีหลบสา
กานต์ลืมตาขึ้นในตอนสายของอีกวัน แสงแดดยามเช้าส่องผ่านม่านบางๆ เข้ามาในห้อง เขารู้สึกถึงความเมื่อยล้าและเจ็บแปลบในบางส่วนของร่างกาย แต่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน เขาก็หน้าแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว "ดีนะที่วันนี้เป็นวันหยุด" กานต์พึมพำเบาๆเขาพยายามลุกขึ้นจากเตียง แม้ร่างกายจะยังคงอ่อนล้าจากคืนที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อน ธนินทำให้เขาไม่ได้นอนเลยทั้งคืน กานต์ยังรู้สึกถึงสัมผัสรุนแรงที่ธนินฝากไว้ในทุกส่วนของร่างกาย เขาถอนหายใจเบาๆ พยายามเรียกสติกลับมาและจัดการตัวเองให้พร้อมสำหรับวันใหม่ที่เริ่มต้นขึ้นแล้วกานต์เดินไปเข้าห้องน้ำ ตาลุกวาวทันทีเมื่อเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก รอยจ้ำแดงๆ กระจายไปทั่วร่างขาวเนียนของเขา สัญลักษณ์ที่ธนินฝากไว้ด้วยแรงดูดรุนแรงนั้นยังคงชัดเจนใบหน้าของกานต์บึ้งตึงทันที “ไอ้บ้าธนิน...” เขาคิดในใจอย่างหงุดหงิด หน้าแดงขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นร่องรอยที่เต็มไปทั่วตัว ราวกับเครื่องหมายแสดงความเป็นเจ้าของกานต์ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด "แล้วจะหาเสื้อผ้าอะไรมาใส่เนี่ย..." เขาบ่นกับตัวเอง ก่อนจะเริ่มมองหาวิธีปกปิดร่องรอยเหล่านั้น แม้จะรู้ดีว่ามันยากแค่ไหนที่จะซ่อนมันทั้งหมดจ
ในชีวิตนี้ กานต์ไม่เคยคิดหรือฝันถึงเรื่องราวความรักแบบนี้มาก่อน เขาไม่เคยสนใจหรือแม้แต่คาดคิดเกี่ยวกับความรักของเพศเดียวกัน และตลอดเวลาที่ผ่านมา กานต์ก็ไม่เคยมีแฟน แม้จะมีสาวๆ มากมายมารายล้อมและสนใจในตัวเขา แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกอะไรแบบที่กำลังเกิดขึ้นกับธนินตอนแรก ความรู้สึกของเขาที่มีต่อธนินเป็นเพียงความแปลกใจ แต่เมื่อธนินบังคับให้เขาตกเป็นของเขา มันก็เหมือนกับประตูบานใหม่ในโลกใบนี้เปิดออก ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง กานต์กลับสั่นไหวไปกับทุกๆ การกระทำของธนิน ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การสัมผัส หรือแม้กระทั่งแค่สายตาที่เขาส่งมา มันทำให้หัวใจของกานต์เต้นรัว รู้สึกถึงความรู้สึกที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน เป็นความสับสนที่ทำให้เขารู้สึกทั้งหวั่นไหวและยอมรับในเวลาเดียวกันแต่แล้วชะตากลับพาให้กานต์ได้พบกับหนุ่มหล่ออีกคนที่บุคลิกแตกต่างจากธนินโดยสิ้นเชิง สิธา หมอหนุ่มผู้มีบุคลิกอ่อนโยน สูงใหญ่ หล่อขาวสะอาด มารยาทดีและสุภาพ ในขณะที่ธนินดิบเถื่อน รุนแรง และเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง มีความต้องการและเรียกร้องจากกานต์อย่างไม่รู้จักพอ การพบกับสิธาเหมือนเป็นการค้นพบมุมใหม่ของชีวิต ที่ทำให้กานต์รู้สึ
มิ่งเดินเคียงข้างกานต์ขณะที่พวกเขาเดินไปตามทางมืดที่มีไฟฉายส่องนำทาง ท้องฟ้าสีดำยามค่ำคืนถูกปกคลุมไปด้วยดาวระยิบระยับที่ดูเหมือนจะส่องแสงระยิบระยับทั่วทั้งท้องฟ้า"ดาววันนี้สวยจังนะครับคุณกานต์" มิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่สดใสขณะเดินไปตามทางดินที่นำไปสู่บ้านพัก "พอดีว่าวันนี้อากาศดีมาก คุณอาจจะต้องรู้สึกดีขึ้นหน่อยนะครับ" กานต์ยิ้มเล็กน้อย แต่ดวงตาของเขายังเต็มไปด้วยความคิดถึงและความรู้สึกที่ซับซ้อนจากค่ำคืนที่ผ่านมา "ครับ มิ่ง ดาวสวยจริง ๆ" เขาตอบเบา ๆ ขณะที่มองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว "แต่วันนี้ผมรู้สึกว่ามันจะสวยขึ้นมาก ถ้ามันไม่ได้มีบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกซับซ้อน"มิ่งหันมองกานต์ด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย "มีอะไรหรือเปล่าครับ? ดูเหมือนว่าคุณกานต์จะไม่ค่อยสดใสนัก"มิ่งถามด้วยความสงสัย ขณะเดินไปยังประตูบ้านที่เปิดกว้าง "คิดถึงบ้านเหรอครับคุณกานต์? เคยอยู่แต่ในเมืองใหญ่ ต้องมาทำงานอยู่กลางป่าอย่างนี้คงเหงาน่าดู"กานต์หันไปมองมิ่้ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความคิดถึง "ใช่ครับ มิ่ง ตอนแรกมันก็ดูแปลกใหม่และน่าตื่นเต้น แต่บางครั้งผมก็คิดถึงความสะดวกสบายและความคุ้นเคยของเมืองใหญ่"มิ่งย
ลุงอุ้ยเอ่ยขึ้นหลังจากที่ธนินหันกลับไปสนใจคนงานคนอื่น "นายหัวว่าให้คุณกานต์พักที่เรือนหลังใหญ่ครับ" เสียงของลุงอุ้ยนั้นแผ่วเบา แต่ชัดเจน กานต์หันมองลุงด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย"เรือนใหญ่ที่นายหัวพักอยู่?" กานต์ถามซ้ำ รู้สึกแปลกใจกับการจัดที่พักให้เขา ซึ่งเป็นสถานที่ที่ดูเงียบสงบและเป็นส่วนตัวอย่างมาก ลุงอุ้ยพยักหน้า "ใช่ครับ ที่นั่นเงียบสงบ ห่างไกลจากผู้คน นายหัวไม่ชอบให้ใครเข้าออกเรือนนั้นมากนัก จะมีแค่ป้าพิไลที่มาทำอาหารกับทำความสะอาดตามเวลา แล้วก็ไม่ได้พักที่นั่นหรอกครับ แค่เข้ามาทำงานแล้วก็กลับไป"กานต์ฟังแล้วรู้สึกถึงบรรยากาศที่เงียบสงัดของสถานที่นั้น เขาพยายามทำใจรับสถานการณ์ แต่ในใจก็ยังคงรู้สึกประหม่า ความเงียบของเรือนใหญ่ดูจะเป็นความเงียบที่มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่"ผมต้องอยู่คนเดียวเหรอครับ?" กานต์ถามเสียงเบาลุงอุ้ยหัวเราะเล็กน้อย "ใช่ครับ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก คุณกานต์ เดี๋ยวก็ชินไปเอง" หลังเรือนใหญ่ที่กานต์กำลังจะย้ายเข้าไปพักเป็นพื้นที่สวนขนาดใหญ่ที่รายล้อมด้วยดอกไม้นานาพรรณ สีสันสดใสและกลิ่นหอมของดอกไม้ในสวนทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลาย แม้เรือนจะตั้งอยู่ห่างไกลผู้คน แต่สว
ในชีวิตนี้ กานต์ไม่เคยคิดหรือฝันถึงเรื่องราวความรักแบบนี้มาก่อน เขาไม่เคยสนใจหรือแม้แต่คาดคิดเกี่ยวกับความรักของเพศเดียวกัน และตลอดเวลาที่ผ่านมา กานต์ก็ไม่เคยมีแฟน แม้จะมีสาวๆ มากมายมารายล้อมและสนใจในตัวเขา แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกอะไรแบบที่กำลังเกิดขึ้นกับธนินตอนแรก ความรู้สึกของเขาที่มีต่อธนินเป็นเพียงความแปลกใจ แต่เมื่อธนินบังคับให้เขาตกเป็นของเขา มันก็เหมือนกับประตูบานใหม่ในโลกใบนี้เปิดออก ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง กานต์กลับสั่นไหวไปกับทุกๆ การกระทำของธนิน ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การสัมผัส หรือแม้กระทั่งแค่สายตาที่เขาส่งมา มันทำให้หัวใจของกานต์เต้นรัว รู้สึกถึงความรู้สึกที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน เป็นความสับสนที่ทำให้เขารู้สึกทั้งหวั่นไหวและยอมรับในเวลาเดียวกันแต่แล้วชะตากลับพาให้กานต์ได้พบกับหนุ่มหล่ออีกคนที่บุคลิกแตกต่างจากธนินโดยสิ้นเชิง สิธา หมอหนุ่มผู้มีบุคลิกอ่อนโยน สูงใหญ่ หล่อขาวสะอาด มารยาทดีและสุภาพ ในขณะที่ธนินดิบเถื่อน รุนแรง และเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง มีความต้องการและเรียกร้องจากกานต์อย่างไม่รู้จักพอ การพบกับสิธาเหมือนเป็นการค้นพบมุมใหม่ของชีวิต ที่ทำให้กานต์รู้สึ
กานต์ลืมตาขึ้นในตอนสายของอีกวัน แสงแดดยามเช้าส่องผ่านม่านบางๆ เข้ามาในห้อง เขารู้สึกถึงความเมื่อยล้าและเจ็บแปลบในบางส่วนของร่างกาย แต่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน เขาก็หน้าแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว "ดีนะที่วันนี้เป็นวันหยุด" กานต์พึมพำเบาๆเขาพยายามลุกขึ้นจากเตียง แม้ร่างกายจะยังคงอ่อนล้าจากคืนที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อน ธนินทำให้เขาไม่ได้นอนเลยทั้งคืน กานต์ยังรู้สึกถึงสัมผัสรุนแรงที่ธนินฝากไว้ในทุกส่วนของร่างกาย เขาถอนหายใจเบาๆ พยายามเรียกสติกลับมาและจัดการตัวเองให้พร้อมสำหรับวันใหม่ที่เริ่มต้นขึ้นแล้วกานต์เดินไปเข้าห้องน้ำ ตาลุกวาวทันทีเมื่อเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก รอยจ้ำแดงๆ กระจายไปทั่วร่างขาวเนียนของเขา สัญลักษณ์ที่ธนินฝากไว้ด้วยแรงดูดรุนแรงนั้นยังคงชัดเจนใบหน้าของกานต์บึ้งตึงทันที “ไอ้บ้าธนิน...” เขาคิดในใจอย่างหงุดหงิด หน้าแดงขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นร่องรอยที่เต็มไปทั่วตัว ราวกับเครื่องหมายแสดงความเป็นเจ้าของกานต์ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด "แล้วจะหาเสื้อผ้าอะไรมาใส่เนี่ย..." เขาบ่นกับตัวเอง ก่อนจะเริ่มมองหาวิธีปกปิดร่องรอยเหล่านั้น แม้จะรู้ดีว่ามันยากแค่ไหนที่จะซ่อนมันทั้งหมดจ
เมื่อธนินมาส่งกานต์ที่สำนักงาน ความเงียบแผ่ปกคลุมในรถ ทั้งที่ภายนอกดูเหมือนสงบ แต่ภายในใจของกานต์กลับยังร้อนรุ่มไม่หาย ความทรงจำจากบทรักเอาแต่ใจของธนินที่เพิ่งผ่านไปยังคงก้องในหัวของเขา ร่างกายเขายังรู้สึกถึงสัมผัสที่รุนแรงและทิ้งร่องรอยแห่งความปรารถนาไว้ กานต์หันหน้าหลบสายตาของธนินที่มองมา รู้สึกอับอายและไม่กล้าเงยหน้าขึ้น แม้ในใจจะยังสั่นไหวและคิดวนเวียนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขากัดริมฝีปากตัวเองเบา ๆ พลางพยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แต่ความร้อนผ่าวในร่างยังไม่จางหาย ธนินเหลือบมองกานต์ที่นั่งข้าง ๆ ด้วยรอยยิ้มบางที่แฝงไปด้วยความพึงพอใจ เขารู้ดีว่ากานต์ยังสั่นไหวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ราวกับรอยจูบและสัมผัสที่เขามอบให้ยังคงอยู่กับกานต์อย่างชัดเจนใบหน้าของกานต์ที่ยังไม่หายจากความร้อนรุ่มและความกระตือรือร้นจากบทรักที่พวกเขามีร่วมกัน เขารู้สึกอิ่มเอมและพอใจจากการครอบครอง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังไม่รู้สึกถึงความพอใจที่เต็มที่ ธนินมองกานต์ด้วยสายตาที่ลึกล้ำ ยิ้มมุมปากเล็กน้อยขณะเอื้อมมือมาปลดล็อกประตูฝั่งกานต์ ท่าทางของเขาดูอ้อยอิ่งเหมือนจะอยากยื้อเวลาช่วงนี้ให้นานขึ้น กานต์เบือนหน้าหนีหลบสา
หลังจากคืนนั้นที่กระท่อม ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปในตัวกานต์ เขารู้สึกหวั่นไหวทุกครั้งที่เห็นธนิน ไม่ว่าจะเป็นแค่ภาพท่อนบนเปลือยเปล่าที่โชว์แผงอกแข็งแรง กล้ามเนื้อที่ขยับเคลื่อนตัวตามจังหวะการหายใจ รอยสักขนาดใหญ่บนผิวสีแทนที่ดูมีเสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งเหล่านี้ตามหลอกหลอนจิตใจของกานต์อยู่เรื่อยมา แม้เขาจะพยายามหนีความรู้สึกนั้น แต่มันกลับชัดเจนมากขึ้นทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดธนิน วันนี้ก็เช่นกัน ธนินใช้หน้าที่เป็นข้ออ้างบังคับให้กานต์มาด้วย ทั้งสองนั่งอยู่ในรถจี๊บเปิดประทุนที่ขับลัดเลาะไปตามทางป่ากว้าง เสียงเครื่องยนต์ดังกลบความเงียบระหว่างทั้งคู่ แต่กานต์ไม่สามารถหยุดความคิดวุ่นวายในหัวได้ ทุกครั้งที่ธนินหันมา หรือแม้แต่ขยับตัวเพียงเล็กน้อย กานต์ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองแผงอกกว้างที่ดูแข็งแกร่ง อยู่ๆ ธนินก็ตัดสินใจจอดรถกลางป่าโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ กานต์รู้สึกหัวใจเต้นระรัว มือที่จับกันไว้บนตักอยู่นั้นสั่นเล็กน้อย เขาพยายามหาคำถามเพื่อเติมเต็มความเงียบ แต่เสียงของตัวเองกลับแผ่วเบาอย่างน่าตกใจ“ทำไม... ทำไมคุณจอดรถตรงนี้?” กานต์ถามออกไป น้ำเสียงสั่นน้อยๆธนินไม่ได้ตอบในทันที เขาหันมามองกาน
ธนินยืนอยู่ใต้ฝักบัวขนาดใหญ่ น้ำไหลลงมาที่แผงอกกว้าง ร่างสูงใหญ่ของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแรง ผิวสีแทนเป็นประกายเมื่อสะท้อนแสงจากน้ำ สายน้ำที่ไหลลงมาตามแนวกล้ามเนื้อของเขา คลึงเคล้าไปตามแผงอกที่กว้างและรอยสักที่ประดับอยู่บนร่างกายของเขา การเคลื่อนไหวของน้ำกระทบเส้นกล้ามเนื้อที่ชัดเจนและกระชับทำให้แต่ละลอนของน้ำไหลลงไปตามร่างกายเขาดูเซ็กซี่อย่างยิ่ง น้ำเย็นที่ไหลลงมาจากฝักบัวทำให้ผิวเขาเปล่งประกายและสัมผัสถึงความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้ออย่างชัดเจน กล้ามท้องของเขาเป็นแนวลอนชัดเจน บ่งบอกถึงความแข็งแรงและความเพรียวบาง ธนินยกมือขึ้นเช็ดน้ำจากใบหน้าและเสยผมออกจากหน้าผาก น้ำไหลจากเส้นผมไปตามลำคอและตกลงบนแผงอก การเคลื่อนไหวนี้ทำให้รู้สึกถึงความร้อนที่ยังคงอยู่ในตัวเขา แม้ว่าจะมีน้ำเย็นกระทบก็ตาม เขาเสยผมของตัวเองที่ยังเปียกชื้น น้ำที่ไหลลงมาทำให้ผมของเขาติดกับใบหน้าและคอ ปล่อยให้หยดน้ำไหลลงมาตามใบหน้าและคอ ทำให้ผิวของเขาดูเย้ายวนใจ ดวงตาของเขาเป็นประกาย สื่อถึงความอดกลั้นและความร้อนแรงที่ยังไม่สามารถระบายออกมาได้ ชายหนุ่มพยายามควบคุมตัวเอง รู้สึกถึงความต้องการที่รุนแรง……………………………………………
ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์แล้ว กานต์ฟื้นตัวจนหายดี คืนนี้เป็นคืนพิเศษที่มีงานเลี้ยงวันเกิดของมิ่งที่จัดขึ้นที่สำนักงาน คนงานมากมายต่างพากันมาเข้าร่วมงาน บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เสียงหัวเราะ ร้องเพลง และการดื่มกินรอบกองไฟมิ่งนั่งชิดกับกานต์ หัวเราะพูดคุยและดื่มอย่างไม่ขาดสาย เสียงเพลงและเสียงหัวเราะของพวกเขาดังขึ้นเรื่อย ๆ แต่ท่ามกลางความครึกครื้นนั้น บางคนกลับไม่รู้สึกสนุกไปด้วย ธนินยืนมองภาพนั้นจากที่ห่างออกมา ความโกรธเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเขา เขามองเห็นมิ่งที่นั่งใกล้ชิดกับกานต์มากเกินไป และท่าทางที่เป็นกันเองระหว่างพวกเขาทำให้เขารู้สึกไม่พอใจนายหัวลมออกหูแล้ว ความอิจฉาและความโกรธที่ถูกกักเก็บมานานเริ่มปะทุขึ้นในใจของเขา เขาไม่สามารถทนดูภาพนั้นได้อีกต่อไป ความคิดก็แล่นเข้ามาในหัวทันที “คงต้องรีบรวบหัวรวบหางซะแล้วสินะ” เขาคิดในใจ รู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องทำอะไรบางอย่าง ก่อนที่มิ่งจะคิดไม่ซื่อกับกานต์ ความใกล้ชิดและการหยอกล้อกันระหว่างมิ่งและกานต์ทำให้ธนินรู้สึกไม่สบายใจ เขารู้ดีว่าตัวเองจะต้องลงมือก่อนที่อะไรจะเกินควบคุมไปมากกว่านี้ และแล้วภาพต่อไป กานต์ที่เริ่มเมาได้ที่ คุย
ธนินมองกานต์ที่นอนหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนจากฤทธิ์ของไข้และยา เขานั่งลงข้างเตียงอย่างระมัดระวัง ถอนหายใจยาวๆ พร้อมกับความรู้สึกที่ยากจะบรรยายการสัมผัสของเขาที่ผ่านมาทำให้เขารู้สึกถึงความร้อนแรงและความรู้สึกที่คับข้องใจ แต่เมื่อเห็นกานต์หลับไปอย่างสงบ ธนินรู้สึกได้ถึงความโล่งใจ แม้จะยังคงรู้สึกถึงความตึงเครียดที่เขาพยายามจะควบคุม แต่ในที่สุดสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำให้กานต์รู้สึกดีขึ้นและปลอดภัยเขาพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นไปยังโต๊ะข้างเตียงหยิบผ้าชุบน้ำเย็นมาเช็ดเบาๆ ที่หน้าผากของกานต์ เพื่อช่วยลดความร้อนในร่างกาย จากนั้นเขานั่งลงอีกครั้ง มองดูใบหน้าของกานต์ที่ตอนนี้สงบและผ่อนคลายธนินรู้สึกว่าการจัดการกับอารมณ์ของเขานั้นยากมากเพียงใด แต่การเห็นกานต์นอนหลับอย่างสงบทำให้เขารู้สึกได้ถึงความสงบและความพึงพอใจในระดับหนึ่ง เขารู้ว่าตัวเขาเกือบจะสูญเสียการควบคุม แต่เขาก็พยายามเต็มที่เพื่อให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติอีกครั้งเขายิ้มให้กับตัวเองเล็กน้อยเมื่อมองดูร่างกายของกานต์ที่นอนอยู่ในสภาพที่สงบ ในที่สุดก็ทำให้เขาสามารถปล่อยความรู้สึกทั้งหมดไปได้ชั่วคราว ป้าพิไลถือถาดอาหารเดินเข้ามาในห้องอย่
ธนินเดินตามมาที่บ้านใหญ่ ใจเขาเต้นรัวเมื่อเห็นกานต์อยู่บนบันได ขึ้นไปด้วยท่าทางไม่มั่นคง เขาเห็นกานต์เก้ๆ กังๆ พยายามปีนบันไดอย่างยากลำบากและยังต้องอาศัยไม้เท้าช่วยพยุงตัวเองธนินรีบก้าวไปข้างหน้าและตรงเข้าไปหากานต์ โดยไม่รอให้เขาเห็นหรือขออนุญาต เขาจับไม้เท้าแล้วดึงกานต์เข้าไปในอ้อมแขนของเขาอย่างรวดเร็วและอ่อนโยน“ให้ผมช่วยคุณ” ธนินพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและแรงดึงดูดที่เขาไม่สามารถปกปิดได้ ธนินในสภาพเปลือยท่อนบน เผยให้เห็นแผงอกใหญ่ที่เต็มไปด้วยรอยสักอันทรงพลัง ผิวแทนเข้มขับให้รอยสักยิ่งโดดเด่น เขาสวมเพียงกางเกงแพรตัวหลวม ตวัดแขนแข็งแรงรอบร่างบอบบางของกานต์ที่ขาแพลงโดยไม่พูดอะไร กานต์ที่ถูกยกร่างอย่างไม่ทันตั้งตัวรู้สึกกระดากใจและอายอย่างบอกไม่ถูก หน้าเขาแดงระเรื่อ ขณะที่พยายามข่มความรู้สึกอึดอัดในใจ ธนินอุ้มกานต์เดินตรงไปยังห้องนอนอย่างมั่นคง ราวกับน้ำหนักของกานต์เป็นเพียงขนนก กานต์หลบสายตาไม่กล้ามองตรงไปยังแผงอกของธนิน แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธความร้อนจากร่างกายที่แนบชิดได้ หัวใจของเขาเต้นระรัว ขณะถูกธนินพาเข้าไปในห้อง รู้สึกสับสนระหว่างความกลัวและความหวั่นไหวที่ปะทุขึ้
ในช่วงบ่ายอันร้อนระอุ กานต์นั่งทำงานอยู่ในสำนักงานไม้ที่ปาง ท่ามกลางเสียงเครื่องจักรและเสียงคนงานที่ทำงานกันอย่างขะมักเขม้น ทันใดนั้น เสียงทะเลาะวิวาทจากข้างนอกก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้กานต์ต้องลุกขึ้นและเดินไปดูสถานการณ์ เมื่อกานต์มาถึงจุดเกิดเหตุ เขาเห็นคนงานสองกลุ่มกำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรง ท่าทางดุดันและสีหน้าที่เคร่งเครียดของพวกเขาทำให้กานต์รู้สึกกังวล กานต์พยายามเข้าไปห้ามปรามและพูดให้ทุกคนสงบลง แต่ดูเหมือนว่าคำพูดของเขาจะไม่มีผลกับใครเลย ต่างคนต่างหน้ามืดไม่ยอมฟังเสียงของกานต์ ในจังหวะที่ความรุนแรงเพิ่มขึ้น หนึ่งในคนงานก็พลาดไปผลักกานต์จนกระเด็นไปไกล เขาล้มลงกับพื้นอย่างแรง ขาแพลงและรู้สึกเจ็บปวดแผ่ซ่านจนแทบยืนขึ้นไม่ไหว เสียงร้องด้วยความเจ็บของกานต์ถูกกลบด้วยเสียงทะเลาะที่ยังไม่สิ้นสุด คนงานบางคนที่เห็นเหตุการณ์เริ่มตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและพยายามเข้ามาช่วย แต่ความเสียหายก็เกิดขึ้นแล้ว กานต์นอนอยู่กับพื้น หายใจแรงด้วยความเจ็บปวด ขณะที่สถานการณ์รอบตัวเขาเริ่มค่อยๆ สงบลง มิ่งและลุงอุ้ยเห็นเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นจากระยะไกล ทั้งสองรีบเร่งฝีเท้าพร้อมกับคนงานอีกกลุ่มหนึ่งที