ธนินเดินตามมาที่บ้านใหญ่ ใจเขาเต้นรัวเมื่อเห็นกานต์อยู่บนบันได ขึ้นไปด้วยท่าทางไม่มั่นคง เขาเห็นกานต์เก้ๆ กังๆ พยายามปีนบันไดอย่างยากลำบากและยังต้องอาศัยไม้เท้าช่วยพยุงตัวเอง
ธนินรีบก้าวไปข้างหน้าและตรงเข้าไปหากานต์ โดยไม่รอให้เขาเห็นหรือขออนุญาต เขาจับไม้เท้าแล้วดึงกานต์เข้าไปในอ้อมแขนของเขาอย่างรวดเร็วและอ่อนโยน “ให้ผมช่วยคุณ” ธนินพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและแรงดึงดูดที่เขาไม่สามารถปกปิดได้ ธนินในสภาพเปลือยท่อนบน เผยให้เห็นแผงอกใหญ่ที่เต็มไปด้วยรอยสักอันทรงพลัง ผิวแทนเข้มขับให้รอยสักยิ่งโดดเด่น เขาสวมเพียงกางเกงแพรตัวหลวม ตวัดแขนแข็งแรงรอบร่างบอบบางของกานต์ที่ขาแพลงโดยไม่พูดอะไร กานต์ที่ถูกยกร่างอย่างไม่ทันตั้งตัวรู้สึกกระดากใจและอายอย่างบอกไม่ถูก หน้าเขาแดงระเรื่อ ขณะที่พยายามข่มความรู้สึกอึดอัดในใจ ธนินอุ้มกานต์เดินตรงไปยังห้องนอนอย่างมั่นคง ราวกับน้ำหนักของกานต์เป็นเพียงขนนก กานต์หลบสายตาไม่กล้ามองตรงไปยังแผงอกของธนิน แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธความร้อนจากร่างกายที่แนบชิดได้ หัวใจของเขาเต้นระรัว ขณะถูกธนินพาเข้าไปในห้อง รู้สึกสับสนระหว่างความกลัวและความหวั่นไหวที่ปะทุขึ้น กานต์พยายามรวบรวมสติ ขณะที่หน้าแดงระเรื่อด้วยความอาย "มะ... มะ...เป็นไรครับนายหัว ผมพอเดินได้" เขาพูดเสียงตะกุกตะกัก พยายามดันตัวออกจากอ้อมแขนแข็งแรงของธนิน ธนินหรี่ตามองลงมาที่กานต์ พลางยิ้มมุมปากอย่างรู้ทัน "เดินเองแล้วจะล้มอีกหรือไง?" เสียงทุ้มต่ำของเขาเอ่ยขึ้น ราวกับไม่ได้ยินคำปฏิเสธของกานต์ น้ำเสียงนั้นแฝงความดุดันและอ่อนโยนในคราวเดียวกัน กานต์พยายามจะโต้แย้ง แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของธนินก็ทำให้เขาได้แต่เงียบและยอมรับสภาพ ความอบอุ่นจากร่างใหญ่ทำให้เขาเริ่มรู้สึกสับสนในใจ ขณะที่ธนินก้าวเดินไปอย่างมั่นคง ธนินค่อยๆ พากานต์ขึ้นไปที่ห้องนอนที่ชั้นบนอย่างระมัดระวัง เขาเอ่ยด้วยความอ่อนโยนขณะช่วยพยุง “ถ้าคุณรู้สึกไม่ดีหรือเจ็บที่ไหนให้บอกผมได้เลยนะ” เมื่อถึงห้องนอน ธนินช่วยกานต์นั่งลงบนเตียงอย่างเบามือ เขายังคงยืนอยู่ข้างๆ และจ้องมองไปที่กานต์อย่างห่วงใย ดวงตาคมของเขาแสดงถึงความรู้สึกที่ไม่สามารถซ่อนเร้นได้ “คุณจะต้องพักผ่อนมากๆ นะ ไม่ต้องขยับมากด้วย” ธนินพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เดี๋ยวผมหาอะไรให้กินนะครับคุณกานต์” ธนินพูดขณะเดินออกจากห้อง เมื่อธนินกลับมาพร้อมถ้วยข้าวต้มหอมกรุ่น เขาหยุดมองกานต์ที่นั่งพิงหัวเตียงอ่านหนังสือ ภาพที่เห็นทำให้เขาหยุดชะงัก ดวงตาของกานต์จับจ้องไปที่ธนิน ดวงตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถระบุได้ ร่างของธนินในกางเกงหลวมๆ กับแผงอกกว้างที่เผยให้เห็นรอยสักขนาดใหญ่บนอกทำให้กานต์รู้สึกหัวใจเต้นแรง ไม่สามารถละสายตาจากเขาได้ แม้จะพยายามควบคุมตัวเอง แต่มันก็ยากที่จะไม่รู้สึกถึงแรงดึงดูดที่เขากำลังสัมผัส ธนินวางถ้วยข้าวต้มลงบนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะหันไปยิ้มให้กานต์ “ลองทานดูครับ จะได้ทานยา” “ขอบคุณครับ” กานต์ตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง พยายามหลบตาธนินขณะที่รับถ้วยข้าวต้ม ธนินนั่งลงข้างๆ เตียง มือของเขาเอื้อมไปเกลี่ยผมบางส่วนที่ตกลงมาของกานต์ด้วยความอ่อนโยน “ถ้าคุณรู้สึกไม่ดี หรือมีอะไรเพิ่มเติมที่ต้องการ ก็บอกได้เลยนะครับ” กานต์พยักหน้า ขณะที่เขาเริ่มทานข้าวต้มไปด้วย ความรู้สึกอบอุ่นจากการดูแลของธนินทำให้เขารู้สึกถึงการดึงดูดที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน ธนินยิ้มอ่อนโยนและเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของกานต์อย่างเบามือ รู้สึกได้ถึงความร้อนที่ลุกโชนใต้ปลายนิ้วของเขา เขาพูดด้วยความเป็นห่วง “คุณกานต์ ตัวร้อนมากเลยครับ ” ธนินมองกานต์ที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความกังวล เขาเห็นว่ากานต์เริ่มมีไข้และดูไม่สบายใจนัก เขาเข้าไปใกล้เตียงแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “เดี๋ยวผมเช็ดตัวให้คุณครับ จะช่วยลดไข้และทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น” กานต์พยายามจะปฏิเสธ แต่เสียงพูดของเขาสั่นและมือสั่นไปด้วย “มะ... มะ ไม่เป็นไรครับ” ธนินไม่สนใจการปฏิเสธของกานต์ เขานั่งข้างๆ เตียงและหยิบผ้าขนหนูสะอาดและน้ำอุ่นขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มที่อบอุ่น ธนิน มือสั่นเล็กน้อยขณะปลดกระดุมเสื้อของกานต์ออกทีละเม็ด สัมผัสที่เย็นเยียบของนิ้วเขาทำให้ร่างบางของกานต์สัมผัสได้ถึงความร้อนจากไข้ที่เพิ่มขึ้น ผิวขาวเนียนของกานต์เริ่มเผยออกมา ดวงตาของธนินจ้องมองอย่างไม่วางตา เมื่อเสื้อถูกปลดออกจนหมด เผยให้เห็นแผงอกที่แดงระเรื่อของกานต์ ร่างกายที่ขาวสะอาดดูอ่อนล้าและบอบบางยิ่งขึ้นจากพิษไข้ ธนินรู้สึกเหมือนหัวใจของเขาหล่นลงไปในท้อง เมื่อเห็นความหวานและความอ่อนโยนที่แผ่ออกมาจากร่างกายของกานต์ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปสัมผัสที่ผิวของกานต์เบาๆ ความร้อนจากไข้ของกานต์ทำให้เขารู้สึกถึงความกระตุ้นทางร่างกาย ความรู้สึกนี้ยิ่งทำให้เขาต้องการเข้าใกล้และสัมผัสมากยิ่งขึ้น เสียงหอบของกานต์และใบหน้าที่แดงระเรื่อเพราะไข้ทำให้ธนินรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดอย่างแรง ผ้าขนหนูในมือ เขาค่อยๆ ใช้ผ้าขนหนูเช็ดไปตามร่างกายของกานต์อย่างช้าๆ ใจของเขาเต็มไปด้วยความตั้งใจและความระมัดระวัง การเคลื่อนไหวของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่กลับแฝงไปด้วยความเร้าร้อนที่ยากจะปฏิเสธ เมื่อผ้าขนหนูสัมผัสกับผิวขาวเนียนของกานต์ ความรู้สึกของการสัมผัสและการเคลื่อนไหวที่ละเอียดอ่อนนี้ทำให้กานต์รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่กระตุ้นความรู้สึกในตัวเขา มือของธนินเคลื่อนไหวช้าๆ ไล้ไปตามลำตัวของกานต์ จากต้นคอไปจนถึงท้องน้อย การเช็ดที่เต็มไปด้วยความระมัดระวังนี้ทำให้ความรู้สึกเย็นๆ ของผ้าขนหนูผสมผสานกับความร้อนของไข้ทำให้กานต์รู้สึกถึงการกระตุ้นที่แปลกใหม่และเร้าอารมณ์ ธนินใช้ปลายนิ้วเบาๆ ลูบไล้ไปตามผิวของกานต์ ทุกการเคลื่อนไหวของเขานั้นค่อยๆ เปิดเผยความลึกลับของความรู้สึกที่ไม่ได้บอกออกมา สายตาของเขาจับจ้องไปที่ร่างของกานต์ที่มีสีแดงระเรื่อและหายใจหอบราวกับถูกกระตุ้นจากการสัมผัสที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนแต่เร้าอารมณ์ การกระทำของธนินไม่ได้เพียงแต่ทำให้ร่างกายของกานต์รู้สึกถึงความเย็นสบาย แต่ยังทำให้ความรู้สึกในใจของกานต์เริ่มร้อนแรงขึ้น มือของเขายังคงสัมผัสกับผิวที่ร้อนจัดของกานต์บนหน้าผาก ก่อนที่เขาจะโน้มตัวลงมาอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกที่ยากจะควบคุม เขาแตะนิ้วโป้งลงไปที่ริมฝีปากแดงของกานต์อย่างระมัดระวัง การสัมผัสนั้นเบาและอ่อนโยน แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่บอกเล่าเรื่องราวของความต้องการและความห่วงใย นิ้วโป้งของธนินสัมผัสริมฝีปากที่เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อจากไข้ สัมผัสนั้นอ่อนโยนแต่เต็มไปด้วยความหมาย ซึมซับกับความรู้สึกที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ เขามองดูปากของกานต์ที่เริ่มบวมและแดง เพราะอาการไข้และความรู้สึกที่ถูกกระตุ้นจากการสัมผัสของเขา สายตาของธนินเต็มไปด้วยความร้อนแรงและอารมณ์ที่ซ่อนไว้ภายใน เขากลั้นหายใจ ขณะนิ้วโป้งของเขาไล้ไปบนริมฝีปากที่เปลี่ยนสี ความรู้สึกของเขาเต็มไปด้วยความหวงแหนและต้องการใกล้ชิดกับกานต์มากขึ้น เขาไม่สามารถทนต่อความรู้สึกที่รุนแรงนี้ได้ ขณะที่เขาลงไปนั่งข้างเตียงมิ่งเดินเคียงข้างกานต์ขณะที่พวกเขาเดินไปตามทางมืดที่มีไฟฉายส่องนำทาง ท้องฟ้าสีดำยามค่ำคืนถูกปกคลุมไปด้วยดาวระยิบระยับที่ดูเหมือนจะส่องแสงระยิบระยับทั่วทั้งท้องฟ้า"ดาววันนี้สวยจังนะครับคุณกานต์" มิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่สดใสขณะเดินไปตามทางดินที่นำไปสู่บ้านพัก "พอดีว่าวันนี้อากาศดีมาก คุณอาจจะต้องรู้สึกดีขึ้นหน่อยนะครับ" กานต์ยิ้มเล็กน้อย แต่ดวงตาของเขายังเต็มไปด้วยความคิดถึงและความรู้สึกที่ซับซ้อนจากค่ำคืนที่ผ่านมา "ครับ มิ่ง ดาวสวยจริง ๆ" เขาตอบเบา ๆ ขณะที่มองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว "แต่วันนี้ผมรู้สึกว่ามันจะสวยขึ้นมาก ถ้ามันไม่ได้มีบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกซับซ้อน"มิ่งหันมองกานต์ด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย "มีอะไรหรือเปล่าครับ? ดูเหมือนว่าคุณกานต์จะไม่ค่อยสดใสนัก"มิ่งถามด้วยความสงสัย ขณะเดินไปยังประตูบ้านที่เปิดกว้าง "คิดถึงบ้านเหรอครับคุณกานต์? เคยอยู่แต่ในเมืองใหญ่ ต้องมาทำงานอยู่กลางป่าอย่างนี้คงเหงาน่าดู"กานต์หันไปมองมิ่้ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความคิดถึง "ใช่ครับ มิ่ง ตอนแรกมันก็ดูแปลกใหม่และน่าตื่นเต้น แต่บางครั้งผมก็คิดถึงความสะดวกสบายและความคุ้นเคยของเมืองใหญ่"มิ่งย
ลุงอุ้ยเอ่ยขึ้นหลังจากที่ธนินหันกลับไปสนใจคนงานคนอื่น "นายหัวว่าให้คุณกานต์พักที่เรือนหลังใหญ่ครับ" เสียงของลุงอุ้ยนั้นแผ่วเบา แต่ชัดเจน กานต์หันมองลุงด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย"เรือนใหญ่ที่นายหัวพักอยู่?" กานต์ถามซ้ำ รู้สึกแปลกใจกับการจัดที่พักให้เขา ซึ่งเป็นสถานที่ที่ดูเงียบสงบและเป็นส่วนตัวอย่างมาก ลุงอุ้ยพยักหน้า "ใช่ครับ ที่นั่นเงียบสงบ ห่างไกลจากผู้คน นายหัวไม่ชอบให้ใครเข้าออกเรือนนั้นมากนัก จะมีแค่ป้าพิไลที่มาทำอาหารกับทำความสะอาดตามเวลา แล้วก็ไม่ได้พักที่นั่นหรอกครับ แค่เข้ามาทำงานแล้วก็กลับไป"กานต์ฟังแล้วรู้สึกถึงบรรยากาศที่เงียบสงัดของสถานที่นั้น เขาพยายามทำใจรับสถานการณ์ แต่ในใจก็ยังคงรู้สึกประหม่า ความเงียบของเรือนใหญ่ดูจะเป็นความเงียบที่มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่"ผมต้องอยู่คนเดียวเหรอครับ?" กานต์ถามเสียงเบาลุงอุ้ยหัวเราะเล็กน้อย "ใช่ครับ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก คุณกานต์ เดี๋ยวก็ชินไปเอง" หลังเรือนใหญ่ที่กานต์กำลังจะย้ายเข้าไปพักเป็นพื้นที่สวนขนาดใหญ่ที่รายล้อมด้วยดอกไม้นานาพรรณ สีสันสดใสและกลิ่นหอมของดอกไม้ในสวนทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลาย แม้เรือนจะตั้งอยู่ห่างไกลผู้คน แต่สว
ในช่วงบ่ายอันร้อนระอุ กานต์นั่งทำงานอยู่ในสำนักงานไม้ที่ปาง ท่ามกลางเสียงเครื่องจักรและเสียงคนงานที่ทำงานกันอย่างขะมักเขม้น ทันใดนั้น เสียงทะเลาะวิวาทจากข้างนอกก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้กานต์ต้องลุกขึ้นและเดินไปดูสถานการณ์ เมื่อกานต์มาถึงจุดเกิดเหตุ เขาเห็นคนงานสองกลุ่มกำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรง ท่าทางดุดันและสีหน้าที่เคร่งเครียดของพวกเขาทำให้กานต์รู้สึกกังวล กานต์พยายามเข้าไปห้ามปรามและพูดให้ทุกคนสงบลง แต่ดูเหมือนว่าคำพูดของเขาจะไม่มีผลกับใครเลย ต่างคนต่างหน้ามืดไม่ยอมฟังเสียงของกานต์ ในจังหวะที่ความรุนแรงเพิ่มขึ้น หนึ่งในคนงานก็พลาดไปผลักกานต์จนกระเด็นไปไกล เขาล้มลงกับพื้นอย่างแรง ขาแพลงและรู้สึกเจ็บปวดแผ่ซ่านจนแทบยืนขึ้นไม่ไหว เสียงร้องด้วยความเจ็บของกานต์ถูกกลบด้วยเสียงทะเลาะที่ยังไม่สิ้นสุด คนงานบางคนที่เห็นเหตุการณ์เริ่มตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและพยายามเข้ามาช่วย แต่ความเสียหายก็เกิดขึ้นแล้ว กานต์นอนอยู่กับพื้น หายใจแรงด้วยความเจ็บปวด ขณะที่สถานการณ์รอบตัวเขาเริ่มค่อยๆ สงบลง มิ่งและลุงอุ้ยเห็นเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นจากระยะไกล ทั้งสองรีบเร่งฝีเท้าพร้อมกับคนงานอีกกลุ่มหนึ่งที