มิ่งเดินเคียงข้างกานต์ขณะที่พวกเขาเดินไปตามทางมืดที่มีไฟฉายส่องนำทาง ท้องฟ้าสีดำยามค่ำคืนถูกปกคลุมไปด้วยดาวระยิบระยับที่ดูเหมือนจะส่องแสงระยิบระยับทั่วทั้งท้องฟ้า
"ดาววันนี้สวยจังนะครับคุณกานต์" มิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่สดใสขณะเดินไปตามทางดินที่นำไปสู่บ้านพัก "พอดีว่าวันนี้อากาศดีมาก คุณอาจจะต้องรู้สึกดีขึ้นหน่อยนะครับ" กานต์ยิ้มเล็กน้อย แต่ดวงตาของเขายังเต็มไปด้วยความคิดถึงและความรู้สึกที่ซับซ้อนจากค่ำคืนที่ผ่านมา "ครับ มิ่ง ดาวสวยจริง ๆ" เขาตอบเบา ๆ ขณะที่มองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว "แต่วันนี้ผมรู้สึกว่ามันจะสวยขึ้นมาก ถ้ามันไม่ได้มีบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกซับซ้อน" มิ่งหันมองกานต์ด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย "มีอะไรหรือเปล่าครับ? ดูเหมือนว่าคุณกานต์จะไม่ค่อยสดใสนัก" มิ่งถามด้วยความสงสัย ขณะเดินไปยังประตูบ้านที่เปิดกว้าง "คิดถึงบ้านเหรอครับคุณกานต์? เคยอยู่แต่ในเมืองใหญ่ ต้องมาทำงานอยู่กลางป่าอย่างนี้คงเหงาน่าดู" กานต์หันไปมองมิ่้ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความคิดถึง "ใช่ครับ มิ่ง ตอนแรกมันก็ดูแปลกใหม่และน่าตื่นเต้น แต่บางครั้งผมก็คิดถึงความสะดวกสบายและความคุ้นเคยของเมืองใหญ่" มิ่งยิ้มบาง ๆ และพยักหน้า "ผมเข้าใจครับ แต่ยังไงก็ตาม ถ้าคุณรู้สึกว่าอะไรที่ขาดหายไปหรือไม่สบายใจ ก็อย่าลืมบอกให้เรารู้ เราจะพยายามทำให้ที่นี่เป็นที่ที่คุณรู้สึกสบายใจได้มากที่สุด" “พรุ่งนี้สินะที่มิ่งบอกว่านายหัวจะกลับมา” กานต์พูดกับมิ่งด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะมีความคาดหวังซ่อนอยู่ เขาหันไปมองบ้านพักที่ตนเองพักอยู่ รู้สึกถึงความรู้สึกหลากหลายที่ก่อตัวขึ้นในใจ มิ่งพยักหน้าและตอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า “ใช่ครับ นายหัวธนินจะกลับมาพรุ่งนี้ หลังจากที่ไปดูแลเรื่องต่าง ๆ ที่เมืองใหญ่ เขาจะมาที่นี่เพื่อตรวจงานและพูดคุยกับเรา” กานต์รู้สึกถึงความตื่นเต้นที่ปะปนไปกับความวิตกกังวล มิ่งยังจำได้ดีถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปเมื่อกานต์เดินเข้ามาที่ปางไม้เป็นครั้งแรก เสียงพูดคุยและกระซิบกันดังขึ้นทั่วทั้งบริเวณ คนงานแต่ละคนที่เคยชินกับภาพของผู้จัดการที่มีรูปร่างบึกบึนและแข็งแรง ตอนนี้ต้องมาพบกับผู้จัดการคนใหม่ที่มีร่างเล็กบอบบาง ผิวขาวละเอียดและหน้าตาหล่อเหลาแบบที่ดูสะอาดสะอ้าน ทุกคนในปางต่างเฝ้ามองกานต์ด้วยความสงสัยและความประหลาดใจ บางคนถึงกับพูดคุยกันว่า “ผู้จัดการคนใหม่หล่อจริง ๆ แต่จะทำงานได้ดีแค่ไหนกันนะ?” มิ่งก็ไม่ต่างจากคนอื่น เขามองกานต์อย่างสงสัยในใจ เขายังคิดว่า “คนแบบนี้จะทนกับงานหนัก ๆ และสภาพแวดล้อมในป่าลึกได้จริงหรือ? จะสามารถทำงานได้ดีอย่างที่เราคาดหวังหรือไม่?” ในช่วงแรกที่กานต์เข้ามาในปาง ทุกคนต่างรอดูว่าเขาจะปรับตัวเข้ากับชีวิตในป่าที่เต็มไปด้วยความท้าทายได้อย่างไร แต่แม้จะมีความสงสัยและคำถามมากมายในใจของพวกเขา ความอดทนและความมุ่งมั่นที่กานต์แสดงออกก็เริ่มทำให้พวกเขาต้องเปลี่ยนความคิด กานต์ไม่เพียงแค่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกให้กับปางไม้ การทำงานที่เข้มงวดและการจัดการที่ดีของเขาทำให้ทุกคนเริ่มเห็นคุณค่าของเขาอย่างแท้จริง แม้จะมีการพูดถึงในตอนแรก แต่ความจริงกลับพิสูจน์ให้เห็นว่ากานต์เป็นผู้จัดการที่สมควรได้รับความไว้วางใจและความเคารพจากทุกคน .............................................................................. กานต์นั่งอยู่บนเตียงในห้องพัก มองออกไปนอกหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ให้รับแสงจันทร์ เขาหวนคิดถึงอดีตที่ยังคงฝังแน่นในความทรงจำ "พ่อกับแม่บังคับให้ผมแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง..." เขาพึมพำกับตัวเอง ดวงตาของเขามีแววเจ็บปวดแฝงอยู่ ในความทรงจำของเขา ความกดดันที่มาพร้อมกับการถูกบังคับให้แต่งงาน กลายเป็นความฝันที่แตกสลาย เขาไม่เคยอยากเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่พ่อแม่วางแผนให้เขา เขาต้องการอิสรภาพและเลือกเส้นทางของตัวเอง "ตอนที่เห็นประกาศหางานที่นี่..." เขายิ้มเหยียดตัวเอง "ที่ที่ห่างไกลและน่าจะไม่มีใครตามพบ... ผมตัดสินใจหนีออกมาและซ่อนตัวในป่าลึก" ความรู้สึกของการหนีไปยังที่ห่างไกลไม่ใช่แค่การหลีกหนีจากการแต่งงานที่ไม่ต้องการ แต่ยังเป็นการตัดขาดจากทุกสิ่งที่เขาเคยรู้จัก เขาให้คำมั่นว่าจะใช้ชีวิตที่นี่อย่างเป็นอิสระ แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ เขาเอนตัวลงบนเตียง มองไปยังเพดานและลมหายใจของเขาค่อย ๆ สงบลง "ตอนนี้ที่นี่ อาจจะเป็นที่ที่ผมจะเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นชีวิตที่เป็นของผมจริง ๆ" ในขณะที่เขาหลับตาและคิดถึงสิ่งที่ผ่านไป เขาเริ่มรู้สึกถึงความสบายใจที่เริ่มจะเกิดขึ้นในชีวิตใหม่ของเขา แม้จะมีความเจ็บปวดและการตัดสินใจที่ยากลำบาก แต่เขาก็รู้ว่าการที่เขาได้มาอยู่ที่นี่นั้นเป็นการเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขา ................................................................... ธนินก้าวลงจากรถจี๊บเปิดประทุน ดวงตาคมหลังแว่นกันแดดดำเข้มมองตรงไปยังกลุ่มคนงานที่ยืนรออยู่หน้าสำนักงานของปางไม้ ร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อสีเขียวมะกอกที่ติดกระดุมต่ำเผยให้เห็นอกกว้างแข็งแรง และผิวแทนที่บอกถึงความคุ้นเคยกับงานหนักกลางแจ้ง คนงานทุกคนยืนตัวตรง พูดคุยกันเสียงเบาๆ เมื่อเห็นนายหัวมาถึง กานต์ที่ยืนอยู่ท้ายแถวสุด รู้สึกไม่สบายใจ ร่างเล็กบอบบางของเขาดูแปลกแยกไปจากคนอื่นๆ มาก ทั้งรูปร่างและผิวขาวละเอียด ทำให้เขาโดดเด่นออกมาจากเหล่าคนงานทั้งหลาย กานต์มองนายหัวธนินที่ก้าวลงจากรถด้วยความรู้สึกที่เก็บไม่อยู่ เผลอกลืนน้ำลาย มองอย่างไม่อาจละสายตาได้ “ทำไมหล่อเข้มได้ขนาดนี้” เขาคิดในใจ ทันใดนั้น สายตาของธนินหันมาเจอเขา ธนินหยุดยืนนิ่ง พลางถอดแว่นกันแดดออก สายตาคมกริบของนายหัวสบกับดวงตาของกานต์เพียงชั่วขณะ กานต์รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน ความรู้สึกแปลกใหม่บางอย่างที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อนทำให้หัวใจเต้นแรง มิ่งเดินเข้ามาใกล้ธนิน พลางเอ่ยแนะนำด้วยน้ำเสียงนอบน้อม "นายหัวครับ นี่คุณกานต์ ผู้จัดการคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานเมื่ออาทิตย์ก่อนครับ" ธนินขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้ามาหา กานต์รู้สึกเหมือนตัวเองถูกตรึงอยู่กับที่ ทั้งๆ ที่ขาทั้งสองข้างแทบสั่น ความสูงใหญ่และท่าทีสง่างามของธนินทำให้เขารู้สึกตัวเล็กลงไปทันที “คุณคือผู้จัดการใหม่?” เสียงทุ้มของธนินดังขึ้น ขณะที่เขายืนจ้องกานต์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยและสำรวจ กานต์พยักหน้าเบาๆ “ครับ ผม... กานต์” ธนินยิ้มมุมปากเล็กๆ ดวงตาคมจับจ้องไปที่ใบหน้าสวยหวานของกานต์ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแฝงนัย “ยินดีต้อนรับนะ... กานต์” ธนินหันไปมองกานต์อีกครั้ง สายตาคมใต้แว่นตาดำจ้องมองใบหน้าของหนุ่มน้อยตรงหน้าอย่างพิจารณา ใบหน้าของกานต์ที่สะอาดสะอ้านและดูหล่อหวาน ชวนให้คนที่เห็นรู้สึกสะดุดตา ธนินยิ้มเล็กน้อยก่อนเอ่ยเสียงเข้มทุ้ม "หวังว่าคุณจะทำงานที่นี่ได้นานนะ" เขากล่าวเบาๆ แต่แฝงด้วยความนัยบางอย่าง กานต์ "ครับ นายหัว" แม้จะพยายามทำตัวนิ่ง แต่เขารู้สึกถึงความตึงเครียดบางอย่างจากการสบตาธนิน ความรู้สึกแปลกประหลาดที่ก่อตัวขึ้นภายในจากการเผชิญหน้าครั้งแรกกับชายผู้เป็นนายของเขาลุงอุ้ยเอ่ยขึ้นหลังจากที่ธนินหันกลับไปสนใจคนงานคนอื่น "นายหัวว่าให้คุณกานต์พักที่เรือนหลังใหญ่ครับ" เสียงของลุงอุ้ยนั้นแผ่วเบา แต่ชัดเจน กานต์หันมองลุงด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย"เรือนใหญ่ที่นายหัวพักอยู่?" กานต์ถามซ้ำ รู้สึกแปลกใจกับการจัดที่พักให้เขา ซึ่งเป็นสถานที่ที่ดูเงียบสงบและเป็นส่วนตัวอย่างมาก ลุงอุ้ยพยักหน้า "ใช่ครับ ที่นั่นเงียบสงบ ห่างไกลจากผู้คน นายหัวไม่ชอบให้ใครเข้าออกเรือนนั้นมากนัก จะมีแค่ป้าพิไลที่มาทำอาหารกับทำความสะอาดตามเวลา แล้วก็ไม่ได้พักที่นั่นหรอกครับ แค่เข้ามาทำงานแล้วก็กลับไป"กานต์ฟังแล้วรู้สึกถึงบรรยากาศที่เงียบสงัดของสถานที่นั้น เขาพยายามทำใจรับสถานการณ์ แต่ในใจก็ยังคงรู้สึกประหม่า ความเงียบของเรือนใหญ่ดูจะเป็นความเงียบที่มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่"ผมต้องอยู่คนเดียวเหรอครับ?" กานต์ถามเสียงเบาลุงอุ้ยหัวเราะเล็กน้อย "ใช่ครับ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก คุณกานต์ เดี๋ยวก็ชินไปเอง" หลังเรือนใหญ่ที่กานต์กำลังจะย้ายเข้าไปพักเป็นพื้นที่สวนขนาดใหญ่ที่รายล้อมด้วยดอกไม้นานาพรรณ สีสันสดใสและกลิ่นหอมของดอกไม้ในสวนทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลาย แม้เรือนจะตั้งอยู่ห่างไกลผู้คน แต่สว
ในช่วงบ่ายอันร้อนระอุ กานต์นั่งทำงานอยู่ในสำนักงานไม้ที่ปาง ท่ามกลางเสียงเครื่องจักรและเสียงคนงานที่ทำงานกันอย่างขะมักเขม้น ทันใดนั้น เสียงทะเลาะวิวาทจากข้างนอกก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้กานต์ต้องลุกขึ้นและเดินไปดูสถานการณ์ เมื่อกานต์มาถึงจุดเกิดเหตุ เขาเห็นคนงานสองกลุ่มกำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรง ท่าทางดุดันและสีหน้าที่เคร่งเครียดของพวกเขาทำให้กานต์รู้สึกกังวล กานต์พยายามเข้าไปห้ามปรามและพูดให้ทุกคนสงบลง แต่ดูเหมือนว่าคำพูดของเขาจะไม่มีผลกับใครเลย ต่างคนต่างหน้ามืดไม่ยอมฟังเสียงของกานต์ ในจังหวะที่ความรุนแรงเพิ่มขึ้น หนึ่งในคนงานก็พลาดไปผลักกานต์จนกระเด็นไปไกล เขาล้มลงกับพื้นอย่างแรง ขาแพลงและรู้สึกเจ็บปวดแผ่ซ่านจนแทบยืนขึ้นไม่ไหว เสียงร้องด้วยความเจ็บของกานต์ถูกกลบด้วยเสียงทะเลาะที่ยังไม่สิ้นสุด คนงานบางคนที่เห็นเหตุการณ์เริ่มตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและพยายามเข้ามาช่วย แต่ความเสียหายก็เกิดขึ้นแล้ว กานต์นอนอยู่กับพื้น หายใจแรงด้วยความเจ็บปวด ขณะที่สถานการณ์รอบตัวเขาเริ่มค่อยๆ สงบลง มิ่งและลุงอุ้ยเห็นเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นจากระยะไกล ทั้งสองรีบเร่งฝีเท้าพร้อมกับคนงานอีกกลุ่มหนึ่งที
ธนินเดินตามมาที่บ้านใหญ่ ใจเขาเต้นรัวเมื่อเห็นกานต์อยู่บนบันได ขึ้นไปด้วยท่าทางไม่มั่นคง เขาเห็นกานต์เก้ๆ กังๆ พยายามปีนบันไดอย่างยากลำบากและยังต้องอาศัยไม้เท้าช่วยพยุงตัวเองธนินรีบก้าวไปข้างหน้าและตรงเข้าไปหากานต์ โดยไม่รอให้เขาเห็นหรือขออนุญาต เขาจับไม้เท้าแล้วดึงกานต์เข้าไปในอ้อมแขนของเขาอย่างรวดเร็วและอ่อนโยน“ให้ผมช่วยคุณ” ธนินพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและแรงดึงดูดที่เขาไม่สามารถปกปิดได้ ธนินในสภาพเปลือยท่อนบน เผยให้เห็นแผงอกใหญ่ที่เต็มไปด้วยรอยสักอันทรงพลัง ผิวแทนเข้มขับให้รอยสักยิ่งโดดเด่น เขาสวมเพียงกางเกงแพรตัวหลวม ตวัดแขนแข็งแรงรอบร่างบอบบางของกานต์ที่ขาแพลงโดยไม่พูดอะไร กานต์ที่ถูกยกร่างอย่างไม่ทันตั้งตัวรู้สึกกระดากใจและอายอย่างบอกไม่ถูก หน้าเขาแดงระเรื่อ ขณะที่พยายามข่มความรู้สึกอึดอัดในใจ ธนินอุ้มกานต์เดินตรงไปยังห้องนอนอย่างมั่นคง ราวกับน้ำหนักของกานต์เป็นเพียงขนนก กานต์หลบสายตาไม่กล้ามองตรงไปยังแผงอกของธนิน แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธความร้อนจากร่างกายที่แนบชิดได้ หัวใจของเขาเต้นระรัว ขณะถูกธนินพาเข้าไปในห้อง รู้สึกสับสนระหว่างความกลัวและความหวั่นไหวที่ปะทุขึ้