ลุงอุ้ยเอ่ยขึ้นหลังจากที่ธนินหันกลับไปสนใจคนงานคนอื่น
"นายหัวว่าให้คุณกานต์พักที่เรือนหลังใหญ่ครับ" เสียงของลุงอุ้ยนั้นแผ่วเบา แต่ชัดเจน กานต์หันมองลุงด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย "เรือนใหญ่ที่นายหัวพักอยู่?" กานต์ถามซ้ำ รู้สึกแปลกใจกับการจัดที่พักให้เขา ซึ่งเป็นสถานที่ที่ดูเงียบสงบและเป็นส่วนตัวอย่างมาก ลุงอุ้ยพยักหน้า "ใช่ครับ ที่นั่นเงียบสงบ ห่างไกลจากผู้คน นายหัวไม่ชอบให้ใครเข้าออกเรือนนั้นมากนัก จะมีแค่ป้าพิไลที่มาทำอาหารกับทำความสะอาดตามเวลา แล้วก็ไม่ได้พักที่นั่นหรอกครับ แค่เข้ามาทำงานแล้วก็กลับไป" กานต์ฟังแล้วรู้สึกถึงบรรยากาศที่เงียบสงัดของสถานที่นั้น เขาพยายามทำใจรับสถานการณ์ แต่ในใจก็ยังคงรู้สึกประหม่า ความเงียบของเรือนใหญ่ดูจะเป็นความเงียบที่มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ "ผมต้องอยู่คนเดียวเหรอครับ?" กานต์ถามเสียงเบา ลุงอุ้ยหัวเราะเล็กน้อย "ใช่ครับ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก คุณกานต์ เดี๋ยวก็ชินไปเอง" หลังเรือนใหญ่ที่กานต์กำลังจะย้ายเข้าไปพักเป็นพื้นที่สวนขนาดใหญ่ที่รายล้อมด้วยดอกไม้นานาพรรณ สีสันสดใสและกลิ่นหอมของดอกไม้ในสวนทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลาย แม้เรือนจะตั้งอยู่ห่างไกลผู้คน แต่สวนนี้กลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา ดอกไม้หลากชนิดบานสะพรั่งทั่วบริเวณ สายลมเย็นพัดผ่านพอให้กลิ่นดอกไม้ลอยตามลม กานต์เดินออกมายืนมองสวนหลังเรือน รู้สึกถึงความเงียบสงบของสถานที่นี้ที่ตัดขาดจากความวุ่นวายของโลกภายนอก สวนสวยที่เหมือนซ่อนอยู่ในป่าลึกให้ความรู้สึกคล้ายโลกส่วนตัวที่ไม่เหมือนที่ไหน มันเงียบสงบแต่ก็แฝงไปด้วยความงดงามที่น่าหลงใหล ดอกไม้นานาพรรณในสวนนี้ให้ความรู้สึกสงบและสวยงาม แต่ในใจของกานต์กลับเต็มไปด้วยความสงสัยเกี่ยวกับชายผู้เป็นเจ้าของสถานที่นี้... ............................................................................ หลังจากที่กานต์เข้ามาทำงานและใช้ชีวิตอยู่ที่ปางได้ครบเดือน คืนหนึ่งหลังจากวันทำงานที่เหนื่อยล้า ธนินเอ่ยชวนกานต์ให้มาดื่มไวน์ที่บ้านใหญ่ซึ่งทั้งสองอาศัยอยู่ร่วมกัน “คุณกานต์” ธนินเรียกเสียงนุ่มในขณะที่กานต์กำลังจะเดินขึ้นห้อง “มาดื่มไวน์กับผมหน่อยสิ คืนนี้อากาศดี... ไวน์นี่ก็เพิ่งเปิดมาจากฝรั่งเศส” กานต์ที่รู้สึกเหนื่อยแต่ก็ไม่อยากขัดนายหัว รับคำเชิญไปนั่งที่ห้องนั่งเล่นร่วมกับธนิน เขามองดูร่างสูงใหญ่ที่เปลือยท่อนบนอย่างเคย กางเกงแพรที่หลวมสบายเผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่แน่นตึงและรอยสักอันน่าหวาดหวั่นบนแผงอกกว้าง ธนินนั่งพิงโซฟาด้วยท่าทางผ่อนคลาย แต่สายตาที่จับจ้องมาที่กานต์กลับให้ความรู้สึกร้อนแรงอย่างบอกไม่ถูก “ดื่มไวน์หน่อยสิ” ธนินยื่นแก้วไวน์ให้ กานต์ยกแก้วขึ้นจิบพลางพยายามไม่สบตากับนายหัวที่นั่งใกล้เกินไป ทั้งคู่เริ่มพูดคุยกันเรื่องงานและชีวิตในปาง แต่ไม่นานการสนทนาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นเรื่องส่วนตัวมากขึ้น “คุณไม่เคยพูดถึงครอบครัวเลยนะ” ธนินเอ่ยถามอย่างสงสัย “มาอยู่กลางป่าแบบนี้ คงคิดถึงบ้านใช่ไหม?” กานต์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบเบาๆ “ครับ... แต่อยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกัน เงียบสงบดี” ธนินจิบไวน์แล้ววางแก้วลงบนโต๊ะ สายตาคมยังคงจ้องกานต์อย่างไม่วางตา “คุณเป็นคนที่ดูแตกต่างจากคนงานทุกคนที่นี่เลยนะ ผิวคุณขาวละเอียด... หน้าตาคุณก็... เหมือนจะไม่ใช่คนทำงานกลางแจ้งแบบนี้” กานต์เริ่มรู้สึกอึดอัดกับคำพูดและสายตาของธนินที่เหมือนจะจับจ้องเขาในทางที่ต่างออกไป เขายกแก้วไวน์ขึ้นจิบอีกครั้งเพื่อซ่อนความประหม่าในใจ แต่กลับรู้สึกเหมือนไวน์ในมือทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงยิ่งขึ้น "คุณกานต์..." ธนินพูดเสียงนุ่ม ขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม “ทำไมถึงหนีมาที่นี่เหตุผลจริงๆ ล่ะ?” กานต์รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ของธนินที่อยู่ใกล้มากจนเกินไป เขาหันมาสบตากับนายหัวเพียงชั่วครู่ แล้วก็นิ่งไป ใจของเขาเต้นแรงขึ้นทุกที ธนินดึงกานต์เข้ามาใกล้ชิดมากขึ้นเมื่อเห็นว่าเขาเริ่มมึนจากการดื่ม ทั้งสองนั่งอยู่บนพื้นในบรรยากาศที่เงียบสงบ ธนินใช้ปลายนิ้วโป้งค่อยๆ เช็ดคราบเครื่องดื่มที่มุมปากของกานต์ ความใกล้ชิดนั้นทำให้กานต์สะดุ้งเล็กน้อย หัวใจของเขาเต้นรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สายตาของทั้งสองสบกันอย่างยาวนาน ราวกับเวลาหยุดลง กานต์รู้สึกถึงความอบอุ่นจากปลายนิ้วของธนินที่สัมผัสกับผิวหน้าเขา ความรู้สึกสับสนพลุ่งพล่านในใจ “ทำไมถึงใจสั่นกับผู้ชายด้วยกันแบบนี้...” เขาคิดในใจ แต่ไม่สามารถหลบหนีสายตาและสัมผัสของธนินได้ ทุกสิ่งรอบตัวดูเหมือนจะเงียบงัน มีเพียงลมหายใจที่ถี่ขึ้นของเขาทั้งสอง ธนินเลื่อนใบหน้าเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ สายตาของเขายังคงจับจ้องที่กานต์อย่างลึกซึ้ง กานต์รู้สึกได้ถึงความร้อนจากลมหายใจที่อยู่ใกล้จนแทบจะสัมผัสได้ ปลายนิ้วของธนินยังคงวางอยู่ที่มุมปากของเขา ขณะที่สัมผัสนั้นทำให้กานต์ใจสั่นมากยิ่งขึ้น “ไม่ต้องฝืนหรอก...ถ้านายไม่อยากหนี” ธนินพูดด้วยเสียงต่ำที่ฟังดูนุ่มนวล แต่กลับแฝงไปด้วยความเข้มแข็งและดึงดูด กานต์เบนหน้าหนีเล็กน้อย แต่หัวใจของเขากลับเต้นแรงขึ้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ “ผม...ผมไม่ได้หนี” กานต์ตอบเสียงเบา ไม่แน่ใจว่าคำพูดนั้นเป็นเพื่อตัวเองหรือเพื่อธนิน ธนินยิ้มมุมปาก “งั้นก็อย่าได้กลัว...” เขากระซิบใกล้ใบหูของกานต์ นิ้วของเขายังคงไล้ไปที่ขอบริมฝีปากของกานต์อย่างช้าๆ ความรู้สึกที่ร้อนแรงในตัวกานต์เริ่มก่อตัวขึ้น ท่ามกลางความสับสนในใจ ……………………………………………….. กานต์สะดุ้งตื่นขึ้นบนเตียง ร่างเปลือยเปล่าที่มีเพียงผ้าห่มบางปกคลุมอยู่ทำให้เขาตกใจ ภายในห้องมีเพียงแสงอ่อน ๆ จากหน้าต่างที่ส่องเข้ามา กานต์กะพริบตาอย่างงุนงง พยายามนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน “เอ๊ะ... เมื่อคืนเราจำได้ว่านั่งดื่มอยู่กับนายหัว...” เขาพยายามเรียบเรียงความทรงจำ แต่ภาพหลังจากนั้นกลับเลือนลาง ราวกับถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา เขายกมือขึ้นจับศีรษะ รู้สึกถึงความมึนเบาๆ “ภาพตัดไปตอนไหนนะ...” กานต์พึมพำกับตัวเอง กานต์พยายามนึกย้อนไปถึงภาพสุดท้ายที่จำได้ มันคือช่วงที่ธนินนั่งข้างเขา บนพื้นเย็นๆ ริมขอบระเบียง สายตาคมดุของธนินสบเข้ากับดวงตาของกานต์อย่างแน่วแน่ มือใหญ่หยาบกร้านค่อยๆ ไล้นิ้วเช็ดรอยเปื้อนที่มุมปากของเขาด้วยความเอาใจใส่ ความรู้สึกนั้นยังคงชัดเจนในใจของกานต์ ริมฝีปากยังรู้สึกถึงความเย็นของนิ้วโป้งของธนินที่แตะเบาๆ มันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ใจของเขาสั่นรัวอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน แต่หลังจากนั้น... ทุกอย่างก็ดับวูบไป “ทำไมเราจำได้แค่ตรงนั้น...” กานต์ครุ่นคิด รู้สึกได้ถึงความหนักอึ้งในใจ เขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ……………………………………………………….. เช้าวันต่อมา กานต์เดินลงบันไดมาที่โต๊ะอาหารด้วยอาการมึนหัว รู้สึกแปลกๆ ในร่างกายเหมือนยังไม่หายจากความเมาของคืนก่อน เขาจำได้เพียงเลือนลางถึงภาพสุดท้ายที่นั่งดื่มไวน์อยู่กับธนิน ทุกอย่างหลอมรวมกลายเป็นความพร่าเบลอไปหมด เขาพยายามสะบัดหัวเบาๆ เพื่อไล่ความคิดนั้นออกไป ธนินนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว ท่าทางสบายๆ และผ่อนคลาย แต่สายตาคมคู่นั้นยังคงจับจ้องกานต์อย่างที่เคย ทำให้กานต์รู้สึกประหม่า "เมื่อคืนดื่มเยอะไปหน่อยหรือเปล่า?" ธนินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะหยิบช้อนขึ้นตักอาหารใส่ปาก กานต์ตอบเบาๆ "ครับ... อาจจะมากไปนิด ผมจำอะไรไม่ค่อยได้เลย" ธนินยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะวางช้อนลง "อืม... ไม่เป็นไร คืนนี้พักผ่อนให้มากหน่อยแล้วกัน" คำพูดที่เหมือนจะเป็นการเตือน แต่กลับแฝงความหมายบางอย่าง ทำให้กานต์รู้สึกไม่สบายใจ เขารู้สึกถึงความผิดปกติในบรรยากาศระหว่างเขากับธนิน แม้จะยังจำเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าบางอย่างเกิดขึ้นเมื่อคืน กานต์นั่งอยู่ตรงข้ามธนิน ขณะที่ธนินนั่งรับประทานอาหารเช้าอย่างสบายๆ โดยไม่ใส่เสื้อท่อนบน ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเงียบสงบและบรรยากาศของบ้านกลางป่า กานต์ไม่สามารถละสายตาจากธนินได้ ร่างกายที่เปลือยเปล่าผิวสีแทนและรอยสักที่ปกคลุมแผงอก กานต์รู้สึกถึงความร้อนที่เกิดขึ้นภายใน แม้จะเป็นช่วงเช้าแต่เขากลับรู้สึกถึงความล่อใจจากการที่ธนินไม่ใส่เสื้อ “ทำไมเขาถึงไม่ชอบใส่เสื้อเวลาที่อยู่บ้านนะ?” กานต์คิดในใจ ความรู้สึกสับสนและความอยากรู้กลายเป็นสิ่งที่ดึงดูดเขาอย่างมาก ธนินมีท่าทีเป็นกันเองแต่กลับมีกลิ่นอายของความลึกลับและเย้ายวนใจที่ทำให้กานต์รู้สึกกระสับกระส่าย ธนินยิ้มบางๆ เมื่อเห็นกานต์มองเขาอย่างไม่หยุดนิ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาดูเหมือนจะรู้ถึงความรู้สึกของกานต์ แต่เลือกที่จะเงียบ นั่งทานอาหารด้วยท่าทางที่สบายๆ และเป็นธรรมชาติ เมื่อธนินยิ้มให้กานต์ รอยยิ้มของเขาก็เต็มไปด้วยความลึกลับและซ่อนเร้น ราวกับเขารู้ดีถึงความสับสนและความดึงดูดที่กำลังเกิดขึ้นในใจของกานต์ แต่ก็ยังคงรักษาความสงบไว้อย่างเต็มที่ กานต์รู้สึกถึงแรงดึงดูดที่ไม่สามารถอธิบายได้ เขาคล้ายกับถูกดึงดูดให้เข้าไปใกล้ธนินมากขึ้น แม้จะรู้สึกตื่นเต้นและหวาดกลัว แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นทำให้เขาไม่สามารถละสายตาจากธนินได้เลย ธนินวางช้อนลงช้าๆ สายตาจ้องมองกานต์ที่นั่งตรงข้ามโต๊ะอาหาร สายตาของเขาทำให้บรรยากาศในห้องดูนิ่งเงียบและหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย "มาอยู่ในป่านานขนาดนี้ ไม่เห็นติดต่อใครเลย ไม่มีแฟนเหรอ?" ธนินถามเสียงเรียบ แต่มีความสนใจที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงนั้น กานต์เงยหน้าขึ้นมองธนิน ก่อนจะตอบด้วยท่าทีเรียบง่าย "ไม่มีครับ" ธนินยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามต่อ "ไม่ชอบผู้หญิงเหรอ?" คำถามนั้นทำให้กานต์สะดุ้งเล็กน้อย เขารีบตอบทันที "ก็ต้องชอบผู้หญิงสิครับ" แม้คำตอบของเขาจะออกมาแน่วแน่ แต่สายตาของธนินกลับยังคงจ้องมองอย่างสงสัย ราวกับจะเจาะลึกความจริงในใจของเขา ธนินหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยกช้อนขึ้นมาทานต่อ “งั้นเหรอ... ก็ดีแล้ว”ในช่วงบ่ายอันร้อนระอุ กานต์นั่งทำงานอยู่ในสำนักงานไม้ที่ปาง ท่ามกลางเสียงเครื่องจักรและเสียงคนงานที่ทำงานกันอย่างขะมักเขม้น ทันใดนั้น เสียงทะเลาะวิวาทจากข้างนอกก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้กานต์ต้องลุกขึ้นและเดินไปดูสถานการณ์ เมื่อกานต์มาถึงจุดเกิดเหตุ เขาเห็นคนงานสองกลุ่มกำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรง ท่าทางดุดันและสีหน้าที่เคร่งเครียดของพวกเขาทำให้กานต์รู้สึกกังวล กานต์พยายามเข้าไปห้ามปรามและพูดให้ทุกคนสงบลง แต่ดูเหมือนว่าคำพูดของเขาจะไม่มีผลกับใครเลย ต่างคนต่างหน้ามืดไม่ยอมฟังเสียงของกานต์ ในจังหวะที่ความรุนแรงเพิ่มขึ้น หนึ่งในคนงานก็พลาดไปผลักกานต์จนกระเด็นไปไกล เขาล้มลงกับพื้นอย่างแรง ขาแพลงและรู้สึกเจ็บปวดแผ่ซ่านจนแทบยืนขึ้นไม่ไหว เสียงร้องด้วยความเจ็บของกานต์ถูกกลบด้วยเสียงทะเลาะที่ยังไม่สิ้นสุด คนงานบางคนที่เห็นเหตุการณ์เริ่มตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและพยายามเข้ามาช่วย แต่ความเสียหายก็เกิดขึ้นแล้ว กานต์นอนอยู่กับพื้น หายใจแรงด้วยความเจ็บปวด ขณะที่สถานการณ์รอบตัวเขาเริ่มค่อยๆ สงบลง มิ่งและลุงอุ้ยเห็นเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นจากระยะไกล ทั้งสองรีบเร่งฝีเท้าพร้อมกับคนงานอีกกลุ่มหนึ่งที
ธนินเดินตามมาที่บ้านใหญ่ ใจเขาเต้นรัวเมื่อเห็นกานต์อยู่บนบันได ขึ้นไปด้วยท่าทางไม่มั่นคง เขาเห็นกานต์เก้ๆ กังๆ พยายามปีนบันไดอย่างยากลำบากและยังต้องอาศัยไม้เท้าช่วยพยุงตัวเองธนินรีบก้าวไปข้างหน้าและตรงเข้าไปหากานต์ โดยไม่รอให้เขาเห็นหรือขออนุญาต เขาจับไม้เท้าแล้วดึงกานต์เข้าไปในอ้อมแขนของเขาอย่างรวดเร็วและอ่อนโยน“ให้ผมช่วยคุณ” ธนินพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและแรงดึงดูดที่เขาไม่สามารถปกปิดได้ ธนินในสภาพเปลือยท่อนบน เผยให้เห็นแผงอกใหญ่ที่เต็มไปด้วยรอยสักอันทรงพลัง ผิวแทนเข้มขับให้รอยสักยิ่งโดดเด่น เขาสวมเพียงกางเกงแพรตัวหลวม ตวัดแขนแข็งแรงรอบร่างบอบบางของกานต์ที่ขาแพลงโดยไม่พูดอะไร กานต์ที่ถูกยกร่างอย่างไม่ทันตั้งตัวรู้สึกกระดากใจและอายอย่างบอกไม่ถูก หน้าเขาแดงระเรื่อ ขณะที่พยายามข่มความรู้สึกอึดอัดในใจ ธนินอุ้มกานต์เดินตรงไปยังห้องนอนอย่างมั่นคง ราวกับน้ำหนักของกานต์เป็นเพียงขนนก กานต์หลบสายตาไม่กล้ามองตรงไปยังแผงอกของธนิน แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธความร้อนจากร่างกายที่แนบชิดได้ หัวใจของเขาเต้นระรัว ขณะถูกธนินพาเข้าไปในห้อง รู้สึกสับสนระหว่างความกลัวและความหวั่นไหวที่ปะทุขึ้
ธนินมองกานต์ที่นอนหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนจากฤทธิ์ของไข้และยา เขานั่งลงข้างเตียงอย่างระมัดระวัง ถอนหายใจยาวๆ พร้อมกับความรู้สึกที่ยากจะบรรยายการสัมผัสของเขาที่ผ่านมาทำให้เขารู้สึกถึงความร้อนแรงและความรู้สึกที่คับข้องใจ แต่เมื่อเห็นกานต์หลับไปอย่างสงบ ธนินรู้สึกได้ถึงความโล่งใจ แม้จะยังคงรู้สึกถึงความตึงเครียดที่เขาพยายามจะควบคุม แต่ในที่สุดสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำให้กานต์รู้สึกดีขึ้นและปลอดภัยเขาพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นไปยังโต๊ะข้างเตียงหยิบผ้าชุบน้ำเย็นมาเช็ดเบาๆ ที่หน้าผากของกานต์ เพื่อช่วยลดความร้อนในร่างกาย จากนั้นเขานั่งลงอีกครั้ง มองดูใบหน้าของกานต์ที่ตอนนี้สงบและผ่อนคลายธนินรู้สึกว่าการจัดการกับอารมณ์ของเขานั้นยากมากเพียงใด แต่การเห็นกานต์นอนหลับอย่างสงบทำให้เขารู้สึกได้ถึงความสงบและความพึงพอใจในระดับหนึ่ง เขารู้ว่าตัวเขาเกือบจะสูญเสียการควบคุม แต่เขาก็พยายามเต็มที่เพื่อให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติอีกครั้งเขายิ้มให้กับตัวเองเล็กน้อยเมื่อมองดูร่างกายของกานต์ที่นอนอยู่ในสภาพที่สงบ ในที่สุดก็ทำให้เขาสามารถปล่อยความรู้สึกทั้งหมดไปได้ชั่วคราว ป้าพิไลถือถาดอาหารเดินเข้ามาในห้องอย่
ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์แล้ว กานต์ฟื้นตัวจนหายดี คืนนี้เป็นคืนพิเศษที่มีงานเลี้ยงวันเกิดของมิ่งที่จัดขึ้นที่สำนักงาน คนงานมากมายต่างพากันมาเข้าร่วมงาน บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เสียงหัวเราะ ร้องเพลง และการดื่มกินรอบกองไฟมิ่งนั่งชิดกับกานต์ หัวเราะพูดคุยและดื่มอย่างไม่ขาดสาย เสียงเพลงและเสียงหัวเราะของพวกเขาดังขึ้นเรื่อย ๆ แต่ท่ามกลางความครึกครื้นนั้น บางคนกลับไม่รู้สึกสนุกไปด้วย ธนินยืนมองภาพนั้นจากที่ห่างออกมา ความโกรธเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเขา เขามองเห็นมิ่งที่นั่งใกล้ชิดกับกานต์มากเกินไป และท่าทางที่เป็นกันเองระหว่างพวกเขาทำให้เขารู้สึกไม่พอใจนายหัวลมออกหูแล้ว ความอิจฉาและความโกรธที่ถูกกักเก็บมานานเริ่มปะทุขึ้นในใจของเขา เขาไม่สามารถทนดูภาพนั้นได้อีกต่อไป ความคิดก็แล่นเข้ามาในหัวทันที “คงต้องรีบรวบหัวรวบหางซะแล้วสินะ” เขาคิดในใจ รู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องทำอะไรบางอย่าง ก่อนที่มิ่งจะคิดไม่ซื่อกับกานต์ ความใกล้ชิดและการหยอกล้อกันระหว่างมิ่งและกานต์ทำให้ธนินรู้สึกไม่สบายใจ เขารู้ดีว่าตัวเองจะต้องลงมือก่อนที่อะไรจะเกินควบคุมไปมากกว่านี้ และแล้วภาพต่อไป กานต์ที่เริ่มเมาได้ที่ คุย
ธนินยืนอยู่ใต้ฝักบัวขนาดใหญ่ น้ำไหลลงมาที่แผงอกกว้าง ร่างสูงใหญ่ของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแรง ผิวสีแทนเป็นประกายเมื่อสะท้อนแสงจากน้ำ สายน้ำที่ไหลลงมาตามแนวกล้ามเนื้อของเขา คลึงเคล้าไปตามแผงอกที่กว้างและรอยสักที่ประดับอยู่บนร่างกายของเขา การเคลื่อนไหวของน้ำกระทบเส้นกล้ามเนื้อที่ชัดเจนและกระชับทำให้แต่ละลอนของน้ำไหลลงไปตามร่างกายเขาดูเซ็กซี่อย่างยิ่ง น้ำเย็นที่ไหลลงมาจากฝักบัวทำให้ผิวเขาเปล่งประกายและสัมผัสถึงความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้ออย่างชัดเจน กล้ามท้องของเขาเป็นแนวลอนชัดเจน บ่งบอกถึงความแข็งแรงและความเพรียวบาง ธนินยกมือขึ้นเช็ดน้ำจากใบหน้าและเสยผมออกจากหน้าผาก น้ำไหลจากเส้นผมไปตามลำคอและตกลงบนแผงอก การเคลื่อนไหวนี้ทำให้รู้สึกถึงความร้อนที่ยังคงอยู่ในตัวเขา แม้ว่าจะมีน้ำเย็นกระทบก็ตาม เขาเสยผมของตัวเองที่ยังเปียกชื้น น้ำที่ไหลลงมาทำให้ผมของเขาติดกับใบหน้าและคอ ปล่อยให้หยดน้ำไหลลงมาตามใบหน้าและคอ ทำให้ผิวของเขาดูเย้ายวนใจ ดวงตาของเขาเป็นประกาย สื่อถึงความอดกลั้นและความร้อนแรงที่ยังไม่สามารถระบายออกมาได้ ชายหนุ่มพยายามควบคุมตัวเอง รู้สึกถึงความต้องการที่รุนแรง……………………………………………
หลังจากคืนนั้นที่กระท่อม ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปในตัวกานต์ เขารู้สึกหวั่นไหวทุกครั้งที่เห็นธนิน ไม่ว่าจะเป็นแค่ภาพท่อนบนเปลือยเปล่าที่โชว์แผงอกแข็งแรง กล้ามเนื้อที่ขยับเคลื่อนตัวตามจังหวะการหายใจ รอยสักขนาดใหญ่บนผิวสีแทนที่ดูมีเสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งเหล่านี้ตามหลอกหลอนจิตใจของกานต์อยู่เรื่อยมา แม้เขาจะพยายามหนีความรู้สึกนั้น แต่มันกลับชัดเจนมากขึ้นทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดธนิน วันนี้ก็เช่นกัน ธนินใช้หน้าที่เป็นข้ออ้างบังคับให้กานต์มาด้วย ทั้งสองนั่งอยู่ในรถจี๊บเปิดประทุนที่ขับลัดเลาะไปตามทางป่ากว้าง เสียงเครื่องยนต์ดังกลบความเงียบระหว่างทั้งคู่ แต่กานต์ไม่สามารถหยุดความคิดวุ่นวายในหัวได้ ทุกครั้งที่ธนินหันมา หรือแม้แต่ขยับตัวเพียงเล็กน้อย กานต์ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองแผงอกกว้างที่ดูแข็งแกร่ง อยู่ๆ ธนินก็ตัดสินใจจอดรถกลางป่าโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ กานต์รู้สึกหัวใจเต้นระรัว มือที่จับกันไว้บนตักอยู่นั้นสั่นเล็กน้อย เขาพยายามหาคำถามเพื่อเติมเต็มความเงียบ แต่เสียงของตัวเองกลับแผ่วเบาอย่างน่าตกใจ“ทำไม... ทำไมคุณจอดรถตรงนี้?” กานต์ถามออกไป น้ำเสียงสั่นน้อยๆธนินไม่ได้ตอบในทันที เขาหันมามองกาน
เมื่อธนินมาส่งกานต์ที่สำนักงาน ความเงียบแผ่ปกคลุมในรถ ทั้งที่ภายนอกดูเหมือนสงบ แต่ภายในใจของกานต์กลับยังร้อนรุ่มไม่หาย ความทรงจำจากบทรักเอาแต่ใจของธนินที่เพิ่งผ่านไปยังคงก้องในหัวของเขา ร่างกายเขายังรู้สึกถึงสัมผัสที่รุนแรงและทิ้งร่องรอยแห่งความปรารถนาไว้ กานต์หันหน้าหลบสายตาของธนินที่มองมา รู้สึกอับอายและไม่กล้าเงยหน้าขึ้น แม้ในใจจะยังสั่นไหวและคิดวนเวียนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขากัดริมฝีปากตัวเองเบา ๆ พลางพยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แต่ความร้อนผ่าวในร่างยังไม่จางหาย ธนินเหลือบมองกานต์ที่นั่งข้าง ๆ ด้วยรอยยิ้มบางที่แฝงไปด้วยความพึงพอใจ เขารู้ดีว่ากานต์ยังสั่นไหวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ราวกับรอยจูบและสัมผัสที่เขามอบให้ยังคงอยู่กับกานต์อย่างชัดเจนใบหน้าของกานต์ที่ยังไม่หายจากความร้อนรุ่มและความกระตือรือร้นจากบทรักที่พวกเขามีร่วมกัน เขารู้สึกอิ่มเอมและพอใจจากการครอบครอง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังไม่รู้สึกถึงความพอใจที่เต็มที่ ธนินมองกานต์ด้วยสายตาที่ลึกล้ำ ยิ้มมุมปากเล็กน้อยขณะเอื้อมมือมาปลดล็อกประตูฝั่งกานต์ ท่าทางของเขาดูอ้อยอิ่งเหมือนจะอยากยื้อเวลาช่วงนี้ให้นานขึ้น กานต์เบือนหน้าหนีหลบสา
กานต์ลืมตาขึ้นในตอนสายของอีกวัน แสงแดดยามเช้าส่องผ่านม่านบางๆ เข้ามาในห้อง เขารู้สึกถึงความเมื่อยล้าและเจ็บแปลบในบางส่วนของร่างกาย แต่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน เขาก็หน้าแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว "ดีนะที่วันนี้เป็นวันหยุด" กานต์พึมพำเบาๆเขาพยายามลุกขึ้นจากเตียง แม้ร่างกายจะยังคงอ่อนล้าจากคืนที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อน ธนินทำให้เขาไม่ได้นอนเลยทั้งคืน กานต์ยังรู้สึกถึงสัมผัสรุนแรงที่ธนินฝากไว้ในทุกส่วนของร่างกาย เขาถอนหายใจเบาๆ พยายามเรียกสติกลับมาและจัดการตัวเองให้พร้อมสำหรับวันใหม่ที่เริ่มต้นขึ้นแล้วกานต์เดินไปเข้าห้องน้ำ ตาลุกวาวทันทีเมื่อเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก รอยจ้ำแดงๆ กระจายไปทั่วร่างขาวเนียนของเขา สัญลักษณ์ที่ธนินฝากไว้ด้วยแรงดูดรุนแรงนั้นยังคงชัดเจนใบหน้าของกานต์บึ้งตึงทันที “ไอ้บ้าธนิน...” เขาคิดในใจอย่างหงุดหงิด หน้าแดงขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นร่องรอยที่เต็มไปทั่วตัว ราวกับเครื่องหมายแสดงความเป็นเจ้าของกานต์ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด "แล้วจะหาเสื้อผ้าอะไรมาใส่เนี่ย..." เขาบ่นกับตัวเอง ก่อนจะเริ่มมองหาวิธีปกปิดร่องรอยเหล่านั้น แม้จะรู้ดีว่ามันยากแค่ไหนที่จะซ่อนมันทั้งหมดจ
ในชีวิตนี้ กานต์ไม่เคยคิดหรือฝันถึงเรื่องราวความรักแบบนี้มาก่อน เขาไม่เคยสนใจหรือแม้แต่คาดคิดเกี่ยวกับความรักของเพศเดียวกัน และตลอดเวลาที่ผ่านมา กานต์ก็ไม่เคยมีแฟน แม้จะมีสาวๆ มากมายมารายล้อมและสนใจในตัวเขา แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกอะไรแบบที่กำลังเกิดขึ้นกับธนินตอนแรก ความรู้สึกของเขาที่มีต่อธนินเป็นเพียงความแปลกใจ แต่เมื่อธนินบังคับให้เขาตกเป็นของเขา มันก็เหมือนกับประตูบานใหม่ในโลกใบนี้เปิดออก ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง กานต์กลับสั่นไหวไปกับทุกๆ การกระทำของธนิน ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การสัมผัส หรือแม้กระทั่งแค่สายตาที่เขาส่งมา มันทำให้หัวใจของกานต์เต้นรัว รู้สึกถึงความรู้สึกที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน เป็นความสับสนที่ทำให้เขารู้สึกทั้งหวั่นไหวและยอมรับในเวลาเดียวกันแต่แล้วชะตากลับพาให้กานต์ได้พบกับหนุ่มหล่ออีกคนที่บุคลิกแตกต่างจากธนินโดยสิ้นเชิง สิธา หมอหนุ่มผู้มีบุคลิกอ่อนโยน สูงใหญ่ หล่อขาวสะอาด มารยาทดีและสุภาพ ในขณะที่ธนินดิบเถื่อน รุนแรง และเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง มีความต้องการและเรียกร้องจากกานต์อย่างไม่รู้จักพอ การพบกับสิธาเหมือนเป็นการค้นพบมุมใหม่ของชีวิต ที่ทำให้กานต์รู้สึ
กานต์ลืมตาขึ้นในตอนสายของอีกวัน แสงแดดยามเช้าส่องผ่านม่านบางๆ เข้ามาในห้อง เขารู้สึกถึงความเมื่อยล้าและเจ็บแปลบในบางส่วนของร่างกาย แต่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน เขาก็หน้าแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว "ดีนะที่วันนี้เป็นวันหยุด" กานต์พึมพำเบาๆเขาพยายามลุกขึ้นจากเตียง แม้ร่างกายจะยังคงอ่อนล้าจากคืนที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อน ธนินทำให้เขาไม่ได้นอนเลยทั้งคืน กานต์ยังรู้สึกถึงสัมผัสรุนแรงที่ธนินฝากไว้ในทุกส่วนของร่างกาย เขาถอนหายใจเบาๆ พยายามเรียกสติกลับมาและจัดการตัวเองให้พร้อมสำหรับวันใหม่ที่เริ่มต้นขึ้นแล้วกานต์เดินไปเข้าห้องน้ำ ตาลุกวาวทันทีเมื่อเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก รอยจ้ำแดงๆ กระจายไปทั่วร่างขาวเนียนของเขา สัญลักษณ์ที่ธนินฝากไว้ด้วยแรงดูดรุนแรงนั้นยังคงชัดเจนใบหน้าของกานต์บึ้งตึงทันที “ไอ้บ้าธนิน...” เขาคิดในใจอย่างหงุดหงิด หน้าแดงขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นร่องรอยที่เต็มไปทั่วตัว ราวกับเครื่องหมายแสดงความเป็นเจ้าของกานต์ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด "แล้วจะหาเสื้อผ้าอะไรมาใส่เนี่ย..." เขาบ่นกับตัวเอง ก่อนจะเริ่มมองหาวิธีปกปิดร่องรอยเหล่านั้น แม้จะรู้ดีว่ามันยากแค่ไหนที่จะซ่อนมันทั้งหมดจ
เมื่อธนินมาส่งกานต์ที่สำนักงาน ความเงียบแผ่ปกคลุมในรถ ทั้งที่ภายนอกดูเหมือนสงบ แต่ภายในใจของกานต์กลับยังร้อนรุ่มไม่หาย ความทรงจำจากบทรักเอาแต่ใจของธนินที่เพิ่งผ่านไปยังคงก้องในหัวของเขา ร่างกายเขายังรู้สึกถึงสัมผัสที่รุนแรงและทิ้งร่องรอยแห่งความปรารถนาไว้ กานต์หันหน้าหลบสายตาของธนินที่มองมา รู้สึกอับอายและไม่กล้าเงยหน้าขึ้น แม้ในใจจะยังสั่นไหวและคิดวนเวียนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขากัดริมฝีปากตัวเองเบา ๆ พลางพยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แต่ความร้อนผ่าวในร่างยังไม่จางหาย ธนินเหลือบมองกานต์ที่นั่งข้าง ๆ ด้วยรอยยิ้มบางที่แฝงไปด้วยความพึงพอใจ เขารู้ดีว่ากานต์ยังสั่นไหวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ราวกับรอยจูบและสัมผัสที่เขามอบให้ยังคงอยู่กับกานต์อย่างชัดเจนใบหน้าของกานต์ที่ยังไม่หายจากความร้อนรุ่มและความกระตือรือร้นจากบทรักที่พวกเขามีร่วมกัน เขารู้สึกอิ่มเอมและพอใจจากการครอบครอง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังไม่รู้สึกถึงความพอใจที่เต็มที่ ธนินมองกานต์ด้วยสายตาที่ลึกล้ำ ยิ้มมุมปากเล็กน้อยขณะเอื้อมมือมาปลดล็อกประตูฝั่งกานต์ ท่าทางของเขาดูอ้อยอิ่งเหมือนจะอยากยื้อเวลาช่วงนี้ให้นานขึ้น กานต์เบือนหน้าหนีหลบสา
หลังจากคืนนั้นที่กระท่อม ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปในตัวกานต์ เขารู้สึกหวั่นไหวทุกครั้งที่เห็นธนิน ไม่ว่าจะเป็นแค่ภาพท่อนบนเปลือยเปล่าที่โชว์แผงอกแข็งแรง กล้ามเนื้อที่ขยับเคลื่อนตัวตามจังหวะการหายใจ รอยสักขนาดใหญ่บนผิวสีแทนที่ดูมีเสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งเหล่านี้ตามหลอกหลอนจิตใจของกานต์อยู่เรื่อยมา แม้เขาจะพยายามหนีความรู้สึกนั้น แต่มันกลับชัดเจนมากขึ้นทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดธนิน วันนี้ก็เช่นกัน ธนินใช้หน้าที่เป็นข้ออ้างบังคับให้กานต์มาด้วย ทั้งสองนั่งอยู่ในรถจี๊บเปิดประทุนที่ขับลัดเลาะไปตามทางป่ากว้าง เสียงเครื่องยนต์ดังกลบความเงียบระหว่างทั้งคู่ แต่กานต์ไม่สามารถหยุดความคิดวุ่นวายในหัวได้ ทุกครั้งที่ธนินหันมา หรือแม้แต่ขยับตัวเพียงเล็กน้อย กานต์ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองแผงอกกว้างที่ดูแข็งแกร่ง อยู่ๆ ธนินก็ตัดสินใจจอดรถกลางป่าโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ กานต์รู้สึกหัวใจเต้นระรัว มือที่จับกันไว้บนตักอยู่นั้นสั่นเล็กน้อย เขาพยายามหาคำถามเพื่อเติมเต็มความเงียบ แต่เสียงของตัวเองกลับแผ่วเบาอย่างน่าตกใจ“ทำไม... ทำไมคุณจอดรถตรงนี้?” กานต์ถามออกไป น้ำเสียงสั่นน้อยๆธนินไม่ได้ตอบในทันที เขาหันมามองกาน
ธนินยืนอยู่ใต้ฝักบัวขนาดใหญ่ น้ำไหลลงมาที่แผงอกกว้าง ร่างสูงใหญ่ของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแรง ผิวสีแทนเป็นประกายเมื่อสะท้อนแสงจากน้ำ สายน้ำที่ไหลลงมาตามแนวกล้ามเนื้อของเขา คลึงเคล้าไปตามแผงอกที่กว้างและรอยสักที่ประดับอยู่บนร่างกายของเขา การเคลื่อนไหวของน้ำกระทบเส้นกล้ามเนื้อที่ชัดเจนและกระชับทำให้แต่ละลอนของน้ำไหลลงไปตามร่างกายเขาดูเซ็กซี่อย่างยิ่ง น้ำเย็นที่ไหลลงมาจากฝักบัวทำให้ผิวเขาเปล่งประกายและสัมผัสถึงความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้ออย่างชัดเจน กล้ามท้องของเขาเป็นแนวลอนชัดเจน บ่งบอกถึงความแข็งแรงและความเพรียวบาง ธนินยกมือขึ้นเช็ดน้ำจากใบหน้าและเสยผมออกจากหน้าผาก น้ำไหลจากเส้นผมไปตามลำคอและตกลงบนแผงอก การเคลื่อนไหวนี้ทำให้รู้สึกถึงความร้อนที่ยังคงอยู่ในตัวเขา แม้ว่าจะมีน้ำเย็นกระทบก็ตาม เขาเสยผมของตัวเองที่ยังเปียกชื้น น้ำที่ไหลลงมาทำให้ผมของเขาติดกับใบหน้าและคอ ปล่อยให้หยดน้ำไหลลงมาตามใบหน้าและคอ ทำให้ผิวของเขาดูเย้ายวนใจ ดวงตาของเขาเป็นประกาย สื่อถึงความอดกลั้นและความร้อนแรงที่ยังไม่สามารถระบายออกมาได้ ชายหนุ่มพยายามควบคุมตัวเอง รู้สึกถึงความต้องการที่รุนแรง……………………………………………
ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์แล้ว กานต์ฟื้นตัวจนหายดี คืนนี้เป็นคืนพิเศษที่มีงานเลี้ยงวันเกิดของมิ่งที่จัดขึ้นที่สำนักงาน คนงานมากมายต่างพากันมาเข้าร่วมงาน บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เสียงหัวเราะ ร้องเพลง และการดื่มกินรอบกองไฟมิ่งนั่งชิดกับกานต์ หัวเราะพูดคุยและดื่มอย่างไม่ขาดสาย เสียงเพลงและเสียงหัวเราะของพวกเขาดังขึ้นเรื่อย ๆ แต่ท่ามกลางความครึกครื้นนั้น บางคนกลับไม่รู้สึกสนุกไปด้วย ธนินยืนมองภาพนั้นจากที่ห่างออกมา ความโกรธเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเขา เขามองเห็นมิ่งที่นั่งใกล้ชิดกับกานต์มากเกินไป และท่าทางที่เป็นกันเองระหว่างพวกเขาทำให้เขารู้สึกไม่พอใจนายหัวลมออกหูแล้ว ความอิจฉาและความโกรธที่ถูกกักเก็บมานานเริ่มปะทุขึ้นในใจของเขา เขาไม่สามารถทนดูภาพนั้นได้อีกต่อไป ความคิดก็แล่นเข้ามาในหัวทันที “คงต้องรีบรวบหัวรวบหางซะแล้วสินะ” เขาคิดในใจ รู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องทำอะไรบางอย่าง ก่อนที่มิ่งจะคิดไม่ซื่อกับกานต์ ความใกล้ชิดและการหยอกล้อกันระหว่างมิ่งและกานต์ทำให้ธนินรู้สึกไม่สบายใจ เขารู้ดีว่าตัวเองจะต้องลงมือก่อนที่อะไรจะเกินควบคุมไปมากกว่านี้ และแล้วภาพต่อไป กานต์ที่เริ่มเมาได้ที่ คุย
ธนินมองกานต์ที่นอนหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนจากฤทธิ์ของไข้และยา เขานั่งลงข้างเตียงอย่างระมัดระวัง ถอนหายใจยาวๆ พร้อมกับความรู้สึกที่ยากจะบรรยายการสัมผัสของเขาที่ผ่านมาทำให้เขารู้สึกถึงความร้อนแรงและความรู้สึกที่คับข้องใจ แต่เมื่อเห็นกานต์หลับไปอย่างสงบ ธนินรู้สึกได้ถึงความโล่งใจ แม้จะยังคงรู้สึกถึงความตึงเครียดที่เขาพยายามจะควบคุม แต่ในที่สุดสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำให้กานต์รู้สึกดีขึ้นและปลอดภัยเขาพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นไปยังโต๊ะข้างเตียงหยิบผ้าชุบน้ำเย็นมาเช็ดเบาๆ ที่หน้าผากของกานต์ เพื่อช่วยลดความร้อนในร่างกาย จากนั้นเขานั่งลงอีกครั้ง มองดูใบหน้าของกานต์ที่ตอนนี้สงบและผ่อนคลายธนินรู้สึกว่าการจัดการกับอารมณ์ของเขานั้นยากมากเพียงใด แต่การเห็นกานต์นอนหลับอย่างสงบทำให้เขารู้สึกได้ถึงความสงบและความพึงพอใจในระดับหนึ่ง เขารู้ว่าตัวเขาเกือบจะสูญเสียการควบคุม แต่เขาก็พยายามเต็มที่เพื่อให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติอีกครั้งเขายิ้มให้กับตัวเองเล็กน้อยเมื่อมองดูร่างกายของกานต์ที่นอนอยู่ในสภาพที่สงบ ในที่สุดก็ทำให้เขาสามารถปล่อยความรู้สึกทั้งหมดไปได้ชั่วคราว ป้าพิไลถือถาดอาหารเดินเข้ามาในห้องอย่
ธนินเดินตามมาที่บ้านใหญ่ ใจเขาเต้นรัวเมื่อเห็นกานต์อยู่บนบันได ขึ้นไปด้วยท่าทางไม่มั่นคง เขาเห็นกานต์เก้ๆ กังๆ พยายามปีนบันไดอย่างยากลำบากและยังต้องอาศัยไม้เท้าช่วยพยุงตัวเองธนินรีบก้าวไปข้างหน้าและตรงเข้าไปหากานต์ โดยไม่รอให้เขาเห็นหรือขออนุญาต เขาจับไม้เท้าแล้วดึงกานต์เข้าไปในอ้อมแขนของเขาอย่างรวดเร็วและอ่อนโยน“ให้ผมช่วยคุณ” ธนินพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและแรงดึงดูดที่เขาไม่สามารถปกปิดได้ ธนินในสภาพเปลือยท่อนบน เผยให้เห็นแผงอกใหญ่ที่เต็มไปด้วยรอยสักอันทรงพลัง ผิวแทนเข้มขับให้รอยสักยิ่งโดดเด่น เขาสวมเพียงกางเกงแพรตัวหลวม ตวัดแขนแข็งแรงรอบร่างบอบบางของกานต์ที่ขาแพลงโดยไม่พูดอะไร กานต์ที่ถูกยกร่างอย่างไม่ทันตั้งตัวรู้สึกกระดากใจและอายอย่างบอกไม่ถูก หน้าเขาแดงระเรื่อ ขณะที่พยายามข่มความรู้สึกอึดอัดในใจ ธนินอุ้มกานต์เดินตรงไปยังห้องนอนอย่างมั่นคง ราวกับน้ำหนักของกานต์เป็นเพียงขนนก กานต์หลบสายตาไม่กล้ามองตรงไปยังแผงอกของธนิน แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธความร้อนจากร่างกายที่แนบชิดได้ หัวใจของเขาเต้นระรัว ขณะถูกธนินพาเข้าไปในห้อง รู้สึกสับสนระหว่างความกลัวและความหวั่นไหวที่ปะทุขึ้
ในช่วงบ่ายอันร้อนระอุ กานต์นั่งทำงานอยู่ในสำนักงานไม้ที่ปาง ท่ามกลางเสียงเครื่องจักรและเสียงคนงานที่ทำงานกันอย่างขะมักเขม้น ทันใดนั้น เสียงทะเลาะวิวาทจากข้างนอกก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้กานต์ต้องลุกขึ้นและเดินไปดูสถานการณ์ เมื่อกานต์มาถึงจุดเกิดเหตุ เขาเห็นคนงานสองกลุ่มกำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรง ท่าทางดุดันและสีหน้าที่เคร่งเครียดของพวกเขาทำให้กานต์รู้สึกกังวล กานต์พยายามเข้าไปห้ามปรามและพูดให้ทุกคนสงบลง แต่ดูเหมือนว่าคำพูดของเขาจะไม่มีผลกับใครเลย ต่างคนต่างหน้ามืดไม่ยอมฟังเสียงของกานต์ ในจังหวะที่ความรุนแรงเพิ่มขึ้น หนึ่งในคนงานก็พลาดไปผลักกานต์จนกระเด็นไปไกล เขาล้มลงกับพื้นอย่างแรง ขาแพลงและรู้สึกเจ็บปวดแผ่ซ่านจนแทบยืนขึ้นไม่ไหว เสียงร้องด้วยความเจ็บของกานต์ถูกกลบด้วยเสียงทะเลาะที่ยังไม่สิ้นสุด คนงานบางคนที่เห็นเหตุการณ์เริ่มตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและพยายามเข้ามาช่วย แต่ความเสียหายก็เกิดขึ้นแล้ว กานต์นอนอยู่กับพื้น หายใจแรงด้วยความเจ็บปวด ขณะที่สถานการณ์รอบตัวเขาเริ่มค่อยๆ สงบลง มิ่งและลุงอุ้ยเห็นเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นจากระยะไกล ทั้งสองรีบเร่งฝีเท้าพร้อมกับคนงานอีกกลุ่มหนึ่งที