ลุงอุ้ยเอ่ยขึ้นหลังจากที่ธนินหันกลับไปสนใจคนงานคนอื่น
"นายหัวว่าให้คุณกานต์พักที่เรือนหลังใหญ่ครับ" เสียงของลุงอุ้ยนั้นแผ่วเบา แต่ชัดเจน กานต์หันมองลุงด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย "เรือนใหญ่ที่นายหัวพักอยู่?" กานต์ถามซ้ำ รู้สึกแปลกใจกับการจัดที่พักให้เขา ซึ่งเป็นสถานที่ที่ดูเงียบสงบและเป็นส่วนตัวอย่างมาก ลุงอุ้ยพยักหน้า "ใช่ครับ ที่นั่นเงียบสงบ ห่างไกลจากผู้คน นายหัวไม่ชอบให้ใครเข้าออกเรือนนั้นมากนัก จะมีแค่ป้าพิไลที่มาทำอาหารกับทำความสะอาดตามเวลา แล้วก็ไม่ได้พักที่นั่นหรอกครับ แค่เข้ามาทำงานแล้วก็กลับไป" กานต์ฟังแล้วรู้สึกถึงบรรยากาศที่เงียบสงัดของสถานที่นั้น เขาพยายามทำใจรับสถานการณ์ แต่ในใจก็ยังคงรู้สึกประหม่า ความเงียบของเรือนใหญ่ดูจะเป็นความเงียบที่มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ "ผมต้องอยู่คนเดียวเหรอครับ?" กานต์ถามเสียงเบา ลุงอุ้ยหัวเราะเล็กน้อย "ใช่ครับ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก คุณกานต์ เดี๋ยวก็ชินไปเอง" หลังเรือนใหญ่ที่กานต์กำลังจะย้ายเข้าไปพักเป็นพื้นที่สวนขนาดใหญ่ที่รายล้อมด้วยดอกไม้นานาพรรณ สีสันสดใสและกลิ่นหอมของดอกไม้ในสวนทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลาย แม้เรือนจะตั้งอยู่ห่างไกลผู้คน แต่สวนนี้กลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา ดอกไม้หลากชนิดบานสะพรั่งทั่วบริเวณ สายลมเย็นพัดผ่านพอให้กลิ่นดอกไม้ลอยตามลม กานต์เดินออกมายืนมองสวนหลังเรือน รู้สึกถึงความเงียบสงบของสถานที่นี้ที่ตัดขาดจากความวุ่นวายของโลกภายนอก สวนสวยที่เหมือนซ่อนอยู่ในป่าลึกให้ความรู้สึกคล้ายโลกส่วนตัวที่ไม่เหมือนที่ไหน มันเงียบสงบแต่ก็แฝงไปด้วยความงดงามที่น่าหลงใหล ดอกไม้นานาพรรณในสวนนี้ให้ความรู้สึกสงบและสวยงาม แต่ในใจของกานต์กลับเต็มไปด้วยความสงสัยเกี่ยวกับชายผู้เป็นเจ้าของสถานที่นี้... ............................................................................ หลังจากที่กานต์เข้ามาทำงานและใช้ชีวิตอยู่ที่ปางได้ครบเดือน คืนหนึ่งหลังจากวันทำงานที่เหนื่อยล้า ธนินเอ่ยชวนกานต์ให้มาดื่มไวน์ที่บ้านใหญ่ซึ่งทั้งสองอาศัยอยู่ร่วมกัน “คุณกานต์” ธนินเรียกเสียงนุ่มในขณะที่กานต์กำลังจะเดินขึ้นห้อง “มาดื่มไวน์กับผมหน่อยสิ คืนนี้อากาศดี... ไวน์นี่ก็เพิ่งเปิดมาจากฝรั่งเศส” กานต์ที่รู้สึกเหนื่อยแต่ก็ไม่อยากขัดนายหัว รับคำเชิญไปนั่งที่ห้องนั่งเล่นร่วมกับธนิน เขามองดูร่างสูงใหญ่ที่เปลือยท่อนบนอย่างเคย กางเกงแพรที่หลวมสบายเผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่แน่นตึงและรอยสักอันน่าหวาดหวั่นบนแผงอกกว้าง ธนินนั่งพิงโซฟาด้วยท่าทางผ่อนคลาย แต่สายตาที่จับจ้องมาที่กานต์กลับให้ความรู้สึกร้อนแรงอย่างบอกไม่ถูก “ดื่มไวน์หน่อยสิ” ธนินยื่นแก้วไวน์ให้ กานต์ยกแก้วขึ้นจิบพลางพยายามไม่สบตากับนายหัวที่นั่งใกล้เกินไป ทั้งคู่เริ่มพูดคุยกันเรื่องงานและชีวิตในปาง แต่ไม่นานการสนทนาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นเรื่องส่วนตัวมากขึ้น “คุณไม่เคยพูดถึงครอบครัวเลยนะ” ธนินเอ่ยถามอย่างสงสัย “มาอยู่กลางป่าแบบนี้ คงคิดถึงบ้านใช่ไหม?” กานต์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบเบาๆ “ครับ... แต่อยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกัน เงียบสงบดี” ธนินจิบไวน์แล้ววางแก้วลงบนโต๊ะ สายตาคมยังคงจ้องกานต์อย่างไม่วางตา “คุณเป็นคนที่ดูแตกต่างจากคนงานทุกคนที่นี่เลยนะ ผิวคุณขาวละเอียด... หน้าตาคุณก็... เหมือนจะไม่ใช่คนทำงานกลางแจ้งแบบนี้” กานต์เริ่มรู้สึกอึดอัดกับคำพูดและสายตาของธนินที่เหมือนจะจับจ้องเขาในทางที่ต่างออกไป เขายกแก้วไวน์ขึ้นจิบอีกครั้งเพื่อซ่อนความประหม่าในใจ แต่กลับรู้สึกเหมือนไวน์ในมือทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงยิ่งขึ้น "คุณกานต์..." ธนินพูดเสียงนุ่ม ขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม “ทำไมถึงหนีมาที่นี่เหตุผลจริงๆ ล่ะ?” กานต์รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ของธนินที่อยู่ใกล้มากจนเกินไป เขาหันมาสบตากับนายหัวเพียงชั่วครู่ แล้วก็นิ่งไป ใจของเขาเต้นแรงขึ้นทุกที ธนินดึงกานต์เข้ามาใกล้ชิดมากขึ้นเมื่อเห็นว่าเขาเริ่มมึนจากการดื่ม ทั้งสองนั่งอยู่บนพื้นในบรรยากาศที่เงียบสงบ ธนินใช้ปลายนิ้วโป้งค่อยๆ เช็ดคราบเครื่องดื่มที่มุมปากของกานต์ ความใกล้ชิดนั้นทำให้กานต์สะดุ้งเล็กน้อย หัวใจของเขาเต้นรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สายตาของทั้งสองสบกันอย่างยาวนาน ราวกับเวลาหยุดลง กานต์รู้สึกถึงความอบอุ่นจากปลายนิ้วของธนินที่สัมผัสกับผิวหน้าเขา ความรู้สึกสับสนพลุ่งพล่านในใจ “ทำไมถึงใจสั่นกับผู้ชายด้วยกันแบบนี้...” เขาคิดในใจ แต่ไม่สามารถหลบหนีสายตาและสัมผัสของธนินได้ ทุกสิ่งรอบตัวดูเหมือนจะเงียบงัน มีเพียงลมหายใจที่ถี่ขึ้นของเขาทั้งสอง ธนินเลื่อนใบหน้าเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ สายตาของเขายังคงจับจ้องที่กานต์อย่างลึกซึ้ง กานต์รู้สึกได้ถึงความร้อนจากลมหายใจที่อยู่ใกล้จนแทบจะสัมผัสได้ ปลายนิ้วของธนินยังคงวางอยู่ที่มุมปากของเขา ขณะที่สัมผัสนั้นทำให้กานต์ใจสั่นมากยิ่งขึ้น “ไม่ต้องฝืนหรอก...ถ้านายไม่อยากหนี” ธนินพูดด้วยเสียงต่ำที่ฟังดูนุ่มนวล แต่กลับแฝงไปด้วยความเข้มแข็งและดึงดูด กานต์เบนหน้าหนีเล็กน้อย แต่หัวใจของเขากลับเต้นแรงขึ้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ “ผม...ผมไม่ได้หนี” กานต์ตอบเสียงเบา ไม่แน่ใจว่าคำพูดนั้นเป็นเพื่อตัวเองหรือเพื่อธนิน ธนินยิ้มมุมปาก “งั้นก็อย่าได้กลัว...” เขากระซิบใกล้ใบหูของกานต์ นิ้วของเขายังคงไล้ไปที่ขอบริมฝีปากของกานต์อย่างช้าๆ ความรู้สึกที่ร้อนแรงในตัวกานต์เริ่มก่อตัวขึ้น ท่ามกลางความสับสนในใจ ……………………………………………….. กานต์สะดุ้งตื่นขึ้นบนเตียง ร่างเปลือยเปล่าที่มีเพียงผ้าห่มบางปกคลุมอยู่ทำให้เขาตกใจ ภายในห้องมีเพียงแสงอ่อน ๆ จากหน้าต่างที่ส่องเข้ามา กานต์กะพริบตาอย่างงุนงง พยายามนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน “เอ๊ะ... เมื่อคืนเราจำได้ว่านั่งดื่มอยู่กับนายหัว...” เขาพยายามเรียบเรียงความทรงจำ แต่ภาพหลังจากนั้นกลับเลือนลาง ราวกับถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา เขายกมือขึ้นจับศีรษะ รู้สึกถึงความมึนเบาๆ “ภาพตัดไปตอนไหนนะ...” กานต์พึมพำกับตัวเอง กานต์พยายามนึกย้อนไปถึงภาพสุดท้ายที่จำได้ มันคือช่วงที่ธนินนั่งข้างเขา บนพื้นเย็นๆ ริมขอบระเบียง สายตาคมดุของธนินสบเข้ากับดวงตาของกานต์อย่างแน่วแน่ มือใหญ่หยาบกร้านค่อยๆ ไล้นิ้วเช็ดรอยเปื้อนที่มุมปากของเขาด้วยความเอาใจใส่ ความรู้สึกนั้นยังคงชัดเจนในใจของกานต์ ริมฝีปากยังรู้สึกถึงความเย็นของนิ้วโป้งของธนินที่แตะเบาๆ มันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ใจของเขาสั่นรัวอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน แต่หลังจากนั้น... ทุกอย่างก็ดับวูบไป “ทำไมเราจำได้แค่ตรงนั้น...” กานต์ครุ่นคิด รู้สึกได้ถึงความหนักอึ้งในใจ เขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ……………………………………………………….. เช้าวันต่อมา กานต์เดินลงบันไดมาที่โต๊ะอาหารด้วยอาการมึนหัว รู้สึกแปลกๆ ในร่างกายเหมือนยังไม่หายจากความเมาของคืนก่อน เขาจำได้เพียงเลือนลางถึงภาพสุดท้ายที่นั่งดื่มไวน์อยู่กับธนิน ทุกอย่างหลอมรวมกลายเป็นความพร่าเบลอไปหมด เขาพยายามสะบัดหัวเบาๆ เพื่อไล่ความคิดนั้นออกไป ธนินนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว ท่าทางสบายๆ และผ่อนคลาย แต่สายตาคมคู่นั้นยังคงจับจ้องกานต์อย่างที่เคย ทำให้กานต์รู้สึกประหม่า "เมื่อคืนดื่มเยอะไปหน่อยหรือเปล่า?" ธนินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะหยิบช้อนขึ้นตักอาหารใส่ปาก กานต์ตอบเบาๆ "ครับ... อาจจะมากไปนิด ผมจำอะไรไม่ค่อยได้เลย" ธนินยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะวางช้อนลง "อืม... ไม่เป็นไร คืนนี้พักผ่อนให้มากหน่อยแล้วกัน" คำพูดที่เหมือนจะเป็นการเตือน แต่กลับแฝงความหมายบางอย่าง ทำให้กานต์รู้สึกไม่สบายใจ เขารู้สึกถึงความผิดปกติในบรรยากาศระหว่างเขากับธนิน แม้จะยังจำเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าบางอย่างเกิดขึ้นเมื่อคืน กานต์นั่งอยู่ตรงข้ามธนิน ขณะที่ธนินนั่งรับประทานอาหารเช้าอย่างสบายๆ โดยไม่ใส่เสื้อท่อนบน ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเงียบสงบและบรรยากาศของบ้านกลางป่า กานต์ไม่สามารถละสายตาจากธนินได้ ร่างกายที่เปลือยเปล่าผิวสีแทนและรอยสักที่ปกคลุมแผงอก กานต์รู้สึกถึงความร้อนที่เกิดขึ้นภายใน แม้จะเป็นช่วงเช้าแต่เขากลับรู้สึกถึงความล่อใจจากการที่ธนินไม่ใส่เสื้อ “ทำไมเขาถึงไม่ชอบใส่เสื้อเวลาที่อยู่บ้านนะ?” กานต์คิดในใจ ความรู้สึกสับสนและความอยากรู้กลายเป็นสิ่งที่ดึงดูดเขาอย่างมาก ธนินมีท่าทีเป็นกันเองแต่กลับมีกลิ่นอายของความลึกลับและเย้ายวนใจที่ทำให้กานต์รู้สึกกระสับกระส่าย ธนินยิ้มบางๆ เมื่อเห็นกานต์มองเขาอย่างไม่หยุดนิ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาดูเหมือนจะรู้ถึงความรู้สึกของกานต์ แต่เลือกที่จะเงียบ นั่งทานอาหารด้วยท่าทางที่สบายๆ และเป็นธรรมชาติ เมื่อธนินยิ้มให้กานต์ รอยยิ้มของเขาก็เต็มไปด้วยความลึกลับและซ่อนเร้น ราวกับเขารู้ดีถึงความสับสนและความดึงดูดที่กำลังเกิดขึ้นในใจของกานต์ แต่ก็ยังคงรักษาความสงบไว้อย่างเต็มที่ กานต์รู้สึกถึงแรงดึงดูดที่ไม่สามารถอธิบายได้ เขาคล้ายกับถูกดึงดูดให้เข้าไปใกล้ธนินมากขึ้น แม้จะรู้สึกตื่นเต้นและหวาดกลัว แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นทำให้เขาไม่สามารถละสายตาจากธนินได้เลย ธนินวางช้อนลงช้าๆ สายตาจ้องมองกานต์ที่นั่งตรงข้ามโต๊ะอาหาร สายตาของเขาทำให้บรรยากาศในห้องดูนิ่งเงียบและหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย "มาอยู่ในป่านานขนาดนี้ ไม่เห็นติดต่อใครเลย ไม่มีแฟนเหรอ?" ธนินถามเสียงเรียบ แต่มีความสนใจที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงนั้น กานต์เงยหน้าขึ้นมองธนิน ก่อนจะตอบด้วยท่าทีเรียบง่าย "ไม่มีครับ" ธนินยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามต่อ "ไม่ชอบผู้หญิงเหรอ?" คำถามนั้นทำให้กานต์สะดุ้งเล็กน้อย เขารีบตอบทันที "ก็ต้องชอบผู้หญิงสิครับ" แม้คำตอบของเขาจะออกมาแน่วแน่ แต่สายตาของธนินกลับยังคงจ้องมองอย่างสงสัย ราวกับจะเจาะลึกความจริงในใจของเขา ธนินหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยกช้อนขึ้นมาทานต่อ “งั้นเหรอ... ก็ดีแล้ว”ในช่วงบ่ายอันร้อนระอุ กานต์นั่งทำงานอยู่ในสำนักงานไม้ที่ปาง ท่ามกลางเสียงเครื่องจักรและเสียงคนงานที่ทำงานกันอย่างขะมักเขม้น ทันใดนั้น เสียงทะเลาะวิวาทจากข้างนอกก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้กานต์ต้องลุกขึ้นและเดินไปดูสถานการณ์ เมื่อกานต์มาถึงจุดเกิดเหตุ เขาเห็นคนงานสองกลุ่มกำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรง ท่าทางดุดันและสีหน้าที่เคร่งเครียดของพวกเขาทำให้กานต์รู้สึกกังวล กานต์พยายามเข้าไปห้ามปรามและพูดให้ทุกคนสงบลง แต่ดูเหมือนว่าคำพูดของเขาจะไม่มีผลกับใครเลย ต่างคนต่างหน้ามืดไม่ยอมฟังเสียงของกานต์ ในจังหวะที่ความรุนแรงเพิ่มขึ้น หนึ่งในคนงานก็พลาดไปผลักกานต์จนกระเด็นไปไกล เขาล้มลงกับพื้นอย่างแรง ขาแพลงและรู้สึกเจ็บปวดแผ่ซ่านจนแทบยืนขึ้นไม่ไหว เสียงร้องด้วยความเจ็บของกานต์ถูกกลบด้วยเสียงทะเลาะที่ยังไม่สิ้นสุด คนงานบางคนที่เห็นเหตุการณ์เริ่มตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและพยายามเข้ามาช่วย แต่ความเสียหายก็เกิดขึ้นแล้ว กานต์นอนอยู่กับพื้น หายใจแรงด้วยความเจ็บปวด ขณะที่สถานการณ์รอบตัวเขาเริ่มค่อยๆ สงบลง มิ่งและลุงอุ้ยเห็นเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นจากระยะไกล ทั้งสองรีบเร่งฝีเท้าพร้อมกับคนงานอีกกลุ่มหนึ่งที
ธนินเดินตามมาที่บ้านใหญ่ ใจเขาเต้นรัวเมื่อเห็นกานต์อยู่บนบันได ขึ้นไปด้วยท่าทางไม่มั่นคง เขาเห็นกานต์เก้ๆ กังๆ พยายามปีนบันไดอย่างยากลำบากและยังต้องอาศัยไม้เท้าช่วยพยุงตัวเองธนินรีบก้าวไปข้างหน้าและตรงเข้าไปหากานต์ โดยไม่รอให้เขาเห็นหรือขออนุญาต เขาจับไม้เท้าแล้วดึงกานต์เข้าไปในอ้อมแขนของเขาอย่างรวดเร็วและอ่อนโยน“ให้ผมช่วยคุณ” ธนินพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและแรงดึงดูดที่เขาไม่สามารถปกปิดได้ ธนินในสภาพเปลือยท่อนบน เผยให้เห็นแผงอกใหญ่ที่เต็มไปด้วยรอยสักอันทรงพลัง ผิวแทนเข้มขับให้รอยสักยิ่งโดดเด่น เขาสวมเพียงกางเกงแพรตัวหลวม ตวัดแขนแข็งแรงรอบร่างบอบบางของกานต์ที่ขาแพลงโดยไม่พูดอะไร กานต์ที่ถูกยกร่างอย่างไม่ทันตั้งตัวรู้สึกกระดากใจและอายอย่างบอกไม่ถูก หน้าเขาแดงระเรื่อ ขณะที่พยายามข่มความรู้สึกอึดอัดในใจ ธนินอุ้มกานต์เดินตรงไปยังห้องนอนอย่างมั่นคง ราวกับน้ำหนักของกานต์เป็นเพียงขนนก กานต์หลบสายตาไม่กล้ามองตรงไปยังแผงอกของธนิน แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธความร้อนจากร่างกายที่แนบชิดได้ หัวใจของเขาเต้นระรัว ขณะถูกธนินพาเข้าไปในห้อง รู้สึกสับสนระหว่างความกลัวและความหวั่นไหวที่ปะทุขึ้
มิ่งเดินเคียงข้างกานต์ขณะที่พวกเขาเดินไปตามทางมืดที่มีไฟฉายส่องนำทาง ท้องฟ้าสีดำยามค่ำคืนถูกปกคลุมไปด้วยดาวระยิบระยับที่ดูเหมือนจะส่องแสงระยิบระยับทั่วทั้งท้องฟ้า"ดาววันนี้สวยจังนะครับคุณกานต์" มิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่สดใสขณะเดินไปตามทางดินที่นำไปสู่บ้านพัก "พอดีว่าวันนี้อากาศดีมาก คุณอาจจะต้องรู้สึกดีขึ้นหน่อยนะครับ" กานต์ยิ้มเล็กน้อย แต่ดวงตาของเขายังเต็มไปด้วยความคิดถึงและความรู้สึกที่ซับซ้อนจากค่ำคืนที่ผ่านมา "ครับ มิ่ง ดาวสวยจริง ๆ" เขาตอบเบา ๆ ขณะที่มองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว "แต่วันนี้ผมรู้สึกว่ามันจะสวยขึ้นมาก ถ้ามันไม่ได้มีบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกซับซ้อน"มิ่งหันมองกานต์ด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย "มีอะไรหรือเปล่าครับ? ดูเหมือนว่าคุณกานต์จะไม่ค่อยสดใสนัก"มิ่งถามด้วยความสงสัย ขณะเดินไปยังประตูบ้านที่เปิดกว้าง "คิดถึงบ้านเหรอครับคุณกานต์? เคยอยู่แต่ในเมืองใหญ่ ต้องมาทำงานอยู่กลางป่าอย่างนี้คงเหงาน่าดู"กานต์หันไปมองมิ่้ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความคิดถึง "ใช่ครับ มิ่ง ตอนแรกมันก็ดูแปลกใหม่และน่าตื่นเต้น แต่บางครั้งผมก็คิดถึงความสะดวกสบายและความคุ้นเคยของเมืองใหญ่"มิ่งย