Home / แฟนตาซี / ดาบพิฆาตสลับนภา / บทที่2 ลมเงียบสงัด เพลิงแค้นก่อเกิด ตระกูลใหญ่เบื้องหลัง

Share

บทที่2 ลมเงียบสงัด เพลิงแค้นก่อเกิด ตระกูลใหญ่เบื้องหลัง

Author: Prince_White
last update Huling Na-update: 2025-04-20 15:07:39

ในค่ำคืนที่ลมพัดผ่านอย่างเงียบเชียบ ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างถูกหยุดนิ่งกลางอากาศ ช่วงเวลาที่ทุกเสียงสูญหายไป กลายเป็นความเงียบสงัดราวกับสภาวะที่หยุดนิ่งในอดีต ไม่มีเสียงของสัตว์ป่า หรือแม้แต่ลมหายใจของมนุษย์

"เหวินเออร์! เกิดอะไรขึ้น?" เสียงดังขึ้นใกล้หูของอวี้เหวิน พร้อมกับแรงเขย่าของร่างกายที่ทำให้เขาตื่นจากห้วงฝัน

"ท่านแม่!" อวี้เหวินสะดุ้งตื่นขึ้นทันที ใจเต้นรัวเหมือนถูกดึงกลับจากห้วงความฝัน เขากระพริบตาหลายครั้งจนเริ่มเห็นภาพที่ยังคงพร่าเบลอ ก่อนที่จะค่อยๆ จับจ้องไปที่ชายกลางคนผู้หนึ่ง ใบหน้าหมายตาดีแต่มีริ้วรอยแห่งวัยกำลังยืนอยู่ข้างเขา

"ท่าน...พ่อ? เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่?" อวี้เหวินถามด้วยความงุนงง

"ข้าเสร็จจากภารกิจเร็วกว่าที่คาดไว้ จึงกลับมาถึงเร็วขึ้น" อวี้หลานตอบด้วยน้ำเสียงสงบ และถามต่อ "แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น? แม่ของเจ้าล่ะ?"

"ท่านแม่..." อวี้เหวินเอ่ยเสียงเบา สายตาแฝงไปด้วยความเศร้าและความเกลียดชัง "ท่านแม่ถูกพวกชั่วกลุ่มหนึ่งจับตัวไป"

"ใคร!" อวี้หลานถามด้วยเสียงสั่น เงื้อมมือทำของที่ถืออยู่ตกกระทบพื้นเสียงดัง

"มันเรียกตัวเองว่าเฉินเทียนซิง!" อวี้เหวินพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง

"เฉินเทียนซิง!" อวี้หลานกล่าวชื่อด้วยเสียงทุ้มต่ำ ซึ่งแฝงไปด้วยความเกลียดชัง

"ท่านพ่อรู้จักมันหรือ?"

"เฉินเทียนซิง..." อวี้หลานพึมพำในลำคอ หลับตาและถอนหายใจยาว ครู่หนึ่งเขานิ่งไป ก่อนที่จะเอ่ยเสียงเบา "เข้าบ้านกันเถอะ"

ภายในบ้านที่มีบรรยากาศเงียบสงบ มุมห้องนั้นมีโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมขนาดพอเหมาะตั้งอยู่ พร้อมเก้าอี้ไม้เรียบง่ายที่ล้อมรอบ โต๊ะในห้องที่เต็มไปด้วยความสงบระหว่างพ่อลูกที่นั่งหันหน้าเข้าหากัน

"ท่านพ่อ... ลูกอยากรู้จริงๆ ว่าครอบครัวของเราเป็นใครกันแน่?" อวี้เหวินถามด้วยน้ำเสียงที่เริ่มเย็นลง

"เจ้าต้องการรู้จริงๆ หรือ?" อวี้หลานถามกลับ สายตาของเขาจับจ้องไปยังบุตรชายตนเอง

อวี้เหวินพยักหน้า "ขอรับ... ลูกอยากรู้จริงๆ"

อวี้หลานลุกขึ้นยืน ท่าทางสง่างามเมื่อมือไขว้หลังและหันหลังให้กับบุตรชาย "เจ้าโตแล้ว ถึงเวลาที่เจ้าจะได้รู้ในสิ่งที่ควรรู้"

"แม่ของเจ้าคือ เฉินซีเยว่ บุตรีคนเล็กของ เฉินเหลียน ผู้เป็นประมุขตระกูลเฉินแห่งดินแดนภาคกลาง ซีเยว่คือธิดาศักดิ์สิทธิ์ของตระกูล มีพรสวรรค์สูงล้ำเหนือใครในรอบร้อยปี ทุกคนในตระกูลคาดหวังในตัวนาง และมีผู้คนมากมายหมายปอง แต่นางกลับเลือกที่จะพบกับข้า... อวี้หลาน"

"วันนั้น ข้าเป็นเพียงนักฝึกยุทธ์พเนจร เดินทางไปทั่วดินแดนจนได้พบกับแม่ของเจ้าที่ขุมทรัพย์แห่งหนึ่งในภาคกลาง ในการผจญภัยครั้งนั้น นางมีนิสัยที่มักทำทุกสิ่งด้วยตนเอง และไม่ยอมให้ใครติดตาม จนเกือบโดนสัตว์อสูรทำร้าย โชคดีที่ข้าอยู่ใกล้และช่วยชีวิตนางไว้ได้ทัน"

"นี่เป็นการพบพานครั้งแรกของพวกเรา นับแต่นั้นมา บิดาและมารดาของเจ้าก็ได้มีโอกาสติดต่อกันมากขึ้น จากคนแปลกหน้ากลายเป็นผู้มีใจให้แก่กัน ทว่าความสุขมักไม่ยืนยาว เมื่อตระกูลเฉินล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์นี้ พวกเขาหาหนทางขัดขวางและกีดกันสารพัด ตั้งแต่การเจรจาเสนอผลประโยชน์ ไปจนถึงใช้กำลังบีบบังคับ แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็มิอาจแยกข้าและมารดาเจ้าจากกันได้"

"จนกระทั่งถึงวันนั้น วันที่เส้นด้ายบาง ๆ ระหว่างพวกเรากับตระกูลเฉินขาดสะบั้น ตระกูลเฉินปรารถนาจะจับคู่เฉินเทียนซิงให้แต่งกับซีเยว่ เพื่อเสริมฐานอำนาจและเปิดทางให้เฉินเทียนซิงได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำตระกูล ทว่าซีเยว่กลับไม่ยอมรับนางใช้ทุกวิถีทางเพื่อหลุดพ้นจากพันธนาการนี้"

"ทว่า... นางเป็นเพียงสตรีเยาว์วัย จะทานทนแรงกดดันอันมหาศาลจากบรรดาผู้อาวุโสจอมเจ้าเล่ห์ได้อย่างไร ในที่สุด นางจึงจำต้องใช้ไม้ตายสุดท้าย ประกาศออกไปว่านางตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว คาดมิถึง ข่าวนี้กลับกลายเป็นไฟโหมกระพือให้บิดาของนางโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิม ประกอบกับการยุยงของเฉินเทียนซิง ทำให้เขาสั่งกักตัวนางไว้ ทว่ามารดาเจ้าหาใช่สตรีอ่อนแอ นางสามารถหลบหนีออกมาได้และมาพบกับข้า พวกเราจึงพากันหนีเตลิดไปสุดหล้าฟ้าเขียว นานนับเดือน"

"แต่สี่มือย่อมมิอาจสู้สี่กร สุดท้าย ตระกูลเฉินก็ตามเจอเรา พวกมันระดมยอดฝีมือมาหลายสิบคนเพื่อสังหารเรา แม้ข้ากับมารดาเจ้าจะมีฝีมือ แต่ก็มิอาจต่อกรกับจำนวนที่มหาศาล สุดท้าย พวกเราถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส"

"เฉินเทียนซิงซึ่งเป็นหัวหน้ากองกำลังไล่ล่ามองเห็นว่าข้าอาการย่ำแย่ จึงคิดสังหารข้าเสีย ใช้อาวุธวิเศษประจำตระกูลจู่โจม ข้าจึงต้องรีดเค้นพลังเผาผลาญโลหิตตนเพื่อปกป้องมารดาเจ้า ทว่าก็มิอาจป้องกันได้หมด พลังที่เล็ดลอดกลับกระแทกใส่นางเต็มแรง"

"ด้วยร่างกายที่อ่อนแอจากการตั้งครรภ์เดิมทีนางก็ไม่อาจต่อสู้ได้อยู่แล้ว เมื่อถูกพลังสะท้อนกลับ นางจึงต้องเผาผลาญพลังยุทธ์ทั้งหมดในร่างเพื่อปกป้องลูกในครรภ์ ส่งผลให้เส้นชีพจรพลังยุทธ์ของนางขาดสะบั้น มิอาจฝึกปรือวรยุทธ์ได้อีกตลอดชีวิต สำหรับชาวยุทธ์แล้ว นี่หาใช่ความพิการธรรมดาไม่ แต่เป็นโทษทัณฑ์อันโหดร้ายที่สุด!"

เขาพลันกล่าวด้วยความโกรธแค้น น้ำเสียงของอวี้หลานเต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ สายตาลุกโชนด้วยเพลิงแค้น

" ทว่าห้วงแห่งความสิ้นหวังกลับเกิดปาฏิหาริย์ขึ้น"

"พระเจ้ายังมีเมตตาแก่พวกเรา ในห้วงเวลาที่คิดว่าเราจะสิ้นชีพลง ณ ที่นั้น พลันปรากฏยอดยุทธ์ลึกลับท่านหนึ่ง พาเราหลบหนีไปด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด ทำให้เรารอดพ้นจากเงื้อมมืออสูรเหล่านั้น" เขากล่าวด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง

อวี้เหวินซึ่งนั่งนิ่งฟัง พลันเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย "ท่านพ่อ... ยอดยุทธ์ท่านนั้นคือผู้ใดหรือ?"

เขาถอนหายใจ "เวลานั้น พวกเรามัวแต่เร่งรีบหนีตาย ผู้อาวุโสท่านนั้นได้พาเรามายังสถานที่ปลอดภัย หลังจากอาการพวกเราทุเลา ก็ปรารถนาจะทูลถามนามของท่านเพื่อทดแทนบุญคุณ ทว่า...ท่านกลับจากไปแล้วโดยไม่ทิ้งร่องรอยใด นี่เป็นความเสียใจที่สุดประการหนึ่งในชีวิตของข้า"

เขามองบุตรชายด้วยสายตาจริงจัง ก่อนจะกล่าวเสียงหนักแน่น "เหวินเออร์ หากในวันหน้า เจ้าพบชายชราผมขาว นุ่งชุดแดงสลับดำยาวสลวย มักพกกิ่งไม้อยู่ด้านหลัง จงให้ความเคารพและปฏิบัติต่อท่านอย่างดี หากข้ากับมารดาเจ้ามิอาจทดแทนบุญคุณท่านนั้นได้ จงเป็นเจ้าที่สืบทอดคำมั่นนี้แทน"

อวี้เหวินลุกขึ้นยืน ดวงตาของเขาแน่วแน่เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น "ท่านพ่อ เรื่องของท่านก็คือเรื่องของข้า หากผู้ใดมีบุญคุณ ข้าย่อมตอบแทนร้อยเท่า หากผู้ใดทำร้ายครอบครัวข้า ข้าจักให้มันชดใช้พันเท่า!"

"ดี!" อวี้หลานพยักหน้ารับ ดวงตาฉายแววหนักแน่นมั่นคง

"หนทางแห่งยุทธ์มิอาจเดินด้วยสองมือเปล่า พลังที่แท้จริงมิได้มาจากเพียงความเคียดแค้น แต่ต้องเป็นพลังที่เจ้าหลอมรวมขึ้นด้วยตนเอง!"

เขาถอนหายใจยาว ก่อนกล่าวต่อ "หากเจ้าปรารถนาจะช่วยมารดา เจ้าต้องฝึกปรือพลังให้แข็งแกร่ง ข้าจะให้เวลาเพียงสามเดือน หากเจ้าสามารถบรรลุระดับก่อตั้งรากฐานขั้นกลาง ข้าจะพาเจ้าเข้าสู่ตำหนักเจ้าเมือง"

"ตำหนักเจ้าเมือง?" อวี้เหวินเอ่ยถาม นัยน์ตาเปล่งประกายด้วยความสงสัยปะปนกับความหวัง

"ถูกต้อง" อวี้หลานกล่าวเสียงหนักแน่น "ตำหนักเจ้าเมืองเป็นหนึ่งในสี่สำนักชั้นยอดของแดนใต้ เป็นรองเพียงสุสานดาบทลายสวรรค์ หาใช่สถานที่สำหรับคนสามัญไม่ หากเจ้าสามารถเข้าสู่ตำหนักได้ หนทางของเจ้าจะเปิดกว้าง มิใช่เพียงเพื่อทวงคืนความเป็นธรรม แต่เพื่อสร้างพลังที่แท้จริงของเจ้าเอง!"

อวี้เหวินพยักหน้ารับ คุกเข่าลงกับพื้น น้ำเสียงหนักแน่นเปี่ยมด้วยมุ่งมั่น "ข้าจะทำให้ได้! ข้าจักไม่ทำให้ท่านพ่อและท่านแม่ต้องผิดหวัง!"

"เจ้าคือลูกที่ข้าภูมิใจ เหวินเออร์" อวี้หลานกล่าวพร้อมวางมือลงบนบ่าของบุตรชาย "แต่จงจำไว้ ความสำเร็จนั้นมิใช่สิ่งที่ได้มาง่ายดาย ทุกการฝึกฝน ทุกการเสียสละ ล้วนเป็นบททดสอบที่พระเจ้าส่งมา เจ้าจงเตรียมใจรับให้ดี"

เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง "อีกประการหนึ่ง แม่ของเจ้าเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลเฉิน แม้ว่านางจะถูกกักขัง แต่ตระกูลเฉินยังมิอาจทำอันใดแก่นางโดยพลการ จงวางใจ นางยังปลอดภัย"

อวี้เหวินกำหมัดแน่น แม้ความกังวลในใจจะลดลง แต่เปลวเพลิงแห่งความมุ่งมั่นกลับยิ่งโหมแรง "ท่านพ่อ ข้าจักมิหยุดฝึกฝน! สิ่งที่พวกมันทำไว้ ข้าจะให้พวกมันชดใช้เป็นพันเท่า!"

"ดี! ดีมาก!" อวี้หลานหัวเราะเสียงต่ำด้วยความพึงพอใจ เขาลุกขึ้นยืน วางมือหนักแน่นลงบนบ่าของอวี้เหวิน "เจ้ามีหัวใจแห่งนักสู้ หากเจ้าไม่ละทิ้งหนทางนี้ วันหนึ่งเจ้าจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน!"

"ขอบคุณท่านพ่อ ข้าจะปฏิบัติตามคำของท่าน" อวี้เหวินกล่าวหนักแน่น

"ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จงฝึกฝนให้หนัก ในสามเดือนนี้ หากเจ้าฝ่าฟันจนบรรลุระดับก่อตั้งรากฐานขั้นกลาง ข้าจะนำพาเจ้าเข้าสู่ตำหนักเจ้าเมือง ที่นั่น จะเป็นบันไดให้เจ้าก้าวไปสู่จุดสูงสุด!"

เมื่อกล่าวจบ อวี้หลานมองบุตรชายด้วยแววตาภาคภูมิ ท่ามกลางความเงียบสงัดของราตรี ดวงจันทร์ลอยเด่นเหนือเวหา ราวกับส่องแสงนำทางให้แก่ผู้ที่หมายจะก้าวข้ามชะตากรรมของตนเอง!

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Kaugnay na kabanata

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่3 รัตติกาลโลหิต ดาราดับสูญ อสูรผงาดฟ้า

    ณ ดินแดนอันไกลโพ้น ภายใต้ผืนฟ้ายามรัตติกาล ดาวนับล้านเปล่งแสงระยิบระยับดั่งอัญมณีต้องแสงจันทร์ ประหนึ่งต้องการประชันแสงกับความอยุติธรรมที่กำลังปกคลุมไปทั่วหล้า สายลมหนาวเหน็บพัดโบกเอื่อยเฉื่อย นำพากลิ่นอายแห่งความมืดมนและคาวโลหิตเจือปนไปในบรรยากาศ ที่กลางเวหานั้น เงาร่างหนึ่งกำลังโซซัดโซเซทะยานไปด้วยความยากลำบาก โลหิตสีชาดไหลซึมจากบาดแผลเป็นสาย ชโลมอาภรณ์จนเปียกชุ่ม ความเจ็บปวดกัดกินร่างกายทุกอณู แต่เจ้าของร่างนั้นยังคงกัดฟันฝืนตนให้ก้าวต่อไป มิอาจยอมแพ้ได้ เบื้องหลัง ห่างออกไปประมาณสิบลี้ เงาทมิฬของเหล่าผู้ไล่ล่ากำลังพุ่งทะยานมาอย่างรวดเร็ว นำทัพโดยชายลึกลับสามคน ผู้ซึ่งเปี่ยมด้วยอำนาจและเจตนาสังหารอันเกรี้ยวกราด "เร่งมือเข้าไป! อย่าให้มันหลุดรอดไปได้!" เสียงทรงพลังของชายหนุ่มร่างกำยำผู้หนึ่งดังขึ้น มือขวาของเขากุมขวานยักษ์แน่น ประหนึ่งพร้อมจะสับเป้าหมายให้ขาดสะบั้นทุกเมื่อ ดวงตาทอประกายกร้าว แน่วแน่ในภารกิจสังหาร "นายน้อยเจิน อย่าได้เร่งร้อนนัก" ชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งเอื้อนเอ่ย น้ำเสียงราบเรียบแฝงความมั่นใจ เขาสวมอาภรณ์ขาวบริสุทธิ์ รูปโฉมสง่างามประหนึ่งคุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์ "ในเ

    Huling Na-update : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่4 มังกรเพลิงพิโรธ คลื่นความแค้นสะท้านปฐพี

    ณ ห้วงเวลาที่ร่างของซ่งเหยียนเฟยกำลังแตกสลายประหนึ่งบุปผาต้องวายุพัด ร่างหนึ่งพลันปรากฏกายดุจเทพเซียนเหินลงจากสรวงสวรรค์ ท่ามกลางกระแสพลังที่บิดเบี้ยว ร่างนั้นทิ้งกายลงสู่ใจกลางค่ายกล หากพิจารณาด้วยสายตาถี่ถ้วน จะประจักษ์ชัดว่ารูปโฉมนั้นละม้ายคล้ายคลึงซ่งเหยียนเฟยมิมีผิดเพี้ยน เว้นแต่เพียงสัดส่วนที่ย่อลงราวกับถอดแบบมาในขนาดเล็ก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่คือซ่งเหยียนเฟยในร่างจำลองอันน่าพิศวง จากเดิมที่ซ่งเหยียนเฟยเป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม ดวงหน้าหวานล้ำประดุจสตรีแรกแย้ม เมื่อกลับกลายร่างเป็นขนาดจิ๋ว กลับดูน่ารักน่าเอ็นดูราวกับตุ๊กตาแก้วเจียระไนก็มิปาน ผิวพรรณผุดผ่องดุจหิมะแรกต้องแสงจันทร์ นัยน์ตากลมโตเปล่งประกายราวดวงดาราบนฟากฟ้า จมูกโด่งเล็กรับกับริมฝีปากบางราวกลีบดอกเหมย รอบกายของร่างน้อยนั้นเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ประหนึ่งมีหลุมดำอมฤตย์ขนาดยักษ์กำลังอ้าปากกลืนกินสรรพสิ่งในห้วงมิติ พลังงานอันมหาศาลหมุนวนรอบตัวเขา ก่อเกิดเป็นกระแสลมที่พัดโหมกระหน่ำราวพายุคลั่ง แสงสีม่วงครามสาดส่องเจิดจ้าจนแสบตา "พรึ่บ!" ทันใดนั้น สรรพสิ่งก็กลับคืนสู่ความสงบเงียบ ราวกับมิเคยมีสิ่งใดปรากฏ ณ ที่แห่งนี้

    Huling Na-update : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่5 กระบืออ้วนกลมนำทาง สู่ดินแดนอสูรพิศวง

    ยามอรุณรุ่งเรืองรอง แสงสุริยันแรกผุดพ้นขอบฟ้า สาดส่องสีทองทาบทาทั่วผืนแผ่นดิน ลอดผ่านร่องรอยปริแตกเพียงเล็กน้อยของบานหน้าต่างไม้ ต้องใบหน้าคมสันของอวี้เหวิน เป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นวันใหม่ ท้องนภาสีครามสดใส ไร้ซึ่งเมฆามาบดบัง หมู่สกุณาน้อยใหญ่ต่างขับขานเสียงเพลงอันไพเราะ ดังก้องกังวานไปทั่วพฤกษานานา ระหว่างที่พวกมันโผบินออกหาอาหารในยามเช้า อวี้เหวินค่อยๆ ลืมตาตื่นจากนิทรา ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันตามวิถีแห่งผู้ฝึกตน ก่อนที่แสงตะวันจะทอเต็มฟ้า เขาจะฝึกฝนร่างกายเสริมสร้างความแข็งแกร่ง เพื่อเป็นรากฐานอันมั่นคงในการบ่มเพาะพลังปราณในภายภาคหน้า วันนี้ก็เช่นเคย ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม "ฟึ่บ! ฟึ่บ!" เสียงหมัดหนักแน่นผสานกับการเคลื่อนไหวที่ว่องไว ราวกับสายลมที่พัดผ่าน นี่เป็นช่วงท้ายของการฝึกกายา เหงื่อที่ไหลรินชุ่มโชกอาภรณ์เนื้อหยาบที่สวมใส่ เป็นดั่งเครื่องยืนยันถึงความมานะพากเพียรในการขับพิษและสิ่งสกปรกออกจากร่างกายเมื่อสุริยเทพเพิ่งจะฉายรัศมีเจิดจ้า อวี้เหวินหลังจากรับประทานอาหารเช้าที่เรียบง่ายแต่เพียงพอต่อการบำรุงกำลังเสร็จสิ้น จึงเตรียมตัวออกเดินทางสู่พงไพรบนยอดเขา เขาจัดเตรี

    Huling Na-update : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่6 บุรุษงามพิศวง หินทมิฬสะท้านวิญญาณ

    ขณะที่อวี้เหวินหันกายกลับไป ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในห้วงสายตาของเขา ราวกับบุปผาต้องลมที่ร่วงหล่นลงบนผืนดินอันแข็งกระด้าง'ผู้ใดกันเล่า เหตุใดจึงมานอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่กลางป่าลึกอันเปลี่ยวร้างเช่นนี้?' เขาครุ่นคิดในใจ พลางย่างเท้าเข้าไปหาร่างนั้นด้วยความระมัดระวัง ราวกับเกรงว่าเสียงฝีเท้าจะรบกวนการพักผ่อนอันแสนเงียบสงบ ร่างมนุษย์บอบบางร่างหนึ่งที่กำลังหลับใหลไม่ได้สติ ค่อยๆ ปรากฏรูปร่างชัดเจนขึ้นในม่านสายตาของอวี้เหวิน'ช่างงดงามเสียจริง...สตรีเช่นนั้นหรือ?' อวี้เหวินจ้องมองไปยังร่างนั้นอย่างตะลึงงัน ราวกับต้องมนต์สะกด ผิวพรรณขาวผ่องดุจหิมะแรกต้องแสงจันทร์ ใบหน้างดงามหมดจดราวกับเทพธิดาที่ร่วงหล่นจากสรวงสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์ เส้นผมสีแดงเพลิงยาวสลวยราวกับสายไหม ทว่า...บนชุดผ้าเนื้อดีที่นางสวมใส่นั้น ปรากฏร่องรอยแห่งการฉีกขาดและคราบโลหิตแห้งกรัง บ่งบอกถึงการเผชิญเคราะห์ร้ายมามิใช่น้อย'ดูท่าทางนางจะได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่งนัก ข้าควรยื่นมือเข้าช่วยเหลือตามวิสัยบุรุษหรือไม่?' ความลังเลฉายชัดในดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยวของเขา"ตุบ!" เสียงฝ่ามือหนาหนักกระทบลงบนศีรษะตนเองเบาๆ "เจ้ามันคนใจหินไปแล้ว

    Huling Na-update : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่7 เตาอัสนีวิบัติหลอมกายา ปฐมบทแห่งการแปรเปลี่ยน

    ในห้วงสำนึกของซ่งเหยียนเฟย 'เหตุใดข้าจึงมิอาจขยับเขยื้อนกายได้?' ความรู้สึกอึดอัดประดุจถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ทว่าท่ามกลางความอึดอัดนั้น กลับมีกระแสไออุ่นอันแสนสบายราวกับแสงตะวันยามเช้าค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ทุกอณูของร่างกาย 'สิ่งนี้คืออันใดกัน? ข้ารู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างประหลาด ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นแขนขาที่ข้าเคยใช้มานับครั้งไม่ถ้วน' ดวงจิตในห้วงสำนึกจับจ้องไปยังอวัยวะภายในที่ถูกห่อหุ้มด้วยม่านพลังสีดำมืดสนิท ราวกับราตรีที่ไร้ซึ่งดวงดาว "อ๊ากกก!" ฉับพลันทันใดนั้นเอง กระแสพลังแห่งความมืดที่เคยอ่อนโยนกลับแปรเปลี่ยนเป็นคมมีดนับพันเล่ม กรีดแทงลึกลงไปในส่วนที่สึกหรอ บาดแผล และความอ่อนแอภายในร่างกายของเขา สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสราวกับถูกฉีกทึ้งวิญญาณ ทว่าเมื่อห้วงเวลาแห่งความทรมานนั้นค่อยๆ ผ่านพ้นไป อาการบาดเจ็บภายในที่เคยร้าวรานกลับค่อยๆ สมานตัวดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ราวกับได้รับการชุบชีวิตใหม่ ทันใดนั้นเอง ความทรงจำและองค์ความรู้บางอย่างก็ไหลบ่าเข้ามาในห้วงสำนึกของเขา 'หรือว่า...จะเป็นพลังทมิฬ? พลังแห่งความมืดมิดที่บริสุทธิ์ สีดำสนิทดุจห้วงอว

    Huling Na-update : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่8 มังกรบรรจบเมฆาคล้อย: ปฐมบทนครเฉิน

    ครู่กาลล่วงเลย เปลือกตาคู่หนึ่งจึงค่อยๆ ปรือเปิดจากห้วงนิทรา ความพร่าเลือนในม่านตาค่อยๆ จางหาย แปรเปลี่ยนเป็นความคมชัด อวี้เหวินขยับศีรษะเพียงเล็กน้อย หันไปยังทิศเบื้องขวา จึงปรากฏแก่สายตาซึ่งร่างของอสูรแมงมุมพิศดารตัวหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ เมื่อพิเคราะห์ดูอย่างละเอียดละออ จะเห็นได้ว่าใบหน้าของมันละม้ายคล้ายคลึงกับสุนัขอย่างน่าประหลาด มันถูกพิฆาตจนร่างแหลกเหลวออกเป็นสองส่วน ชิ้นส่วนอวัยวะกระจัดกระจาย เลือดสีม่วงเข้มข้นไหลนองผืนปฐพี ส่งกลิ่นคาวคลุ้งรุนแรงท่ามกลางไอแดดที่แผดเผาราวกับเปลวเพลิง"เจ้าตื่นแล้วหรือ?" เสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มิได้แสดงความตื่นตระหนกต่อภาพที่ปรากฏเสียงนั้นปลุกอวี้เหวินให้หลุดพ้นจากภวังค์แห่งความงุนงง เขาสังเกตเห็นว่าอาภรณ์ของตนเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีม่วงเหนียวข้น ซึ่งบัดนี้ได้แห้งกรังติดอยู่กับเนื้อผ้า "มัน... มันเกิดอันใดขึ้นกัน?" อวี้เหวินพึมพำด้วยความสับสนงุนงาย"เจ้าถูกอสูรแมงมุมพิษหน้าสุนัขเล่นงานเข้าแล้ว" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวพลางชี้ไปยังซากอสูรที่นอนตายอยู่มิไกล"เจ้าอาจถูกพิษของมันขณะที่ยึดเหนี่ยวโขดหินนั่น จึงเป็นเหตุให้เจ้ารู้สึกหนักอึ้งร

    Huling Na-update : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่9 ราตรีลึก ณ เหมยเหว่ย เงาอำนาจและหมากในกระดาน

    ท่ามกลางเมืองเฉินอันคึกคัก มีร้านอาหารหรูแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในย่านเก่าแก่ของเมือง แม้ขนาดของมันจะมิได้ใหญ่โตโอฬาร ทว่ากลับแฝงไปด้วยร่องรอยของกาลเวลาที่สั่งสมมาเนิ่นนาน ร้านอาหารแห่งนี้มีชื่อว่า "美味" (Měiwèi, ของกินเลิศรส) ซึ่งนับเป็นร้านอาหารที่มีเกียรติและได้รับการยอมรับสูงสุดในเมืองเฉิน เมื่อย่างกรายเข้ามาเบื้องหน้าร้าน ผู้อาจหาญทั้งหลายย่อมต้องหยุดสายตาลงยังป้ายไม้เก่าแก่ที่แขวนอยู่เหนือประตู ป้ายไม้แผ่นนี้ถูกสลักด้วยลายมือวิจิตรงดงาม บ่งบอกถึงชื่อร้านที่สืบทอดมาแต่โบราณ ด้านข้างของร้าน อักษรสลักบนผนังทั้งสองฝั่งยิ่งเสริมความหนักแน่นให้แก่สถานที่แห่งนี้ ทางขวาคือคำว่า "张进鸿" (เตียจิงฮ้ง, เจริญก้าวหน้าเกริกก้องเกรียงไกร) และทางซ้ายคือ "荣耀" (Róngyào, มีเกียรติอันประเสริฐรุ่งโรจน์) หากบุคคลทั่วไปได้พบเห็น คงเข้าใจว่านี่เป็นเพียงคำอวยพรเพื่อเสริมสิริมงคล ทว่าผู้ที่ล่วงรู้เบื้องลึกแห่งร้านเหมยเหว่ยย่อมตระหนักดีว่า นี่มิใช่เพียงถ้อยคำมงคล หากแต่เป็นปณิธานอันหนักแน่นของสถานที่แห่งนี้ อักษรด้านขวาถูกจารึกขึ้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้คนที่แวะเวียนมารับประทานอาหาร ณ ที่แห่งนี้ โดยเฉ

    Huling Na-update : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่10 ข้าไม่ได้ตั้งใจ!!

    "ช่างเป็นเคล็ดวิชาที่ลึกล้ำเกินหยั่งถึง!" อวี้เหวินอุทานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายราวกับค้นพบขุมทรัพย์ล้ำค่า เขาทอดสายตามองไปยังห้วงความคิด พลางหวนรำลึกถึงเนื้อหาของเคล็ดวิชาอีกครา 'เคล็ดวิชาหมัดอัคนีสังหารนั้น แบ่งออกเป็นสามขอบเขตใหญ่ อันได้แก่ ปฐพี อัคคี และวารี แต่ละขอบเขตยังแบ่งย่อยออกเป็นสามระดับ คือ เเรกเริ่ม กลาง และสูงสุด ในขอบเขตปฐพีนั้น เป็นการวางรากฐานแห่งกระบวนท่าของหมัดอัคนีสังหาร พลังอำนาจแห่งหมัดในระดับเริ่มต้นอยู่ที่สามร้อยจิน ระดับกลางอยู่ที่หกร้อยจิน และระดับสูงสุดอยู่ที่เก้าร้อยจิน' ภาพกระบวนท่าอันสลับซับซ้อนเริ่มฉายชัดในมโนสำนึกของอวี้เหวิน ราวกับมีผู้มาสาธิตอยู่ตรงหน้า เขาสังเกตทุกการเคลื่อนไหว จดจำทุกรายละเอียด เมื่อเริ่มเข้าใจในแก่นแห่งวิชาแล้ว อวี้เหวินจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เริ่มต้นร่ายรำตามภาพที่ปรากฏในห้วงนิมิต ฝ่ามือและหมัดถูกส่งออกไปในอากาศอย่างหนักแน่น สลับหมุนเวียนราวกับพายุโหมกระหน่ำ เท้าก้าวไปตามจังหวะ ท่วงท่าการยืนมั่นคงดุจขุนเขา ทุกอิริยาบถที่แสดงออกมาล้วนสง่างามและหนักแน่นราวกับผืนปฐพีอันกว้างใหญ่ ในระหว่างที่ฝึกฝนเพลงหมัด อวี้เหวินมิไ

    Huling Na-update : 2025-04-20

Pinakabagong kabanata

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่26 ทลายพันจินใต้สายตาเย้ยหยัน มังกรซ่อนเล็บรอวันผงาด

    อวี้เหวิน... เสื้อผ้าบนกายเรียบง่าย ท่าทางไม่สะดุดตาเมื่อเทียบกับอัจฉริยะอื่น ๆ ที่สวมอาภรณ์หรูหรา หากดวงตาของเขา กลับเปล่งแสงเฉียบคมเยี่ยงดาบลับที่ซุกซ่อนในฝัก ใบหน้าสงบเฉย นิ่งราวแผ่นน้ำในยามราตรี แต่ในความนิ่งนั้นกลับมีบางสิ่งซ่อนอยู่... ร้อนแรงและหนักหน่วงดุจอัสนีสายลับที่รอวันฟาดฟันเขาก้าวเดินไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าแท่นศิลาสายวัดพลังสายลมเย็นโชยเอื่อยพัดชายเสื้อของเขาเบา ๆ คล้ายจะรับรู้ถึงแรงอารมณ์อันแน่นขนัดของเขาในยามนี้...ไม่มีเสียง ไม่มีคำพูด ไม่มีท่าทีแสดงความฮึกเหิมมีเพียงความสงบก่อนพายุอวี้เหวินสูดลมหายใจเข้าช้า ๆในใจกลับดังก้องด้วยเสียงของซ่งเหยียนเฟยจากมิติสร้อยคอ“เจ้าจะเปิดเผยพลังจริงหรือไม่?”เด็กหนุ่มหลับตาลงครู่หนึ่ง ดวงจิตสงบนิ่ง ก่อนพึมพำในใจ...“ไม่จำเป็น...ในยามนี้”“เพียงพอแค่ให้โลกรู้ว่า ข้า มิใช่คนที่ควรดูแคลน”ฝ่ามือของเขากำแน่น พลังหมุนเวียนจากส่วนลึกในกาย ปะทุแผ่วเบาแต่ทรงอานุภาพ เคล็ดวิชา หมัดอัคนีสังหาร เริ่มไหลเวียนผ่านเส้นเอ็นเส้นเลือดอย่างกลมกลืน ราวกับเพลิงที่ถูกกรั่นกลั่นจากขุมนรกแม้เป็นเพียง ขั้นกลาง หากภายใต้ร่างกายที่ผ่านการฝึกฝนด้วย เตาอ

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่25 รุ่งอรุณแห่งการพิสูจน์ มังกรในเงามืดเตรียมทะยานฟ้า

    ในยามที่มิติภายในสร้อยคอผสานรวมกับผลึกทมิฬชิ้นใหม่ ความเปลี่ยนแปลงบางสิ่งก็เริ่มเกิดขึ้นอย่างแผ่วเบา หากแต่ลึกซึ้งจนสัมผัสได้ถึงแก่นแท้ของพลัง เสี้ยวหนึ่งของมิตินั้นเริ่มสั่นสะเทือนอย่างเงียบงัน ราวกับม่านหมอกอันดำสนิทที่เคยปกคลุมทั่วทุกทิศ เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นกระแสพลังทมิฬอันหนาแน่นและบริสุทธิ์กว่าก่อนหน้า ซ่งเหยียนเฟย เหินร่างจิ๋วอันงดงามประหนึ่งตุ๊กตาเทพหยก ก้าวเข้าสู่ความมืดมิดอันไร้จุดจบในมิติแห่งนี้ด้วยสีหน้าครุ่นคิดลึกซึ้ง ร่างของเขาแม้จะเล็กจ้อยดั่งนกน้อยในเงามังกร แต่ความเย่อหยิ่งสง่าของเผ่าทมิฬหาได้พร่ามัวลงไม่ ผ้าคลุมสีชาดโบกสะบัดพลิ้ว ท่ามกลางพลังปราณสีดำที่วนเวียนดั่งพายุใต้บาดาล “ความมืด… หนาขึ้นกว่าคราแรกเสียอีก” เสียงนุ่มลึกของเขาเอื้อนเอ่ยในความเงียบ เขายื่นฝ่ามือเรียวเล็กออกไป พลังทมิฬที่ปะทุอยู่อย่างแผ่วเบารอบตัวไหลซึมเข้าสู่ผิวเนื้อ ก่อเกิดประกายเรืองรองสีดำวาววับที่ชั้นผิว พลังอันน่าพิศวงนี้ไม่เพียงโอบอุ้มจิตใจ หากยังปลุกเร้ากายเนื้อให้เร่งฟื้นฟูราวปาฏิหาริย์ “เพียงแค่ชิ้นเดียว… มิติแห่งนี้กลับมีการตอบสนองถึงเพียงนี้?” ดวงเนตรเขม็งมองไปยังความเวิ้งว้างเบื้องหน้

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่24 พบพานหินทมิฬ ปริศนาสร้อยคอ

    สายลมยามบ่ายแห่งเมืองซูไห่พัดโบกเอื่อยเบา หอบเอากลิ่นคาวของทะเลสาบ ผสมกับกลิ่นหอมจางๆ ของโอสถสมุนไพรที่ลอยอวลอยู่ทั่วไปในตลาดกลางเมือง ผู้คนหลากชนชั้นเดินขวักไขว่ ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าแม่ขาย ผู้ฝึกยุทธ์ในชุดยาวแสดงยศสำนัก หรือแม้แต่ผู้คนธรรมดาที่ถือถุงห่อข้าวปลาเดินสัญจรไปมา บางคนกำลังต่อรองราคาสินค้าอย่างออกรส บ้างนั่งพักหลบร้อนใต้ร่มผ้าปูตลาดแห่งนี้อึกทึกทว่าไม่ไร้ระเบียบ บรรยากาศกลับแฝงไปด้วยเสน่ห์เฉพาะตัวที่หาไม่ได้จากหมู่บ้านเล็กอย่างเทียนฟู… อวี้เหวินเดินทอดสายตาไปรอบด้าน ความรู้สึกคล้ายอยู่ในโลกอีกใบที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด“นี่แหละเมืองซูไห่ของแท้…” อู๋ซวนยิ้มพลางกวักมือเรียก “ทางนั้นคือร้านขายอาวุธ ส่วนฝั่งโน้นมีโรงน้ำชาใหญ่ ท่านรู้ไหมว่าชั้นบนมีนักเล่านิทานระดับตำนานประจำทุกค่ำคืนเลย!”อวี้เหวินพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้กล่าวอันใด แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความสนใจสายตาทั้งสองพลันสะดุดเข้ากับร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางถนนรอง มุงด้วยหลังคาผ้าสีซีดดูธรรมดายิ่งนัก หากแต่ตั้งเรียงรายไว้ด้วย “ก้อนหิน” หลากขนาด สีสันไม่งดงาม ไม่อร่ามเรือง หากแต่แฝงกลิ่นอายเร้นลับ

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่23 พบสหายใหม่ ณ นครหมอกเงิน

    รถม้าค่อยๆ แล่นผ่านถนนหินเรียบของเมืองซูไห่ บรรยากาศโดยรอบยังคงอบอวลด้วยกลิ่นสมุนไพรและไออุ่นของแสงแดดยามเที่ยง ใต้หลังคาโค้งของเรือนร้านค้า ผู้คนยังเดินขวักไขว่ด้วยจังหวะเร่งรีบที่แฝงด้วยจุดมุ่งหมาย เด็กเร่ขายข่าววิ่งสวนทางกับแม่ค้าขายโอสถ เงาของรถม้าคันหนึ่งทอดยาวลงบนพื้นหินราวกับบันทึกเส้นทางแห่งวาสนา ภายในรถ อวี้หลานยกม่านผ้าเปิดออกเล็กน้อย มองผ่านความพลุกพล่านไปยังตรอกซอยเบื้องหน้า ดวงตาเขาฉายแววเงียบขรึมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหันไปกล่าวกับชายชราที่ยังกุมบังเหียนอยู่ “ผู้อาวุโสหลี่ ที่ตรงนั้นคงจะพอแล้ว... พวกข้าสองพ่อลูกจะขอลงตรงนี้เถิด มิเหมาะนักที่จะรบกวนพวกท่านไปมากกว่านี้” ชายชราหันขวับกลับมา คิ้วขมวดเล็กน้อย “เหตุใดต้องรีบร้อนนัก น้องอวี้ เราเองก็เหมือนญาติมิตรกันแล้ว ไหนเลยจะเรียกว่ารบกวนได้?” อวี้หลานยิ้มบาง สีหน้าสงบ “ท่านผู้อาวุโสเป็นผู้มีคุณ ข้ากับบุตรชายเพียงได้รับเมตตา ชายชาติบัณฑิตควรรู้จักถนอมวาสนาให้เหมาะสม นับจากนี้เส้นทางของพวกข้าคงแตกต่างจากท่านแล้ว... ที่ตรงนี้เพียงพอ ขอบคุณท่านเป็นอย่างยิ่ง” ชายชราเงียบงันไปครู่ ก่อนถอนหายใจเบาๆ “เช่นนั้นก็แล้วแต่...

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่22 เมืองซูไห่ ดินเเดนเเห่งโอสถ

    กลางป่าเงียบสงบที่บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสนามรบ เสียงฟาดปะทะและเสียงร้องคำรามแทรกซึมไปทั่วทุกอณูอากาศ ดั่งเสียงของสายฟ้าที่ฟาดลงกลางพงหญ้า เสียงแห่งการต่อสู้บังเกิดขึ้นพร้อมกับแสงจันทร์ที่ส่องลงมาอย่างเวทนา หัวหน้าโจรซึ่งบัดนี้ลุกขึ้นจากพื้นได้แล้ว ดวงตาเปี่ยมด้วยเพลิงโทสะ ร่างพุ่งเข้าใส่ชายชราผู้สงบเย็น แต่กลับแฝงด้วยความน่าเกรงขาม “แก...เจ้าคนเฒ่า! กล้าดีอย่างไรถึงกล้าซัดข้าก่อน!” “เจ้าต่างหากที่กล้าเสียยิ่งกว่า ข้าผู้มีอายุคราวปู่เจ้ายังไม่อาจปล่อยให้หยาบคายได้ตามอำเภอใจ” ชายชรากล่าวเสียงเรียบ ดวงตาทอประกายสงบนิ่ง แต่ฝ่ามือทั้งสองกลับกางออกอย่างมั่นคง ยืนตรึงพื้นดินประหนึ่งเสาเข็มแห่งขุนเขา พริบตานั้น สองร่างพุ่งเข้าหากัน เสียงหมัดกระทบหมัดดัง “ปัง!” ลั่นสนั่น แรงกระแทกแผ่สะเทือนไปทั่ว รถม้าไหววูบเล็กน้อย เศษใบไม้ปลิวว่อนในอากาศ ในอีกฟากหนึ่ง อวี้เหวินซัดหมัดอัคนีสังหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า ร่างของศัตรูแต่ละคนปลิวกระเด็นราวใบไม้หลุดจากกิ่ง ใบหน้าของเด็กหนุ่มเปื้อนเลือดของศัตรู แต่แววตานั้นยังคงแน่วแน่ไม่คลอนแคลน ขณะนั้นเอง พ่อของเขากำลังจะวิ่งเข้ามาช่วยเหลือด้วยมือเปล่า “ท่านพ่อ! ท่า

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่21 ใต้แสงจันทร์กลางป่า เพลิงเเห่งการต่อสู้พลันลุกโชน

    แสงแดดยามสายสาดส่องลอดผ่านช่องว่างของกิ่งไม้ ทาบเงาไม้เป็นลายทออยู่บนพื้นดินที่แห้งกรัง เสียงนกร้องก้องอยู่ไกลลิบคล้ายกำลังร่ำลา และลมยามเช้าที่แผ่วเบานั้นก็เย็นเยียบกว่าทุกวัน... หรือบางทีอวี้เหวินอาจเพียงรู้สึกไปเองวันนี้ วันที่เขาต้องก้าวเท้าออกจากหมู่บ้านแห่งนี้... ได้มาถึงแล้วเขายืนอยู่หน้าบ้านไม้เก่าหลังคุ้นเคย ใบหน้าเรียบนิ่ง แววตาค่อย ๆ กวาดมองจากหลังคาที่ยังมีรอยซ่อมเก่า ๆ ฝีมือของบิดา ลงมาจนถึงชานไม้ที่เขาเคยวิ่งเล่นสมัยเด็ก และหยุดอยู่ที่บานประตูที่เขาเคยเปิดปิดนับครั้งไม่ถ้วนในแต่ละวันทุกสิ่งล้วนเงียบสงบเกินไป“ต่อจากนี้... บ้านหลังนี้ คงเงียบเหงาไร้ผู้คนแล้วกระมัง”เสียงพึมพำของเขาเบาจนแทบถูกกลืนไปกับสายลม ทว่าในใจกลับหนักอึ้งยิ่งนักตั้งแต่ลืมตาดูโลกเมื่อสิบห้าปีก่อน เขาไม่เคยก้าวออกไปไกลกว่าภูเขาหลังหมู่บ้านเลย บ้านหลังน้อยหลังนี้คือทั้งโลกของเขา เป็นที่ที่เขาเรียนรู้จักความอบอุ่น ความทุกข์ และความหวังขณะที่สายตายังทอดมองบ้านหลังนั้น อวี้เหวินพลันส่ายหัวเบา ๆ อย่างรำคาญตัวเอง ราวกับจะสะบัดความอาลัยออกจากใจ ก่อนจะละสายตาจากภาพตรงหน้า แล้วถอนหายใจออกมาอย่างเงียบงัน“

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่20 บทเริ่มเเห่งเพลิงล้างเเค้น!

    ชายชราสบถในใจ ‘ข้าจะไม่ปล่อยให้ศึกนี้ยืดเยื้อต่อไปอีก!’เขาสะบัดแขนเสื้อ มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปหยิบของบางสิ่ง มันคือ “ยันต์มารสังหาร” อักขระโบราณที่สลักไว้ด้วยโลหิตของจอมยุทธ์ยุคบรรพกาล พลังมารเข้มข้นหมุนวนอยู่ภายใน พอปรากฏออกมาก็ส่งกลิ่นอายมรณะจนพืชพรรณรอบข้างเหี่ยวเฉาในพริบตาชายชรากระตุกยิ้มเย็น แรงกดดันจากพลังมารพลันทวีคูณ เขาโยนยันต์ออกไปกลางอากาศ ก่อนจะร่ายอาคมควบคุม มันเปล่งแสงสีดำสนิท ก่อนจะพุ่งทะลวงเข้าใส่อสรพิษยักษ์“จงสลายไปซะ!” เขากล่าวเสียงก้องยันต์มารสังหารพุ่งเข้าใส่ร่างของอสรพิษยักษ์โดยตรง พลังมหาศาลปะทุขึ้นเป็นระลอก เงามารมหึมาปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้า กดทับร่างของมันไว้แน่น ก่อนที่เส้นแสงสีดำจะฉีกกระชากพลังอสูรของมันจนแหลกสลายอสรพิษยักษ์กรีดร้องเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างของมันจะค่อย ๆ แหลกสลายไปกับสายลม เหลือเพียงเถ้าถ่านสีดำล่องลอยอยู่กลางอากาศชายชราหอบหายใจ ดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นชา เขาเก็บยันต์ที่เหลือกลับเข้าไป ก่อนจะปรายตามองอวี้เหวินที่ซุ่มอยู่ห่าง ๆ ‘เจ้าหนู ข้ารู้นะว่าเจ้าคิดอะไรอยู่…’ชายชราจ้องมองซากของอสรพิษยักษ์ที่แน่นิ่งอยู่ตรงหน้า ดวงตาของเขาทอประกายเย

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่19 เผชิญหน้าปีศาจชราเเห่งเงามาร

    ภายในเรือนรับรองแขกแห่งหมู่บ้านเทียนฟู บรรยากาศในห้องเจรจาคลุ้งไปด้วยกลิ่นชาอ่อน ๆ ควันจางลอยขึ้นจากกาน้ำชาเคลือบเงา หวังหยวนนั่งอยู่ ณ ที่นั่งอันสูงศักดิ์ เบื้องหน้าคือหัวหน้าหมู่บ้านเทียนฟู ผู้มีท่าทางสุขุมแต่แววตาเต็มไปด้วยความกังวล "ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าได้ยินมาว่าเมื่อประมาณหนึ่งถึงสองเดือนก่อน มีแสงประหลาดดั่งดาวตกพุ่งลงมายังเขตเขาใกล้หมู่บ้านแห่งนี้ มิทราบว่ามีผู้ใดเห็นสิ่งนั้นอย่างชัดเจนบ้างหรือไม่" หวังหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยความหมายล้ำลึก หัวหน้าหมู่บ้านขยับกาน้ำชาช้า ๆ ก่อนถอนหายใจเบา ๆ "เรื่องนี้... ข้าเองก็ได้ยินมาอยู่บ้าง มีชาวบ้านบางคนอ้างว่าเห็นประกายสีแดงฉาน ตกลงยังหุบเขา แต่...หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปสำรวจด้วยตนเอง" เขาเว้นระยะไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงเบา "ท่านเองก็มาที่นี่เพราะเหตุนี้ใช่หรือไม่?" หวังหยวนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พลางจิบชาตรงหน้า สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง แต่ภายในดวงตา ทอแววพินิจครุ่นคิดอยู่ลึก ๆ "ในเมื่อมีดาวตกปริศนา ตกลงในเขตนี้ แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปตรวจสอบเลยแม้แต่ผู้เดียว? หรือว่า... มีบางสิ่งที่มิอาจเปิดเผย

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่18 ได้เเหวนมิติมาครอบครอง

    ผ่านไปหลายชั่วยาม ท่ามกลางสายลมราตรีอันเงียบสงัด เงาหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือปากปล่องลาวา ลมวูบหนึ่งพัดไอร้อนให้กระจายออก เผยให้เห็นร่างของชายชราในอาภรณ์ดำหม่น เส้นผมสีเทาแซมขาวปล่อยยาวถึงกลางหลัง ดวงตาเรียวเล็กเป็นประกายเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มมุมปากฉายความเจ้าแผนการอันลึกล้ำ ชายชราผู้นี้ดูคล้ายเร่ร่อนไร้หลักแหล่ง แต่ทุกอากัปกิริยากลับเต็มไปด้วยพลังอันลึกล้ำ และแฝงกลิ่นอายของพรรคมารอย่างเด่นชัด เขากวาดตามองร่องรอยพลังที่ยังคงหลงเหลืออยู่ บ่อลาวาที่ยังคงเดือดพล่าน และเศษซากของแรงระเบิด ก่อนจะยกมือขึ้นลูบเคราของตนพลางถอนหายใจเบา ๆ “มาสายไปงั้นรึ?” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเสียดาย ราวกับพลาดโอกาสสำคัญไปเสียแล้ว เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าแล้วเปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นเรียบเฉย แต่ในดวงตากลับฉายแววครุ่นคิด คำนวณกลอุบายภายในใจ “ภูเขาแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านแห่งหนึ่ง… บางทีที่นั่นอาจมีเบาะแสที่ข้าต้องการ” เขาพึมพำกับตนเอง ก่อนจะกระตุกยิ้มบาง ๆ อย่างมีเลศนัย แล้วในชั่วพริบตา ร่างของเขาก็พลันเลือนหายไปพร้อมกับสายลม ทิ้งไว้เพียงกลิ่นอายแห่งความลึกลับ และแรงลมที่พัดกระพือรอบพื้นที่นั้น ---

Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status