Home / แฟนตาซี / ดาบพิฆาตสลับนภา / บทที่8 มังกรบรรจบเมฆาคล้อย: ปฐมบทนครเฉิน

Share

บทที่8 มังกรบรรจบเมฆาคล้อย: ปฐมบทนครเฉิน

Author: Prince_White
last update Last Updated: 2025-04-20 16:22:00

ครู่กาลล่วงเลย เปลือกตาคู่หนึ่งจึงค่อยๆ ปรือเปิดจากห้วงนิทรา ความพร่าเลือนในม่านตาค่อยๆ จางหาย แปรเปลี่ยนเป็นความคมชัด อวี้เหวินขยับศีรษะเพียงเล็กน้อย หันไปยังทิศเบื้องขวา จึงปรากฏแก่สายตาซึ่งร่างของอสูรแมงมุมพิศดารตัวหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่

เมื่อพิเคราะห์ดูอย่างละเอียดละออ จะเห็นได้ว่าใบหน้าของมันละม้ายคล้ายคลึงกับสุนัขอย่างน่าประหลาด มันถูกพิฆาตจนร่างแหลกเหลวออกเป็นสองส่วน ชิ้นส่วนอวัยวะกระจัดกระจาย เลือดสีม่วงเข้มข้นไหลนองผืนปฐพี ส่งกลิ่นคาวคลุ้งรุนแรงท่ามกลางไอแดดที่แผดเผาราวกับเปลวเพลิง

"เจ้าตื่นแล้วหรือ?" เสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มิได้แสดงความตื่นตระหนกต่อภาพที่ปรากฏ

เสียงนั้นปลุกอวี้เหวินให้หลุดพ้นจากภวังค์แห่งความงุนงง

เขาสังเกตเห็นว่าอาภรณ์ของตนเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีม่วงเหนียวข้น ซึ่งบัดนี้ได้แห้งกรังติดอยู่กับเนื้อผ้า "มัน... มันเกิดอันใดขึ้นกัน?" อวี้เหวินพึมพำด้วยความสับสนงุนงาย

"เจ้าถูกอสูรแมงมุมพิษหน้าสุนัขเล่นงานเข้าแล้ว" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวพลางชี้ไปยังซากอสูรที่นอนตายอยู่มิไกล

"เจ้าอาจถูกพิษของมันขณะที่ยึดเหนี่ยวโขดหินนั่น จึงเป็นเหตุให้เจ้ารู้สึกหนักอึ้งราวกับถูกมนต์สะกด จนกระทั่งสลบเหมือดไป โชคดีที่ข้าไหวตัวทัน จึงรีบติดตามหามันจนพบ แล้วสังหารมันเพื่อสกัดเอาส่วนที่เป็นยาถอนพิษในกายมันมาให้เจ้าดื่ม เพื่อขับพิษร้ายกาจนั้นออกจากร่าง มิฉะนั้น ป่านนี้เจ้าคงมิอาจลืมตาขึ้นมาได้อีกแล้ว" ซ่งเหยียนเฟยอธิบายให้อวี้เหวินฟังอย่างละเอียด

"แต่อสูรแมงมุมตัวนี้ช่างพิกลพิการ หากข้ามิได้เพ่งสมาธิจับจ้องมันอย่างถี่ถ้วน ข้าแทบไม่อาจตรวจจับร่องรอยการดำรงอยู่ของมันได้เลย มิเช่นนั้นเจ้าคงมิถูกพิษของมันได้โดยง่ายเช่นนี้" เขาพูดพลางดีดวัตถุสิ่งหนึ่งออกมาจากปลายนิ้ว วัตถุนั้นกลิ้งไปหยุดอยู่ตรงหน้าอวี้เหวินที่ยังคงนอนอยู่บนพื้น

วัตถุนั้นมีลักษณะเป็นทรงกลมสีดำขลับ มันวาวราวกับหยกดำเม็ดงาม มองเผินๆ อาจมิได้บ่งบอกถึงความพิเศษอันใด ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปเพียงครู่ วัตถุสีดำกลมเกลี้ยงนั้นกลับเริ่มเลือนราง จางหายไปกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ ราวกับกลืนกินแสงและสีสันจนมิอาจสังเกตเห็นได้อีกต่อไป สิ่งนี้สร้างความตื่นตะลึงพรึงเพริดให้กับอวี้เหวินเป็นอย่างยิ่ง

"นี่... นี่มันมีสิ่งเช่นนี้ดำรงอยู่ในโลกหล้าด้วยหรือนี่?" เขาเบิกดวงตากว้าง มองไปยังวัตถุลึกลับที่ค่อยๆ เลือนหายไปด้วยความฉงนสนเท่ห์

ซ่งเหยียนเฟยเห็นดังนั้นจึงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคู่เล็กฉายแววภูมิใจ "สิ่งนี้เรียกว่า 'แก่นวายุอำพราง' ซึ่งเป็นหัวใจที่ถูกกลั่นกรองออกมาจากซากศพของพญาจิ้งจกมายา คาดว่าอสูรแมงมุมตัวนี้โชคดีได้รับสิ่งนี้มาโดยบังเอิญจากพญาจิ้งจกมายาที่สิ้นชีพไปแล้ว เพราะด้วยพละกำลังของตัวมันเอง มิอาจจะทำอันตรายพญาจิ้งจกมายาได้แม้แต่รอยขีดข่วนอย่างแน่นอน" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวอวดอ้างความรู้ของตนเอง พลางดึงลูกแก้วเม็ดนั้นกลับมาไว้ในอุ้งมือน้อยๆ ของเขา มันจึงกลับคืนสู่สีดำขลับดังเดิมอีกครั้งหนึ่ง

"เป็นเช่นนี้นี่เอง" อวี้เหวินพยักหน้าอย่างเข้าใจ

"ตุบ!" เสียงวัตถุทรงกลมถูกโยนมาหยุดอยู่ตรงหน้าอวี้เหวินอีกครา

"ข้าให้เจ้า สิ่งนี้จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเจ้า มันจะช่วยเจ้าในการอำพรางซ่อนเร้นกาย และป้องกันภัยจากผู้ที่มีระดับพลังต่ำกว่าขั้นก่อกำเนิดได้ทุกคน" ร่างเล็กๆ ตรงหน้าเขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง

อวี้เหวินคว้าแก่นวายุอำพรางขึ้นมา สัมผัสผิวมันวาวเย็นเยียบเพียงครู่ ก่อนจะเก็บซ่อนไว้ในสาบเสื้ออย่างมิดชิด

'สิ่งนี้เก็บไว้ภายหลังกลับถึงเรือนค่อยให้เขาถ่ายทอดวิชาการใช้ก็แล้วกัน ตอนนี้สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการฟื้นฟูเรี่ยวแรงและพลังปราณที่สูญเสียไปให้กลับคืนมาโดยเร็วพลัน'

เขาจึงลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิในทันที หลับตาลงอย่างสงบ เพื่อรวบรวมสมาธิอันแน่วแน่และฟื้นฟูพลังปราณที่เหือดแห้งให้กลับคืนสู่สภาพเดิม

ครึ่งชั่วยามล่วงผ่าน พลังเรี่ยวแรงในกายของเขาก็ค่อยๆ ฟื้นคืนมาทีละน้อย ทว่าวันนี้เขาตระหนักดีว่าไม่อาจเดินทางลึกเข้าไปในเขตอสูรได้ไกลกว่านี้อีกแล้ว บริเวณนี้คือขีดจำกัดแห่งความสามารถของเขาในยามนี้ เขาจึงส่ายศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มทบทวนเคล็ดวิชาเตาอัสนีวิบัติที่เพิ่งได้รับมาในห้วงมโนสำนึก ข้อมูลต่างๆ ปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของเขาอย่างแจ่มชัด

'เคล็ดวิชาเตาอัสนีวิบัติขั้นปฐม เริ่มต้นจากการนำพาไอความร้อนจากภายนอกเข้าสู่ภายในร่างกาย ขั้นแรกนี้เปรียบประดุจการเผาหลอมโลหะให้กล้าแกร่ง ขจัดสิ่งสกปรกและมลทินที่เจือปนอยู่ออกไป เพื่อให้เนื้อโลหะบริสุทธิ์พร้อมสำหรับการตีแผ่และเจียระไนให้งดงาม เป็นการนำพาไอความร้อนจากภายนอกเข้าสู่ภายใน ดูดซับและแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานเพลิง เผาผลาญอวัยวะภายในทีละส่วน เพื่อขับไล่สิ่งสกปรกและกระตุ้นการสร้างใหม่ของเนื้อเยื่อให้แข็งแกร่งและทนทานยิ่งขึ้น'

อวี้เหวินเริ่มสูดซับพลังไอความร้อนที่แผ่กระจายอยู่โดยรอบกายอย่างเชื่องช้า ไอความร้อนเหล่านั้นค่อยๆ แทรกซึมผ่านผิวหนัง ราวกับสายฝนที่ค่อยๆ ซึมซาบลงสู่ผืนดิน เข้าสู่ตันเถียนของเขา แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานสีแดงเพลิงไหลเวียนไปทั่วสรรพางค์กาย พลังสีแดงค่อยๆ แทรกซึมลึกเข้าไปในอวัยวะภายใน ซึมซาบสู่เนื้อเยื่อ เซลล์ และเริ่มกระบวนการเผาไหม้ แปรเปลี่ยนโครงสร้างให้แข็งแกร่งและคงทนยิ่งกว่าเดิม

มันเผาผลาญลงลึกถึงระดับที่เล็กที่สุดดุจธุลี ก่อให้เกิดกระบวนการสร้างใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในระดับโมเลกุล ขยายตัวขึ้นสู่ระดับเซลล์ ระดับเนื้อเยื่อ และหยั่งลึกลงไปถึงอวัยวะภายใน ซึ่งกระบวนการอันซับซ้อนนี้ได้สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสให้กับอวี้เหวินอย่างยิ่ง ราวกับถูกเปลวเพลิงแผดเผาทั้งเป็น เนื่องจากมันเป็นการเปลี่ยนแปลงจากจุดที่เล็กที่สุดไปสู่จุดที่ใหญ่ที่สุด ค่อยๆ กัดกร่อน เผาไหม้ทุกตารางนิ้วของเนื้อหนังของเขาอย่างเชื่องช้า สร้างความทรมานที่เกินกว่าจะทานทน

"กรอด..." เสียงกัดฟันของอวี้เหวินดังลอดไรฟันออกมา บ่งบอกถึงความเจ็บปวดที่เขากำลังเผชิญ ขณะนี้ทั่วทั้งร่างของเขาชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อเม็ดโต ยิ่งเวลาล่วงเลยผ่านไป ใบหน้าคมสันของเขาก็ยิ่งแสดงออกถึงความเจ็บปวดและความเหนื่อยล้าจนแทบจะหมดเรี่ยวแรง ทว่าด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นและแข็งแกร่งดุจเพชร เขาจึงยังคงยืนหยัดอยู่ได้โดยมิได้ล้มลง กระบวนการสร้างใหม่ยังคงดำเนินไปอย่างเชื่องช้า

หากสามารถมองทะลุเข้าไปในร่างของเขาได้ จะพบว่าอวัยวะภายในของเขานั้นบัดนี้เต็มไปด้วยสีแดงฉานราวกับถูกเพลิงบรรลัยกัลป์เผาไหม้ มิใช่สีแดงจากโลหิต แต่เป็นสีแดงของพลังงานความร้อนอันบริสุทธิ์ ร่างกายของอวี้เหวินเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ สิ่งสกปรกต่างๆ ถูกขับออกมาจากรูขุมขนมากมาย กล้ามเนื้อเริ่มมีความแข็งแกร่ง กระชับ และยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น

เขาทำกระบวนการนี้อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งดวงตะวันเริ่มคล้อยต่ำลงจากขอบฟ้า เขาจึงหยุดการฝึกฝน และทรุดกายลงกับพื้นดินอย่างหมดเรี่ยวแรง "ตึง!" ด้วยความเหนื่อยอ่อนและความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ร่างกายของเขามีสีแดงก่ำไปทั่วทุกส่วน น้ำที่เขาเตรียมมาด้วยนั้นเหือดแห้งไปจนไม่เหลือแม้แต่หยาดเดียว

"ฮ่าๆ! เพียงเท่านี้ก็ถึงกับทรุดกายเสียแล้วหรือ เจ้าหนู?" เสียงของซ่งเหยียนเฟยดังขึ้นเมื่อเห็นอวี้เหวินล้มลงกับพื้นดินอย่างหมดสภาพ

อวี้เหวินที่กำลังหอบหายใจถี่กระชั้นด้วยความเหนื่อยอ่อนมิได้ใส่ใจต่อคำเยาะเย้ยนั้นแม้แต่น้อย เขากำลังตั้งสติและปรับสภาพร่างกายให้กลับคืนสู่ภาวะปกติ เมื่อทุกสิ่งเริ่มเข้าที่เข้าทาง พวกเขาทั้งสองจึงเริ่มออกเดินทางกลับสู่เรือน จบสิ้นการฝึกฝนอันแสนทรหดในวันนี้

---

สามวันให้หลังจากการพักผ่อนและปรับสภาพร่างกายให้คุ้นชินกับการฝึกฝนอันหนักหน่วง อวี้เหวินก็ออกเดินทางสู่เทือกเขาอีกครั้ง คราวนี้เขาสามารถก้าวล่วงเข้าไปได้ลึกกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด สองเท้าเหยียบย่ำไปบนผืนดินที่แห้งแล้งและแตกระแหง ไอแดดร้อนระอุแผดเผาผิวกายราวกับเปลวเพลิง

เขายังคงดำเนินกระบวนการฝึกฝนเช่นเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า หล่อหลอมร่างกายของตนให้แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าที่ผ่านการตีแผ่และเผาหลอมมานับครั้งไม่ถ้วน ผ่านพ้นไปหลายราตรีที่ดวงจันทร์ทอแสงสีเงิน บัดนี้อวี้เหวินเข้าใกล้ถิ่นฐานของพยัคฆ์หางแมงป่องเกินกว่าครึ่งทางแล้ว

ขณะที่เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนลานหินทราย ดูดซับพลังไอความร้อนที่แผ่กระจายอยู่โดยรอบกาย ราวกับมีเสียงเดือดปุดๆ ดังมาจากภายในร่างของเขา คล้ายน้ำที่ถูกต้มจนถึงจุดเดือด ปุๆ ควันสีขาวจางๆ เริ่มเคลื่อนออกจากรูขุมขนทั่วทั้งร่างกาย ราวกับไอน้ำที่ระเหยขึ้นจากผิวดิน ฉ่า~ พรึ่บ! เปลวเพลิงสีแดงฉานลุกโชนขึ้นจากภายในร่างของเขา เผาไหม้เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่จนมอดไหม้กลายเป็นเถ้าธุลีในพริบตา

ตึง! เสียงดังก้องกังวานมาจากภายในร่างของอวี้เหวิน ราวกับมีกุญแจที่ปิดผนึกพลังเอาไว้ถูกปลดปล่อย พลังอันมหาศาลไหลเวียนไปทั่วทุกส่วนของร่างกายดุจกระแสธาราที่เชี่ยวกราก กล้ามเนื้อและอวัยวะต่างๆ แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผิวหนังเปล่งประกายสีทองแดงเรืองรอง ราวกับโลหะที่ถูกขัดเงาจนขึ้นวาว

บึ้ม! เขาปลดปล่อยพลังที่สะสมไว้ออกมาด้วยการออกหมัดขวาโจมตีโขดหินที่อยู่ข้างกาย แรงปะทะมหาศาลราวกับภูเขาถล่ม ทำให้โขดหินแกรนิตขนาดใหญ่ระเบิดแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ฝุ่นผงและเศษหินปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ

"ในที่สุดข้าก็สำเร็จสู่ระดับแรกเริ่มของขั้นแรกแห่งวิชาเตาอัสนีวิบัติแล้ว! แถมยังโชคดีทะลวงสู่ขั้นกลางของระดับก่อตั้งรากฐานได้อีกด้วย ฮ่าๆ!"

เขาเปล่งเสียงหัวเราะก้องกังวานด้วยความปิติยินดีอย่างสุดจะกล่าว ราวกับนักรบผู้พิชิตที่ได้รับชัยชนะในสนามรบ

'เจ้าหนุ่มผู้นี้ ผ่านมาเพียงไม่กี่วันก็สามารถสำเร็จสู่ขั้นแรกของวิชาได้ แถมยังทะลวงสู่ระดับก่อตั้งรากฐานขั้นกลางได้อีก ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก คงมิอาจประมาทเขาได้เสียแล้ว หึ!' ซ่งเหยียนเฟยซึ่งเฝ้ามองอยู่ห่างๆ ครุ่นคิดในใจด้วยความประหลาดใจระคนชื่นชม

"เป็นอย่างไรบ้าง? ข้าเก่งกาจใช่หรือไม่เล่า? ฮ่าๆ!" อวี้เหวินกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจ เมื่อเห็นซ่งเหยียนเฟยกำลังจับจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา

"หึ! สำเร็จเพียงเท่านี้ก็ทำเป็นคุยโว หากเจ้าสามารถสำเร็จสู่ขั้นแรกระดับสูงสุดได้ภายในหนึ่งเดือนค่อยมากล่าวคำโอ้อวดกับข้า" ซ่งเหยียนเฟยเบือนหน้าหนีเล็กน้อย ทำท่าทางไม่สบอารมณ์ แต่ในดวงตากลับแฝงไว้ด้วยความพึงพอใจ

"เจ้าคอยดูเถิด ภายในหนึ่งเดือน ข้าจะต้องทำให้สำเร็จได้อย่างแน่นอน!" เขาพูดด้วยสายตาที่มุ่งมั่นและเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น พร้อมกับหัวเราะเบาๆ ในใจที่เขาสามารถยั่วโทสะซ่งเหยียนเฟยได้บ้างแล้ว

"พวกเราเดินทางกันต่อเถอะ..." อวี้เหวินกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น พร้อมกับก้าวเท้าเข้าใกล้ถิ่นที่อยู่ของพยัคฆ์หางแมงป่องมากยิ่งขึ้น ท่ามกลางไอแดดที่แผดเผาและผืนดินที่แห้งแล้ง

---

ณ ดินแดนภาคกลางของแคว้นตงชิง ที่แห่งนี้เป็นผืนพสุธาอันกว้างใหญ่ซึ่งทอดตัวเป็นที่ราบต่ำ ดุจแผ่นกระจกเรียบล้อรับแสงตะวัน แม้นมิได้สูงตระหง่านดังขุนเขาแห่งแดนเหนือ ทว่าโดยรอบยังมีเทือกเขาน้อยใหญ่ขนาบข้าง ราวเป็นกำแพงธรรมชาติที่ล้อมรอบคุ้มกัน มองดูแล้วเปี่ยมด้วยอำนาจและความเกรียงไกร สายลมพัดพาความเย็นชื้นของแผ่นดินผสานกับกลิ่นอายแห่งป่าเขา ชวนให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่และลี้ลับของสถานที่แห่งนี้

ณ ใจกลางของดินแดนภาคกลาง มีเมืองหนึ่งตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ภายใต้ร่มเงาแห่งขุนเขา เมืองนั้นมีนามว่า "เมืองเฉิน" อันเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจและความรุ่งเรือง ตระกูลเฉิน ซึ่งเป็นเชื้อสายที่สืบทอดกันมายาวนานได้ปกครองที่แห่งนี้มาหลายชั่วอายุคน ทั่วทั้งแผ่นดินต่างยำเกรงและสรรเสริญในอำนาจของพวกเขา เทือกเขาที่โอบล้อมเมืองเฉิน ราวกับมังกรโบราณที่ขดตัวปกปักษ์คุ้มครอง สายหมอกจาง ๆ ลอยเรี่ยอยู่เบื้องบน เติมเต็มบรรยากาศให้ลี้ลับและน่าครั่นคร้ามแก่ผู้มาเยือน

เมืองเฉินมีอาณาเขตปกครองอันกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา รัศมีการปกครองขยายออกไปไกลถึงหนึ่งล้านลี้ หากมิใช่บุคคลที่ได้รับอนุญาตหรือมิได้มีธุระจำเป็น ย่อมมิอาจก้าวเท้าเข้าสู่เขตปกครองของเมืองได้โดยง่าย ประตูทางเข้าเมืองเฉินมีเพียงแห่งเดียว นั่นคือประตูใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า ก่อสร้างขึ้นจากศิลาอันแข็งแกร่ง สูงใหญ่เสียจนหากมนุษย์ยืนอยู่เบื้องหน้าก็ไม่ต่างจากมดปลายตีนช้าง ใต้ซุ้มประตูนั้นมียามสองนายยืนเฝ้าอยู่ตลอดเวลา ดวงตาคมปลาบจับจ้องผู้คนที่เข้าออกทุกขณะ ไม่มีสิ่งใดเล็ดลอดสายตาไปได้โดยง่าย

ชายทั้งสองเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ "หลอมรวมกายา" อันเป็นระดับชั้นที่ยังมิมีลมปราณ ทว่ามีกายาอันแข็งแกร่งเหนือมนุษย์ทั่วไป พวกเขาหาใช่เพียงยามเฝ้าประตูธรรมดา หากแต่เป็นยอดฝีมือที่สามารถข่มขวัญศัตรูได้เพียงแค่ยืนอยู่เฉย ๆ แม้มิได้แผ่ลมปราณออกมา ทว่ารัศมีแห่งพลังอันหนักแน่นยังคงแผ่ซ่านออกจากร่างกาย สร้างความกดดันให้แก่ผู้คนที่ผ่านเข้าออกโดยมิอาจหลีกเลี่ยง เมืองเฉินนั้นหาใช่สถานที่ที่ผู้ใดจะมากระทำการอุกอาจได้โดยง่าย ทุกคนต่างรู้ดีว่า หากผู้ใดล่วงเกินตระกูลเฉิน ย่อมเป็นการรนหาที่ตายอย่างแท้จริง

ด้วยเหตุนี้ คู่กรณีมากมายที่หนีหัวซุกหัวซุนจากการไล่ล่า มักจะมุ่งหน้าสู่เมืองเฉิน เพราะแม้แต่ศัตรูที่โหดเหี้ยมเพียงใด ก็ยังมิกล้าก่อเรื่องในสถานที่แห่งนี้ กระนั้น ความสงบสุขที่ได้รับก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เมื่อถึงคราวที่ต้องออกจากเมือง วันนั้นอาจเป็นวันสุดท้ายของชีวิตที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับคู่แค้น เมืองเฉินจึงได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่ปลอดภัยที่สุดของแคว้นตงชิง ทว่าก็มิใช่ทุกผู้คนจะสามารถพำนักอยู่ได้นาน ผู้ที่มิใช่ประชาชนของเมือง หากมิได้เป็นพ่อค้าหรือมีหนังสือรับรองจากทางราชการ ก็จะได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ครั้นพ้นกำหนด ย่อมต้องออกไปโดยไม่มีข้อยกเว้น

ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลเข้าสู่เมืองเฉิน บ้างมาลำพัง บ้างมากันเป็นหมู่คณะ คาราวานสินค้าขบวนใหญ่เดินทางมาพร้อมเสียงกุบกับของเกือกม้าที่กระทบพื้นดิน ผู้บ่มเพาะพลังจากทั่วแคว้นต่างมุ่งหน้ามายังที่แห่งนี้ หาใช่เพียงเพื่อซื้อหาสิ่งของล้ำค่าหรือวัตถุดิบหายากที่หามิได้จากที่อื่นเท่านั้น แต่ยังมีผู้มากมายที่ใฝ่ฝันจะได้รับใช้ตระกูลเฉิน แม้เพียงได้เป็นยามเฝ้าประตู ก็นับเป็นเกียรติแห่งชีวิตอันเพียงพอให้ตระกูลของตนภาคภูมิสืบไปอีกนับร้อยรุ่น

เหนือท้องนภาของเมืองเฉิน มักปรากฏเงาของผู้บ่มเพาะระดับสูงควบขี่พาหนะวิถีเซียน บ้างเหยียบบนกระบี่บิน บ้างขี่สัตว์อสูรเทพ สายเลือดมังกรและหงส์ บ้างแม้แต่ขี่อสูรในตำนานที่ไม่เคยมีผู้ใดรู้จักมาก่อน สัตว์อสูรแปลกประหลาดปรากฏให้เห็นทั่วท้องฟ้า ดั่งภาพฝันเหนือโลกมนุษย์ ทว่ากฎของเมืองเฉินย่อมเป็นกฎ ไม่ว่าผู้ใดปรากฏตัว ณ ประตูเมือง ไม่ว่ายิ่งใหญ่เพียงใด ต้องปล่อยพาหนะของตนไว้ด้านนอกแล้วเดินเท้าเข้าเมืองอย่างสงบเสงี่ยม มิมีข้อยกเว้นให้แก่ผู้ใด

ณ เมืองเฉิน ผังเมืองถูกออกแบบอย่างวิจิตรบรรจง ดั่งต้องการสะท้อนความรุ่งเรืองของตระกูลเฉิน ถนนทุกสายเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ สะท้อนถึงความปราณีตและการวางแผนที่รอบคอบ สิ่งปลูกสร้างทั้งหลายตั้งตระหง่านอย่างสง่างาม ถูกจัดวางอย่างลงตัว ไร้ซึ่งความยุ่งเหยิงแม้เพียงเล็กน้อย ถนนหลักของเมืองปูด้วยหินแกรนิตชั้นเลิศ มีความแข็งแกร่งยากจะหาใดเทียบ แม้รถม้านับสิบจะวิ่งเรียงกัน ก็ยังเหลือพื้นที่กว้างขวางให้ผู้คนสัญจรไปมาได้อย่างสะดวกสบาย

หากแหงนมองสู่ฟากฟ้า จะพบว่าบรรดาตำหนักสูงตระหง่านและหอคอยงดงามลอยล่องเหนือขุนเขาขนาดย่อม ราวกับแผ่นดินเบื้องบนเต็มไปด้วยความพิศวง ม่านหมอกบางเบาลอยเอื่อยอยู่ทั่วทั้งเมือง น้ำตกไหลรินลงมาตามหน้าผา เสียงน้ำกระทบโขดหินดังคลอเคลียไปกับเสียงนกที่ขับขานแข่งกันอย่างไพเราะ ผู้ใดก็ตามที่ได้มาเยือนล้วนรู้สึกราวกับย่างกรายเข้าสู่แดนสวรรค์ บรรยากาศทั่วทั้งเมืองเฉินอบอวลไปด้วยพลังปราณอันบริสุทธิ์ ก่อให้เกิดการไหลเวียนของพลังฟ้าดินอย่างหนาแน่น เป็นดั่งสวรรค์สำหรับผู้บ่มเพาะ แม้แต่ผู้คนธรรมดายังได้รับประโยชน์จากพลังปราณนี้ ส่งผลให้ร่างกายแข็งแกร่งและอายุยืนยาวกว่าผู้คนทั่วไป

ความอัศจรรย์นี้หาใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เป็นผลลัพธ์ของค่ายกลนภาแปดทิศ ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ที่โอบล้อมปกป้องเมืองเฉินไว้เสมือนกำแพงอันมองไม่เห็น นอกจากเป็นเกราะป้องกันแล้ว ยังสามารถปรับสมดุลพลังแห่งฟ้าดิน เสริมสร้างสภาพแวดล้อมภายในเมืองให้เปี่ยมด้วยพลังเซียนอย่างหาใดเปรียบ เป็นหนึ่งในมรดกอันล้ำค่าของตระกูลเฉินที่สืบทอดกันมาเนิ่นนาน

ใจกลางของเมืองเฉิน คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเฉิน ประตูขนาดมหึมาและกำแพงสูงเสียดฟ้ากั้นขอบเขตไว้อย่างแน่นหนา เผยให้เห็นถึงอำนาจและเกียรติยศที่มิอาจมีผู้ใดล่วงละเมิด หน้าประตูหลัก มียามเฝ้าเวรยืนตระหง่าน ดวงตาคมกริบเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร พวกเขาเป็นยอดฝีมือระดับปราณขั้นสูง สวมชุดเกราะเต็มยศ มือขวากุมดาบยาวไว้แน่น แผ่รังสีอันเย็นเยียบให้ผู้พบเห็นต้องสะท้านเกรงกลัว

ภายในเขตตระกูลเฉินถูกแบ่งออกเป็นขุนเขาหลายแห่ง แต่ละขุนเขาล้วนเป็นที่พำนักของเหล่าผู้อาวุโสและบุคคลสำคัญ โดยเฉพาะขุนเขาที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งเป็นที่ประทับของประมุขตระกูล ที่แห่งนี้สง่างามดั่งแดนสวรรค์ ลอยตัวสูงเหนือผืนดิน รายล้อมไปด้วยแม่น้ำใสสะอาด น้ำตกที่ไหลลงมาจากหน้าผาสูงชันส่งเสียงก้องกังวานไปทั่วปฐพี เหล่าภูตพฤกษาและสัตว์วิหคสยายปีกลอยล่องไปในสายลม เผยถึงความอุดมสมบูรณ์เกินกว่าคำบรรยาย

ย่างก้าวเข้าสู่เขตของตระกูลเฉิน ราวกับหลุดเข้าไปยังอีกโลกหนึ่ง โลกที่เต็มไปด้วยความลึกลับ อำนาจ และความยิ่งใหญ่จนผู้มาเยือนอดมิได้ที่จะเกิดความหวั่นเกรง ภูมิทัศน์ทุกสิ่งทุกอย่างสะท้อนถึงความรุ่งเรืองแห่งยุทธภพ และความแข็งแกร่งของตระกูลเฉินที่ไม่มีวันสั่นคลอน!

ภายในตำหนักสูงสุดของยอดเขาประมุขตระกูลเฉิน เปลวไฟจากตะเกียงทองเหลืองส่องแสงวูบไหว ทอประกายสีอำพันทอดเงาทาบลงบนผนังไม้แกะสลักลวดลายวิจิตร ราตรีบนขุนเขาเงียบสงัด มีเพียงเสียงสายลมพัดผ่านและเสียงใบไม้เสียดสีเป็นจังหวะ

หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่ริมหน้าต่าง นางสวมอาภรณ์ไหมพรมชั้นเลิศสีเขียวมรกต ท่วงท่าสง่างาม แม้กาลเวลาจะทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้า ทว่าความงดงามในวันวานยังคงสะท้อนออกมาอย่างเด่นชัด นางทอดสายตาผ่านบานหน้าต่างไปยังผืนฟ้ากว้าง พลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“เซี่ยงกง ท่านไม่เห็นว่าท่านเข้มงวดกับเยว่เออร์เกินไปหรือ นางถูกกักให้อยู่แต่ในห้องเช่นนี้ จะไม่อึดอัดจนทนไม่ได้หรือ”

ชายชราในอาภรณ์สีแดงเข้มขลิบทองยืนสงบนิ่ง ดวงตาของเขาคมปลาบราวกับดาบโบราณสะท้อนแสงจันทร์ ผมขาวโพลนดุจหิมะบนยอดเขาสูง สัญลักษณ์ดาบทองอันเป็นเครื่องหมายแห่งประมุขตระกูลเฉินเด่นชัดบนแผ่นหลังอันทรงอำนาจ

“หึ เจ้าหมายถึงนางหรือ? เจ้าจะปล่อยให้นางหลบหนีออกไปอีกครั้งรึ?” น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบ ทว่าภายใต้ความเคร่งขรึม กลับแฝงไว้ด้วยความผิดหวังที่ไม่อาจระงับ

หญิงงามถอนหายใจ นางหันกลับมาประจันหน้ากับสามี ดวงตาสะท้อนความกังวลลึกซึ้ง

“เวลาผ่านไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ท่านยังไม่อาจให้อภัยนางได้หรือ”

ประมุขเฉินขมวดคิ้ว เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ใช่เพราะนางหรือที่ทำให้พวกเราเป็นตัวตลกในหมู่ผู้บ่มเพาะทั่วแคว้น นางมีพรสวรรค์สูงส่ง แต่กลับ...”

เขากำมือแน่น ทว่าหลังจากนั้นกลับสะบัดแขนเสื้อคล้ายต้องการสลัดความไม่พอใจออกไป

“ช่างเถิด! หากเจ้ากังวลนัก เช่นนั้นข้าจะยอมให้นางออกมาเดินเล่นบ้าง แต่ต้องจำกัดอยู่แค่บนภูเขานี้เท่านั้น และให้ผู้คนจับตาดูนางอย่างใกล้ชิด มิให้นางคิดหลบหนีอีก” กล่าวจบเขาหันหลังเดินออกจากห้องไป

หญิงงามยืนมองแผ่นหลังของสามีที่ห่างออกไปทุกที นางระบายลมหายใจแผ่วเบา ริมฝีปากขยับพึมพำเบา ๆ

“เซี่ยงกง ต่อให้เยว่เออร์ทำผิดเพียงใด ท่านก็ไม่มีวันลงโทษนางอย่างแท้จริงได้อยู่ดี...เพราะสุดท้ายนางก็คือลูกสาวของท่าน”

แสงแดดยามสายยังคงสาดส่องลงมายังลานกว้างเบื้องล่าง ลมอุ่นเอื่อยพัดพากลีบดอกเหมยให้ร่วงหล่น ลอยลิ่วตามสายลมราวกับบอกเล่าถึงชะตากรรมที่ยังไม่อาจคาดเดาได้ของสตรีนางหนึ่ง นางทอดสายตาไปยังฟากฟ้าไกล ก่อนจะก้าวออกจากห้องอย่างเงียบงัน

---

ณ ขุนเขาอันยิ่งใหญ่ตระหง่านฟ้า กินอาณาเขตกว้างไกลสุดลูกหูลูกตานับร้อยลี้ ผืนป่าดกครึ้มแผ่ปกคลุมไปทั่ว ทุกมวลสรรพชีวิตล้วนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ บนภูผาอันอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ ปรากฏสิ่งปลูกสร้างมากมาย หลากหลายล้วนสะท้อนถึงรากเหง้าของวัฒนธรรมอันรุ่งเรือง

ท่ามกลางแนวไม้สูงตระหง่าน มีบ้านไม้หลังหนึ่งตั้งอยู่โดดเด่น งดงามดั่งสรวงสวรรค์ต้องมนต์ บ้านหลังนี้ถูกออกแบบตามสถาปัตยกรรมจีนโบราณ หลังคาทรงโค้งล้อไปกับสายนภา เสาไม้แกะสลักลวดลายงามวิจิตร รายล้อมด้วยสวนไผ่เขียวขจี ที่เบื้องล่างของเรือนงามแห่งนี้ ธารน้ำตกสายใหญ่ไหลรินไม่ขาดสาย น้ำใสกระเซ็นเป็นฟองขาวดั่งเกล็ดหิมะต้องแสงจันทร์ เบื้องล่างของน้ำตกเป็นวังน้ำลึกกว้าง ฝูงปลาหลากสีสันพากันว่ายเวียนกระโจนขึ้นลงดั่งร่ายรำ รื่นรมย์ยิ่งนัก

หน้าประตูไม้แกะลวดลายสลักทอง บุรุษร่างสูงใหญ่ ยืนตระหง่านเป็นสง่า รูปร่างของเขากำยำดั่งขุนเขา กล้ามเนื้อแน่นหนันประหนึ่งเหล็กกล้า แววตาคมกริบดุจพยัคฆ์ สอดส่องทั่วบริเวณโดยรอบมิให้คลาดสายตา เสียงลมหายใจของเขาสม่ำเสมอ ท่วงท่ายืนองอาจเผยถึงวรยุทธ์อันแข็งแกร่ง ไม่มีสิ่งใดสามารถหลุดรอดจากการจับตามองของเขาไปได้

ภายในตัวเรือน เมื่อก้าวผ่านบานประตูเข้าไป จะพบกับห้องหับมากมายถูกจัดวางอย่างมีระเบียบ ขณะนี้ในห้องหนึ่ง หญิงสาววัยกลางคนรูปโฉมงดงามประหนึ่งเทพธิดากำลังนั่งทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง นางสวมชุดยาวสีขาวบริสุทธิ์ อาภรณ์พลิ้วไหวไปตามสายลมอ่อน นั่งพิงพนักเก้าอี้ไม้แกะสลักอย่างสง่างาม ใบหน้างามหมดจดของนางฉายแววโศกเศร้า บรรยากาศรอบข้างเงียบงัน มีเพียงเสียงธารน้ำไหลรินและเสียงลมกระซิบผ่านไผ่

ใต้เบื้องบัลลังก์ไม้ สาวใช้ผู้หนึ่งคุกเข่านั่งอย่างนอบน้อม เฝ้ารอคำสั่งจากนายหญิงโดยมิกล้าเปล่งวาจาใดๆ นางเพียงเงยหน้ามองเจ้านายของตนด้วยสายตาเคารพ

นางทอดถอนใจแผ่วเบา สายตามองฝูงนกที่บินเป็นแนวแถบไกลสุดขอบฟ้า เฝ้าดูฝูงปลากระโดดโลดเต้นอยู่ในวังน้ำ เสียงสายลมพัดแผ่ว เสียงน้ำตกดังเป็นจังหวะดุจดนตรีจากสรวงสวรรค์ หากแต่จิตใจของนางกลับมิอาจสงบลงได้

'เหวินเอ๋อร์... ท่านพี่... เวลานี้พวกท่านเป็นเช่นไรบ้าง?'

เสียงรำพึงแผ่วเบาราวกระซิบ นางขบเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาเจือแววโศกเศร้า 'แม้ว่าบัดนี้ข้าจะได้กลับมาอยู่ ณ บ้านเกิดแห่งนี้ ที่ซึ่งข้าได้ลืมตาดูโลก เติบใหญ่และเจริญวัยมา หากแต่เหตุใดเล่า ความอบอุ่นในใจจึงมิอาจหวนคืน…'

หยาดน้ำตาใสค่อยๆ เอ่อคลอที่ขอบตาคู่งาม หัวใจของนางปวดร้าวดุจคมมีดกรีดเฉือน

'ข้าคิดถึงพวกเจ้าจับใจ หวังว่าพวกเจ้าจะสุขสบาย ไร้ทุกข์โศก หวังว่าเหวินเอ๋อร์จะเติบโตเป็นเด็กดี ใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดาทั่วไป… อย่าได้เกี่ยวข้องกับโลกแห่งผู้บ่มเพาะอีกเลย'

เมื่อความคิดดำดิ่งลึกลงไป น้ำตาก็เริ่มพร่างพราย สายตาของนางพร่ามัวลง ทว่าท่ามกลางความเศร้าโศกนั้น กำปั้นเล็กของนางกลับค่อยๆ กำแน่นขึ้น

'ข้าจะหาโอกาสกลับไปหาพวกเจ้าให้จงได้…'

นางเช็ดหยาดน้ำตาบนแก้ม ขับไล่ความอ่อนแอออกจากใจ แววตาที่สั่นไหวพลันแปรเปลี่ยนเป็นแน่วแน่ ดุจอัคคีที่ถูกโหมไฟให้ลุกโชน นางมิอาจรอชะตากำหนดอีกต่อไป…

*1ลี้=0.5กม.

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Related chapters

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่9 ราตรีลึก ณ เหมยเหว่ย เงาอำนาจและหมากในกระดาน

    ท่ามกลางเมืองเฉินอันคึกคัก มีร้านอาหารหรูแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในย่านเก่าแก่ของเมือง แม้ขนาดของมันจะมิได้ใหญ่โตโอฬาร ทว่ากลับแฝงไปด้วยร่องรอยของกาลเวลาที่สั่งสมมาเนิ่นนาน ร้านอาหารแห่งนี้มีชื่อว่า "美味" (Měiwèi, ของกินเลิศรส) ซึ่งนับเป็นร้านอาหารที่มีเกียรติและได้รับการยอมรับสูงสุดในเมืองเฉิน เมื่อย่างกรายเข้ามาเบื้องหน้าร้าน ผู้อาจหาญทั้งหลายย่อมต้องหยุดสายตาลงยังป้ายไม้เก่าแก่ที่แขวนอยู่เหนือประตู ป้ายไม้แผ่นนี้ถูกสลักด้วยลายมือวิจิตรงดงาม บ่งบอกถึงชื่อร้านที่สืบทอดมาแต่โบราณ ด้านข้างของร้าน อักษรสลักบนผนังทั้งสองฝั่งยิ่งเสริมความหนักแน่นให้แก่สถานที่แห่งนี้ ทางขวาคือคำว่า "张进鸿" (เตียจิงฮ้ง, เจริญก้าวหน้าเกริกก้องเกรียงไกร) และทางซ้ายคือ "荣耀" (Róngyào, มีเกียรติอันประเสริฐรุ่งโรจน์) หากบุคคลทั่วไปได้พบเห็น คงเข้าใจว่านี่เป็นเพียงคำอวยพรเพื่อเสริมสิริมงคล ทว่าผู้ที่ล่วงรู้เบื้องลึกแห่งร้านเหมยเหว่ยย่อมตระหนักดีว่า นี่มิใช่เพียงถ้อยคำมงคล หากแต่เป็นปณิธานอันหนักแน่นของสถานที่แห่งนี้ อักษรด้านขวาถูกจารึกขึ้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้คนที่แวะเวียนมารับประทานอาหาร ณ ที่แห่งนี้ โดยเฉ

    Last Updated : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่10 ข้าไม่ได้ตั้งใจ!!

    "ช่างเป็นเคล็ดวิชาที่ลึกล้ำเกินหยั่งถึง!" อวี้เหวินอุทานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายราวกับค้นพบขุมทรัพย์ล้ำค่า เขาทอดสายตามองไปยังห้วงความคิด พลางหวนรำลึกถึงเนื้อหาของเคล็ดวิชาอีกครา 'เคล็ดวิชาหมัดอัคนีสังหารนั้น แบ่งออกเป็นสามขอบเขตใหญ่ อันได้แก่ ปฐพี อัคคี และวารี แต่ละขอบเขตยังแบ่งย่อยออกเป็นสามระดับ คือ เเรกเริ่ม กลาง และสูงสุด ในขอบเขตปฐพีนั้น เป็นการวางรากฐานแห่งกระบวนท่าของหมัดอัคนีสังหาร พลังอำนาจแห่งหมัดในระดับเริ่มต้นอยู่ที่สามร้อยจิน ระดับกลางอยู่ที่หกร้อยจิน และระดับสูงสุดอยู่ที่เก้าร้อยจิน' ภาพกระบวนท่าอันสลับซับซ้อนเริ่มฉายชัดในมโนสำนึกของอวี้เหวิน ราวกับมีผู้มาสาธิตอยู่ตรงหน้า เขาสังเกตทุกการเคลื่อนไหว จดจำทุกรายละเอียด เมื่อเริ่มเข้าใจในแก่นแห่งวิชาแล้ว อวี้เหวินจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เริ่มต้นร่ายรำตามภาพที่ปรากฏในห้วงนิมิต ฝ่ามือและหมัดถูกส่งออกไปในอากาศอย่างหนักแน่น สลับหมุนเวียนราวกับพายุโหมกระหน่ำ เท้าก้าวไปตามจังหวะ ท่วงท่าการยืนมั่นคงดุจขุนเขา ทุกอิริยาบถที่แสดงออกมาล้วนสง่างามและหนักแน่นราวกับผืนปฐพีอันกว้างใหญ่ ในระหว่างที่ฝึกฝนเพลงหมัด อวี้เหวินมิไ

    Last Updated : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่11 "สองบุรุษ" หนึ่งหิน...วุ่นวายยกใหญ่!

    ยามเมื่อสุริยันเยื้องย่างลงจากนภา โลกธาตุพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มชาด แสงสุดท้ายสาดส่องทาบทาทิวเมฆราวกับผ้าไหมปักลาย เด็กหนุ่มนามว่าอวี้เหวินก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ทอดฝีเท้าหนักแน่นแต่มิได้เร่งรีบ จุดหมายปลายทางคือบ้านหลังน้อย แสงไฟสลัวริบหรี่ลอดออกมาจากบานหน้าต่างไม้ในอีกไม่กี่ก้าวเบื้องหน้า ความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักตลอดวันเกาะกุมหัวใจ ทว่าเมื่อย่างเท้าเข้าสู่เรือน ได้รับการต้อนรับอันอบอุ่นและการดูแลเอาใจใส่จากผู้เป็นบิดา ความอ่อนล้าทั้งมวลก็มลายหายสิ้นดุจไอหมอกยามรุ่งอรุณ หลังจากอวี้เหวินและบิดาได้ร่วมโต๊ะทานอาหารค่ำ พูดคุยสารทุกข์สุกดิบจนกระทั่งราตรีเริ่มย่างเข้าสู่ยามดึกสงัด อวี้เหวินจึงนั่งลงขัดสมาธิ สงบจิตใจปรับลมปราณอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะล้มตัวลงนอน ณ ห้วงความมืดมิดภายในเม็ดหินอัญมณีสีดำสนิทที่ห้อยอยู่บนคอของอวี้เหวิน ปรากฏร่างหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างอ้อยอิ่ง “สามสิบสี่… สามสิบห้า… เวลาล่วงเลยมาเกือบเดือน ข้ากลับเคลื่อนกายมาได้เพียงสามสิบห้าก้าวเท่านั้น เบื้องหน้าจักมีสิ่งใดซ่อนอยู่อีกเล่า?” ซ่งเหยียนรำพึงรำพันกับตนเอง พลางหายใจหอบถี่ราวกับคนจมน้ำ เขานั่งลง หลับตาลงเพื่อ

    Last Updated : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่12 ขบวนสินค้าตระกูลหวัง

    เปลือกตาที่หนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยตะกั่วค่อยๆ เปิดขึ้น เผยให้เห็นดวงตาที่ยังคงพร่าเลือนและง่วงงุน ร่างกายที่อ่อนล้าประหนึ่งถูกบั่นทอนเรี่ยวแรงของอวี้เหวินค่อยๆ ขยับเขยื้อนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะพยุงกายลุกขึ้นนั่งบนเตียงไม้เนื้อดี มือเรียวลูบไล้ใบหน้าของตนเองเบาๆ เพื่อขับไล่ความง่วงงุนให้จางหายไป หลังจากเหตุการณ์พลิกผันเมื่อสามราตรีล่วงผ่าน อาการบาดเจ็บของอวี้เหวินก็สมานหายราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รุ่งอรุณแห่งวันนี้ เขาตื่นขึ้นด้วยความสดชื่น เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไปฝึกฝนวิชาอีกครั้ง อวี้เหวินเริ่มบริหารร่างกายด้วยท่วงท่าที่คุ้นเคยเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม ก่อนจะจัดเตรียมสัมภาระต่างๆ สำหรับการเดินทาง ในขณะที่เขากำลังตรวจตราสิ่งของภายในห่อผ้าอยู่นั้น เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นในห้วงความคิด "วันนี้เป็นวันที่จะต้องบุกเข้าไปในเขตแดนของพยัคฆ์หางแมงป่อง ซึ่งด้วยพละกำลังของเจ้าในยามนี้ ยังมิอาจบุกเข้าไปโดยลำพังได้ จำเป็นต้องมีสิ่งป้องกันไอความร้อนอันร้อนระอุจากรังของพวกมัน" อวี้เหวินแสดงสีหน้าเข้าใจ ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามด้วยความสงสัย "อย่าว่าแต่สิ่งใดใช้ป้องกันเลย แม้แต่ชื่อของมัน ข้

    Last Updated : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่13 คุณสมบัติของผู้ยิ่งใหญ่

    "ฟ่อๆๆ!" เสียงขู่คำรามดุดันราวอสูรร้ายคำรามก้องกังวาน พร้อมกับร่างของอสรพิษลายพาดกลอนตัวเขื่อง พุ่งทะยานจากเงามืดแห่งโขดหินด้านหลัง หมายจะฉกกัดอวี้เหวินด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาด เขี้ยวแหลมคมสีเหลืองอำพันเผยให้เห็นถึงพิษร้ายที่พร้อมจะคร่าชีวิตในพริบตา"ฉัวะ!" อวี้เหวินที่ประสาทสัมผัสว่องไวดุจเหยี่ยวล่าเหยื่อ พลิกกายหลบหลีกได้อย่างหวุดหวิด พร้อมกับเหวี่ยงมือขวาออกไปราวกับแส้เหล็ก ฟาดเข้าที่กลางลำตัวของอสรพิษอย่างแม่นยำ เสียงเนื้อแตกดังสนั่น ร่างกายของงูร้ายพลันแหลกเหลว เลือดสีแดงฉานกระเซ็นเปรอะเปื้อนไปทั่วบริเวณ ราวกับพู่กันยักษ์สาดสีลงบนผืนดิน อวี้เหวินชักมือกลับ ดวงตาคมกริบจ้องมองซากอสรพิษด้วยความเหนื่อยล้า"นี่ก็เป็นตัวที่สามสิบแล้วกระมัง มิหนำซ้ำพลังของพวกมันยังเพิ่มพูนขึ้นอีกด้วย" เขาเอ่ยพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลอาบแก้ม ดวงหน้าหล่อเหลาปรากฏร่องรอยความอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้น"เพียงเท่านี้เจ้าก็หอบเสียแล้วหรือ? แค่งูหางแมงป่องตัวเล็กกระจ้อยร่อยพวกนี้" เสียงทุ้มนุ่มของบุรุษผู้หนึ่งดังกระซิบข้างใบหูของอวี้เหวิน ราวกับภูตพรายปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า พร้อมกับร

    Last Updated : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่14 พยัคฆ์หางเเมงป่อง

    ตึง! เงาร่างนั้นโผล่ออกมาท่ามกลางอากาศอันร้อนระอุ มันเป็นเงาร่างใหญ่ทะมึน แผ่กลิ่นอายอันร้อนแรงทั่วบริเวณ ขนทั่วกายแดงฉานดั่งเปลวเพลิง รูปร่างเป็นพยัคฆ์ล่ำสัน ทว่าสิ่งที่น่าสะพรึงยิ่งกว่ากลับเป็นหางแหลมคมที่คล้ายหางแมงป่อง สั่นไหวอยู่เบื้องหลัง เพียงแค่จ้องมอง ก็ทำให้ผู้พบเห็นต้องหวาดหวั่นจนหัวใจสั่นสะท้านทันทีที่มันเห็นซ่งเหยียนเฟยอยู่เบื้องหน้า ดวงตาแดงฉานพลันฉายแววดุร้าย มันอ้าปากกว้างส่งเสียงคำรามก้อง 'กรรร!' เสียงสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ ราวกับประกาศถึงความโกรธเกรี้ยวของมัน ดวงตาอำมหิตจับจ้องบุรุษร่างเล็กเบื้องหน้าอย่างไม่ลดละ มันเห็นเขาเป็นผู้บุกรุกที่ล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของมัน โดยไม่รอช้า มันยกอุ้งเท้าตบลงหนักๆ หนึ่งครั้งก่อนกระโจนเข้าใส่ซ่งเหยียนเฟยอย่างดุดัน!ซ่งเหยียนเฟยมองเห็นร่างอสูรตรงหน้า นัยน์ตาพลันทอประกายเย็นเยียบ เขาจ้องมันเขม็งก่อนกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่น "พยัคฆ์หางแมงป่อง!"ไม่รอช้า มือข้างหนึ่งพลันยื่นออก ก่อนสะบัดเบาๆ ทว่ากลับทรงพลัง แสงสีแดงเลือดพลันปรากฏขึ้น วาบผ่านอากาศด้วยความเร็วเหนือคาด เพียงพริบตาเดียว แสงนั้นก็ทะลุผ่านร่างอสูร ราวกับคมมีดอันเฉียบคมแล่

    Last Updated : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่15 เเหวนมิติ

    ยามรุ่งอรุณสาดส่องแสงทองอ่อนๆ ลงบนพื้นดิน พร้อมกับเสียงนกร้องเบาๆ ในยามเช้า อวี้เหวินรับประทานอาหารเช้าร่วมกับบิดาเสร็จสิ้น ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและแรงปรารถนาในการเดินทาง ครั้งนี้เขาตั้งใจเร่งมุ่งหน้าไปยังร้านค้าของชายหนุ่มนามหวังหลินล้วนเกิดจากที่อวี้เหวินเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของภาระที่ต้องพกพาไว้กับตัวเสมอ กระเป๋าที่เก็บของส่วนตัวกลายเป็นอุปสรรคในชีวิตประจำวัน เขาต้องพกพาสิ่งของมากมายไม่ว่าจะเป็นเเก่นพลังของอสูร สมุนไพร หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการฝึกฝน และทุกครั้งที่ต้องออกเดินทาง การบรรทุกสิ่งเหล่านั้นไปด้วยก็ย่อมสร้างความลำบากให้แก่เขา ความหนักหน่วงของสัมภาระทำให้เขาหยุดคิดและตระหนักถึงความจำเป็นของการมีที่เก็บของที่สะดวกและปลอดภัย จึงเป็นเหตุให้เขาเริ่มค้นหาวิธีการที่จะทำให้การเดินทางของเขาสะดวกสบายยิ่งขึ้น จึงได้ไปปรึกษาซ่งเหยียนเฟย ผู้ซึ่งเคยมีประสบการณ์ในวงการปราณยุทธ์ จนได้รู้จักกับสิ่งมหัศจรรย์หนึ่ง ซึ่งเป็นที่เก็บของที่ไม่ธรรมดา มันคือ "แหวนมิติ" ที่สามารถบรรจุสิ่งของไว้ได้ในช่องว่างของมิติ เหมือนกับการมีห้องส่วนตัวอยู่ท่ามกลางอากาศโดยที่ไม่ต้องพึ่

    Last Updated : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่16 ดาบทลายฟ้าปรากฎตัว!

    ทันใดนั้น เสียงทุ้มลึกลับดังก้องขึ้นในห้วงสำนึกของเขา เป็นเสียงของซ่งเหยียนเฟยที่อยู่ในสร้อยคอ “อวี้เหวิน เจ้าสังเกตหรือไม่? พยัคฆ์หางแมงป่องพวกนี้ผิดแผกจากธรรมชาติเดิมของมัน สติปัญญาของพวกมันสูงกว่าที่ควรเป็น อีกทั้งสถานที่แห่งนี้ราวกับถูกแยกออกจากโลกภายนอก… บางที ราชันของพวกมัน อาจมิได้อ่อนแอเช่นที่เจ้าคิด” อวี้เหวินขมวดคิ้วแน่น ในใจพลันรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล แต่ยังไม่ทันได้ขบคิดมากกว่านี้ ซ่งเหยียนเฟยก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าบาดเจ็บหนัก ข้าจะช่วยจัดการพวกมันเอง” ทันใดนั้น ปราณสีแดงฉานดุจโลหิตพลุ่งพล่านออกมาจากสร้อยคอ มันแผ่กระจายไปทั่วถ้ำ ประหนึ่งดาบเทพสังหารที่พร้อมจะเชือดเฉือนทุกสิ่งให้แหลกสลาย พริบตาเดียว ปราณคมกริบดั่งคมมีดนับพันเส้นพุ่งออกไป เสียงแหวกอากาศดังสนั่น ฉัวะ! ร่างของพยัคฆ์หางแมงป่องระดับหลอมกายาที่ซุ่มมองอยู่ถูกปราณดาบสีโลหิตเฉือนขาดสะบั้น แขนขาขาดกระเด็น เลือดดำพุ่งกระจายราวกับสายฝนที่โรยตัวลงสู่พื้น เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้องทั่วถ้ำ ก่อนร่างมหึมาจะระเบิดออกเป็นเศษเนื้อกระจายไปทั่วบริเวณ กลิ่นคาวคลุ้งไปทั่ว อวี้เหวินเพ่งมองภาพนั้น พลันรู้สึกถึงแรง

    Last Updated : 2025-04-20

Latest chapter

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่26 ทลายพันจินใต้สายตาเย้ยหยัน มังกรซ่อนเล็บรอวันผงาด

    อวี้เหวิน... เสื้อผ้าบนกายเรียบง่าย ท่าทางไม่สะดุดตาเมื่อเทียบกับอัจฉริยะอื่น ๆ ที่สวมอาภรณ์หรูหรา หากดวงตาของเขา กลับเปล่งแสงเฉียบคมเยี่ยงดาบลับที่ซุกซ่อนในฝัก ใบหน้าสงบเฉย นิ่งราวแผ่นน้ำในยามราตรี แต่ในความนิ่งนั้นกลับมีบางสิ่งซ่อนอยู่... ร้อนแรงและหนักหน่วงดุจอัสนีสายลับที่รอวันฟาดฟันเขาก้าวเดินไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าแท่นศิลาสายวัดพลังสายลมเย็นโชยเอื่อยพัดชายเสื้อของเขาเบา ๆ คล้ายจะรับรู้ถึงแรงอารมณ์อันแน่นขนัดของเขาในยามนี้...ไม่มีเสียง ไม่มีคำพูด ไม่มีท่าทีแสดงความฮึกเหิมมีเพียงความสงบก่อนพายุอวี้เหวินสูดลมหายใจเข้าช้า ๆในใจกลับดังก้องด้วยเสียงของซ่งเหยียนเฟยจากมิติสร้อยคอ“เจ้าจะเปิดเผยพลังจริงหรือไม่?”เด็กหนุ่มหลับตาลงครู่หนึ่ง ดวงจิตสงบนิ่ง ก่อนพึมพำในใจ...“ไม่จำเป็น...ในยามนี้”“เพียงพอแค่ให้โลกรู้ว่า ข้า มิใช่คนที่ควรดูแคลน”ฝ่ามือของเขากำแน่น พลังหมุนเวียนจากส่วนลึกในกาย ปะทุแผ่วเบาแต่ทรงอานุภาพ เคล็ดวิชา หมัดอัคนีสังหาร เริ่มไหลเวียนผ่านเส้นเอ็นเส้นเลือดอย่างกลมกลืน ราวกับเพลิงที่ถูกกรั่นกลั่นจากขุมนรกแม้เป็นเพียง ขั้นกลาง หากภายใต้ร่างกายที่ผ่านการฝึกฝนด้วย เตาอ

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่25 รุ่งอรุณแห่งการพิสูจน์ มังกรในเงามืดเตรียมทะยานฟ้า

    ในยามที่มิติภายในสร้อยคอผสานรวมกับผลึกทมิฬชิ้นใหม่ ความเปลี่ยนแปลงบางสิ่งก็เริ่มเกิดขึ้นอย่างแผ่วเบา หากแต่ลึกซึ้งจนสัมผัสได้ถึงแก่นแท้ของพลัง เสี้ยวหนึ่งของมิตินั้นเริ่มสั่นสะเทือนอย่างเงียบงัน ราวกับม่านหมอกอันดำสนิทที่เคยปกคลุมทั่วทุกทิศ เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นกระแสพลังทมิฬอันหนาแน่นและบริสุทธิ์กว่าก่อนหน้า ซ่งเหยียนเฟย เหินร่างจิ๋วอันงดงามประหนึ่งตุ๊กตาเทพหยก ก้าวเข้าสู่ความมืดมิดอันไร้จุดจบในมิติแห่งนี้ด้วยสีหน้าครุ่นคิดลึกซึ้ง ร่างของเขาแม้จะเล็กจ้อยดั่งนกน้อยในเงามังกร แต่ความเย่อหยิ่งสง่าของเผ่าทมิฬหาได้พร่ามัวลงไม่ ผ้าคลุมสีชาดโบกสะบัดพลิ้ว ท่ามกลางพลังปราณสีดำที่วนเวียนดั่งพายุใต้บาดาล “ความมืด… หนาขึ้นกว่าคราแรกเสียอีก” เสียงนุ่มลึกของเขาเอื้อนเอ่ยในความเงียบ เขายื่นฝ่ามือเรียวเล็กออกไป พลังทมิฬที่ปะทุอยู่อย่างแผ่วเบารอบตัวไหลซึมเข้าสู่ผิวเนื้อ ก่อเกิดประกายเรืองรองสีดำวาววับที่ชั้นผิว พลังอันน่าพิศวงนี้ไม่เพียงโอบอุ้มจิตใจ หากยังปลุกเร้ากายเนื้อให้เร่งฟื้นฟูราวปาฏิหาริย์ “เพียงแค่ชิ้นเดียว… มิติแห่งนี้กลับมีการตอบสนองถึงเพียงนี้?” ดวงเนตรเขม็งมองไปยังความเวิ้งว้างเบื้องหน้

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่24 พบพานหินทมิฬ ปริศนาสร้อยคอ

    สายลมยามบ่ายแห่งเมืองซูไห่พัดโบกเอื่อยเบา หอบเอากลิ่นคาวของทะเลสาบ ผสมกับกลิ่นหอมจางๆ ของโอสถสมุนไพรที่ลอยอวลอยู่ทั่วไปในตลาดกลางเมือง ผู้คนหลากชนชั้นเดินขวักไขว่ ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าแม่ขาย ผู้ฝึกยุทธ์ในชุดยาวแสดงยศสำนัก หรือแม้แต่ผู้คนธรรมดาที่ถือถุงห่อข้าวปลาเดินสัญจรไปมา บางคนกำลังต่อรองราคาสินค้าอย่างออกรส บ้างนั่งพักหลบร้อนใต้ร่มผ้าปูตลาดแห่งนี้อึกทึกทว่าไม่ไร้ระเบียบ บรรยากาศกลับแฝงไปด้วยเสน่ห์เฉพาะตัวที่หาไม่ได้จากหมู่บ้านเล็กอย่างเทียนฟู… อวี้เหวินเดินทอดสายตาไปรอบด้าน ความรู้สึกคล้ายอยู่ในโลกอีกใบที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด“นี่แหละเมืองซูไห่ของแท้…” อู๋ซวนยิ้มพลางกวักมือเรียก “ทางนั้นคือร้านขายอาวุธ ส่วนฝั่งโน้นมีโรงน้ำชาใหญ่ ท่านรู้ไหมว่าชั้นบนมีนักเล่านิทานระดับตำนานประจำทุกค่ำคืนเลย!”อวี้เหวินพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้กล่าวอันใด แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความสนใจสายตาทั้งสองพลันสะดุดเข้ากับร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางถนนรอง มุงด้วยหลังคาผ้าสีซีดดูธรรมดายิ่งนัก หากแต่ตั้งเรียงรายไว้ด้วย “ก้อนหิน” หลากขนาด สีสันไม่งดงาม ไม่อร่ามเรือง หากแต่แฝงกลิ่นอายเร้นลับ

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่23 พบสหายใหม่ ณ นครหมอกเงิน

    รถม้าค่อยๆ แล่นผ่านถนนหินเรียบของเมืองซูไห่ บรรยากาศโดยรอบยังคงอบอวลด้วยกลิ่นสมุนไพรและไออุ่นของแสงแดดยามเที่ยง ใต้หลังคาโค้งของเรือนร้านค้า ผู้คนยังเดินขวักไขว่ด้วยจังหวะเร่งรีบที่แฝงด้วยจุดมุ่งหมาย เด็กเร่ขายข่าววิ่งสวนทางกับแม่ค้าขายโอสถ เงาของรถม้าคันหนึ่งทอดยาวลงบนพื้นหินราวกับบันทึกเส้นทางแห่งวาสนา ภายในรถ อวี้หลานยกม่านผ้าเปิดออกเล็กน้อย มองผ่านความพลุกพล่านไปยังตรอกซอยเบื้องหน้า ดวงตาเขาฉายแววเงียบขรึมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหันไปกล่าวกับชายชราที่ยังกุมบังเหียนอยู่ “ผู้อาวุโสหลี่ ที่ตรงนั้นคงจะพอแล้ว... พวกข้าสองพ่อลูกจะขอลงตรงนี้เถิด มิเหมาะนักที่จะรบกวนพวกท่านไปมากกว่านี้” ชายชราหันขวับกลับมา คิ้วขมวดเล็กน้อย “เหตุใดต้องรีบร้อนนัก น้องอวี้ เราเองก็เหมือนญาติมิตรกันแล้ว ไหนเลยจะเรียกว่ารบกวนได้?” อวี้หลานยิ้มบาง สีหน้าสงบ “ท่านผู้อาวุโสเป็นผู้มีคุณ ข้ากับบุตรชายเพียงได้รับเมตตา ชายชาติบัณฑิตควรรู้จักถนอมวาสนาให้เหมาะสม นับจากนี้เส้นทางของพวกข้าคงแตกต่างจากท่านแล้ว... ที่ตรงนี้เพียงพอ ขอบคุณท่านเป็นอย่างยิ่ง” ชายชราเงียบงันไปครู่ ก่อนถอนหายใจเบาๆ “เช่นนั้นก็แล้วแต่...

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่22 เมืองซูไห่ ดินเเดนเเห่งโอสถ

    กลางป่าเงียบสงบที่บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสนามรบ เสียงฟาดปะทะและเสียงร้องคำรามแทรกซึมไปทั่วทุกอณูอากาศ ดั่งเสียงของสายฟ้าที่ฟาดลงกลางพงหญ้า เสียงแห่งการต่อสู้บังเกิดขึ้นพร้อมกับแสงจันทร์ที่ส่องลงมาอย่างเวทนา หัวหน้าโจรซึ่งบัดนี้ลุกขึ้นจากพื้นได้แล้ว ดวงตาเปี่ยมด้วยเพลิงโทสะ ร่างพุ่งเข้าใส่ชายชราผู้สงบเย็น แต่กลับแฝงด้วยความน่าเกรงขาม “แก...เจ้าคนเฒ่า! กล้าดีอย่างไรถึงกล้าซัดข้าก่อน!” “เจ้าต่างหากที่กล้าเสียยิ่งกว่า ข้าผู้มีอายุคราวปู่เจ้ายังไม่อาจปล่อยให้หยาบคายได้ตามอำเภอใจ” ชายชรากล่าวเสียงเรียบ ดวงตาทอประกายสงบนิ่ง แต่ฝ่ามือทั้งสองกลับกางออกอย่างมั่นคง ยืนตรึงพื้นดินประหนึ่งเสาเข็มแห่งขุนเขา พริบตานั้น สองร่างพุ่งเข้าหากัน เสียงหมัดกระทบหมัดดัง “ปัง!” ลั่นสนั่น แรงกระแทกแผ่สะเทือนไปทั่ว รถม้าไหววูบเล็กน้อย เศษใบไม้ปลิวว่อนในอากาศ ในอีกฟากหนึ่ง อวี้เหวินซัดหมัดอัคนีสังหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า ร่างของศัตรูแต่ละคนปลิวกระเด็นราวใบไม้หลุดจากกิ่ง ใบหน้าของเด็กหนุ่มเปื้อนเลือดของศัตรู แต่แววตานั้นยังคงแน่วแน่ไม่คลอนแคลน ขณะนั้นเอง พ่อของเขากำลังจะวิ่งเข้ามาช่วยเหลือด้วยมือเปล่า “ท่านพ่อ! ท่า

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่21 ใต้แสงจันทร์กลางป่า เพลิงเเห่งการต่อสู้พลันลุกโชน

    แสงแดดยามสายสาดส่องลอดผ่านช่องว่างของกิ่งไม้ ทาบเงาไม้เป็นลายทออยู่บนพื้นดินที่แห้งกรัง เสียงนกร้องก้องอยู่ไกลลิบคล้ายกำลังร่ำลา และลมยามเช้าที่แผ่วเบานั้นก็เย็นเยียบกว่าทุกวัน... หรือบางทีอวี้เหวินอาจเพียงรู้สึกไปเองวันนี้ วันที่เขาต้องก้าวเท้าออกจากหมู่บ้านแห่งนี้... ได้มาถึงแล้วเขายืนอยู่หน้าบ้านไม้เก่าหลังคุ้นเคย ใบหน้าเรียบนิ่ง แววตาค่อย ๆ กวาดมองจากหลังคาที่ยังมีรอยซ่อมเก่า ๆ ฝีมือของบิดา ลงมาจนถึงชานไม้ที่เขาเคยวิ่งเล่นสมัยเด็ก และหยุดอยู่ที่บานประตูที่เขาเคยเปิดปิดนับครั้งไม่ถ้วนในแต่ละวันทุกสิ่งล้วนเงียบสงบเกินไป“ต่อจากนี้... บ้านหลังนี้ คงเงียบเหงาไร้ผู้คนแล้วกระมัง”เสียงพึมพำของเขาเบาจนแทบถูกกลืนไปกับสายลม ทว่าในใจกลับหนักอึ้งยิ่งนักตั้งแต่ลืมตาดูโลกเมื่อสิบห้าปีก่อน เขาไม่เคยก้าวออกไปไกลกว่าภูเขาหลังหมู่บ้านเลย บ้านหลังน้อยหลังนี้คือทั้งโลกของเขา เป็นที่ที่เขาเรียนรู้จักความอบอุ่น ความทุกข์ และความหวังขณะที่สายตายังทอดมองบ้านหลังนั้น อวี้เหวินพลันส่ายหัวเบา ๆ อย่างรำคาญตัวเอง ราวกับจะสะบัดความอาลัยออกจากใจ ก่อนจะละสายตาจากภาพตรงหน้า แล้วถอนหายใจออกมาอย่างเงียบงัน“

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่20 บทเริ่มเเห่งเพลิงล้างเเค้น!

    ชายชราสบถในใจ ‘ข้าจะไม่ปล่อยให้ศึกนี้ยืดเยื้อต่อไปอีก!’เขาสะบัดแขนเสื้อ มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปหยิบของบางสิ่ง มันคือ “ยันต์มารสังหาร” อักขระโบราณที่สลักไว้ด้วยโลหิตของจอมยุทธ์ยุคบรรพกาล พลังมารเข้มข้นหมุนวนอยู่ภายใน พอปรากฏออกมาก็ส่งกลิ่นอายมรณะจนพืชพรรณรอบข้างเหี่ยวเฉาในพริบตาชายชรากระตุกยิ้มเย็น แรงกดดันจากพลังมารพลันทวีคูณ เขาโยนยันต์ออกไปกลางอากาศ ก่อนจะร่ายอาคมควบคุม มันเปล่งแสงสีดำสนิท ก่อนจะพุ่งทะลวงเข้าใส่อสรพิษยักษ์“จงสลายไปซะ!” เขากล่าวเสียงก้องยันต์มารสังหารพุ่งเข้าใส่ร่างของอสรพิษยักษ์โดยตรง พลังมหาศาลปะทุขึ้นเป็นระลอก เงามารมหึมาปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้า กดทับร่างของมันไว้แน่น ก่อนที่เส้นแสงสีดำจะฉีกกระชากพลังอสูรของมันจนแหลกสลายอสรพิษยักษ์กรีดร้องเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างของมันจะค่อย ๆ แหลกสลายไปกับสายลม เหลือเพียงเถ้าถ่านสีดำล่องลอยอยู่กลางอากาศชายชราหอบหายใจ ดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นชา เขาเก็บยันต์ที่เหลือกลับเข้าไป ก่อนจะปรายตามองอวี้เหวินที่ซุ่มอยู่ห่าง ๆ ‘เจ้าหนู ข้ารู้นะว่าเจ้าคิดอะไรอยู่…’ชายชราจ้องมองซากของอสรพิษยักษ์ที่แน่นิ่งอยู่ตรงหน้า ดวงตาของเขาทอประกายเย

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่19 เผชิญหน้าปีศาจชราเเห่งเงามาร

    ภายในเรือนรับรองแขกแห่งหมู่บ้านเทียนฟู บรรยากาศในห้องเจรจาคลุ้งไปด้วยกลิ่นชาอ่อน ๆ ควันจางลอยขึ้นจากกาน้ำชาเคลือบเงา หวังหยวนนั่งอยู่ ณ ที่นั่งอันสูงศักดิ์ เบื้องหน้าคือหัวหน้าหมู่บ้านเทียนฟู ผู้มีท่าทางสุขุมแต่แววตาเต็มไปด้วยความกังวล "ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าได้ยินมาว่าเมื่อประมาณหนึ่งถึงสองเดือนก่อน มีแสงประหลาดดั่งดาวตกพุ่งลงมายังเขตเขาใกล้หมู่บ้านแห่งนี้ มิทราบว่ามีผู้ใดเห็นสิ่งนั้นอย่างชัดเจนบ้างหรือไม่" หวังหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยความหมายล้ำลึก หัวหน้าหมู่บ้านขยับกาน้ำชาช้า ๆ ก่อนถอนหายใจเบา ๆ "เรื่องนี้... ข้าเองก็ได้ยินมาอยู่บ้าง มีชาวบ้านบางคนอ้างว่าเห็นประกายสีแดงฉาน ตกลงยังหุบเขา แต่...หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปสำรวจด้วยตนเอง" เขาเว้นระยะไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงเบา "ท่านเองก็มาที่นี่เพราะเหตุนี้ใช่หรือไม่?" หวังหยวนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พลางจิบชาตรงหน้า สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง แต่ภายในดวงตา ทอแววพินิจครุ่นคิดอยู่ลึก ๆ "ในเมื่อมีดาวตกปริศนา ตกลงในเขตนี้ แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปตรวจสอบเลยแม้แต่ผู้เดียว? หรือว่า... มีบางสิ่งที่มิอาจเปิดเผย

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่18 ได้เเหวนมิติมาครอบครอง

    ผ่านไปหลายชั่วยาม ท่ามกลางสายลมราตรีอันเงียบสงัด เงาหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือปากปล่องลาวา ลมวูบหนึ่งพัดไอร้อนให้กระจายออก เผยให้เห็นร่างของชายชราในอาภรณ์ดำหม่น เส้นผมสีเทาแซมขาวปล่อยยาวถึงกลางหลัง ดวงตาเรียวเล็กเป็นประกายเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มมุมปากฉายความเจ้าแผนการอันลึกล้ำ ชายชราผู้นี้ดูคล้ายเร่ร่อนไร้หลักแหล่ง แต่ทุกอากัปกิริยากลับเต็มไปด้วยพลังอันลึกล้ำ และแฝงกลิ่นอายของพรรคมารอย่างเด่นชัด เขากวาดตามองร่องรอยพลังที่ยังคงหลงเหลืออยู่ บ่อลาวาที่ยังคงเดือดพล่าน และเศษซากของแรงระเบิด ก่อนจะยกมือขึ้นลูบเคราของตนพลางถอนหายใจเบา ๆ “มาสายไปงั้นรึ?” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเสียดาย ราวกับพลาดโอกาสสำคัญไปเสียแล้ว เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าแล้วเปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นเรียบเฉย แต่ในดวงตากลับฉายแววครุ่นคิด คำนวณกลอุบายภายในใจ “ภูเขาแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านแห่งหนึ่ง… บางทีที่นั่นอาจมีเบาะแสที่ข้าต้องการ” เขาพึมพำกับตนเอง ก่อนจะกระตุกยิ้มบาง ๆ อย่างมีเลศนัย แล้วในชั่วพริบตา ร่างของเขาก็พลันเลือนหายไปพร้อมกับสายลม ทิ้งไว้เพียงกลิ่นอายแห่งความลึกลับ และแรงลมที่พัดกระพือรอบพื้นที่นั้น ---

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status