ท่ามกลางเมืองเฉินอันคึกคัก มีร้านอาหารหรูแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในย่านเก่าแก่ของเมือง แม้ขนาดของมันจะมิได้ใหญ่โตโอฬาร ทว่ากลับแฝงไปด้วยร่องรอยของกาลเวลาที่สั่งสมมาเนิ่นนาน ร้านอาหารแห่งนี้มีชื่อว่า "美味" (Měiwèi, ของกินเลิศรส) ซึ่งนับเป็นร้านอาหารที่มีเกียรติและได้รับการยอมรับสูงสุดในเมืองเฉิน
เมื่อย่างกรายเข้ามาเบื้องหน้าร้าน ผู้อาจหาญทั้งหลายย่อมต้องหยุดสายตาลงยังป้ายไม้เก่าแก่ที่แขวนอยู่เหนือประตู ป้ายไม้แผ่นนี้ถูกสลักด้วยลายมือวิจิตรงดงาม บ่งบอกถึงชื่อร้านที่สืบทอดมาแต่โบราณ ด้านข้างของร้าน อักษรสลักบนผนังทั้งสองฝั่งยิ่งเสริมความหนักแน่นให้แก่สถานที่แห่งนี้ ทางขวาคือคำว่า "张进鸿" (เตียจิงฮ้ง, เจริญก้าวหน้าเกริกก้องเกรียงไกร) และทางซ้ายคือ "荣耀" (Róngyào, มีเกียรติอันประเสริฐรุ่งโรจน์) หากบุคคลทั่วไปได้พบเห็น คงเข้าใจว่านี่เป็นเพียงคำอวยพรเพื่อเสริมสิริมงคล ทว่าผู้ที่ล่วงรู้เบื้องลึกแห่งร้านเหมยเหว่ยย่อมตระหนักดีว่า นี่มิใช่เพียงถ้อยคำมงคล หากแต่เป็นปณิธานอันหนักแน่นของสถานที่แห่งนี้ อักษรด้านขวาถูกจารึกขึ้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้คนที่แวะเวียนมารับประทานอาหาร ณ ที่แห่งนี้ โดยเฉพาะบรรดาวีรบุรุษผู้กล้าทั้งหลาย ซึ่งครั้งหนึ่งอาจเคยเป็นเพียงสามัญชนที่ได้รับอาหารและที่พักพิงจากร้านนี้ กระทั่งสามารถยืนหยัดฝ่าฟันอุปสรรคจนได้กลายเป็นผู้กอบกู้บ้านเมืองและปวงประชา ส่วนอักษรด้านซ้าย ที่หมายถึง 'เกียรติอันประเสริฐ' ก็คือสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจที่ร้านเหมยเหว่ยมีต่อการอุทิศตน นับแต่อดีตกาล ร้านแห่งนี้มิใช่เพียงแค่สถานที่เลี้ยงดูผู้คน แต่ยังเป็นแหล่งสนับสนุนเสบียงให้แก่เหล่าผู้กล้าและกองทัพที่เคยออกศึกเพื่อปกป้องเมืองเฉิน บ่อยครั้งที่ข้าวปลาอาหารจากร้านนี้ได้เป็นแรงขับเคลื่อนให้แก่กองทัพจนสามารถนำพาชัยชนะกลับมา ด้วยเหตุนี้เอง ร้านเหมยเหว่ยจึงมิใช่เพียงแค่ร้านอาหาร แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศและความเสียสละ เป็นสถานที่ที่ได้รับการยกย่องจากเหล่าผู้กล้าและประชาชนทุกผู้ทุกนาม ผู้ที่ก้าวเข้ามาที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือยอดฝีมือ ล้วนได้รับการต้อนรับด้วยอาหารรสเลิศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งประวัติศาสตร์ และเป็นพยานให้แก่เรื่องราวแห่งคุณธรรมและวีรกรรมที่ดำรงอยู่คู่เมืองเฉินมาเนิ่นนาน ใต้หลังคาไม้เก่าแก่และโคมไฟส่องสว่าง รสชาติอันเลิศล้ำของเหมยเหว่ยยังคงฝากร่องรอยไว้ในใจของผู้คนตราบจนทุกวันนี้ ดวงจันทราเจิดจรัสเหนือผืนฟ้ายามราตรี สาดแสงนวลอาบไล้ทั่วเมืองเฉิน ความมืดเริ่มแผ่ปกคลุม ซุกซ่อนทุกสิ่งไว้ใต้เงาราตรี ทว่าที่หน้าร้านเหมยเหว่ย โคมไฟกระดาษสีขาวถูกจุดขึ้น แสงอ่อนโยนส่องสว่าง พลิ้วไหวยามต้องสายลมยามค่ำคืน สร้างบรรยากาศอบอุ่นให้แก่ผู้ที่สัญจรผ่านมา ร้านเหมยเหว่ยเป็นอาคารสามชั้น แต่ละชั้นมีความสำคัญแตกต่างกัน ชั้นแรกคือสถานที่รับรองแขกทั่วไป บรรยากาศคึกคักอบอวลไปด้วยกลิ่นอาหารรสเลิศและเสียงพูดคุยของเหล่าผู้มาเยือน ชั้นที่สองสงบเงียบกว่ามาก เป็นห้องรับรองพิเศษสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ผู้ที่ขึ้นมาถึงที่นี่ได้ล้วนเป็นผู้มีฐานะและมีความสำคัญไม่น้อย ส่วนชั้นที่สาม... สถานที่อันสูงส่งซึ่งเปิดรับเพียงผู้มีเกียรติเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสจากตระกูลใหญ่ ปรมาจารย์แห่งยุทธภพ หรือบุคคลที่มีบุญคุณต่อร้านและเมืองเฉิน ล้วนต้องมีคุณสมบัติเพียบพร้อมจึงจะได้ก้าวเข้าสู่สถานที่อันทรงเกียรตินี้ นานนักกว่าจะมีใครสักคนได้รับเกียรตินั้น แต่ค่ำคืนนี้... บนชั้นสามแห่งเหมยเหว่ย หนึ่งในห้องอันโอ่อ่าได้ถูกจุดโคม แสงสว่างนวลกระทบผนังไม้ขัดมันและเพดานสลักลวดลายโบราณ บ่งบอกว่ามีแขกคนสำคัญพำนักอยู่ ภายในห้อง บรรยากาศสงบลึกล้ำ การตกแต่งเรียบง่ายแต่เปี่ยมไปด้วยรสนิยม บ่งบอกถึงกาลเวลาที่ร้านนี้ผ่านพ้นมา โต๊ะไม้เนื้อดีตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง มีเก้าอี้สองตัวจัดวางอย่างเป็นระเบียบ เบื้องหน้าของโต๊ะ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งนิ่งเงียบ คิ้วดกหนา ดวงตาปิดสนิท ราวกับกำลังจมอยู่ในห้วงความคิดลึกซึ้ง โหนกจมูกเด่นชัดทำให้ใบหน้าของเขาดูทรงอำนาจ ในอิริยาบถสงบเคร่งขรึมของเขา กลับแฝงไว้ด้วยแรงกดดันที่ไม่อาจประเมินได้ ข้างกายของเขา ชายชราผมขาวโพลนยืนอยู่เงียบๆ แม้เรือนกายจะดูชราภาพ แต่ดวงตานั้นกลับล้ำลึกดุจมหาสมุทร องค์ประกอบของเขาให้ความรู้สึกถึงคนที่ผ่านโลกมามากมาย มือข้างหนึ่งถือกาน้ำชาเคลือบเงา รินน้ำชาอุ่นกรุ่นลงถ้วยกระเบื้องเนื้อดีโดยปราศจากเสียงแม้เพียงนิดเดียว ทุกการเคลื่อนไหวของเขาสง่างาม แม้แต่สายลมที่ลอดผ่านหน้าต่าง ยังมิอาจรบกวนบรรยากาศเคร่งขรึมภายในห้องนี้ได้ ชายหนุ่มผู้มีคิ้วหนาผู้นั้นเอื้อมมือไปจับมือชายชราผู้ถือกาน้ำชาไว้ ก่อนที่จะกล่าวเสียงอ่อนโยน "ท่านลุงหลี่ ท่านอย่าได้ลำบากเช่นนี้เลย ให้ข้าทำเองเถิด" เสียงของเขาฉายแววห่วงใยและความเคารพต่อบุคคลที่เคยช่วยเหลือเขามาตั้งแต่เยาว์วัย ชายชราผู้มีผมขาวโพลนและร่างกายที่อิดโรยคล้ายผู้ที่ฝ่าฟันมามากมายกว่าครึ่งชีวิต ก้มลงต่ำ ก่อนที่จะตอบด้วยเสียงที่นุ่มนวลและเต็มไปด้วยความนอบน้อม "นายน้อย...ให้บ่าวทำเถิด ท่านไม่ให้สาวใช้เข้ามาในห้องนี้ หน้าที่นี้จึงตกเป็นของบ่าว ข้าทำได้เพียงนี้เท่านั้น" เขายังคงแสดงความเคารพและความภักดีต่อนายน้อยผู้เป็นที่รักและเคารพในตัวเขา ชายหนุ่มคิ้วหนากล่าวตอบโดยไม่อาจยับยั้งความรู้สึกที่เก็บไว้ในใจ "ท่านช่วยเหลือข้ามามากมายตั้งแต่ข้ายังเยาว์วัย ตอนนี้ท่านอายุเยอะแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องลำบากมาคุ้มกันข้าแล้ว ท่านควรพักผ่อนกายาอยู่ที่บ้านย่อมดีกว่า" เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายชรากลับรู้สึกเศร้าหมองในใจ สายตาของเขามองไปยังชายหนุ่มด้วยความอ่อนล้าและน้อยใจ "หรือว่าข้าแก่แล้ว ร่างกายชรามากแล้ว นายน้อยจึงไม่ต้องการข้าแล้ว?" เสียงที่ถามออกมาหม่นหมองเหมือนน้ำฝนที่ตกลงในบ่อน้ำลึก ชายหนุ่มคิ้วหนารับคำด้วยความรีบร้อน "มิใช่ๆ ไยท่านถึงได้คิดเหลวไหลเช่นนี้? ท่านดูสิ...เวลาผ่านมานานแค่ไหน ความผูกพันของเรามากมายมหาศาล ข้าย่อมไม่ไล่ท่านไปอย่างแน่นอน เพียงแต่ข้าเป็นห่วงถึงสุขภาพของท่าน...ไม่อยากให้ท่านมาลำบาก..." เขาหยุดพูด แล้วถอนหายใจด้วยความอ่อนใจ "เฮ้อ...เอาเถิด หากท่านต้องการติดตามข้าต่อไป ข้าอนุญาต...เพียงแต่ท่านต้องดูแลรักษาตัวเองให้ดีนะ" น้ำเสียงของเขาหม่นเศร้าแต่เต็มไปด้วยความรักและห่วงใย ชายชราผู้มีดวงตาล้ำลึกที่เต็มไปด้วยประสบการณ์และความภาคภูมิใจ คล้ายว่ามีชีวิตใหม่ได้ถูกเติมเต็มเมื่อได้ยินคำพูดจากนายน้อย เขายิ้มอย่างดีใจ ก่อนที่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงความซาบซึ้ง "ขอบคุณนายน้อยขอรับๆ ที่ยังเห็นค่าในตาแก่คนนี้" เขาประสานมือและก้มตัวลงต่ำ ชายหนุ่มคิ้วหนารีบยกมือขึ้นรับและดันตัวชายชราด้วยความอ่อนโยน ไม่ให้เขาก้มลงมากไปกว่าเดิม "เข้าใจแล้วๆ ท่านอย่าได้ทำเช่นนี้อีกเลย ลุงหลี่..." น้ำเสียงของเขานุ่มนวล แต่แฝงไปด้วยความมั่นคงและความเคารพอย่างลึกซึ้ง บรรยากาศภายในห้องเงียบสงบ เสียงลมหายใจของทั้งสองคนดังสอดประสานกับแสงไฟนวลที่ส่องลงบนผนังไม้เก่าแก่ ช่วงเวลาอันล้ำค่าของความผูกพันระหว่างนายและบ่าวกำลังบรรจบกันที่นี่ในค่ำคืนแห่งความเงียบสงบนี้ ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ ก็อก ๆ ! "นายท่าน มีผู้มาเยือนขอรับ" เสียงรายงานดังขึ้นจากหน้าประตู ชายคิ้วหนาและชายชราใบหน้าตอบลึกต่างปรับสีหน้าให้สงบนิ่ง ราวกับไม่เคยมีเรื่องราวใดเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ พวกเขากลับสู่ท่วงท่าเดิมอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับนักแสดงผู้ชำนาญที่พร้อมขึ้นเวทีอีกครั้ง "ให้เข้ามาได้" ใต้เท้าเฉินกล่าว น้ำเสียงของเขาทรงอำนาจและเยือกเย็น แกร๊ก! บานประตูไม้ถูกเปิดออกกว้าง ชายวัยกลางคนร่างอ้วนท้วม ศีรษะโล้นเป็นมันวาว ก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าลุกลี้ลุกลน แววตาสาดประกายยินดีอย่างเห็นได้ชัด เมื่อสายตาของเขาปะทะเข้ากับร่างสูงใหญ่ของใต้เท้าเฉินที่นั่งอยู่บนอาสน์หลัก ความยินดีของเขาก็ยิ่งเด่นชัดขึ้น เขารีบยกมือขึ้นประสานคารวะด้วยสีหน้าจริงจัง "คารวะใต้เท้าเฉิน!" ใต้เท้าเฉินพยักหน้ารับอย่างสงบนิ่ง "เชิญนั่งเถิด" ชายศีรษะโล้นรีบลากเก้าอี้เข้ามานั่งอย่างนอบน้อม ท่าทางของเขาประหนึ่งสุนัขรับใช้ที่ภักดีต่อเจ้านายสูงสุดของตน "ข้าต้องขอบคุณท่านยิ่งนัก หากไม่มีท่าน พวกข้าคงตกอยู่ในความมืดมน หาหนทางมิพบ" ใต้เท้าเฉินเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ "มิกล้า มิกล้า! ข้าพเจ้าเพียงกระทำในสิ่งที่สมควรทำ และปฏิบัติตามครรลองของความถูกต้องเท่านั้น หากไม่ได้ใต้เท้าเฉินชี้แนะ ตัวข้ายังคงเป็นคนเขลา ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีต่อไปอีกนาน ใครจะคาดคิดว่า บุรุษผู้มีภาพลักษณ์สุภาพเรียบร้อย มีคุณธรรม กลับเป็นอสูรร้ายในคราบมนุษย์ กล้าลักพาตัวบุตรสาวประมุขตระกูลเฉินผู้ยิ่งใหญ่! ข้าพเจ้าช่างมองคนผิดไปโดยแท้ ต้องขอบคุณใต้เท้าเฉินที่เตือนสติ!" เขากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง และบางคราก็แสดงท่าทางเดือดดาลราวกับจะขจัดความอยุติธรรมให้สิ้นไปจากโลกนี้ หากแต่ทุกถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ย ล้วนเป็นเพียงการประจบประแจงเพื่อเอาใจบุรุษเบื้องหน้าเท่านั้น ใต้เท้าเฉินมองชายผู้นี้ด้วยสายตาลึกล้ำ รอยยิ้มประดับอยู่ที่มุมปาก ทว่ามิอาจคาดเดาความคิดภายในได้ "ฮ่า ๆ กล่าวได้ดี กล่าวได้ดี! เชิญ!" เขาหัวเราะเบา ๆ พลางยกถ้วยชาในมือขึ้นเป็นเชิงเชื้อเชิญ ชายศีรษะโล้นรีบคว้าถ้วยชาของตนขึ้นมาดื่มด้วยท่าทีระมัดระวัง สายตาของเขาลอบเหลือบมองใต้เท้าเฉินเป็นระยะ เมื่อชาหมดถ้วย เขาค่อย ๆ วางมันลงอย่างแช่มช้า ก่อนจะถูมือไปมาเล็กน้อย "เอ่อ... มิทราบว่าใต้เท้าเฉินมีบัญชาอันใดให้ข้าพเจ้ารับใช้หรือไม่ขอรับ?" ขณะที่ใต้เท้าเฉินวางถ้วยน้ำชาลงอย่างแผ่วเบา สายตาของเขาก็จับจ้องไปยังชายศีรษะโล้นผู้นั้นด้วยท่าทีสงบนิ่ง "ไม่มีอันใดหรอก คืนนี้ท่านดื่มกินได้เต็มที่ มิจำเป็นต้องเกรงใจข้า" น้ำเสียงของเขาเรียบง่าย ทว่ารอยยิ้มกลับแฝงด้วยความลึกล้ำยากคาดเดา ชายศีรษะโล้นรีบประสานมือโค้งคำนับ "ขอบพระคุณใต้เท้าเฉินยิ่งนัก! หากมีสิ่งใดให้ข้าพเจ้ารับใช้ เชิญท่านสั่งมาได้เลย ข้าพร้อมปฏิบัติตามทันที!" เขากล่าวอย่างกระตือรือร้น ดวงตาส่องประกายด้วยความจงรักภักดี แกร๊ก! เสียงบานประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง ดึงดูดความสนใจของทุกผู้คน หญิงสาวร่างอรชรนางหนึ่งก้าวเข้ามา นางสวมอาภรณ์สีแดงสดแนบเนื้อ ขับเน้นเรือนร่างอ้อนแอ้นโค้งเว้าได้อย่างเย้ายวน โดยเฉพาะเนินอกอวบอิ่มที่ยิ่งเผยให้เห็นเด่นชัดเมื่อยามก้าวเดิน สะกดสายตาของบุรุษทั้งหลายให้จับจ้องโดยมิอาจละสายตา ในมือเรียวของนางถือสำรับอาหารสองชุด เดินพลิ้วเข้ามาด้วยกิริยานุ่มนวล เมื่อถึงโต๊ะของใต้เท้าเฉิน นางค่อย ๆ วางสำรับลงด้วยท่าทางอ่อนช้อย ทุกการเคลื่อนไหวช่างละเมียดละไมราวกับการร่ายรำ พอเริ่มแจกแจงสำรับอาหาร ท่วงท่าการก้มตัวของนางกลับยิ่งเผยให้เห็นความงามยวนตาของทรวงอวบอิ่ม กระตุ้นจิตใจบุรุษให้หวั่นไหว ชายศีรษะโล้นลอบกลืนน้ำลาย รีบยกมือขึ้นเช็ดมุมปากของตนโดยไม่รู้ตัว ดวงตาหยาดเยิ้มของเขาจับจ้องไปที่หญิงสาวไม่วางตา กระทั่งนางเดินจากไปแล้ว เขาก็ยังคงหันไปมองตามราวกับต้องมนตร์สะกด ต่างจากใต้เท้าเฉินที่ยังคงนั่งยิ้มบาง ๆ อย่างสงบ ราวกับภาพเบื้องหน้าเป็นเพียงสายลมพัดผ่านเท่านั้น ส่วนชายชราผู้ยืนเคียงข้างใต้เท้าเฉินกลับดูเย็นชาไร้อารมณ์ ดวงตาของเขามองผ่านหญิงสาวไปดุจมองโครงกระดูกไร้วิญญาณ "เชิญ" น้ำเสียงเรียบนิ่งของใต้เท้าเฉินดังขึ้น ปลุกชายศีรษะโล้นให้หลุดออกจากภวังค์ เขาสะดุ้งเล็กน้อย รีบปรับสีหน้ากลัวว่าตนเองจะเสียมารยาทต่อหน้าใต้เท้าเฉิน ร่างอวบของเขาผุดลุกขึ้นอย่างร้อนรน เตรียมจะกล่าวขออภัย แต่ใต้เท้าเฉินเพียงส่ายศีรษะเบา ๆ ก่อนยกมือขึ้นห้าม "มิจำเป็นต้องทำเช่นนี้" ชายศีรษะโล้นชะงัก รีบทรุดตัวลงนั่งอย่างละอายใจ เขาก้มหน้าต่ำ มิกล้าเอ่ยคำใดอีก ความกระดากอายในใจทำให้เขามิกล้าเงยหน้าขึ้นสบตาบุรุษผู้สูงศักดิ์เบื้องหน้าได้อีกเลย "เถ้าแก่ฟ่าน ท่านมิต้องกังวลไป เรื่องนี้หาใช่เรื่องใหญ่ไม่ บุรุษล้วนย่อมมีใจนิยมชมชอบในสตรีงามเป็นธรรมดา หากท่านพึงใจเสี่ยวเจี่ยนางนี้ ข้าสามารถกล่าวกับเจ้าของร้านให้ได้" น้ำเสียงของใต้เท้าเฉินราบเรียบ ทว่าแฝงไว้ด้วยความหมายลึกซึ้ง กล่าวจบ เขาจึงยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง ท่วงท่าสง่างามดุจขุนเขามั่นคง เถ้าแก่ฟ่านที่เดิมทีเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน บัดนี้เมื่อได้รับถ้อยคำอันแสนผ่อนปรนของใต้เท้าเฉิน ความตึงเครียดในใจของเขาก็ค่อย ๆ คลายลง ทว่าเหงื่อเย็นกลับซึมออกมาชุ่มแผ่นหลังโดยมิอาจควบคุม เขาปาดเหงื่อบนหน้าผาก พลางคิดในใจ "ข้าพึ่งรอดพ้นจากเงื้อมมือพญายมแล้วกระมัง? หากมิใช่ใต้เท้าเฉินมีเมตตา หากเป็นคนอื่นในตระกูลเฉิน ข้าอาจมิได้กลับไปโดยยังมีลมหายใจ!" ความหวาดหวั่นยังคงหลงเหลืออยู่ในใจ แม้ใต้เท้าเฉินจะดูเป็นมิตร แต่ชื่อเสียงของตระกูลเฉินที่เลื่องลือเรื่องความโหดเหี้ยมก็มิใช่เรื่องล้อเล่น เถ้าแก่ฟ่านจึงมิกล้าประมาทอีกต่อไป เขาก้มหน้าลงก่อนจะเริ่มลงมือรับประทานอาหารเบื้องหน้าอย่างเงียบเชียบและเชื่อฟัง แต่แท้จริงแล้ว เถ้าแก่ฟ่านผู้นี้หาใช่เพียงพ่อค้าเล็ก ๆ ธรรมดาไม่ เขาคือเจ้าของขบวนคาราวานสินค้าจากดินแดนภาคใต้ ตระกูลเฉินใช้เวลาหลายปีในการกระจายกำลังคนออกสืบเสาะเบาะแสเกี่ยวกับพวกอวี้เหวิน พวกเขาสืบค้นไปทั่วแคว้นตงชิง กระทั่งพบข้อมูลบางอย่าง ว่ากันว่ามีพ่อค้าใจบุญผู้หนึ่ง มักยื่นมือช่วยเหลือคนยากไร้ ไร้บ้าน และยังจัดหางานให้แก่พวกเขา การกระทำอันแสนเมตตานี้ทำให้ชื่อเสียงของเขาขจรขจายไปทั่ว ตระกูลเฉินหาได้คาดหวังกับเบาะแสนี้มากนัก ทว่ายามที่เริ่มสืบถามลึกลงไปเกี่ยวกับคนที่ได้รับความช่วยเหลือ รายละเอียดต่าง ๆ กลับสอดคล้องกับเป้าหมายที่พวกเขากำลังตามหา และในที่สุดก็สามารถชี้ชัดลงได้ว่า บุคคลที่ต้องการค้นหานั้นอยู่กับเถ้าแก่ฟ่านผู้นี้เอง! และแท้จริงแล้ว เถ้าแก่ฟ่านนั้นหาใช่ผู้ใจบุญที่แท้จริงไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่กระทำ ล้วนเป็นเพียงฉากหน้าที่สร้างขึ้นเพื่อเสริมสร้างชื่อเสียงให้แก่ตนเอง การเป็นพ่อค้าที่ได้รับการยกย่องว่าสูงส่งมีคุณธรรม ย่อมทำให้การค้าขายเป็นไปได้โดยสะดวกมากยิ่งขึ้นเท่านั้นเอง! เมื่อไม่กี่วันก่อน เถ้าแก่ฟ่านได้นำกองคาราวานสินค้าจากดินแดนทางใต้เข้าสู่เมืองเฉิน หลังจากพำนักอยู่ในเมืองได้เพียงสองวัน เขาก็ได้รับเทียบเชิญให้มาร่วมงานเลี้ยงที่ร้านอาหารเหมยเว่ยในค่ำคืนนี้ ยามแรกที่ได้รับเทียบเชิญ หัวใจของเถ้าแก่ฟ่านถึงกับเต้นระรัวด้วยความหวาดหวั่น เขาไม่อาจคาดเดาได้ว่าด้วยเหตุอันใดบุคคลจากตระกูลเฉิน—ตระกูลอันดับหนึ่งแห่งแคว้นตงชิง—จึงให้ความสนใจในตัวเขา ทว่าเมื่อได้อ่านเนื้อความในเทียบเชิญที่ระบุเพียงว่าเป็นงานเลี้ยงตอบแทนสำหรับการให้ข้อมูลสำคัญซึ่งนำไปสู่การพาคนสำคัญของตระกูลกลับมา เขาจึงค่อยเบาใจลง และตัดสินใจมาเข้าร่วมในค่ำคืนนี้ "ขอบคุณใต้เท้าเฉินเป็นอย่างยิ่ง ที่เมตตาเลี้ยงอาหารผู้น้อยในค่ำคืนนี้" เถ้าแก่ฟ่านกล่าวพลางโค้งตัวคารวะ สีหน้าประจบประแจงอย่างเห็นได้ชัด "มิจำเป็นต้องมากพิธี เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น" ใต้เท้าเฉินเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ แฝงแววเมตตาอยู่ในที เถ้าแก่ฟ่านหัวเราะแห้ง ๆ พลางลูบศีรษะอันเกลี้ยงเกลา ราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ท่าทางของเขาอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ คล้ายอยากกล่าวบางสิ่ง แต่กลับลังเลใจ จนบรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน ใต้เท้าเฉินเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก "มีสิ่งใดในใจท่านหรือไม่? หากมีเรื่องใดต้องการกล่าวก็พูดออกมาเถิด มิจำเป็นต้องลังเล" เถ้าแก่ฟ่านขยับมือถูไปมาอย่างลุกลี้ลุกลน ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างตะกุกตะกัก "เอ่อ...เอ่อ... ใต้เท้าเฉิน หากมิได้มีเรื่องอันใดแล้ว ผู้น้อยขอตัวกลับก่อนจะได้หรือไม่ขอรับ? ผู้น้อยยังมีธุระรัดตัว มิต้องการละเลยกิจการค้าขาย... แต่...แต่หากใต้เท้าประสงค์ให้ผู้น้อยอยู่ต่อ ผู้น้อยก็ยินดีอยู่กับท่านทั้งคืน!" กล่าวจบ เขาหัวเราะแห้ง ๆ สองครั้ง ทว่าแววตากลับเต็มไปด้วยความกังวล ในใจลอบภาวนาให้ได้รับอนุญาตให้จากไป เพราะการอยู่ ณ ที่นี้เป็นเวลานานเกินไป ทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง ใต้เท้าเฉินเห็นท่าทีร้อนรนของเถ้าแก่ฟ่านก็หัวเราะออกมาเบา ๆ "ฮ่า ฮ่า ๆ เรื่องเพียงเท่านี้เอง มิต้องกังวล หากท่านมีธุระเร่งด่วนก็กลับไปก่อนเถิด" เถ้าแก่ฟ่านได้ยินเช่นนั้นถึงกับลุกพรวดขึ้นมาทันที ราวกับถูกปลดโซ่ตรวนที่พันธนาการ เขารีบประสานมือโค้งตัวคารวะ "ขอบคุณใต้เท้าเฉินที่เข้าใจ งั้นผู้น้อยขอตัวลา หากใต้เท้ามีสิ่งใดให้รับใช้ โปรดเอ่ยปากได้ทุกเมื่อ ผู้น้อยพร้อมรับใช้เสมอ!" ใต้เท้าเฉินเพียงพยักหน้ารับ พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ "เปิดประตู ให้เถ้าแก่ฟ่านออกไป" บานประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง เถ้าแก่ฟ่านก้าวเดินออกไปอย่างสำรวม ทว่าทันทีที่พ้นขอบประตู เขาก็เร่งฝีเท้าออกจากที่แห่งนี้อย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าใต้เท้าเฉินจะเปลี่ยนใจแล้วเรียกตัวกลับมาอีกครั้ง! ชายชราผู้ยืนเฝ้าอยู่ข้างใต้เท้าเฉินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า แววตาเต็มไปด้วยความลึกซึ้ง "เขาหวาดกลัวพวกเรา" ใต้เท้าเฉินวางถ้วยน้ำชาลงอย่างแช่มช้า ก่อนจะเอื้อมมือหยิบมันขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาคมกริบฉายแววครุ่นคิดล้ำลึก "เขายังมีประโยชน์กับพวกเรา" ชายชราผงกศีรษะเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทว่าหนักแน่น "นายน้อยต้องการใช้เขาจัดการสองพ่อลูกคู่นั้นแทนสินะขอรับ" ใต้เท้าเฉินหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะวางถ้วยชาในมือลง รอยยิ้มเจือเลศนัยเผยขึ้นที่มุมปาก "ก็ยังคงเป็นท่านที่รู้ใจข้าที่สุด" ชายชรายิ้มรับ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยด้วยความชื่นชม "ผลงานอันยิ่งใหญ่ของนายน้อยที่นำสตรีศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลกลับมาได้ ประกอบกับมิมีผู้ใดในตระกูลรุ่นนี้สามารถเทียบเคียงกับนายน้อยได้อีก เช่นนี้แล้ว... ตำแหน่งประมุขย่อมตกเป็นของท่านอย่างแน่นอน" ใต้เท้าเฉินเมื่อได้ยินคำนี้ แววตาเปล่งประกายเป็นประกาย เขาแน่ใจในสิ่งที่ชายชรากล่าวโดยมิจำเป็นต้องปฏิเสธ ผู้ใดกันจะสามารถแย่งชิงตำแหน่งนี้ไปจากเขาได้? อีกทั้งเถ้าแก่ฟ่านก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น เมื่อต้องการกำจัดก็เพียงใช้เขาจัดการอวี้เหวินและบิดาแทนตนเอง แล้วจึงปล่อยให้เถ้าแก่ฟ่านเผชิญกับเคราะห์กรรมภายหลัง ไร้ซึ่งหลักฐานเอาผิด ไร้ซึ่งผู้ใดสืบสาวไปถึงเขา ต่อให้มีผู้ล่วงรู้เบื้องหลังเรื่องนี้ ก็ทำอันใดมิได้อยู่ดี ใต้เท้าเฉินลุกขึ้นยืน แววตาสงบนิ่งราวสายน้ำไร้ระลอก ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ท่านลุงหลี่... รบกวนท่านบอกเถ้าแก่หยางเกี่ยวกับเสี่ยวเจี่ยนางนั้นด้วย" ชายชราประสานมือคารวะ "ขอรับ นายน้อย ท่านคิดซื้อใจเขาจริง ๆ หรือ?" "ถึงอย่างไร หากเราต้องการใช้งานเขา เราก็ต้องทำให้เขาไว้ใจ เชื่อใจ และมองเห็นผลประโยชน์เสียก่อน" ใต้เท้าเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ก่อนจะหมุนกายเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน ทว่าทุกย่างก้าวของเขากลับหนักแน่น และเปี่ยมไปด้วยอำนาจที่ยากจะต่อต้าน... --- ณ ยามนี้ ภายหลังจากการฝึกปรือบนยอดเขาสูง อวี้เหวินนั่งสงบนิ่งอยู่บนเตียงกว้าง ภายในห้องพักที่ดูเรียบง่ายแต่สะอาดตา รัตติกาลอันเงียบสงัดได้มาเยือน แสงจันทร์นวลผ่องสาดส่องลอดผ่านหน้าต่างไม้ บรรยากาศภายในห้องพักเงียบสงบและเย็นเยียบ ในมือของเขาปรากฏลูกแก้วสีดำสนิท ไร้ซึ่งลวดลายใดๆ อวี้เหวินใช้นิ้วเขี่ยเล่นเบาๆ ปล่อยให้มันหมุนวนบนฝ่ามืออย่างเพลิดเพลิน หึ่ม... ผ่านพ้นการบ่มเพาะมาช่วงหนึ่งแล้ว ชักใคร่อยากจะทดลองอานุภาพของสิ่งนี้ดูเสียหน่อย อวี้เหวินรำพึงในใจ พลางทอดสายตาไปยังร่างเล็กจิ๋วที่ยืนอยู่สง่าบนโต๊ะข้างเตียง ร่างนั้นสูงเพียงศอกเศษ สวมอาภรณ์สีแดงเพลิงปักลายเมฆมงคลดูงดงามยิ่งนัก ใบหน้าเล็กๆ ทว่ากลับฉายแววเฉลียวฉลาดและทะนงตนอย่างชัดเจน นั่นคือคู่หูของเขา ซ่งเหยียนเฟย อวี้เหวินยิ้มกริ่ม ยกมือคารวะอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนักไปยังร่างจิ๋ว "นายน้อยซ่ง ข้าผู้นี้เพิ่งจะเริ่มฝึกฝน ยังคงต้องอาศัยคำชี้แนะจากท่านผู้เจนจัดเสียแล้ว" น้ำเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยความขี้เล่นตามประสา เมื่อเห็นท่าทีของอวี้เหวิน ซ่งเหยียนเฟยในร่างจิ๋วถึงกับถอนหายใจเบาๆ เฮ้อ... เจ้าเด็กนี่มันมิเคยสำรวมตนเสียที เขาคิดอย่างระอาใจ แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ "หึ ในที่สุดเจ้าก็ยอมเอ่ยคำที่สมควรเสียที ว่ายังต้องพึ่งพาปัญญาของข้า" ซ่งเหยียนเฟยในร่างจิ๋วยืนกอดอกเล็กๆ มองอวี้เหวินด้วยสายตาที่ตำหนิ "ช่างเป็นเจ้าเสียจริง สิ่งที่เจ้าถือครองอยู่นั่นคือ แก่นวายุอำพราง อานุภาพของมันมิอาจประเมินได้ สามารถซ่อนเร้นกายของเจ้าจากเหล่าศัตรูที่ด้อยกว่าขอบเขต ก่อกำเนิด ได้โดยง่ายดาย แม้แต่ผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน หากมิได้เพ่งพินิจด้วยญาณทิพย์อันแก่กล้า ก็ยากที่จะล่วงรู้ถึงการดำรงอยู่ของเจ้า" ซ่งเหยียนเฟยร่างเล็กชี้มือจ้อยๆ ไปยังลูกแก้วในมืออวี้เหวิน "อนึ่ง มันยังสามารถมอบความเร็วที่น่าตื่นตะลึงให้แก่เจ้าได้ ความเร็วสูงสุดนั้นเทียบเคียงได้กับผู้ฝึกตนใน ขั้นพลังปราณ เพียงแต่เจ้าจักต้องใช้พลังปราณของตนเองให้สอดคล้อง และทำความเข้าใจกับแก่นวายุนี้อย่างถ่องแท้ จึงจะสามารถปลดปล่อยพลังที่แท้จริงของมันออกมาได้ จงจำใส่ใจไว้!" อวี้เหวินทอดสายตามองลูกแก้วสีดำสนิทในฝ่ามือ แสงจันทร์ส่องกระทบผิวมันวาว ราวกับต้องมนต์สะกด "แล้วข้าจะสามารถใช้อานุภาพของมันได้อย่างไรเล่า?" เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ซ่งเหยียนเฟยในร่างจิ๋วประสานมือเล็กๆ ไขว้หลัง กล่าวด้วยท่าทีราวผู้เจนโลก "เรื่องนี้มิได้ยากเย็นอันใด เพียงแค่เจ้าสละโลหิตแห่งตนสักหยดลงบนแก่นวายุนี้ แล้วใช้จิตญาณสัมผัสถึงพลังที่สถิตอยู่ภายใน ส่งกระแสจิตของเจ้าเข้าไปเชื่อมโยงกับแก่นแท้ของมันให้จงได้ เพียงเท่านี้ เจ้าก็จะสามารถควบคุมและใช้อานุภาพของมันได้ตามปรารถนา" "ง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ?" อวี้เหวินพึมพำกับตนเอง ดวงตาคมกริบเปล่งประกายครุ่นคิด จากนั้นจึงลงมือกระทำตามคำชี้แนะของคู่หู เขารวบนิ้วชี้ข้างขวา จรดลงบนปลายนิ้วก้อยข้างซ้าย เค้นหยาดโลหิตสีแดงสดหยดหนึ่งลงบนผิวดำขลับของแก่นวายุ ฉับพลัน! ลูกแก้วก็เปล่งประกายแสงสีดำเข้มออกมา วูบวาบ สะท้อนเข้าสู่ดวงตาของอวี้เหวิน พร้อมกับดูดซับหยาดโลหิตนั้นเข้าไปในพริบตา จากนั้นอวี้เหวินจึงค่อยๆ ใช้จิตสัมผัสไปยังลูกแก้วที่วางอยู่บนฝ่ามือของตน เขาค่อยๆ แผ่ขยายกระแสจิตเข้าไปภายในแก่นวายุ ราวกับกำลังคลำหาทางในความมืดมิด ยิ่งจิตของเขาแทรกซึมลึกลงไป ความมืดมิดก็ยิ่งปกคลุมหนาแน่น หาหนทางที่ถูกต้องมิได้ ทว่าเขากลับสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจอันลึกล้ำที่ซ่อนอยู่ภายใน เมื่อกระแสจิตขยายลึกล้ำยิ่งขึ้น จิตใจของอวี้เหวินก็เริ่มร้อนรุ่ม กระวนกระวาย เขารับรู้ถึงพลังและทิศทางของมัน ทว่ากลับไม่อาจจับต้องหรือควบคุมมันได้ ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มบิดเบี้ยวด้วยความขัดใจ กระทั่งเสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นในห้วงความคิด "จงสงบจิตใจ มิต้องเร่งร้อน จงส่งกระแสจิตแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณู ซึมซับหยาดโลหิตที่สถิตอยู่ในแก่นวายุ ค่อยๆ ปล่อยให้เป็นไปตามวิถีแห่งพลังของมัน" อวี้เหวินได้ยินดังนั้นจึงขจัดความรู้สึกว้าวุ่นทั้งปวงออกไป เริ่มตั้งสติใหม่ ปรับลมหายใจให้แผ่วเบา ผ่อนคลายความตึงเครียด มิเร่งรีบร้อน กระแสจิตค่อยๆ แผ่ซ่านออกไปทุกซอกทุกมุมของลูกแก้วดำมิดเม็ดนั้น รับรู้ถึงทุกการสัมผัสที่กวาดผ่านไป หยาดโลหิตที่ถูกดูดซับไปเริ่มสำแดงอานุภาพ นำทางกระแสจิตของอวี้เหวินไปสู่แก่นแท้แห่งพลังที่ซ่อนอยู่ภายในลูกแก้วสีดำมันวาว กระแสจิตเคลื่อนไหวไปอย่างเชื่องช้า ทว่าเมื่อเข้าใกล้แก่นแท้ของมัน พลันบังเกิดความรู้สึกราวกับถูกกระแสน้ำวนอันเชี่ยวกรากดูดกลืน กระแสจิตของอวี้เหวินถูกพลังอันมหาศาลนั้นดูดซับเข้าไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง! พรึ่บ! ร่างกายของอวี้เหวินเริ่มเลือนราง จางหายไปทีละน้อย ราวกับกำลังหลอมรวมเข้ากับสภาพแวดล้อมภายในห้องของตนเอง ผ่านไปเพียงชั่วกระพริบตา ณ ที่แห่งนั้นกลับไร้ร่องรอยของอวี้เหวินหลงเหลืออยู่ ทุกสิ่งเงียบสงบ ราวกับมิเคยมีผู้ใดดำรงอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้มาก่อน "เจ้าจักต้องฝึกฝนการปรับใช้พลังของมันให้เชี่ยวชาญ มิเช่นนั้นเจ้าจะมิอาจกลับคืนสู่สภาพเดิมได้" เสียงของซ่งเหยียนเฟยดังขึ้นแว่วมาในห้วงความคิดของอวี้เหวิน ราวกับเสียงกระซิบจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้น อวี้เหวินจึงรวบรวมสมาธิทั้งหมด จดจ่ออยู่กับการเรียนรู้พลังอำนาจแห่งแก่นวายุอำพรางอย่างเชื่องช้า เขาค่อยๆ ทำความเข้าใจถึงวิธีการควบคุมลูกแก้ว และหลักการทำงานอันลึกลับของมัน ราวกับกำลังทำความคุ้นเคยกับอวัยวะใหม่ที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นในร่างกาย ขณะนั้นเอง ณ จุดกึ่งกลางห้องบรรทม ร่างหนึ่งเริ่มปรากฏกายขึ้นทีละส่วน เริ่มจากศีรษะ คอ บ่า ไหล่ แขน และมือ สุดท้ายจึงปรากฏช่วงขาและเท้าอย่างสมบูรณ์ พรึ่บ! อวี้เหวินปรากฏร่างขึ้นอีกครั้ง สภาพของเขามิแตกต่างจากลูกสุนัขตกน้ำ ขนเสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อที่ไหลซึมออกมา "แฮ่กๆ... เวลาล่วงเลยไปนานเพียงใดแล้ว?" อวี้เหวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหอบเหนื่อย "นับแต่เจ้าตั้งจิตมุ่งมั่นในการเปิดใช้งานแก่นวายุอำพราง ก็ล่วงเลยมาห้าชั่วยามแล้ว" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไร้ซึ่งความตื่นเต้น "ว่ากระไรนะ!! ห้าชั่วยามเลยรึ!" อวี้เหวินอุทานด้วยความตกใจ พลางหันขวับไปมองสหายร่างจิ๋วด้วยดวงตาเบิกกว้าง ซ่งเหยียนเฟยมองตอบกลับมา พลางพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการยืนยันความจริง "ข้ามิคาดคิดว่าจะต้องใช้เวลานานถึงเพียงนี้" อวี้เหวินถอนหายใจยาวด้วยความอ่อนล้า จากนั้นทั้งสองจึงแยกย้ายกันพักผ่อน เพื่อฟื้นฟูพลังกายและพลังจิต และแล้วค่ำคืนอันเงียบสงัดก็ค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมกับการมาเยือนของรุ่งอรุณ... ยามอรุณรุ่ง แสงสุริยาอ่อนละมุนค่อยๆ ทอดลำแสงสีทองผ่านช่องหน้าต่าง สาดส่องลงบนศีรษะของอวี้เหวินที่โผล่พ้นผืนผ้าห่ม ไออุ่นจากรังสีแห่งทิวากระทบกับใบหน้าคมสันของเขา ปลุกให้เปลือกตาที่หนักอึ้งค่อยๆ เปิดขึ้นด้วยความงัวเงีย เขาขยี้ดวงตาครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นนั่งบนเตียงไม้เนื้อดี เช้านี้ก็เช่นเคย เขาเริ่มจัดเตรียมสัมภาระเพื่อออกเดินทางไปยังถิ่นพำนักของพยัคฆ์หางแมงป่องอีกครา ด้วยความคุ้นเคยกับสภาพอากาศอันร้อนระอุที่อวี้เหวินต้องเผชิญในทุกวัน ผนวกกับร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้นและเริ่มปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้ดียิ่งขึ้น วันนี้เขาจึงสามารถร่นระยะทางเข้าใกล้ที่อยู่อาศัยของพยัคฆ์หางแมงป่องได้มากขึ้น และจากการเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรนานัปการในทุกวัน อวี้เหวินเริ่มตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นของการฝึกฝนเคล็ดวิชาต่อสู้ เขาไม่อาจมุ่งเน้นเพียงแค่การบ่มเพาะพลังและเสริมสร้างร่างกายแต่เพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป เพราะเขาไม่อาจคาดหวังให้ผู้อื่นยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้ทุกเมื่อ และแม้ตนเองจะมีพละกำลังมหาศาล หากปราศจากวิธีการใช้ออกไปอย่างมีประสิทธิภาพ ก็ย่อมไร้ค่า ดังนั้นเขาจึงเอ่ยขอคำชี้แนะด้านเคล็ดวิชาต่อสู้จากซ่งเหยียนเฟย "เจ้าหนู ในยามนี้เจ้าอยู่ในขั้นก่อตั้งรากฐาน โดยเน้นหนักไปที่การเสริมสร้างพลังกาย นับว่าเหมาะสมแล้วที่เจ้าจะเริ่มฝึกฝนวิชาต่อสู้ที่มิใช้อาวุธ" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุม "วิชาที่เหมาะสมกับเจ้าที่สุดในขณะที่เจ้ากำลังฝึกฝนวิชาเตาหลอมอัสนีวิบัติขั้นต้น ซึ่งมีเพลิงเป็นแก่นหลักนั้น คือ วิชาฝ่ามือพิฆาตอัคคี วิชากรงเล็บเพลิงพยัคฆ์ และ วิชาหมัดอัคนีสังหาร" "สำหรับ วิชาฝ่ามือพิฆาตอัคคี นั้น จะเน้นการฝึกฝ่ามือเป็นหลัก เป็นการรวบรวมความร้อนอันรุนแรงและปลดปล่อยออกมาจากฝ่ามือดุจเปลวเพลิงที่ปะทุ ถือเป็นกระบวนท่าทำลายล้างในระยะกว้างกว่าวิชาอื่นๆ ส่วน วิชากรงเล็บเพลิงพยัคฆ์ นั้น ผู้คิดค้นได้เลียนแบบท่วงท่าการโจมตีด้วยขาอันทรงพลังของพยัคฆ์หางแมงป่อง โดยผสานเข้ากับเพลิงอัคคีอันร้อนแรง และวิชาสุดท้าย วิชาหมัดอัคนีสังหาร เป็นวิชาที่ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อการสังหารโดยเฉพาะ เน้นการฝึกฝนหมัดให้แข็งแกร่ง ว่องไว เฉียบคม ดุจเปลวเพลิงที่ลุกโชน และมีความร้อนสูง แต่ละกระบวนท่ารวดเร็วปานสายฟ้าแลบ สามารถปลิดชีพศัตรูได้ในชั่วพริบตา" "เจ้าจะเลือกวิชาใด ย่อมสุดแล้วแต่เจ้าจะพิจารณา" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวจบ พร้อมกับทอดสายตามองไปยังอวี้เหวิน อวี้เหวินหลับตาลงชั่วครู่ สายลมร้อนระอุพัดผ่านเปลือกตาของเขา พลัน! เขาก็ลืมตาขึ้น แววในดวงตาคมกริบราวกับมีเปลวเพลิงลุกโชน "ข้าเลือก วิชาหมัดอัคนีสังหาร" เขาตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น มั่นคง ไร้ซึ่งความลังเล เมื่อซ่งเหยียนเฟยทอดสายตามองลึกลงไปในดวงตาคู่นั้น ก็บังเกิดรอยยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง "ฮ่าๆๆ ช่างเป็นการตัดสินใจที่เฉียบคมยิ่ง!" พลางใช้นิ้วเรียวจิ้มลงบนหน้าผากของอวี้เหวินเบาๆ ตึง! ราวกับมีคลื่นพายุโหมกระหน่ำซัดเข้าสู่ห้วงสมองของอวี้เหวิน หากแต่ด้วยประสบการณ์ที่เคยประสบมาแล้วครั้งหนึ่ง ครานี้เขาจึงสามารถควบคุมและจัดเรียงข้อมูลอันมหาศาลที่ถาโถมเข้ามาได้อย่างรวดเร็วและเป็นระบบ เวลาล่วงเลยไปครู่ใหญ่ อวี้เหวินที่นั่งสงบนิ่ง หลับตาลงเพื่อย่อยข้อมูลและความรู้ใหม่ที่ได้รับมา จึงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น... ในดวงตาคู่นั้นปรากฏประกายแห่งความมุ่งมั่นและกระหายในการฝึกฝนอย่างแรงกล้า"ช่างเป็นเคล็ดวิชาที่ลึกล้ำเกินหยั่งถึง!" อวี้เหวินอุทานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายราวกับค้นพบขุมทรัพย์ล้ำค่า เขาทอดสายตามองไปยังห้วงความคิด พลางหวนรำลึกถึงเนื้อหาของเคล็ดวิชาอีกครา 'เคล็ดวิชาหมัดอัคนีสังหารนั้น แบ่งออกเป็นสามขอบเขตใหญ่ อันได้แก่ ปฐพี อัคคี และวารี แต่ละขอบเขตยังแบ่งย่อยออกเป็นสามระดับ คือ เเรกเริ่ม กลาง และสูงสุด ในขอบเขตปฐพีนั้น เป็นการวางรากฐานแห่งกระบวนท่าของหมัดอัคนีสังหาร พลังอำนาจแห่งหมัดในระดับเริ่มต้นอยู่ที่สามร้อยจิน ระดับกลางอยู่ที่หกร้อยจิน และระดับสูงสุดอยู่ที่เก้าร้อยจิน' ภาพกระบวนท่าอันสลับซับซ้อนเริ่มฉายชัดในมโนสำนึกของอวี้เหวิน ราวกับมีผู้มาสาธิตอยู่ตรงหน้า เขาสังเกตทุกการเคลื่อนไหว จดจำทุกรายละเอียด เมื่อเริ่มเข้าใจในแก่นแห่งวิชาแล้ว อวี้เหวินจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เริ่มต้นร่ายรำตามภาพที่ปรากฏในห้วงนิมิต ฝ่ามือและหมัดถูกส่งออกไปในอากาศอย่างหนักแน่น สลับหมุนเวียนราวกับพายุโหมกระหน่ำ เท้าก้าวไปตามจังหวะ ท่วงท่าการยืนมั่นคงดุจขุนเขา ทุกอิริยาบถที่แสดงออกมาล้วนสง่างามและหนักแน่นราวกับผืนปฐพีอันกว้างใหญ่ ในระหว่างที่ฝึกฝนเพลงหมัด อวี้เหวินมิไ
ยามเมื่อสุริยันเยื้องย่างลงจากนภา โลกธาตุพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มชาด แสงสุดท้ายสาดส่องทาบทาทิวเมฆราวกับผ้าไหมปักลาย เด็กหนุ่มนามว่าอวี้เหวินก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ทอดฝีเท้าหนักแน่นแต่มิได้เร่งรีบ จุดหมายปลายทางคือบ้านหลังน้อย แสงไฟสลัวริบหรี่ลอดออกมาจากบานหน้าต่างไม้ในอีกไม่กี่ก้าวเบื้องหน้า ความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักตลอดวันเกาะกุมหัวใจ ทว่าเมื่อย่างเท้าเข้าสู่เรือน ได้รับการต้อนรับอันอบอุ่นและการดูแลเอาใจใส่จากผู้เป็นบิดา ความอ่อนล้าทั้งมวลก็มลายหายสิ้นดุจไอหมอกยามรุ่งอรุณ หลังจากอวี้เหวินและบิดาได้ร่วมโต๊ะทานอาหารค่ำ พูดคุยสารทุกข์สุกดิบจนกระทั่งราตรีเริ่มย่างเข้าสู่ยามดึกสงัด อวี้เหวินจึงนั่งลงขัดสมาธิ สงบจิตใจปรับลมปราณอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะล้มตัวลงนอน ณ ห้วงความมืดมิดภายในเม็ดหินอัญมณีสีดำสนิทที่ห้อยอยู่บนคอของอวี้เหวิน ปรากฏร่างหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างอ้อยอิ่ง “สามสิบสี่… สามสิบห้า… เวลาล่วงเลยมาเกือบเดือน ข้ากลับเคลื่อนกายมาได้เพียงสามสิบห้าก้าวเท่านั้น เบื้องหน้าจักมีสิ่งใดซ่อนอยู่อีกเล่า?” ซ่งเหยียนรำพึงรำพันกับตนเอง พลางหายใจหอบถี่ราวกับคนจมน้ำ เขานั่งลง หลับตาลงเพื่อ
เปลือกตาที่หนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยตะกั่วค่อยๆ เปิดขึ้น เผยให้เห็นดวงตาที่ยังคงพร่าเลือนและง่วงงุน ร่างกายที่อ่อนล้าประหนึ่งถูกบั่นทอนเรี่ยวแรงของอวี้เหวินค่อยๆ ขยับเขยื้อนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะพยุงกายลุกขึ้นนั่งบนเตียงไม้เนื้อดี มือเรียวลูบไล้ใบหน้าของตนเองเบาๆ เพื่อขับไล่ความง่วงงุนให้จางหายไป หลังจากเหตุการณ์พลิกผันเมื่อสามราตรีล่วงผ่าน อาการบาดเจ็บของอวี้เหวินก็สมานหายราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รุ่งอรุณแห่งวันนี้ เขาตื่นขึ้นด้วยความสดชื่น เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไปฝึกฝนวิชาอีกครั้ง อวี้เหวินเริ่มบริหารร่างกายด้วยท่วงท่าที่คุ้นเคยเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม ก่อนจะจัดเตรียมสัมภาระต่างๆ สำหรับการเดินทาง ในขณะที่เขากำลังตรวจตราสิ่งของภายในห่อผ้าอยู่นั้น เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นในห้วงความคิด "วันนี้เป็นวันที่จะต้องบุกเข้าไปในเขตแดนของพยัคฆ์หางแมงป่อง ซึ่งด้วยพละกำลังของเจ้าในยามนี้ ยังมิอาจบุกเข้าไปโดยลำพังได้ จำเป็นต้องมีสิ่งป้องกันไอความร้อนอันร้อนระอุจากรังของพวกมัน" อวี้เหวินแสดงสีหน้าเข้าใจ ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามด้วยความสงสัย "อย่าว่าแต่สิ่งใดใช้ป้องกันเลย แม้แต่ชื่อของมัน ข้
"ฟ่อๆๆ!" เสียงขู่คำรามดุดันราวอสูรร้ายคำรามก้องกังวาน พร้อมกับร่างของอสรพิษลายพาดกลอนตัวเขื่อง พุ่งทะยานจากเงามืดแห่งโขดหินด้านหลัง หมายจะฉกกัดอวี้เหวินด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาด เขี้ยวแหลมคมสีเหลืองอำพันเผยให้เห็นถึงพิษร้ายที่พร้อมจะคร่าชีวิตในพริบตา"ฉัวะ!" อวี้เหวินที่ประสาทสัมผัสว่องไวดุจเหยี่ยวล่าเหยื่อ พลิกกายหลบหลีกได้อย่างหวุดหวิด พร้อมกับเหวี่ยงมือขวาออกไปราวกับแส้เหล็ก ฟาดเข้าที่กลางลำตัวของอสรพิษอย่างแม่นยำ เสียงเนื้อแตกดังสนั่น ร่างกายของงูร้ายพลันแหลกเหลว เลือดสีแดงฉานกระเซ็นเปรอะเปื้อนไปทั่วบริเวณ ราวกับพู่กันยักษ์สาดสีลงบนผืนดิน อวี้เหวินชักมือกลับ ดวงตาคมกริบจ้องมองซากอสรพิษด้วยความเหนื่อยล้า"นี่ก็เป็นตัวที่สามสิบแล้วกระมัง มิหนำซ้ำพลังของพวกมันยังเพิ่มพูนขึ้นอีกด้วย" เขาเอ่ยพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลอาบแก้ม ดวงหน้าหล่อเหลาปรากฏร่องรอยความอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้น"เพียงเท่านี้เจ้าก็หอบเสียแล้วหรือ? แค่งูหางแมงป่องตัวเล็กกระจ้อยร่อยพวกนี้" เสียงทุ้มนุ่มของบุรุษผู้หนึ่งดังกระซิบข้างใบหูของอวี้เหวิน ราวกับภูตพรายปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า พร้อมกับร
ตึง! เงาร่างนั้นโผล่ออกมาท่ามกลางอากาศอันร้อนระอุ มันเป็นเงาร่างใหญ่ทะมึน แผ่กลิ่นอายอันร้อนแรงทั่วบริเวณ ขนทั่วกายแดงฉานดั่งเปลวเพลิง รูปร่างเป็นพยัคฆ์ล่ำสัน ทว่าสิ่งที่น่าสะพรึงยิ่งกว่ากลับเป็นหางแหลมคมที่คล้ายหางแมงป่อง สั่นไหวอยู่เบื้องหลัง เพียงแค่จ้องมอง ก็ทำให้ผู้พบเห็นต้องหวาดหวั่นจนหัวใจสั่นสะท้านทันทีที่มันเห็นซ่งเหยียนเฟยอยู่เบื้องหน้า ดวงตาแดงฉานพลันฉายแววดุร้าย มันอ้าปากกว้างส่งเสียงคำรามก้อง 'กรรร!' เสียงสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ ราวกับประกาศถึงความโกรธเกรี้ยวของมัน ดวงตาอำมหิตจับจ้องบุรุษร่างเล็กเบื้องหน้าอย่างไม่ลดละ มันเห็นเขาเป็นผู้บุกรุกที่ล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของมัน โดยไม่รอช้า มันยกอุ้งเท้าตบลงหนักๆ หนึ่งครั้งก่อนกระโจนเข้าใส่ซ่งเหยียนเฟยอย่างดุดัน!ซ่งเหยียนเฟยมองเห็นร่างอสูรตรงหน้า นัยน์ตาพลันทอประกายเย็นเยียบ เขาจ้องมันเขม็งก่อนกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่น "พยัคฆ์หางแมงป่อง!"ไม่รอช้า มือข้างหนึ่งพลันยื่นออก ก่อนสะบัดเบาๆ ทว่ากลับทรงพลัง แสงสีแดงเลือดพลันปรากฏขึ้น วาบผ่านอากาศด้วยความเร็วเหนือคาด เพียงพริบตาเดียว แสงนั้นก็ทะลุผ่านร่างอสูร ราวกับคมมีดอันเฉียบคมแล่
ยามรุ่งอรุณสาดส่องแสงทองอ่อนๆ ลงบนพื้นดิน พร้อมกับเสียงนกร้องเบาๆ ในยามเช้า อวี้เหวินรับประทานอาหารเช้าร่วมกับบิดาเสร็จสิ้น ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและแรงปรารถนาในการเดินทาง ครั้งนี้เขาตั้งใจเร่งมุ่งหน้าไปยังร้านค้าของชายหนุ่มนามหวังหลินล้วนเกิดจากที่อวี้เหวินเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของภาระที่ต้องพกพาไว้กับตัวเสมอ กระเป๋าที่เก็บของส่วนตัวกลายเป็นอุปสรรคในชีวิตประจำวัน เขาต้องพกพาสิ่งของมากมายไม่ว่าจะเป็นเเก่นพลังของอสูร สมุนไพร หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการฝึกฝน และทุกครั้งที่ต้องออกเดินทาง การบรรทุกสิ่งเหล่านั้นไปด้วยก็ย่อมสร้างความลำบากให้แก่เขา ความหนักหน่วงของสัมภาระทำให้เขาหยุดคิดและตระหนักถึงความจำเป็นของการมีที่เก็บของที่สะดวกและปลอดภัย จึงเป็นเหตุให้เขาเริ่มค้นหาวิธีการที่จะทำให้การเดินทางของเขาสะดวกสบายยิ่งขึ้น จึงได้ไปปรึกษาซ่งเหยียนเฟย ผู้ซึ่งเคยมีประสบการณ์ในวงการปราณยุทธ์ จนได้รู้จักกับสิ่งมหัศจรรย์หนึ่ง ซึ่งเป็นที่เก็บของที่ไม่ธรรมดา มันคือ "แหวนมิติ" ที่สามารถบรรจุสิ่งของไว้ได้ในช่องว่างของมิติ เหมือนกับการมีห้องส่วนตัวอยู่ท่ามกลางอากาศโดยที่ไม่ต้องพึ่
ทันใดนั้น เสียงทุ้มลึกลับดังก้องขึ้นในห้วงสำนึกของเขา เป็นเสียงของซ่งเหยียนเฟยที่อยู่ในสร้อยคอ “อวี้เหวิน เจ้าสังเกตหรือไม่? พยัคฆ์หางแมงป่องพวกนี้ผิดแผกจากธรรมชาติเดิมของมัน สติปัญญาของพวกมันสูงกว่าที่ควรเป็น อีกทั้งสถานที่แห่งนี้ราวกับถูกแยกออกจากโลกภายนอก… บางที ราชันของพวกมัน อาจมิได้อ่อนแอเช่นที่เจ้าคิด” อวี้เหวินขมวดคิ้วแน่น ในใจพลันรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล แต่ยังไม่ทันได้ขบคิดมากกว่านี้ ซ่งเหยียนเฟยก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าบาดเจ็บหนัก ข้าจะช่วยจัดการพวกมันเอง” ทันใดนั้น ปราณสีแดงฉานดุจโลหิตพลุ่งพล่านออกมาจากสร้อยคอ มันแผ่กระจายไปทั่วถ้ำ ประหนึ่งดาบเทพสังหารที่พร้อมจะเชือดเฉือนทุกสิ่งให้แหลกสลาย พริบตาเดียว ปราณคมกริบดั่งคมมีดนับพันเส้นพุ่งออกไป เสียงแหวกอากาศดังสนั่น ฉัวะ! ร่างของพยัคฆ์หางแมงป่องระดับหลอมกายาที่ซุ่มมองอยู่ถูกปราณดาบสีโลหิตเฉือนขาดสะบั้น แขนขาขาดกระเด็น เลือดดำพุ่งกระจายราวกับสายฝนที่โรยตัวลงสู่พื้น เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้องทั่วถ้ำ ก่อนร่างมหึมาจะระเบิดออกเป็นเศษเนื้อกระจายไปทั่วบริเวณ กลิ่นคาวคลุ้งไปทั่ว อวี้เหวินเพ่งมองภาพนั้น พลันรู้สึกถึงแรง
เมื่อดาบทลายฟ้าปรากฏขึ้น อำนาจอันลี้ลับราวสวรรค์สั่นสะเทือนดุจพายุคลั่ง แรงกดดันอันมหาศาลปกคลุมไปทั่วทั้งผืนพสุธา เงาดาบสะท้อนอยู่ในดวงเนตรแห่งพยัคฆ์หางแมงป่อง อสูรยักษ์ที่ครองพงไพรมายาวนานกลับเผยอาการหวาดหวั่นออกมาอย่างมิอาจปิดบัง มันตระหนักในบัดดลว่า สิ่งที่อยู่เบื้องหน้านี้มิใช่อาวุธธรรมดา หากแต่เป็นอาญาสิทธิ์แห่งสวรรค์ อันสามารถดับลมหายใจของมันได้เพียงชั่วพริบตา ทว่า แม้ความหวาดกลัวจะแล่นพล่านไปทั่วกาย พยัคฆ์หางแมงป่องหาได้ยอมศิโรราบไม่ มันคำรามก้องสะท้อนสะท้านฟ้า พลันพุ่งทะยานเข้าหาซ่งเหยียนเฟยด้วยพลังเฮือกสุดท้าย ปราณอสูรพวยพุ่งออกมาราวกับทะเลเพลิง เปลวไฟสีดำสนิทลุกโชนทั่วร่าง กลิ่นกำมะถันแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ ราวกับจะเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้มอดไหม้ มันแผดเสียงกึกก้อง ก่อนสะบัดกรงเล็บอันแหลมคม พุ่งทะลวงเข้าหาชายหนุ่มเบื้องหน้า ซ่งเหยียนเฟยก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างสงบนิ่ง คมดาบในมือสะท้อนประกายแห่งความตาย เขาหลุบตาลงเล็กน้อยก่อนกล่าวเสียงเย็นเยียบ “เจ้ากล้าหือกับข้าทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งใดอยู่ในมือข้า?” พยัคฆ์หางแมงป่องแยกเขี้ยว คำรามสะท้านสะเทือนปฐพี “เพียงเพราะดาบเล่มเดียว
อวี้เหวิน... เสื้อผ้าบนกายเรียบง่าย ท่าทางไม่สะดุดตาเมื่อเทียบกับอัจฉริยะอื่น ๆ ที่สวมอาภรณ์หรูหรา หากดวงตาของเขา กลับเปล่งแสงเฉียบคมเยี่ยงดาบลับที่ซุกซ่อนในฝัก ใบหน้าสงบเฉย นิ่งราวแผ่นน้ำในยามราตรี แต่ในความนิ่งนั้นกลับมีบางสิ่งซ่อนอยู่... ร้อนแรงและหนักหน่วงดุจอัสนีสายลับที่รอวันฟาดฟันเขาก้าวเดินไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าแท่นศิลาสายวัดพลังสายลมเย็นโชยเอื่อยพัดชายเสื้อของเขาเบา ๆ คล้ายจะรับรู้ถึงแรงอารมณ์อันแน่นขนัดของเขาในยามนี้...ไม่มีเสียง ไม่มีคำพูด ไม่มีท่าทีแสดงความฮึกเหิมมีเพียงความสงบก่อนพายุอวี้เหวินสูดลมหายใจเข้าช้า ๆในใจกลับดังก้องด้วยเสียงของซ่งเหยียนเฟยจากมิติสร้อยคอ“เจ้าจะเปิดเผยพลังจริงหรือไม่?”เด็กหนุ่มหลับตาลงครู่หนึ่ง ดวงจิตสงบนิ่ง ก่อนพึมพำในใจ...“ไม่จำเป็น...ในยามนี้”“เพียงพอแค่ให้โลกรู้ว่า ข้า มิใช่คนที่ควรดูแคลน”ฝ่ามือของเขากำแน่น พลังหมุนเวียนจากส่วนลึกในกาย ปะทุแผ่วเบาแต่ทรงอานุภาพ เคล็ดวิชา หมัดอัคนีสังหาร เริ่มไหลเวียนผ่านเส้นเอ็นเส้นเลือดอย่างกลมกลืน ราวกับเพลิงที่ถูกกรั่นกลั่นจากขุมนรกแม้เป็นเพียง ขั้นกลาง หากภายใต้ร่างกายที่ผ่านการฝึกฝนด้วย เตาอ
ในยามที่มิติภายในสร้อยคอผสานรวมกับผลึกทมิฬชิ้นใหม่ ความเปลี่ยนแปลงบางสิ่งก็เริ่มเกิดขึ้นอย่างแผ่วเบา หากแต่ลึกซึ้งจนสัมผัสได้ถึงแก่นแท้ของพลัง เสี้ยวหนึ่งของมิตินั้นเริ่มสั่นสะเทือนอย่างเงียบงัน ราวกับม่านหมอกอันดำสนิทที่เคยปกคลุมทั่วทุกทิศ เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นกระแสพลังทมิฬอันหนาแน่นและบริสุทธิ์กว่าก่อนหน้า ซ่งเหยียนเฟย เหินร่างจิ๋วอันงดงามประหนึ่งตุ๊กตาเทพหยก ก้าวเข้าสู่ความมืดมิดอันไร้จุดจบในมิติแห่งนี้ด้วยสีหน้าครุ่นคิดลึกซึ้ง ร่างของเขาแม้จะเล็กจ้อยดั่งนกน้อยในเงามังกร แต่ความเย่อหยิ่งสง่าของเผ่าทมิฬหาได้พร่ามัวลงไม่ ผ้าคลุมสีชาดโบกสะบัดพลิ้ว ท่ามกลางพลังปราณสีดำที่วนเวียนดั่งพายุใต้บาดาล “ความมืด… หนาขึ้นกว่าคราแรกเสียอีก” เสียงนุ่มลึกของเขาเอื้อนเอ่ยในความเงียบ เขายื่นฝ่ามือเรียวเล็กออกไป พลังทมิฬที่ปะทุอยู่อย่างแผ่วเบารอบตัวไหลซึมเข้าสู่ผิวเนื้อ ก่อเกิดประกายเรืองรองสีดำวาววับที่ชั้นผิว พลังอันน่าพิศวงนี้ไม่เพียงโอบอุ้มจิตใจ หากยังปลุกเร้ากายเนื้อให้เร่งฟื้นฟูราวปาฏิหาริย์ “เพียงแค่ชิ้นเดียว… มิติแห่งนี้กลับมีการตอบสนองถึงเพียงนี้?” ดวงเนตรเขม็งมองไปยังความเวิ้งว้างเบื้องหน้
สายลมยามบ่ายแห่งเมืองซูไห่พัดโบกเอื่อยเบา หอบเอากลิ่นคาวของทะเลสาบ ผสมกับกลิ่นหอมจางๆ ของโอสถสมุนไพรที่ลอยอวลอยู่ทั่วไปในตลาดกลางเมือง ผู้คนหลากชนชั้นเดินขวักไขว่ ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าแม่ขาย ผู้ฝึกยุทธ์ในชุดยาวแสดงยศสำนัก หรือแม้แต่ผู้คนธรรมดาที่ถือถุงห่อข้าวปลาเดินสัญจรไปมา บางคนกำลังต่อรองราคาสินค้าอย่างออกรส บ้างนั่งพักหลบร้อนใต้ร่มผ้าปูตลาดแห่งนี้อึกทึกทว่าไม่ไร้ระเบียบ บรรยากาศกลับแฝงไปด้วยเสน่ห์เฉพาะตัวที่หาไม่ได้จากหมู่บ้านเล็กอย่างเทียนฟู… อวี้เหวินเดินทอดสายตาไปรอบด้าน ความรู้สึกคล้ายอยู่ในโลกอีกใบที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด“นี่แหละเมืองซูไห่ของแท้…” อู๋ซวนยิ้มพลางกวักมือเรียก “ทางนั้นคือร้านขายอาวุธ ส่วนฝั่งโน้นมีโรงน้ำชาใหญ่ ท่านรู้ไหมว่าชั้นบนมีนักเล่านิทานระดับตำนานประจำทุกค่ำคืนเลย!”อวี้เหวินพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้กล่าวอันใด แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความสนใจสายตาทั้งสองพลันสะดุดเข้ากับร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางถนนรอง มุงด้วยหลังคาผ้าสีซีดดูธรรมดายิ่งนัก หากแต่ตั้งเรียงรายไว้ด้วย “ก้อนหิน” หลากขนาด สีสันไม่งดงาม ไม่อร่ามเรือง หากแต่แฝงกลิ่นอายเร้นลับ
รถม้าค่อยๆ แล่นผ่านถนนหินเรียบของเมืองซูไห่ บรรยากาศโดยรอบยังคงอบอวลด้วยกลิ่นสมุนไพรและไออุ่นของแสงแดดยามเที่ยง ใต้หลังคาโค้งของเรือนร้านค้า ผู้คนยังเดินขวักไขว่ด้วยจังหวะเร่งรีบที่แฝงด้วยจุดมุ่งหมาย เด็กเร่ขายข่าววิ่งสวนทางกับแม่ค้าขายโอสถ เงาของรถม้าคันหนึ่งทอดยาวลงบนพื้นหินราวกับบันทึกเส้นทางแห่งวาสนา ภายในรถ อวี้หลานยกม่านผ้าเปิดออกเล็กน้อย มองผ่านความพลุกพล่านไปยังตรอกซอยเบื้องหน้า ดวงตาเขาฉายแววเงียบขรึมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหันไปกล่าวกับชายชราที่ยังกุมบังเหียนอยู่ “ผู้อาวุโสหลี่ ที่ตรงนั้นคงจะพอแล้ว... พวกข้าสองพ่อลูกจะขอลงตรงนี้เถิด มิเหมาะนักที่จะรบกวนพวกท่านไปมากกว่านี้” ชายชราหันขวับกลับมา คิ้วขมวดเล็กน้อย “เหตุใดต้องรีบร้อนนัก น้องอวี้ เราเองก็เหมือนญาติมิตรกันแล้ว ไหนเลยจะเรียกว่ารบกวนได้?” อวี้หลานยิ้มบาง สีหน้าสงบ “ท่านผู้อาวุโสเป็นผู้มีคุณ ข้ากับบุตรชายเพียงได้รับเมตตา ชายชาติบัณฑิตควรรู้จักถนอมวาสนาให้เหมาะสม นับจากนี้เส้นทางของพวกข้าคงแตกต่างจากท่านแล้ว... ที่ตรงนี้เพียงพอ ขอบคุณท่านเป็นอย่างยิ่ง” ชายชราเงียบงันไปครู่ ก่อนถอนหายใจเบาๆ “เช่นนั้นก็แล้วแต่...
กลางป่าเงียบสงบที่บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสนามรบ เสียงฟาดปะทะและเสียงร้องคำรามแทรกซึมไปทั่วทุกอณูอากาศ ดั่งเสียงของสายฟ้าที่ฟาดลงกลางพงหญ้า เสียงแห่งการต่อสู้บังเกิดขึ้นพร้อมกับแสงจันทร์ที่ส่องลงมาอย่างเวทนา หัวหน้าโจรซึ่งบัดนี้ลุกขึ้นจากพื้นได้แล้ว ดวงตาเปี่ยมด้วยเพลิงโทสะ ร่างพุ่งเข้าใส่ชายชราผู้สงบเย็น แต่กลับแฝงด้วยความน่าเกรงขาม “แก...เจ้าคนเฒ่า! กล้าดีอย่างไรถึงกล้าซัดข้าก่อน!” “เจ้าต่างหากที่กล้าเสียยิ่งกว่า ข้าผู้มีอายุคราวปู่เจ้ายังไม่อาจปล่อยให้หยาบคายได้ตามอำเภอใจ” ชายชรากล่าวเสียงเรียบ ดวงตาทอประกายสงบนิ่ง แต่ฝ่ามือทั้งสองกลับกางออกอย่างมั่นคง ยืนตรึงพื้นดินประหนึ่งเสาเข็มแห่งขุนเขา พริบตานั้น สองร่างพุ่งเข้าหากัน เสียงหมัดกระทบหมัดดัง “ปัง!” ลั่นสนั่น แรงกระแทกแผ่สะเทือนไปทั่ว รถม้าไหววูบเล็กน้อย เศษใบไม้ปลิวว่อนในอากาศ ในอีกฟากหนึ่ง อวี้เหวินซัดหมัดอัคนีสังหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า ร่างของศัตรูแต่ละคนปลิวกระเด็นราวใบไม้หลุดจากกิ่ง ใบหน้าของเด็กหนุ่มเปื้อนเลือดของศัตรู แต่แววตานั้นยังคงแน่วแน่ไม่คลอนแคลน ขณะนั้นเอง พ่อของเขากำลังจะวิ่งเข้ามาช่วยเหลือด้วยมือเปล่า “ท่านพ่อ! ท่า
แสงแดดยามสายสาดส่องลอดผ่านช่องว่างของกิ่งไม้ ทาบเงาไม้เป็นลายทออยู่บนพื้นดินที่แห้งกรัง เสียงนกร้องก้องอยู่ไกลลิบคล้ายกำลังร่ำลา และลมยามเช้าที่แผ่วเบานั้นก็เย็นเยียบกว่าทุกวัน... หรือบางทีอวี้เหวินอาจเพียงรู้สึกไปเองวันนี้ วันที่เขาต้องก้าวเท้าออกจากหมู่บ้านแห่งนี้... ได้มาถึงแล้วเขายืนอยู่หน้าบ้านไม้เก่าหลังคุ้นเคย ใบหน้าเรียบนิ่ง แววตาค่อย ๆ กวาดมองจากหลังคาที่ยังมีรอยซ่อมเก่า ๆ ฝีมือของบิดา ลงมาจนถึงชานไม้ที่เขาเคยวิ่งเล่นสมัยเด็ก และหยุดอยู่ที่บานประตูที่เขาเคยเปิดปิดนับครั้งไม่ถ้วนในแต่ละวันทุกสิ่งล้วนเงียบสงบเกินไป“ต่อจากนี้... บ้านหลังนี้ คงเงียบเหงาไร้ผู้คนแล้วกระมัง”เสียงพึมพำของเขาเบาจนแทบถูกกลืนไปกับสายลม ทว่าในใจกลับหนักอึ้งยิ่งนักตั้งแต่ลืมตาดูโลกเมื่อสิบห้าปีก่อน เขาไม่เคยก้าวออกไปไกลกว่าภูเขาหลังหมู่บ้านเลย บ้านหลังน้อยหลังนี้คือทั้งโลกของเขา เป็นที่ที่เขาเรียนรู้จักความอบอุ่น ความทุกข์ และความหวังขณะที่สายตายังทอดมองบ้านหลังนั้น อวี้เหวินพลันส่ายหัวเบา ๆ อย่างรำคาญตัวเอง ราวกับจะสะบัดความอาลัยออกจากใจ ก่อนจะละสายตาจากภาพตรงหน้า แล้วถอนหายใจออกมาอย่างเงียบงัน“
ชายชราสบถในใจ ‘ข้าจะไม่ปล่อยให้ศึกนี้ยืดเยื้อต่อไปอีก!’เขาสะบัดแขนเสื้อ มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปหยิบของบางสิ่ง มันคือ “ยันต์มารสังหาร” อักขระโบราณที่สลักไว้ด้วยโลหิตของจอมยุทธ์ยุคบรรพกาล พลังมารเข้มข้นหมุนวนอยู่ภายใน พอปรากฏออกมาก็ส่งกลิ่นอายมรณะจนพืชพรรณรอบข้างเหี่ยวเฉาในพริบตาชายชรากระตุกยิ้มเย็น แรงกดดันจากพลังมารพลันทวีคูณ เขาโยนยันต์ออกไปกลางอากาศ ก่อนจะร่ายอาคมควบคุม มันเปล่งแสงสีดำสนิท ก่อนจะพุ่งทะลวงเข้าใส่อสรพิษยักษ์“จงสลายไปซะ!” เขากล่าวเสียงก้องยันต์มารสังหารพุ่งเข้าใส่ร่างของอสรพิษยักษ์โดยตรง พลังมหาศาลปะทุขึ้นเป็นระลอก เงามารมหึมาปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้า กดทับร่างของมันไว้แน่น ก่อนที่เส้นแสงสีดำจะฉีกกระชากพลังอสูรของมันจนแหลกสลายอสรพิษยักษ์กรีดร้องเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างของมันจะค่อย ๆ แหลกสลายไปกับสายลม เหลือเพียงเถ้าถ่านสีดำล่องลอยอยู่กลางอากาศชายชราหอบหายใจ ดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นชา เขาเก็บยันต์ที่เหลือกลับเข้าไป ก่อนจะปรายตามองอวี้เหวินที่ซุ่มอยู่ห่าง ๆ ‘เจ้าหนู ข้ารู้นะว่าเจ้าคิดอะไรอยู่…’ชายชราจ้องมองซากของอสรพิษยักษ์ที่แน่นิ่งอยู่ตรงหน้า ดวงตาของเขาทอประกายเย
ภายในเรือนรับรองแขกแห่งหมู่บ้านเทียนฟู บรรยากาศในห้องเจรจาคลุ้งไปด้วยกลิ่นชาอ่อน ๆ ควันจางลอยขึ้นจากกาน้ำชาเคลือบเงา หวังหยวนนั่งอยู่ ณ ที่นั่งอันสูงศักดิ์ เบื้องหน้าคือหัวหน้าหมู่บ้านเทียนฟู ผู้มีท่าทางสุขุมแต่แววตาเต็มไปด้วยความกังวล "ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าได้ยินมาว่าเมื่อประมาณหนึ่งถึงสองเดือนก่อน มีแสงประหลาดดั่งดาวตกพุ่งลงมายังเขตเขาใกล้หมู่บ้านแห่งนี้ มิทราบว่ามีผู้ใดเห็นสิ่งนั้นอย่างชัดเจนบ้างหรือไม่" หวังหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยความหมายล้ำลึก หัวหน้าหมู่บ้านขยับกาน้ำชาช้า ๆ ก่อนถอนหายใจเบา ๆ "เรื่องนี้... ข้าเองก็ได้ยินมาอยู่บ้าง มีชาวบ้านบางคนอ้างว่าเห็นประกายสีแดงฉาน ตกลงยังหุบเขา แต่...หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปสำรวจด้วยตนเอง" เขาเว้นระยะไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงเบา "ท่านเองก็มาที่นี่เพราะเหตุนี้ใช่หรือไม่?" หวังหยวนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พลางจิบชาตรงหน้า สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง แต่ภายในดวงตา ทอแววพินิจครุ่นคิดอยู่ลึก ๆ "ในเมื่อมีดาวตกปริศนา ตกลงในเขตนี้ แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปตรวจสอบเลยแม้แต่ผู้เดียว? หรือว่า... มีบางสิ่งที่มิอาจเปิดเผย
ผ่านไปหลายชั่วยาม ท่ามกลางสายลมราตรีอันเงียบสงัด เงาหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือปากปล่องลาวา ลมวูบหนึ่งพัดไอร้อนให้กระจายออก เผยให้เห็นร่างของชายชราในอาภรณ์ดำหม่น เส้นผมสีเทาแซมขาวปล่อยยาวถึงกลางหลัง ดวงตาเรียวเล็กเป็นประกายเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มมุมปากฉายความเจ้าแผนการอันลึกล้ำ ชายชราผู้นี้ดูคล้ายเร่ร่อนไร้หลักแหล่ง แต่ทุกอากัปกิริยากลับเต็มไปด้วยพลังอันลึกล้ำ และแฝงกลิ่นอายของพรรคมารอย่างเด่นชัด เขากวาดตามองร่องรอยพลังที่ยังคงหลงเหลืออยู่ บ่อลาวาที่ยังคงเดือดพล่าน และเศษซากของแรงระเบิด ก่อนจะยกมือขึ้นลูบเคราของตนพลางถอนหายใจเบา ๆ “มาสายไปงั้นรึ?” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเสียดาย ราวกับพลาดโอกาสสำคัญไปเสียแล้ว เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าแล้วเปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นเรียบเฉย แต่ในดวงตากลับฉายแววครุ่นคิด คำนวณกลอุบายภายในใจ “ภูเขาแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านแห่งหนึ่ง… บางทีที่นั่นอาจมีเบาะแสที่ข้าต้องการ” เขาพึมพำกับตนเอง ก่อนจะกระตุกยิ้มบาง ๆ อย่างมีเลศนัย แล้วในชั่วพริบตา ร่างของเขาก็พลันเลือนหายไปพร้อมกับสายลม ทิ้งไว้เพียงกลิ่นอายแห่งความลึกลับ และแรงลมที่พัดกระพือรอบพื้นที่นั้น ---