Home / แฟนตาซี / ดาบพิฆาตสลับนภา / บทที่7 เตาอัสนีวิบัติหลอมกายา ปฐมบทแห่งการแปรเปลี่ยน

Share

บทที่7 เตาอัสนีวิบัติหลอมกายา ปฐมบทแห่งการแปรเปลี่ยน

Author: Prince_White
last update Huling Na-update: 2025-04-20 16:20:53

ในห้วงสำนึกของซ่งเหยียนเฟย

'เหตุใดข้าจึงมิอาจขยับเขยื้อนกายได้?' ความรู้สึกอึดอัดประดุจถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ทว่าท่ามกลางความอึดอัดนั้น กลับมีกระแสไออุ่นอันแสนสบายราวกับแสงตะวันยามเช้าค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ทุกอณูของร่างกาย

'สิ่งนี้คืออันใดกัน? ข้ารู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างประหลาด ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นแขนขาที่ข้าเคยใช้มานับครั้งไม่ถ้วน' ดวงจิตในห้วงสำนึกจับจ้องไปยังอวัยวะภายในที่ถูกห่อหุ้มด้วยม่านพลังสีดำมืดสนิท ราวกับราตรีที่ไร้ซึ่งดวงดาว

"อ๊ากกก!" ฉับพลันทันใดนั้นเอง กระแสพลังแห่งความมืดที่เคยอ่อนโยนกลับแปรเปลี่ยนเป็นคมมีดนับพันเล่ม กรีดแทงลึกลงไปในส่วนที่สึกหรอ บาดแผล และความอ่อนแอภายในร่างกายของเขา สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสราวกับถูกฉีกทึ้งวิญญาณ ทว่าเมื่อห้วงเวลาแห่งความทรมานนั้นค่อยๆ ผ่านพ้นไป อาการบาดเจ็บภายในที่เคยร้าวรานกลับค่อยๆ สมานตัวดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ราวกับได้รับการชุบชีวิตใหม่ ทันใดนั้นเอง ความทรงจำและองค์ความรู้บางอย่างก็ไหลบ่าเข้ามาในห้วงสำนึกของเขา

'หรือว่า...จะเป็นพลังทมิฬ? พลังแห่งความมืดมิดที่บริสุทธิ์ สีดำสนิทดุจห้วงอวกาศ คุณสมบัติในการฟื้นฟูและซ่อมแซมที่ทรงพลังถึงเพียงนี้ แถมข้ายังรู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างลึกซึ้ง ต้องใช่แน่ๆ!' ดวงจิตของเขารู้สึกปิติยินดีราวกับได้พบเจอขุมทรัพย์อันล้ำค่าในยามยากลำบาก

"ฮ่าๆ! ช่างเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง! ข้าตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย ถูกศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าไล่ล่าสังหารจนแทบสิ้นชีวิต แต่พระเจ้ายังคงเมตตา ประทานโอกาสให้ข้าได้พบพานกับสมบัติล้ำค่าที่จะช่วยให้ข้ากลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้ง!" เขาหัวเราะออกมาด้วยความสุขที่เอ่อล้นในอก ทว่าความสุขนั้นมักจะอยู่ได้เพียงชั่วครู่ ก่อนที่...

"อ๊ากกก!" ความรู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัสก็หวนกลับมาอีกครั้ง ราวกับคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งอย่างไม่หยุดหย่อน วนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งถึงขีดจำกัดที่ซ่งเหยียนเฟยมิอาจทนทานต่อความเจ็บปวดที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะได้อีกต่อไป พลันสติสัมปชัญญะก็ดับวูบลงสู่ห้วงนิทราอันมืดมิด เพราะยิ่งพลังทมิฬทำการซ่อมแซมบาดแผลภายในมากเท่าใด ความเจ็บปวดก็จะยิ่งทวีคูณขึ้นเป็นเงาตามตัว หากเป็นผู้ฝึกตนทั่วไปที่ไม่เคยผ่านการบ่มเพาะร่างกายมาอย่างเข้มงวด คงจะสิ้นใจตายไปตั้งแต่การซ่อมแซมเพียงไม่กี่ครั้งแรกแล้ว

วันเวลาล่วงเลยผ่านไปดุจสายน้ำที่ไหลริน เช้าวันใหม่ก็มาเยือน อวี้เหวินออกมาฝึกฝนร่างกายแต่เช้ามืด ณ ลานฝึกเล็กๆ หลังเรือน แสงตะวันสีทองสาดส่องลงมาต้องร่างของเขาที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างขะมักเขม้น เหงื่อเม็ดโตผุดพรายไหลรินอาบไปทั่วใบหน้าและแผ่นหลังจากการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง เขากำลังฝึกฝนร่างกายด้วยท่าทางพื้นฐาน เริ่มจากการดันพื้นอย่างตั้งใจ สลับกับการกระโดดตบเบาๆ จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นการฝึกชกมวย ปล่อยหมัดซ้ายขวาเข้าเป้าที่แขวนไว้ด้วยความมุ่งมั่น แม้ท่าทางจะยังไม่คล่องแคล่วมากนัก แต่ทุกการเคลื่อนไหวก็แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกายของตนเอง

"เจ้าหนุ่มน้อย ปีนี้เจ้ามีอายุเท่าใดแล้วหรือ?" เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นจากทางด้านหลัง ราวกับสายลมที่พัดมากระทบผิวกาย ขณะอวี้เหวินกำลังยกมือขึ้นปาดหยาดเหงื่อที่ไหลรินอาบแก้มลงสู่คาง

อวี้เหวินหันขวับกลับไปมองยังต้นเสียงนั้น "เจ้าฟื้นคืนสติแล้วหรือ... อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ข้าก็จะอายุสิบห้าปีเต็ม" เขาตอบกลับด้วยความยินดีที่เห็นดวงตาคมกริบของอีกฝ่ายกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

"อายุสิบห้าปีแล้ว แต่พลังบ่มเพาะยังคงวนเวียนอยู่ที่ขั้นก่อตั้งรากฐาน ช่างเป็นความเชื่องช้าที่น่าสมเพชยิ่งนัก นี่มิแตกต่างอันใดจากเศษขยะที่ไร้ค่า!" ซ่งเหยียนเฟยส่ายศีรษะเล็กน้อย ดวงตาคู่คมกริบฉายแววเย้ยหยันอย่างไม่ปิดบัง

"เจ้า!!" อวี้เหวินกำหมัดแน่น ความขุ่นเคืองแล่นริ้วไปทั่วร่างที่ถูกดูแคลนอย่างไร้ปราณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้ที่มีรูปลักษณ์ภายนอกยังเยาว์วัยราวกับเด็กน้อย "เช่นนั้นแล้ว ผู้ที่มิใช่เศษขยะเช่นเจ้า ใช้เวลาเนิ่นนานเพียงใดในการทะลวงสู่ขั้นแรกแห่งการบ่มเพาะ?"

"ฮ่าๆ! เจ้าบังอาจถามนายน้อยผู้นี้เชียวหรือ? ข้าใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนจันทร์ดับเท่านั้นในการก้าวเข้าสู่ขั้นแรกแห่งการบ่มเพาะพลัง และในตอนนั้นข้ามีอายุเพียงแปดขวบปี!" ซ่งเหยียนเฟยยกยิ้มหยันที่มุมปาก มองไปยังอวี้เหวินด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเหนือกว่าราวกับมองมดปลวก

'คนผู้นี้ แม้จะโอ้อวดราวกับเป็นสันดาน ทว่าคำกล่าวนี้กลับมิได้เสแสร้งแกล้งทำ เนื่องจากความภาคภูมิใจที่เปล่งประกายเจิดจ้าอยู่ในน้ำเสียงและแววตาของเขา' อวี้เหวินพิจารณาซ่งเหยียนเฟยอย่างลึกซึ้ง พลางครุ่นคิดถึงความแตกต่างระหว่างตนเองและอีกฝ่าย

เมื่อซ่งเหยียนเฟยสังเกตเห็นความเงียบงันของอวี้เหวิน จึงคาดเดาว่าคำพูดของตนอาจจะกระทบกระเทือนจิตใจของอีกฝ่ายก็เป็นได้

"แต่ก็ใช่ว่าเจ้าจะมิอาจก้าวหน้าอย่างรวดเร็วได้ หากว่าเจ้ามีเคล็ดวิชาชั้นสูงให้ฝึกฝนอย่างถูกครรลองคลองธรรม" เขาจึงกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงเล็กน้อย

"เคล็ดวิชาชั้นสูง? ฮ่าๆ! ช่างเป็นเรื่องที่น่าหัวร่อสิ้นดี ข้าเป็นเพียงแค่บุตรชาวบ้านธรรมดา มิมีอาจารย์ผู้ทรงภูมิชี้นำ ไม่มีสำนักอันเกรียงไกรให้ร่ำเรียน จะมีโอกาสได้สัมผัสเคล็ดวิชาล้ำค่าเช่นนั้นได้อย่างไร? นี่เป็นเพียงแค่มวยพื้นฐานที่ท่านพ่อข้าสั่งสอนไว้เท่านั้น" อวี้เหวินส่ายศีรษะอย่างจนหนทาง

"เช่นนั้นแล้ว หากว่าข้ามีเล่า?" เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยเลศนัย ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังอวี้เหวินอย่างมีความหมาย

อวี้เหวินพลันเงยหน้าขึ้น สบสายตากับซ่งเหยียนเฟยอย่างตรงไปตรงมา ดวงตาของเขาเปล่งประกายแห่งความหวัง

"เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่ ถึงได้มากล่าวถึงเรื่องนี้กับข้า?" สำหรับอวี้เหวินแล้ว เคล็ดวิชาชั้นสูงเปรียบเสมือนแสงนำทางในความมืดมิด เป็นสิ่งที่เขาปรารถนาอย่างยิ่งในยามนี้ เขาต้องการพลังอำนาจที่แข็งแกร่งเหนือผู้ใด ต้องการความก้าวหน้าที่รวดเร็วที่สุด เพื่อที่จะนำมารดาของเขากลับคืนสู่ครอบครัวอีกครั้ง

"สร้อยเส้นนี้... ข้าขอได้หรือไม่?" ซ่งเหยียนเฟยเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความกระวนกระวายใจอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาคู่คมจับจ้องไปยังสร้อยคอสีดำในมืออย่างไม่ละสายตา "แล้วข้าจะมอบเคล็ดวิชาทุกอย่างที่เจ้าปรารถนาให้แก่เจ้าเป็นการตอบแทน" พลางยกมือที่กำสร้อยคอเส้นนั้นขึ้นมาเล็กน้อย ราวกับเป็นการยื่นข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธได้

อวี้เหวินทอดสายตามองไปยังสร้อยคอเส้นนั้นอย่างชั่งใจ ความคิดมากมายไหลวนอยู่ในห้วงสมองของเขา ด้านหนึ่งคือความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยเหลือมารดา อีกด้านหนึ่งคือความผูกพันและความทรงจำอันล้ำค่าที่สร้อยเส้นนี้เป็นตัวแทน

"มิได้!" อวี้เหวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แม้ภายในใจจะรู้สึกหวั่นไหวอยู่บ้าง

"ข้ามิอาจยกสร้อยเส้นนี้ให้แก่เจ้าได้ มันเป็นของที่ท่านแม่ข้ามอบให้ไว้ด้วยมือของนางเอง ในวันที่ข้ายังเป็นเพียงเด็กน้อย ท่านแม่กล่าวว่ามันเป็นสมบัติป้องกันภัยอันล้ำค่าที่จะคอยคุ้มครองข้าจากอันตรายทั้งปวง อีกทั้งยังเป็นของแทนใจที่ข้าจะไม่มีวันลืมเลือนตราบชั่วชีวิต" น้ำเสียงของเขาแสดงออกถึงความรักและความผูกพันอันลึกซึ้งต่อมารดา

"เจ้า!" ซ่งเหยียนเฟยขบฟันแน่น ดวงตาฉายแววร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด "เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่ จงบอกข้ามาเถิด ข้าจะสรรหามาให้เจ้าจนได้ ไม่ว่าจะเป็นสมบัติ ยาหายาก หรือแม้แต่อาวุธวิเศษ ข้าก็จะหามาประเคนให้เจ้า!" น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความร้อนใจและต้องการที่จะได้สร้อยเส้นนั้นมาครอบครอง

"ข้ากล่าวแล้วว่ามิได้ ก็คือมิได้!" อวี้เหวินย้ำคำเดิมอย่างหนักแน่น ใบหน้าคมสันแสดงออกถึงความเด็ดเดี่ยว "สิ่งนี้มิได้อยู่ที่มูลค่าหรือความวิเศษใดๆ ของตัวมัน แต่มันสำคัญที่จิตใจและความทรงจำอันล้ำค่าที่ข้ามีต่อท่านแม่ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจในความรู้สึกของข้า" เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นและจริงจัง

ซ่งเหยียนเฟยมีสีหน้าเศร้าสร้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ไหล่ทั้งสองข้างตกลงเล็กน้อย ดวงตาคู่คมหม่นแสงลงราวกับสูญสิ้นความหวัง

"สิ่งนี้จำเป็นต่อข้าอย่างยิ่งจริงๆ ถือเป็นสิ่งที่จะช่วยชีวิตข้าไว้ได้ในยามคับขัน เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปของข้าอย่างมหาศาล"

ก่อนที่เขาจะโอดครวญต่อไป ราวกับนึกคิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ แววตาของเขาก็เปล่งประกายความหวังขึ้นอีกครั้ง

"เช่นนั้นแล้ว ให้ข้ายืมใช้สักระยะหนึ่งได้หรือไม่? ในช่วงเวลานี้ ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดเวลาดุจเงาตามตัว เจ้าต้องการทวงคืนเมื่อใดก็ได้ ข้าจะยินดีคืนให้โดยไม่มีข้อแม้ แถมข้ายังจะมอบเคล็ดวิชาล้ำค่า สมบัติหายาก อาวุธวิเศษที่ข้ามีให้แก่เจ้าเป็นการตอบแทนด้วย หากเจ้าประสบอันตรายใดๆ ข้าจะออกหน้าช่วยเหลือเจ้าอย่างสุดกำลัง อีกประการหนึ่ง สิ่งนี้มีประโยชน์ต่อตัวข้ามากกว่าเจ้าในยามนี้ เมื่อภารกิจของข้าสำเร็จลุล่วง ข้าจะส่งคืนให้เจ้าอย่างแน่นอน" เขาอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความจริงใจและวิงวอน ราวกับเด็กน้อยที่กำลังขอของเล่นชิ้นโปรด

อวี้เหวินได้ยินดังนั้นก็ตกอยู่ในความเงียบงันไปครู่หนึ่ง ความคิดมากมายสับสนวุ่นวายอยู่ในหัวของเขา เขาถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ราวกับกำลังตัดสินใจในเรื่องที่ยากลำบาก

"ตกลง ตามที่เจ้ากล่าวมา ข้าหวังว่าบุรุษผู้มีเกียรติจะไม่คืนคำ ข้าจะให้เจ้ายืม" ด้วยเหตุผลที่ว่าเคล็ดพลังยุทธ์ เคล็ดวิชาการต่อสู้ และอาวุธต่างๆ นั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเขาในตอนนี้ เพื่อใช้ในการเพิ่มพูนฐานพลังบ่มเพาะและเสริมสร้างพลังการต่อสู้ให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ในการช่วยเหลือมารดาของเขาได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งข้อตกลงนี้ก็มิได้มีสิ่งใดเป็นผลเสียต่อเขาเลย ตรงกันข้ามกลับเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง ไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะต้องปฏิเสธข้อเสนอนี้

"แน่นอน! แน่นอนที่สุด! นายน้อยผู้นี้เป็นผู้รักษาคำพูดดียิ่งนัก เจ้าจงวางใจได้เลย" ซ่งเหยียนเฟยรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจอย่างออกนอกหน้า เกรงว่าอวี้เหวินจะเปลี่ยนใจในภายหลัง พลางคลี่ยิ้มกว้างอย่างโล่งอก ราวกับยกภูเขาออกจากอก

"ฮ่าๆ! สัญญาย่อมเป็นสัญญา ในเมื่อเจ้ามีน้ำใจให้ข้ายืมแล้ว ดังนั้นข้าก็จะมอบเคล็ดวิชาให้แก่เจ้าตามที่ได้ลั่นวาจาไว้" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริง พลางยกนิ้วชี้ขึ้น กดลงบนหน้าผากของอวี้เหวินเบาๆ

"จิ๊ด!" ทันใดนั้นเอง ข้อมูลมหาศาลก็ไหลทะลักเข้าสู่ห้วงสมองของอวี้เหวินราวกับกระแสน้ำป่าที่ไหลเชี่ยวกราก ความรู้สึกเจ็บปวดราวกับศีรษะกำลังจะระเบิดแผ่ซ่านไปทั่วทั้งสมอง ทว่าอวี้เหวินกัดฟันแน่น ข่มความเจ็บปวดนั้นไว้ด้วยความอดทน ชั่วครู่หนึ่งกระแสข้อมูลที่ไหลบ่าเข้ามาก็ค่อยๆ ชะลอตัวลงจนกระทั่งหยุดสนิท

อวี้เหวินจึงทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ ตั้งจิตสงบเพื่อปรับแต่งและเรียบเรียงความรู้ที่ได้รับมา ผ่านไปชั่วก้านธูป เขาก็ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ

ซ่งเหยียนเฟยเห็นดังนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

"เคล็ดวิชากายที่ข้ามอบให้เจ้าในครั้งนี้ ถือว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับเจ้าในยามนี้ สำหรับผู้ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการบ่มเพาะในระดับก่อตั้งรากฐาน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสร้างรากฐานร่างกายที่แข็งแกร่งจากภายใน ดังนั้น เคล็ดวิชา 'เตาอัสนีวิบัติ' จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด"

จากนั้นอวี้เหวินจึงทบทวนเนื้อหาของเคล็ดวิชานั้นในความทรงจำของตนเองอย่างละเอียด

'เคล็ดวิชาเตาอัสนีวิบัตินี้ แบ่งออกเป็นสามระดับใหญ่ ขั้นแรกคือการใช้เพลิงปราณหล่อหลอมร่างกายตนเองดุจดั่งดาบที่ถูกตีขึ้นจากเตาหลอม ขจัดสิ่งสกปรกและมลทินออกจากร่างกาย สร้างความบริสุทธิ์ให้แก่ทุกส่วน หากฝึกฝนในสถานที่ที่มีความร้อนระอุ เช่นบริเวณภูเขาไฟ ก็จะสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น การฝึกฝนในขั้นแรกนี้จะเทียบเท่ากับพลังของผู้ที่อยู่ในขั้นก่อตั้งรากฐาน

ขั้นที่สองคือการทุบตีและขัดเกลาดาบ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความหนาแน่นของร่างกายให้มากยิ่งขึ้น การฝึกฝนในขั้นนี้จำเป็นต้องผ่านการต่อสู้จริงเท่านั้น ยิ่งร่างกายได้รับการโจมตีที่รุนแรงมากเท่าไหร่ ความแข็งแกร่งก็จะยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น ขั้นนี้จะเทียบเท่ากับผู้ที่อยู่ในขั้นกำเนิดกาย และขั้นสุดท้าย

ขั้นที่สามคือการใช้อัสนีบาตหล่อหลอมร่างกายให้แข็งแกร่งถึงขีดสุด ทนทานราวกับดาบเทพที่มิมีสิ่งใดทำลายได้ ความแข็งแกร่งในขั้นนี้จะเทียบเท่ากับผู้ที่อยู่ในขั้นหลอมรวมกายา และในแต่ละระดับใหญ่ก็จะแบ่งออกเป็นสามขั้นย่อย ได้แก่ ขั้นแรกเริ่ม ขั้นกลาง และขั้นสูงสุด'

ดังนั้น หากอวี้เหวินสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชานี้จนสำเร็จ เขาก็จะมีความแข็งแกร่งเหนือกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันอย่างน้อยสองเท่าเลยทีเดียว

'หากข้าปรารถนาจะบรรลุเคล็ดวิชาขั้นแรกอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องเสาะหาสถานที่ที่เหมาะสมที่สุด ข่าวลือที่เล่าขานในหมู่บ้านนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก กล่าวว่าลึกเข้าไปในเทือกเขานี้ มีถ้ำลึกดำมืดแห่งหนึ่ง ที่ความแห้งแล้งแผดเผาร้อนระอุถึงขีดสุด พื้นดินเดือดพล่านราวกับหม้อโลหะที่ถูกไฟเผา หากแม้แต่มนุษย์ผู้แข็งแกร่งยังมิอาจทนทานอยู่ได้เกินครึ่งชั่วยาม ร่างกายก็จะถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าธุลี นี่คือดินแดนต้องห้ามที่เต็มไปด้วยอันตรายถึงชีวิต ทว่าในถ้ำนั้นกลับเป็นรังของพยัคฆ์หางแมงป่อง สัตว์อสูรชั้นต่ำก็จริง แต่ด้วยพิษร้ายและพละกำลังที่น่าสะพรึงกลัว มันยังคงเป็นภัยคุกคามร้ายแรงสำหรับข้าในยามนี้' อวี้เหวินครุ่นคิดอย่างหนักหน่วง ดวงตาคมกริบฉายแววแน่วแน่ปนความกังวล ก่อนจะหันไปมองร่างเล็กจิ๋วของซ่งเหยียนเฟยที่กำลังหลับใหลอยู่บนเตียง

'ฮ่าๆ! ข้ามีผู้คุ้มกันที่แข็งแกร่งดุจเทพเซียนอยู่เคียงข้างกายแล้วนี่นา ช่างเป็นโชคชะตาที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เอาเป็นว่าค่อยไปสำรวจถ้ำนั้นในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน' เขายิ้มให้กับความคิดอันชาญฉลาดของตนเองอย่างพึงพอใจ

หลังจากอวี้เหวินเสร็จสิ้นการฝึกฝนร่างกายอันเหนื่อยล้าประจำวัน ซ่งเหยียนเฟยก็ขอตัวเข้าไปฟื้นฟูพลังในห้องพักอันเงียบสงัด โดยมีหินดำลึกลับเม็ดนั้นเป็นสื่อนำพลัง

กาลเวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว ราตรีอันมืดมิดได้ปกคลุมไปทั่วผืนฟ้า แสงจันทร์สีเงินสาดส่องลอดหน้าต่างไม้เข้ามาในห้องพักอันคับแคบ ภายในหินดำลึกลับที่วางอยู่บนเตียงนั้นเอง

"ฮ่าๆ! ในที่สุด ข้าก็สามารถเข้ามาได้จนได้ ช่างเป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย หินลึกลับเม็ดนี้ซ่อนมิติอันพิสดารไว้ภายในจริงๆ ด้วย!" ซ่งเหยียนเฟยหัวเราะก้องกังวานด้วยความยินดี ราวกับนักโทษที่เพิ่งถูกปลดปล่อย

เขากวาดสายตามองไปโดยรอบ มิติภายในหินดำถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดอันไร้ขอบเขต ราวกับห้วงอวกาศอันเวิ้งว้าง ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวและน่าหวาดหวั่นอย่างประหลาด ยิ่งเขาเหยียบย่างลึกลงไป หมอกปราณสีทมิฬก็ยิ่งหนาแน่นขึ้นจนแทบจะกลั่นตัวเป็นหยาดน้ำค้าง สัมผัสเย็นเยียบของหมอกปราณกลับทำให้ซ่งเหยียนเฟยรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและสบายกายอย่างยิ่ง

ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขากลับมาเฉียบคมราวกับใบมีด พลังปราณทมิฬอันบริสุทธิ์และเข้มข้นถูกดูดซับผ่านทางรูขุมขนทั่วทั้งร่าง ไหลเวียนเข้าสู่ตันเถียนอย่างรวดเร็วและทรงพลัง พวกมันไหลเวียนไปทั่วทุกส่วนของร่างกายที่บอบช้ำ ทำการซ่อมแซมแก่นชีพจรที่แตกสลายของซ่งเหยียนเฟย ช่วยสมานบาดแผลฉกรรจ์และรักษาอาการบาดเจ็บภายในของเขาอย่างช้าๆ ทว่ามั่นคงราวกับสายน้ำที่ไม่เคยหยุดไหล

เขาจึงทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิบนพื้นดินที่เย็นเยียบและมืดมิด ดูดซับพลังปราณทมิฬอันมหาศาลเพื่อฟื้นฟูร่างกายและจิตวิญญาณของตนเองในมิติแห่งนี้เป็นเวลายาวนาน จนกระทั่งค่ำคืนอันเงียบสงัดได้ล่วงเลยผ่านพ้นไปสู่รุ่งอรุณของวันใหม่

ยามรุ่งอรุณ อวี้เหวินตื่นขึ้นด้วยความกระปรี้กระเปร่า เตรียมตัวที่จะมุ่งหน้าสู่เทือกเขาอีกครั้ง ทว่าครานี้มิใช่เพื่อล่าสัตว์ป่าอันใด หากแต่เป็นการเดินทางเพื่อฝึกฝนพลังบ่มเพาะ

เช้านี้เขาได้ปรึกษาหารือกับซ่งเหยียนเฟย สังเกตเห็นว่าสีหน้าของอีกฝ่ายดูสดใสขึ้นกว่าเดิมมาก นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า หินดำลึกลับเม็ดนั้นมีคุณูปการต่อซ่งเหยียนเฟยอย่างแท้จริง มิได้เป็นเพียงคำกล่าวอ้างที่ไร้สาระ

"วันนี้ข้าจะขึ้นเขาไปฝึกฝนเคล็ดวิชาเตาอัสนีวิบัติ มีสถานที่แห่งหนึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการฝึกฝนในขั้นแรก แต่สถานที่แห่งนั้นสำหรับข้าในตอนนี้ยังคงเต็มไปด้วยอันตราย" อวี้เหวินกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

"ดังนั้นเจ้าจึงต้องการให้นายน้อยผู้นี้ติดตามเจ้าไป เพื่อคุ้มกันภัยให้เจ้ากระนั้นหรือ เจ้าหนู?" ซ่งเหยียนเฟยเอ่ยด้วยท่าทางเบื่อหน่าย ราวกับอ่านความคิดของอวี้เหวินได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

"ใช่ ตามข้อตกลงของเรา หนึ่งในนั้นคือเจ้าต้องเป็นผู้คุ้มกันภัยให้แก่ข้า" อวี้เหวินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทว่าแววตากลับฉายความมุ่งมั่น

"ก็ได้ๆ ตกลง เราจะออกเดินทางกันเลยหรือไม่?" ซ่งเหยียนเฟยรับคำอย่างเสียมิได้ ท่าทางยังคงแฝงไว้ด้วยความขี้เกียจ

"อีกครึ่งชั่วยาม เราจะออกเดินทาง ข้าขอเวลาเตรียมตัวสักครู่" อวี้เหวินกล่าว พลางลุกขึ้นไปจัดเตรียมสัมภาระที่จำเป็น

เมื่อถึงเวลาออกเดินทาง ซ่งเหยียนเฟยก็ได้กลับเข้าไปสู่มิติภายในหินดำลึกลับ สร้อยคอเส้นนั้นจึงกลับมาคล้องอยู่บนลำคอของเจ้าของเดิม อวี้เหวิน ในขณะที่เขากำลังจะก้าวเท้าออกจากเรือน

"เหวินเออร์ จำไว้ว่าความปลอดภัยของเจ้าสำคัญที่สุด และอย่ารอจนตะวันลับฟ้าจึงค่อยกลับมา" เสียงทุ้มนุ่มของอวี้หลานดังขึ้นจากด้านใน

อวี้เหวินได้แจ้งแก่บิดาของเขาตั้งแต่ยามเย็นถึงแผนการที่จะขึ้นไปฝึกฝนบนเทือกเขาเพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว เพียงแต่เขาเกรงว่าบิดาจะเป็นห่วงและห้ามปรามมิให้เขาไป เขาจึงกล่าวเพียงว่าจะไปฝึกฝนบริเวณรอบนอกของภูเขาที่ปราศจากสัตว์อสูร

"ลูกจะจดจำไว้ในใจขอรับ" อวี้เหวินรับคำด้วยความเคารพ

"สาวน้อยที่เจ้าช่วยเหลือนำกลับบ้านมา นางอยู่แห่งหนใด? เหตุใดข้าจึงมิได้พบนางเลย?" อวี้หลานกวาดสายตามองไปรอบๆ เรือนอย่างละเอียด ราวกับกำลังค้นหาใครบางคนที่ซ่อนตัวอยู่

"เจ้าหนู เจ้ามิควรให้บิดาของเจ้ารู้ว่าข้ายังคงอยู่กับเจ้าในเวลานี้ เขายังคงหวาดระแวงข้าอยู่ ควรต้องรอเวลาอีกสักพัก" เสียงกระซิบแผ่วเบาของซ่งเหยียนเฟยดังขึ้นในห้วงความคิดของอวี้เหวิน ราวกับเสียงกระซิบจากอีกมิติ

"นาง... นางได้ขอตัวกลับไปยังถิ่นฐานของนางแล้วขอรับ ท่านพ่อ นางรู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาของข้าเป็นอย่างยิ่ง จึงได้มอบเคล็ดวิชาอันล้ำค่าพร้อมทั้งอาวุธวิเศษป้องกันตัวแก่ข้าเป็นการตอบแทน และนางยังกล่าวอีกว่า สักวันนางจะกลับมาตอบแทนบุญคุณที่ได้ช่วยเหลือชีวิตนางในครั้งนี้ให้จงได้" อวี้เหวินก้มศีรษะเล็กน้อยพร้อมกับแย้มรอยยิ้มจางๆ

พลางหยิบอาวุธวิเศษที่ได้รับจากซ่งเหยียนเฟยออกมาให้อวี้หลานได้ชม แสงสีเงินยวงสะท้อนกับแสงตะวันยามเช้า ดูงดงามพิสดาร

"ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไร ข้ามิใช่สตรี ข้าเป็นบุรุษอกสามศอกโดยแท้!" ซ่งเหยียนเฟยพ่นลมหายใจออกมาด้วยความขุ่นเคือง ราวกับถูกหยามเกียรติ

"เป็นเช่นนั้นเองหรือ ดีแล้วๆ ดีจริงๆ" อวี้หลานถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก คลี่ยิ้มกว้างอย่างยินดีให้กับอวี้เหวิน ความกังวลในดวงตาลดเลือนลงไป

"เจ้าจงไปเถิด เวลามักไม่คอยท่า จงรีบไปรีบกลับ" อวี้หลานกล่าวด้วยความห่วงใย มองตามหลังบุตรชายด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก

"ขอรับ ท่านพ่อ ข้าจักรีบกลับมามิให้ทันยามสนธยา" อวี้เหวินรับคำด้วยความเคารพ ก่อนจะคำนับลา แล้วก้าวเท้าออกจากเรือน มุ่งหน้าสู่เส้นทางบนภูเขาอันท้าทาย

จากนั้นเขาก็ก้าวเท้าออกเดินอย่างมุ่งมั่น แรงใจอันแน่วแน่ผลักดันให้เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่ย่อท้อ สายตาคมกริบจับจ้องไปยังเป้าหมายที่อยู่เบื้องหน้า เขตแดนของสัตว์อสูร พยัคฆ์หางแมงป่อง

ถิ่นฐานของพยัคฆ์หางแมงป่องท่ามกลางขุนเขาอันกว้างใหญ่แห่งนี้เป็นเพียงจุดเล็กๆ บนแผนที่เท่านั้น หากวัดระยะทางจากบ้านของอวี้เหวินแล้ว จะมีระยะทางที่ไกลกว่าเขตของหมาป่าอสูรถึงสิบลี้ เนื่องจากการสังหารหมาป่าอสูรของซ่งเหยียนเฟยเมื่อหลายวันก่อน ทำให้บริเวณนั้นยังคงไร้วี่แววของสัตว์อสูร แม้เวลาจะล่วงเลยมาพอสมควรแล้วก็ตาม จึงอำนวยความสะดวกให้อวี้เหวินในการเดินทางในช่วงแรกนี้ยิ่งขึ้น

ทั้งสองร่วมเดินทางด้วยกันเป็นเวลานานหลายชั่วยาม โดยมีเพียงอวี้เหวินเท่านั้นที่ต้องออกแรงก้าวเดินไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยวและลาดชัน ผ่านป่าเขาลำเนาไพร สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย ราวกับกำลังก้าวเข้าสู่โลกอีกใบ จากป่าโปร่งที่แสงตะวันสาดส่องถึงพื้นดิน สู่ป่าทึบที่ร่มเงาปกคลุมจนมืดครึ้ม มีความร้อนชื้นอบอ้าวแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ

รอบข้างเต็มไปด้วยพงไพรหนาแน่น ต้นไม้สูงตระหง่านเสียดฟ้า รากไม้ใหญ่พันเกี่ยวกันยุ่งเหยิง สัตว์เล็กสัตว์น้อยวิ่งเล่นซุกซนไปมาอย่างสนุกสนาน ทว่าอย่าได้ดูแคลนขนาดและรูปลักษณ์ที่น่ารักของพวกมัน ไม่มีสัตว์ตัวใดในเขตอสูรแห่งนี้ที่เป็นเพียงสัตว์ธรรมดา หากไม่ระมัดระวังตัวแม้เพียงชั่วครู่ อวี้เหวินก็อาจจะพบเจอกับงูพิษสีสันฉูดฉาดที่เป็นสัตว์อสูรเลื้อยพันอยู่บนกิ่งไม้สูง หรือสัตว์ใหญ่เช่นหมูป่าปฐพีที่มีเขี้ยวแหลมคมอาจจะพุ่งเข้าจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว เมื่อเดินผ่านแหล่งน้ำใสเย็น หากประมาทแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจถูกจระเข้ทองคำตัวใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำโผล่ขึ้นมางับด้วยกรามอันแข็งแกร่ง

แต่ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ อวี้เหวินได้รับการบอกกล่าวให้หลีกเลี่ยงและป้องกันจากซ่งเหยียนเฟยที่คอยชี้นำทางอยู่ภายในหินดำลึกลับตลอดเวลา ราวกับมีดวงตานับพันคู่คอยสอดส่องทุกการเคลื่อนไหวของเขา ทำให้การเดินทางในครั้งนี้เต็มไปด้วยความระมัดระวังและตื่นเต้นระทึกใจไปพร้อมๆ กัน

บัดนี้ สภาพแวดล้อมโดยรอบกายของอวี้เหวินเริ่มแปรเปลี่ยนไป ต้นไม้ใหญ่และใบหญ้าเขียวขจีเริ่มลดน้อยถอยลง อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นอย่างรู้สึกได้ ไอความร้อนระอุแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ รอบข้างเริ่มปรากฏความแห้งแล้งและหินผามากขึ้น

"อีกสามสิบจั้งทางทิศเหนือ มีตะขาบเพลิงซ่อนตัวอยู่ เจ้าระวังตัวด้วย จงเบี่ยงไปทางทิศตะวันออก รอมันปรากฏตัว ข้าจะสังหารมันเอง" เสียงของซ่งเหยียนเฟยดังขึ้นในห้วงความคิดของอวี้เหวิน เตือนภัยล่วงหน้า

อวี้เหวินเมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าก็พลันเคร่งขรึมลง ดวงตาคมกริบกวาดมองไปรอบทิศ แผ่ประสาทสัมผัสออกไปอย่างระมัดระวัง ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความตื่นตัว เมื่อเขาก้าวเข้าสู่ระยะที่ตะขาบอัคคีซุ่มซ่อนอยู่ เขาก็เพิ่มความระมัดระวังถึงขีดสุด ราวกับกำลังเดินอยู่บนคมดาบ

พรึ่บ! ทันใดนั้นเอง ตะขาบเพลิงตัวยาวกว่าสามจั้งก็กระโดดโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินที่แตกระแหงอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า มันอ้าปากกว้างเผยให้เห็นเขี้ยวยาวแหลมคมคู่หนึ่ง ส่งกลิ่นเหม็นคาวคลุ้งออกมา พร้อมทั้งทำท่าจะเขมือบอวี้เหวินเข้าไปทั้งร่าง

ทว่าในชั่วพริบตา ราวกับมีใบมีดที่มองไม่เห็นผ่าอากาศลงมา ฟาดฟันร่างของตะขาบยักษ์ขาดเป็นสองท่อนอย่างรวดเร็วปานแสงแลบ เลือดสีม่วงเข้มข้นพุ่งกระฉูดออกมาดุจน้ำตก ซ่งเหยียนเฟยแผ่พลังสร้างม่านกั้นโปร่งใสออกมาปกป้องอวี้เหวินจากพิษร้าย

เมื่อเลือดของตะขาบสัมผัสกับม่านกั้น ก็เกิดเสียง "ฉ่า~" ดังขึ้น พร้อมกับควันสีขาวจางๆ ที่ลอยขึ้นมา บ่งบอกถึงฤทธิ์กรดอันรุนแรงของพิษ

"หากข้าโดนพิษร้ายกาจนี้เข้าไป มิใช่ว่าชีวิตข้าจะดับสิ้นไปจากโลกนี้ในทันทีหรอกหรือ?" อวี้เหวินเห็นภาพอันน่าสะพรึงกลัวนั้น ถึงกับรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ความตายอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม

"เจอเพียงเท่านี้ ใจเจ้าก็ห่อเหี่ยวเสียแล้วหรือ เจ้าหนู?" ซ่งเหยียนเฟยหัวเราะเบาๆ อย่างขบขัน

"หามิได้!" ดวงตาของอวี้เหวินกลับมาเฉียบคมดังเดิม แววตาแสดงถึงความมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อ "ไปกันเถอะ" เขากล่าวพร้อมกับก้าวเท้าเดินต่อไปอย่างไม่ลังเล

เมื่ออวี้เหวินก้าวเดินมาได้สักพัก สภาพแวดล้อมโดยรอบกายก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ต้นไม้และพุ่มไม้เขียวขจีได้เลือนหายไปจนหมดสิ้น คงเหลือไว้เพียงผืนดินที่แตกระแหง แห้งผากราวกับขาดน้ำมานานนับปี อุณหภูมิโดยรอบสูงขึ้นจนแทบจะแผดเผา

เริ่มปรากฏร่างของแมงป่องอสูรตัวน้อยใหญ่คลานออกมาจากรอยแตกของพื้นดิน อากาศร้อนระอุจนอวี้เหวินรู้สึกคอแห้งผาก ต้องยกขวดน้ำที่เตรียมมาขึ้นจิบอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งย่างก้าวลึกเข้าไป อุณหภูมิก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เหงื่อเม็ดโตเริ่มไหลซึมออกมาจากรูขุมขนทั่วทั้งร่างกาย

อาการเหนื่อยล้าอ่อนเพลียเริ่มถาโถมเข้ามาราวกับคลื่นที่ซัดกระหน่ำ จนกระทั่งอวี้เหวินรู้สึกว่าเรี่ยวแรงที่มีอยู่เริ่มจวนเจียนจะหมดสิ้น เขาจึงตัดสินใจมองหาโขดหินใหญ่เพื่อหลบพักจากไอแดดที่แผดเผา

"ด้วยระดับพลังของเจ้าในตอนนี้ เจ้ามิอาจก้าวล่วงเข้าไปลึกกว่านี้ได้อย่างแน่นอน เจ้าควรเริ่มต้นฝึกฝนจากบริเวณนี้เสียก่อน แล้วจึงค่อยเข้าไปด้านในเมื่อพลังบ่มเพาะแข็งแกร่งขึ้น" เสียงของซ่งเหยียนเฟยดังขึ้นในห้วงความคิดของอวี้เหวิน เตือนสติด้วยความเป็นห่วง

"ตกลง ข้าจะทำตามที่เจ้าว่า" อวี้เหวินพยักหน้าตอบรับ เขาทรุดตัวลงนั่งพักเพื่อฟื้นฟูพลังกายที่อ่อนล้า ทว่าในฉับพลันนั้นเอง ดวงตาของเขาก็พลันดับวูบลงสู่ความมืดมิด ร่างกายทรุดฮวบลงกับพื้นดินหมดสติในทันที

"อวี้เหวิน! อวี้เหวิน..." เสียงเรียกชื่อของอวี้เหวินด้วยความตกใจดังขึ้นในห้วงความคิดของเขา..

(1 จั้ง = 3.33 เมตร)

(1 ลี้ = 500 เมตร)

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Kaugnay na kabanata

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่8 มังกรบรรจบเมฆาคล้อย: ปฐมบทนครเฉิน

    ครู่กาลล่วงเลย เปลือกตาคู่หนึ่งจึงค่อยๆ ปรือเปิดจากห้วงนิทรา ความพร่าเลือนในม่านตาค่อยๆ จางหาย แปรเปลี่ยนเป็นความคมชัด อวี้เหวินขยับศีรษะเพียงเล็กน้อย หันไปยังทิศเบื้องขวา จึงปรากฏแก่สายตาซึ่งร่างของอสูรแมงมุมพิศดารตัวหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ เมื่อพิเคราะห์ดูอย่างละเอียดละออ จะเห็นได้ว่าใบหน้าของมันละม้ายคล้ายคลึงกับสุนัขอย่างน่าประหลาด มันถูกพิฆาตจนร่างแหลกเหลวออกเป็นสองส่วน ชิ้นส่วนอวัยวะกระจัดกระจาย เลือดสีม่วงเข้มข้นไหลนองผืนปฐพี ส่งกลิ่นคาวคลุ้งรุนแรงท่ามกลางไอแดดที่แผดเผาราวกับเปลวเพลิง"เจ้าตื่นแล้วหรือ?" เสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มิได้แสดงความตื่นตระหนกต่อภาพที่ปรากฏเสียงนั้นปลุกอวี้เหวินให้หลุดพ้นจากภวังค์แห่งความงุนงง เขาสังเกตเห็นว่าอาภรณ์ของตนเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีม่วงเหนียวข้น ซึ่งบัดนี้ได้แห้งกรังติดอยู่กับเนื้อผ้า "มัน... มันเกิดอันใดขึ้นกัน?" อวี้เหวินพึมพำด้วยความสับสนงุนงาย"เจ้าถูกอสูรแมงมุมพิษหน้าสุนัขเล่นงานเข้าแล้ว" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวพลางชี้ไปยังซากอสูรที่นอนตายอยู่มิไกล"เจ้าอาจถูกพิษของมันขณะที่ยึดเหนี่ยวโขดหินนั่น จึงเป็นเหตุให้เจ้ารู้สึกหนักอึ้งร

    Huling Na-update : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่9 ราตรีลึก ณ เหมยเหว่ย เงาอำนาจและหมากในกระดาน

    ท่ามกลางเมืองเฉินอันคึกคัก มีร้านอาหารหรูแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในย่านเก่าแก่ของเมือง แม้ขนาดของมันจะมิได้ใหญ่โตโอฬาร ทว่ากลับแฝงไปด้วยร่องรอยของกาลเวลาที่สั่งสมมาเนิ่นนาน ร้านอาหารแห่งนี้มีชื่อว่า "美味" (Měiwèi, ของกินเลิศรส) ซึ่งนับเป็นร้านอาหารที่มีเกียรติและได้รับการยอมรับสูงสุดในเมืองเฉิน เมื่อย่างกรายเข้ามาเบื้องหน้าร้าน ผู้อาจหาญทั้งหลายย่อมต้องหยุดสายตาลงยังป้ายไม้เก่าแก่ที่แขวนอยู่เหนือประตู ป้ายไม้แผ่นนี้ถูกสลักด้วยลายมือวิจิตรงดงาม บ่งบอกถึงชื่อร้านที่สืบทอดมาแต่โบราณ ด้านข้างของร้าน อักษรสลักบนผนังทั้งสองฝั่งยิ่งเสริมความหนักแน่นให้แก่สถานที่แห่งนี้ ทางขวาคือคำว่า "张进鸿" (เตียจิงฮ้ง, เจริญก้าวหน้าเกริกก้องเกรียงไกร) และทางซ้ายคือ "荣耀" (Róngyào, มีเกียรติอันประเสริฐรุ่งโรจน์) หากบุคคลทั่วไปได้พบเห็น คงเข้าใจว่านี่เป็นเพียงคำอวยพรเพื่อเสริมสิริมงคล ทว่าผู้ที่ล่วงรู้เบื้องลึกแห่งร้านเหมยเหว่ยย่อมตระหนักดีว่า นี่มิใช่เพียงถ้อยคำมงคล หากแต่เป็นปณิธานอันหนักแน่นของสถานที่แห่งนี้ อักษรด้านขวาถูกจารึกขึ้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้คนที่แวะเวียนมารับประทานอาหาร ณ ที่แห่งนี้ โดยเฉ

    Huling Na-update : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่10 ข้าไม่ได้ตั้งใจ!!

    "ช่างเป็นเคล็ดวิชาที่ลึกล้ำเกินหยั่งถึง!" อวี้เหวินอุทานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายราวกับค้นพบขุมทรัพย์ล้ำค่า เขาทอดสายตามองไปยังห้วงความคิด พลางหวนรำลึกถึงเนื้อหาของเคล็ดวิชาอีกครา 'เคล็ดวิชาหมัดอัคนีสังหารนั้น แบ่งออกเป็นสามขอบเขตใหญ่ อันได้แก่ ปฐพี อัคคี และวารี แต่ละขอบเขตยังแบ่งย่อยออกเป็นสามระดับ คือ เเรกเริ่ม กลาง และสูงสุด ในขอบเขตปฐพีนั้น เป็นการวางรากฐานแห่งกระบวนท่าของหมัดอัคนีสังหาร พลังอำนาจแห่งหมัดในระดับเริ่มต้นอยู่ที่สามร้อยจิน ระดับกลางอยู่ที่หกร้อยจิน และระดับสูงสุดอยู่ที่เก้าร้อยจิน' ภาพกระบวนท่าอันสลับซับซ้อนเริ่มฉายชัดในมโนสำนึกของอวี้เหวิน ราวกับมีผู้มาสาธิตอยู่ตรงหน้า เขาสังเกตทุกการเคลื่อนไหว จดจำทุกรายละเอียด เมื่อเริ่มเข้าใจในแก่นแห่งวิชาแล้ว อวี้เหวินจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เริ่มต้นร่ายรำตามภาพที่ปรากฏในห้วงนิมิต ฝ่ามือและหมัดถูกส่งออกไปในอากาศอย่างหนักแน่น สลับหมุนเวียนราวกับพายุโหมกระหน่ำ เท้าก้าวไปตามจังหวะ ท่วงท่าการยืนมั่นคงดุจขุนเขา ทุกอิริยาบถที่แสดงออกมาล้วนสง่างามและหนักแน่นราวกับผืนปฐพีอันกว้างใหญ่ ในระหว่างที่ฝึกฝนเพลงหมัด อวี้เหวินมิไ

    Huling Na-update : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่11 "สองบุรุษ" หนึ่งหิน...วุ่นวายยกใหญ่!

    ยามเมื่อสุริยันเยื้องย่างลงจากนภา โลกธาตุพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มชาด แสงสุดท้ายสาดส่องทาบทาทิวเมฆราวกับผ้าไหมปักลาย เด็กหนุ่มนามว่าอวี้เหวินก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ทอดฝีเท้าหนักแน่นแต่มิได้เร่งรีบ จุดหมายปลายทางคือบ้านหลังน้อย แสงไฟสลัวริบหรี่ลอดออกมาจากบานหน้าต่างไม้ในอีกไม่กี่ก้าวเบื้องหน้า ความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักตลอดวันเกาะกุมหัวใจ ทว่าเมื่อย่างเท้าเข้าสู่เรือน ได้รับการต้อนรับอันอบอุ่นและการดูแลเอาใจใส่จากผู้เป็นบิดา ความอ่อนล้าทั้งมวลก็มลายหายสิ้นดุจไอหมอกยามรุ่งอรุณ หลังจากอวี้เหวินและบิดาได้ร่วมโต๊ะทานอาหารค่ำ พูดคุยสารทุกข์สุกดิบจนกระทั่งราตรีเริ่มย่างเข้าสู่ยามดึกสงัด อวี้เหวินจึงนั่งลงขัดสมาธิ สงบจิตใจปรับลมปราณอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะล้มตัวลงนอน ณ ห้วงความมืดมิดภายในเม็ดหินอัญมณีสีดำสนิทที่ห้อยอยู่บนคอของอวี้เหวิน ปรากฏร่างหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างอ้อยอิ่ง “สามสิบสี่… สามสิบห้า… เวลาล่วงเลยมาเกือบเดือน ข้ากลับเคลื่อนกายมาได้เพียงสามสิบห้าก้าวเท่านั้น เบื้องหน้าจักมีสิ่งใดซ่อนอยู่อีกเล่า?” ซ่งเหยียนรำพึงรำพันกับตนเอง พลางหายใจหอบถี่ราวกับคนจมน้ำ เขานั่งลง หลับตาลงเพื่อ

    Huling Na-update : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่12 ขบวนสินค้าตระกูลหวัง

    เปลือกตาที่หนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยตะกั่วค่อยๆ เปิดขึ้น เผยให้เห็นดวงตาที่ยังคงพร่าเลือนและง่วงงุน ร่างกายที่อ่อนล้าประหนึ่งถูกบั่นทอนเรี่ยวแรงของอวี้เหวินค่อยๆ ขยับเขยื้อนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะพยุงกายลุกขึ้นนั่งบนเตียงไม้เนื้อดี มือเรียวลูบไล้ใบหน้าของตนเองเบาๆ เพื่อขับไล่ความง่วงงุนให้จางหายไป หลังจากเหตุการณ์พลิกผันเมื่อสามราตรีล่วงผ่าน อาการบาดเจ็บของอวี้เหวินก็สมานหายราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รุ่งอรุณแห่งวันนี้ เขาตื่นขึ้นด้วยความสดชื่น เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไปฝึกฝนวิชาอีกครั้ง อวี้เหวินเริ่มบริหารร่างกายด้วยท่วงท่าที่คุ้นเคยเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม ก่อนจะจัดเตรียมสัมภาระต่างๆ สำหรับการเดินทาง ในขณะที่เขากำลังตรวจตราสิ่งของภายในห่อผ้าอยู่นั้น เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นในห้วงความคิด "วันนี้เป็นวันที่จะต้องบุกเข้าไปในเขตแดนของพยัคฆ์หางแมงป่อง ซึ่งด้วยพละกำลังของเจ้าในยามนี้ ยังมิอาจบุกเข้าไปโดยลำพังได้ จำเป็นต้องมีสิ่งป้องกันไอความร้อนอันร้อนระอุจากรังของพวกมัน" อวี้เหวินแสดงสีหน้าเข้าใจ ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามด้วยความสงสัย "อย่าว่าแต่สิ่งใดใช้ป้องกันเลย แม้แต่ชื่อของมัน ข้

    Huling Na-update : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่13 คุณสมบัติของผู้ยิ่งใหญ่

    "ฟ่อๆๆ!" เสียงขู่คำรามดุดันราวอสูรร้ายคำรามก้องกังวาน พร้อมกับร่างของอสรพิษลายพาดกลอนตัวเขื่อง พุ่งทะยานจากเงามืดแห่งโขดหินด้านหลัง หมายจะฉกกัดอวี้เหวินด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาด เขี้ยวแหลมคมสีเหลืองอำพันเผยให้เห็นถึงพิษร้ายที่พร้อมจะคร่าชีวิตในพริบตา"ฉัวะ!" อวี้เหวินที่ประสาทสัมผัสว่องไวดุจเหยี่ยวล่าเหยื่อ พลิกกายหลบหลีกได้อย่างหวุดหวิด พร้อมกับเหวี่ยงมือขวาออกไปราวกับแส้เหล็ก ฟาดเข้าที่กลางลำตัวของอสรพิษอย่างแม่นยำ เสียงเนื้อแตกดังสนั่น ร่างกายของงูร้ายพลันแหลกเหลว เลือดสีแดงฉานกระเซ็นเปรอะเปื้อนไปทั่วบริเวณ ราวกับพู่กันยักษ์สาดสีลงบนผืนดิน อวี้เหวินชักมือกลับ ดวงตาคมกริบจ้องมองซากอสรพิษด้วยความเหนื่อยล้า"นี่ก็เป็นตัวที่สามสิบแล้วกระมัง มิหนำซ้ำพลังของพวกมันยังเพิ่มพูนขึ้นอีกด้วย" เขาเอ่ยพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลอาบแก้ม ดวงหน้าหล่อเหลาปรากฏร่องรอยความอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้น"เพียงเท่านี้เจ้าก็หอบเสียแล้วหรือ? แค่งูหางแมงป่องตัวเล็กกระจ้อยร่อยพวกนี้" เสียงทุ้มนุ่มของบุรุษผู้หนึ่งดังกระซิบข้างใบหูของอวี้เหวิน ราวกับภูตพรายปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า พร้อมกับร

    Huling Na-update : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่14 พยัคฆ์หางเเมงป่อง

    ตึง! เงาร่างนั้นโผล่ออกมาท่ามกลางอากาศอันร้อนระอุ มันเป็นเงาร่างใหญ่ทะมึน แผ่กลิ่นอายอันร้อนแรงทั่วบริเวณ ขนทั่วกายแดงฉานดั่งเปลวเพลิง รูปร่างเป็นพยัคฆ์ล่ำสัน ทว่าสิ่งที่น่าสะพรึงยิ่งกว่ากลับเป็นหางแหลมคมที่คล้ายหางแมงป่อง สั่นไหวอยู่เบื้องหลัง เพียงแค่จ้องมอง ก็ทำให้ผู้พบเห็นต้องหวาดหวั่นจนหัวใจสั่นสะท้านทันทีที่มันเห็นซ่งเหยียนเฟยอยู่เบื้องหน้า ดวงตาแดงฉานพลันฉายแววดุร้าย มันอ้าปากกว้างส่งเสียงคำรามก้อง 'กรรร!' เสียงสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ ราวกับประกาศถึงความโกรธเกรี้ยวของมัน ดวงตาอำมหิตจับจ้องบุรุษร่างเล็กเบื้องหน้าอย่างไม่ลดละ มันเห็นเขาเป็นผู้บุกรุกที่ล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของมัน โดยไม่รอช้า มันยกอุ้งเท้าตบลงหนักๆ หนึ่งครั้งก่อนกระโจนเข้าใส่ซ่งเหยียนเฟยอย่างดุดัน!ซ่งเหยียนเฟยมองเห็นร่างอสูรตรงหน้า นัยน์ตาพลันทอประกายเย็นเยียบ เขาจ้องมันเขม็งก่อนกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่น "พยัคฆ์หางแมงป่อง!"ไม่รอช้า มือข้างหนึ่งพลันยื่นออก ก่อนสะบัดเบาๆ ทว่ากลับทรงพลัง แสงสีแดงเลือดพลันปรากฏขึ้น วาบผ่านอากาศด้วยความเร็วเหนือคาด เพียงพริบตาเดียว แสงนั้นก็ทะลุผ่านร่างอสูร ราวกับคมมีดอันเฉียบคมแล่

    Huling Na-update : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่15 เเหวนมิติ

    ยามรุ่งอรุณสาดส่องแสงทองอ่อนๆ ลงบนพื้นดิน พร้อมกับเสียงนกร้องเบาๆ ในยามเช้า อวี้เหวินรับประทานอาหารเช้าร่วมกับบิดาเสร็จสิ้น ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและแรงปรารถนาในการเดินทาง ครั้งนี้เขาตั้งใจเร่งมุ่งหน้าไปยังร้านค้าของชายหนุ่มนามหวังหลินล้วนเกิดจากที่อวี้เหวินเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของภาระที่ต้องพกพาไว้กับตัวเสมอ กระเป๋าที่เก็บของส่วนตัวกลายเป็นอุปสรรคในชีวิตประจำวัน เขาต้องพกพาสิ่งของมากมายไม่ว่าจะเป็นเเก่นพลังของอสูร สมุนไพร หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการฝึกฝน และทุกครั้งที่ต้องออกเดินทาง การบรรทุกสิ่งเหล่านั้นไปด้วยก็ย่อมสร้างความลำบากให้แก่เขา ความหนักหน่วงของสัมภาระทำให้เขาหยุดคิดและตระหนักถึงความจำเป็นของการมีที่เก็บของที่สะดวกและปลอดภัย จึงเป็นเหตุให้เขาเริ่มค้นหาวิธีการที่จะทำให้การเดินทางของเขาสะดวกสบายยิ่งขึ้น จึงได้ไปปรึกษาซ่งเหยียนเฟย ผู้ซึ่งเคยมีประสบการณ์ในวงการปราณยุทธ์ จนได้รู้จักกับสิ่งมหัศจรรย์หนึ่ง ซึ่งเป็นที่เก็บของที่ไม่ธรรมดา มันคือ "แหวนมิติ" ที่สามารถบรรจุสิ่งของไว้ได้ในช่องว่างของมิติ เหมือนกับการมีห้องส่วนตัวอยู่ท่ามกลางอากาศโดยที่ไม่ต้องพึ่

    Huling Na-update : 2025-04-20

Pinakabagong kabanata

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่26 ทลายพันจินใต้สายตาเย้ยหยัน มังกรซ่อนเล็บรอวันผงาด

    อวี้เหวิน... เสื้อผ้าบนกายเรียบง่าย ท่าทางไม่สะดุดตาเมื่อเทียบกับอัจฉริยะอื่น ๆ ที่สวมอาภรณ์หรูหรา หากดวงตาของเขา กลับเปล่งแสงเฉียบคมเยี่ยงดาบลับที่ซุกซ่อนในฝัก ใบหน้าสงบเฉย นิ่งราวแผ่นน้ำในยามราตรี แต่ในความนิ่งนั้นกลับมีบางสิ่งซ่อนอยู่... ร้อนแรงและหนักหน่วงดุจอัสนีสายลับที่รอวันฟาดฟันเขาก้าวเดินไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าแท่นศิลาสายวัดพลังสายลมเย็นโชยเอื่อยพัดชายเสื้อของเขาเบา ๆ คล้ายจะรับรู้ถึงแรงอารมณ์อันแน่นขนัดของเขาในยามนี้...ไม่มีเสียง ไม่มีคำพูด ไม่มีท่าทีแสดงความฮึกเหิมมีเพียงความสงบก่อนพายุอวี้เหวินสูดลมหายใจเข้าช้า ๆในใจกลับดังก้องด้วยเสียงของซ่งเหยียนเฟยจากมิติสร้อยคอ“เจ้าจะเปิดเผยพลังจริงหรือไม่?”เด็กหนุ่มหลับตาลงครู่หนึ่ง ดวงจิตสงบนิ่ง ก่อนพึมพำในใจ...“ไม่จำเป็น...ในยามนี้”“เพียงพอแค่ให้โลกรู้ว่า ข้า มิใช่คนที่ควรดูแคลน”ฝ่ามือของเขากำแน่น พลังหมุนเวียนจากส่วนลึกในกาย ปะทุแผ่วเบาแต่ทรงอานุภาพ เคล็ดวิชา หมัดอัคนีสังหาร เริ่มไหลเวียนผ่านเส้นเอ็นเส้นเลือดอย่างกลมกลืน ราวกับเพลิงที่ถูกกรั่นกลั่นจากขุมนรกแม้เป็นเพียง ขั้นกลาง หากภายใต้ร่างกายที่ผ่านการฝึกฝนด้วย เตาอ

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่25 รุ่งอรุณแห่งการพิสูจน์ มังกรในเงามืดเตรียมทะยานฟ้า

    ในยามที่มิติภายในสร้อยคอผสานรวมกับผลึกทมิฬชิ้นใหม่ ความเปลี่ยนแปลงบางสิ่งก็เริ่มเกิดขึ้นอย่างแผ่วเบา หากแต่ลึกซึ้งจนสัมผัสได้ถึงแก่นแท้ของพลัง เสี้ยวหนึ่งของมิตินั้นเริ่มสั่นสะเทือนอย่างเงียบงัน ราวกับม่านหมอกอันดำสนิทที่เคยปกคลุมทั่วทุกทิศ เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นกระแสพลังทมิฬอันหนาแน่นและบริสุทธิ์กว่าก่อนหน้า ซ่งเหยียนเฟย เหินร่างจิ๋วอันงดงามประหนึ่งตุ๊กตาเทพหยก ก้าวเข้าสู่ความมืดมิดอันไร้จุดจบในมิติแห่งนี้ด้วยสีหน้าครุ่นคิดลึกซึ้ง ร่างของเขาแม้จะเล็กจ้อยดั่งนกน้อยในเงามังกร แต่ความเย่อหยิ่งสง่าของเผ่าทมิฬหาได้พร่ามัวลงไม่ ผ้าคลุมสีชาดโบกสะบัดพลิ้ว ท่ามกลางพลังปราณสีดำที่วนเวียนดั่งพายุใต้บาดาล “ความมืด… หนาขึ้นกว่าคราแรกเสียอีก” เสียงนุ่มลึกของเขาเอื้อนเอ่ยในความเงียบ เขายื่นฝ่ามือเรียวเล็กออกไป พลังทมิฬที่ปะทุอยู่อย่างแผ่วเบารอบตัวไหลซึมเข้าสู่ผิวเนื้อ ก่อเกิดประกายเรืองรองสีดำวาววับที่ชั้นผิว พลังอันน่าพิศวงนี้ไม่เพียงโอบอุ้มจิตใจ หากยังปลุกเร้ากายเนื้อให้เร่งฟื้นฟูราวปาฏิหาริย์ “เพียงแค่ชิ้นเดียว… มิติแห่งนี้กลับมีการตอบสนองถึงเพียงนี้?” ดวงเนตรเขม็งมองไปยังความเวิ้งว้างเบื้องหน้

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่24 พบพานหินทมิฬ ปริศนาสร้อยคอ

    สายลมยามบ่ายแห่งเมืองซูไห่พัดโบกเอื่อยเบา หอบเอากลิ่นคาวของทะเลสาบ ผสมกับกลิ่นหอมจางๆ ของโอสถสมุนไพรที่ลอยอวลอยู่ทั่วไปในตลาดกลางเมือง ผู้คนหลากชนชั้นเดินขวักไขว่ ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าแม่ขาย ผู้ฝึกยุทธ์ในชุดยาวแสดงยศสำนัก หรือแม้แต่ผู้คนธรรมดาที่ถือถุงห่อข้าวปลาเดินสัญจรไปมา บางคนกำลังต่อรองราคาสินค้าอย่างออกรส บ้างนั่งพักหลบร้อนใต้ร่มผ้าปูตลาดแห่งนี้อึกทึกทว่าไม่ไร้ระเบียบ บรรยากาศกลับแฝงไปด้วยเสน่ห์เฉพาะตัวที่หาไม่ได้จากหมู่บ้านเล็กอย่างเทียนฟู… อวี้เหวินเดินทอดสายตาไปรอบด้าน ความรู้สึกคล้ายอยู่ในโลกอีกใบที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด“นี่แหละเมืองซูไห่ของแท้…” อู๋ซวนยิ้มพลางกวักมือเรียก “ทางนั้นคือร้านขายอาวุธ ส่วนฝั่งโน้นมีโรงน้ำชาใหญ่ ท่านรู้ไหมว่าชั้นบนมีนักเล่านิทานระดับตำนานประจำทุกค่ำคืนเลย!”อวี้เหวินพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้กล่าวอันใด แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความสนใจสายตาทั้งสองพลันสะดุดเข้ากับร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางถนนรอง มุงด้วยหลังคาผ้าสีซีดดูธรรมดายิ่งนัก หากแต่ตั้งเรียงรายไว้ด้วย “ก้อนหิน” หลากขนาด สีสันไม่งดงาม ไม่อร่ามเรือง หากแต่แฝงกลิ่นอายเร้นลับ

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่23 พบสหายใหม่ ณ นครหมอกเงิน

    รถม้าค่อยๆ แล่นผ่านถนนหินเรียบของเมืองซูไห่ บรรยากาศโดยรอบยังคงอบอวลด้วยกลิ่นสมุนไพรและไออุ่นของแสงแดดยามเที่ยง ใต้หลังคาโค้งของเรือนร้านค้า ผู้คนยังเดินขวักไขว่ด้วยจังหวะเร่งรีบที่แฝงด้วยจุดมุ่งหมาย เด็กเร่ขายข่าววิ่งสวนทางกับแม่ค้าขายโอสถ เงาของรถม้าคันหนึ่งทอดยาวลงบนพื้นหินราวกับบันทึกเส้นทางแห่งวาสนา ภายในรถ อวี้หลานยกม่านผ้าเปิดออกเล็กน้อย มองผ่านความพลุกพล่านไปยังตรอกซอยเบื้องหน้า ดวงตาเขาฉายแววเงียบขรึมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหันไปกล่าวกับชายชราที่ยังกุมบังเหียนอยู่ “ผู้อาวุโสหลี่ ที่ตรงนั้นคงจะพอแล้ว... พวกข้าสองพ่อลูกจะขอลงตรงนี้เถิด มิเหมาะนักที่จะรบกวนพวกท่านไปมากกว่านี้” ชายชราหันขวับกลับมา คิ้วขมวดเล็กน้อย “เหตุใดต้องรีบร้อนนัก น้องอวี้ เราเองก็เหมือนญาติมิตรกันแล้ว ไหนเลยจะเรียกว่ารบกวนได้?” อวี้หลานยิ้มบาง สีหน้าสงบ “ท่านผู้อาวุโสเป็นผู้มีคุณ ข้ากับบุตรชายเพียงได้รับเมตตา ชายชาติบัณฑิตควรรู้จักถนอมวาสนาให้เหมาะสม นับจากนี้เส้นทางของพวกข้าคงแตกต่างจากท่านแล้ว... ที่ตรงนี้เพียงพอ ขอบคุณท่านเป็นอย่างยิ่ง” ชายชราเงียบงันไปครู่ ก่อนถอนหายใจเบาๆ “เช่นนั้นก็แล้วแต่...

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่22 เมืองซูไห่ ดินเเดนเเห่งโอสถ

    กลางป่าเงียบสงบที่บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสนามรบ เสียงฟาดปะทะและเสียงร้องคำรามแทรกซึมไปทั่วทุกอณูอากาศ ดั่งเสียงของสายฟ้าที่ฟาดลงกลางพงหญ้า เสียงแห่งการต่อสู้บังเกิดขึ้นพร้อมกับแสงจันทร์ที่ส่องลงมาอย่างเวทนา หัวหน้าโจรซึ่งบัดนี้ลุกขึ้นจากพื้นได้แล้ว ดวงตาเปี่ยมด้วยเพลิงโทสะ ร่างพุ่งเข้าใส่ชายชราผู้สงบเย็น แต่กลับแฝงด้วยความน่าเกรงขาม “แก...เจ้าคนเฒ่า! กล้าดีอย่างไรถึงกล้าซัดข้าก่อน!” “เจ้าต่างหากที่กล้าเสียยิ่งกว่า ข้าผู้มีอายุคราวปู่เจ้ายังไม่อาจปล่อยให้หยาบคายได้ตามอำเภอใจ” ชายชรากล่าวเสียงเรียบ ดวงตาทอประกายสงบนิ่ง แต่ฝ่ามือทั้งสองกลับกางออกอย่างมั่นคง ยืนตรึงพื้นดินประหนึ่งเสาเข็มแห่งขุนเขา พริบตานั้น สองร่างพุ่งเข้าหากัน เสียงหมัดกระทบหมัดดัง “ปัง!” ลั่นสนั่น แรงกระแทกแผ่สะเทือนไปทั่ว รถม้าไหววูบเล็กน้อย เศษใบไม้ปลิวว่อนในอากาศ ในอีกฟากหนึ่ง อวี้เหวินซัดหมัดอัคนีสังหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า ร่างของศัตรูแต่ละคนปลิวกระเด็นราวใบไม้หลุดจากกิ่ง ใบหน้าของเด็กหนุ่มเปื้อนเลือดของศัตรู แต่แววตานั้นยังคงแน่วแน่ไม่คลอนแคลน ขณะนั้นเอง พ่อของเขากำลังจะวิ่งเข้ามาช่วยเหลือด้วยมือเปล่า “ท่านพ่อ! ท่า

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่21 ใต้แสงจันทร์กลางป่า เพลิงเเห่งการต่อสู้พลันลุกโชน

    แสงแดดยามสายสาดส่องลอดผ่านช่องว่างของกิ่งไม้ ทาบเงาไม้เป็นลายทออยู่บนพื้นดินที่แห้งกรัง เสียงนกร้องก้องอยู่ไกลลิบคล้ายกำลังร่ำลา และลมยามเช้าที่แผ่วเบานั้นก็เย็นเยียบกว่าทุกวัน... หรือบางทีอวี้เหวินอาจเพียงรู้สึกไปเองวันนี้ วันที่เขาต้องก้าวเท้าออกจากหมู่บ้านแห่งนี้... ได้มาถึงแล้วเขายืนอยู่หน้าบ้านไม้เก่าหลังคุ้นเคย ใบหน้าเรียบนิ่ง แววตาค่อย ๆ กวาดมองจากหลังคาที่ยังมีรอยซ่อมเก่า ๆ ฝีมือของบิดา ลงมาจนถึงชานไม้ที่เขาเคยวิ่งเล่นสมัยเด็ก และหยุดอยู่ที่บานประตูที่เขาเคยเปิดปิดนับครั้งไม่ถ้วนในแต่ละวันทุกสิ่งล้วนเงียบสงบเกินไป“ต่อจากนี้... บ้านหลังนี้ คงเงียบเหงาไร้ผู้คนแล้วกระมัง”เสียงพึมพำของเขาเบาจนแทบถูกกลืนไปกับสายลม ทว่าในใจกลับหนักอึ้งยิ่งนักตั้งแต่ลืมตาดูโลกเมื่อสิบห้าปีก่อน เขาไม่เคยก้าวออกไปไกลกว่าภูเขาหลังหมู่บ้านเลย บ้านหลังน้อยหลังนี้คือทั้งโลกของเขา เป็นที่ที่เขาเรียนรู้จักความอบอุ่น ความทุกข์ และความหวังขณะที่สายตายังทอดมองบ้านหลังนั้น อวี้เหวินพลันส่ายหัวเบา ๆ อย่างรำคาญตัวเอง ราวกับจะสะบัดความอาลัยออกจากใจ ก่อนจะละสายตาจากภาพตรงหน้า แล้วถอนหายใจออกมาอย่างเงียบงัน“

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่20 บทเริ่มเเห่งเพลิงล้างเเค้น!

    ชายชราสบถในใจ ‘ข้าจะไม่ปล่อยให้ศึกนี้ยืดเยื้อต่อไปอีก!’เขาสะบัดแขนเสื้อ มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปหยิบของบางสิ่ง มันคือ “ยันต์มารสังหาร” อักขระโบราณที่สลักไว้ด้วยโลหิตของจอมยุทธ์ยุคบรรพกาล พลังมารเข้มข้นหมุนวนอยู่ภายใน พอปรากฏออกมาก็ส่งกลิ่นอายมรณะจนพืชพรรณรอบข้างเหี่ยวเฉาในพริบตาชายชรากระตุกยิ้มเย็น แรงกดดันจากพลังมารพลันทวีคูณ เขาโยนยันต์ออกไปกลางอากาศ ก่อนจะร่ายอาคมควบคุม มันเปล่งแสงสีดำสนิท ก่อนจะพุ่งทะลวงเข้าใส่อสรพิษยักษ์“จงสลายไปซะ!” เขากล่าวเสียงก้องยันต์มารสังหารพุ่งเข้าใส่ร่างของอสรพิษยักษ์โดยตรง พลังมหาศาลปะทุขึ้นเป็นระลอก เงามารมหึมาปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้า กดทับร่างของมันไว้แน่น ก่อนที่เส้นแสงสีดำจะฉีกกระชากพลังอสูรของมันจนแหลกสลายอสรพิษยักษ์กรีดร้องเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างของมันจะค่อย ๆ แหลกสลายไปกับสายลม เหลือเพียงเถ้าถ่านสีดำล่องลอยอยู่กลางอากาศชายชราหอบหายใจ ดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นชา เขาเก็บยันต์ที่เหลือกลับเข้าไป ก่อนจะปรายตามองอวี้เหวินที่ซุ่มอยู่ห่าง ๆ ‘เจ้าหนู ข้ารู้นะว่าเจ้าคิดอะไรอยู่…’ชายชราจ้องมองซากของอสรพิษยักษ์ที่แน่นิ่งอยู่ตรงหน้า ดวงตาของเขาทอประกายเย

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่19 เผชิญหน้าปีศาจชราเเห่งเงามาร

    ภายในเรือนรับรองแขกแห่งหมู่บ้านเทียนฟู บรรยากาศในห้องเจรจาคลุ้งไปด้วยกลิ่นชาอ่อน ๆ ควันจางลอยขึ้นจากกาน้ำชาเคลือบเงา หวังหยวนนั่งอยู่ ณ ที่นั่งอันสูงศักดิ์ เบื้องหน้าคือหัวหน้าหมู่บ้านเทียนฟู ผู้มีท่าทางสุขุมแต่แววตาเต็มไปด้วยความกังวล "ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าได้ยินมาว่าเมื่อประมาณหนึ่งถึงสองเดือนก่อน มีแสงประหลาดดั่งดาวตกพุ่งลงมายังเขตเขาใกล้หมู่บ้านแห่งนี้ มิทราบว่ามีผู้ใดเห็นสิ่งนั้นอย่างชัดเจนบ้างหรือไม่" หวังหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยความหมายล้ำลึก หัวหน้าหมู่บ้านขยับกาน้ำชาช้า ๆ ก่อนถอนหายใจเบา ๆ "เรื่องนี้... ข้าเองก็ได้ยินมาอยู่บ้าง มีชาวบ้านบางคนอ้างว่าเห็นประกายสีแดงฉาน ตกลงยังหุบเขา แต่...หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปสำรวจด้วยตนเอง" เขาเว้นระยะไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงเบา "ท่านเองก็มาที่นี่เพราะเหตุนี้ใช่หรือไม่?" หวังหยวนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พลางจิบชาตรงหน้า สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง แต่ภายในดวงตา ทอแววพินิจครุ่นคิดอยู่ลึก ๆ "ในเมื่อมีดาวตกปริศนา ตกลงในเขตนี้ แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปตรวจสอบเลยแม้แต่ผู้เดียว? หรือว่า... มีบางสิ่งที่มิอาจเปิดเผย

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่18 ได้เเหวนมิติมาครอบครอง

    ผ่านไปหลายชั่วยาม ท่ามกลางสายลมราตรีอันเงียบสงัด เงาหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือปากปล่องลาวา ลมวูบหนึ่งพัดไอร้อนให้กระจายออก เผยให้เห็นร่างของชายชราในอาภรณ์ดำหม่น เส้นผมสีเทาแซมขาวปล่อยยาวถึงกลางหลัง ดวงตาเรียวเล็กเป็นประกายเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มมุมปากฉายความเจ้าแผนการอันลึกล้ำ ชายชราผู้นี้ดูคล้ายเร่ร่อนไร้หลักแหล่ง แต่ทุกอากัปกิริยากลับเต็มไปด้วยพลังอันลึกล้ำ และแฝงกลิ่นอายของพรรคมารอย่างเด่นชัด เขากวาดตามองร่องรอยพลังที่ยังคงหลงเหลืออยู่ บ่อลาวาที่ยังคงเดือดพล่าน และเศษซากของแรงระเบิด ก่อนจะยกมือขึ้นลูบเคราของตนพลางถอนหายใจเบา ๆ “มาสายไปงั้นรึ?” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเสียดาย ราวกับพลาดโอกาสสำคัญไปเสียแล้ว เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าแล้วเปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นเรียบเฉย แต่ในดวงตากลับฉายแววครุ่นคิด คำนวณกลอุบายภายในใจ “ภูเขาแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านแห่งหนึ่ง… บางทีที่นั่นอาจมีเบาะแสที่ข้าต้องการ” เขาพึมพำกับตนเอง ก่อนจะกระตุกยิ้มบาง ๆ อย่างมีเลศนัย แล้วในชั่วพริบตา ร่างของเขาก็พลันเลือนหายไปพร้อมกับสายลม ทิ้งไว้เพียงกลิ่นอายแห่งความลึกลับ และแรงลมที่พัดกระพือรอบพื้นที่นั้น ---

Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status