Home / แฟนตาซี / ดาบพิฆาตสลับนภา / บทที่5 กระบืออ้วนกลมนำทาง สู่ดินแดนอสูรพิศวง

Share

บทที่5 กระบืออ้วนกลมนำทาง สู่ดินแดนอสูรพิศวง

Author: Prince_White
last update Huling Na-update: 2025-04-20 16:17:49

ยามอรุณรุ่งเรืองรอง แสงสุริยันแรกผุดพ้นขอบฟ้า สาดส่องสีทองทาบทาทั่วผืนแผ่นดิน ลอดผ่านร่องรอยปริแตกเพียงเล็กน้อยของบานหน้าต่างไม้ ต้องใบหน้าคมสันของอวี้เหวิน เป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นวันใหม่ ท้องนภาสีครามสดใส ไร้ซึ่งเมฆามาบดบัง หมู่สกุณาน้อยใหญ่ต่างขับขานเสียงเพลงอันไพเราะ ดังก้องกังวานไปทั่วพฤกษานานา ระหว่างที่พวกมันโผบินออกหาอาหารในยามเช้า

อวี้เหวินค่อยๆ ลืมตาตื่นจากนิทรา ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันตามวิถีแห่งผู้ฝึกตน ก่อนที่แสงตะวันจะทอเต็มฟ้า เขาจะฝึกฝนร่างกายเสริมสร้างความแข็งแกร่ง เพื่อเป็นรากฐานอันมั่นคงในการบ่มเพาะพลังปราณในภายภาคหน้า วันนี้ก็เช่นเคย ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม "ฟึ่บ! ฟึ่บ!" เสียงหมัดหนักแน่นผสานกับการเคลื่อนไหวที่ว่องไว ราวกับสายลมที่พัดผ่าน นี่เป็นช่วงท้ายของการฝึกกายา เหงื่อที่ไหลรินชุ่มโชกอาภรณ์เนื้อหยาบที่สวมใส่ เป็นดั่งเครื่องยืนยันถึงความมานะพากเพียรในการขับพิษและสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย

เมื่อสุริยเทพเพิ่งจะฉายรัศมีเจิดจ้า อวี้เหวินหลังจากรับประทานอาหารเช้าที่เรียบง่ายแต่เพียงพอต่อการบำรุงกำลังเสร็จสิ้น จึงเตรียมตัวออกเดินทางสู่พงไพรบนยอดเขา เขาจัดเตรียมธนู คันศร และมีดล่าสัตว์ต่างๆ ใส่ลงในย่ามหนังที่สะพายอยู่ด้านหลัง ขณะที่เขากำลังตรวจตราความพร้อมของสัมภาระ เสียงทุ้มนุ่มแต่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยก็ดังขึ้น

"เหวินเออร์ เจ้าจะไปแล้วหรือ?"

อวี้เหวินหันกายไปยังทิศทางของเสียงนั้น ปรากฏร่างของผู้เป็นบิดา ผู้มีใบหน้าคมคายแต่ยังคงปรากฏร่องรอยแห่งความเหนื่อยล้า ดวงตาของเขาทอประกายแห่งความเมตตาและห่วงใย

"ขอรับท่านพ่อ แสงอรุณเพิ่งจะจับขอบฟ้า ลูกเกรงว่าการเดินทางอาจยาวนาน จึงใคร่ขอออกเดินทางแต่เนิ่นๆ เพื่อมิให้พลบค่ำเสียก่อน"

"ดี...เจ้าจงไปเถิด แต่จงจำไว้ อย่าได้ประมาทหรือใจร้อน หากพบพานสิ่งใดผิดปกติ จงรีบถอยกลับมาโดยเร็ว ชีวิตของเจ้าสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด" สายตาของผู้เป็นบิดามองไปยังบุตรชายด้วยความเป็นกังวลอย่างลึกซึ้ง ขุนเขาลูกนี้เป็นที่เลื่องลือถึงความอันตราย เคยกลืนกินชีวิตของผู้คนมามากมาย ตั้งแต่ยุคโบราณ แม้บริเวณตีนเขาจะมิปรากฏสัตว์อสูรร้ายกาจ แต่ใครเล่าจะหยั่งรู้ถึงภัยซ่อนเร้นที่อาจแฝงตัวอยู่ การระมัดระวังไว้ก่อนย่อมประเสริฐกว่าการแก้ไขเมื่อภัยมาถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของตนเอง

"ขอรับ ข้าจักจดจำคำสั่งสอนของท่านไว้ในใจ ข้าจะไม่ประมาทและจะไม่ทำให้ท่านต้องเป็นห่วง ท่านพ่อโปรดวางใจเถิด" อวี้เหวินรับคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและแววตาที่แน่วแน่

เพียงชั่วครู่หลังจากนั้น อวี้เหวินจึงก้าวพ้นธรณีประตูเรือนไป แสงสุริยันยามเช้าสาดส่องอบอุ่นลงบนแผ่นหลังของเขา เท้าทั้งสองเหยียบย่ำบนพื้นดินลูกรังที่ขรุขระ มีทั้งส่วนที่เป็นดินแข็งกระด้าง บ้างก็เป็นแอ่งน้ำเล็กๆ ที่ยังคงมีน้ำค้างหลงเหลืออยู่ บ้างก็มีก้อนหินน้อยใหญ่โผล่พ้นพื้นดิน

ทุกย่างก้าวของอวี้เหวินเต็มไปด้วยความระมัดระวัง หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว... "กุบกับ...กุบกับ..." เสียงล้อรถม้าไม้เก่าคร่ำคร่า บดเบียดกับพื้นถนนดังสนั่น วิ่งสวนทางกับอวี้เหวินไปด้วยความเร่งรีบ ม้าเทียมสองตัวส่งเสียงฮี้เบาๆ พลางสะบัดแผงคอ ฝุ่นดินสีน้ำตาลฟุ้งกระจายขึ้นสูง ล่องลอยไปตามกระแสลมยามเช้า

"แค่ก...แค่ก..." อวี้เหวินยกแขนเสื้อขึ้นปิดปากพลางไอออกมา ใบหน้าคมสันขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะลดมือลงแล้วโบกสะบัดไล่ฝุ่นในอากาศ เขาสั่นศีรษะเบาๆ อย่างระอาใจ ก่อนจะก้าวเท้าเดินต่อไป

เมืองที่เขาอาศัยอยู่มิได้โอ่อ่าใหญ่โตนัก แต่กลับมีชีวิตชีวาและคลาคล่ำไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างเร่งรีบเดินขวักไขว่เพื่อหาที่พักพิง บ้างจับจองพื้นที่ริมทางเท้า ตั้งแผงนำสินค้าพื้นเมืองนานาชนิดออกมาวางขาย บ้างเป็นพ่อค้าเร่ที่ใช้เส้นทางนี้เพื่อเดินทางไปยังเมืองอื่นที่อยู่ไกลออกไป เสียงพูดคุยต่อรองราคาสินค้าดังเซ็งแซ่ ปะปนกับเสียงร้องขายของของพ่อค้าแม่ค้า

"เจ้าหนุ่ม...เข้ามาดูก่อนเถิด" เสียงแหบพร่าของชายชราดังขึ้นจากแผงลอยเล็กๆ ริมทาง อวี้เหวินชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อย มองไปยังชายชราผมขาวโพลนทั้งศีรษะ ผิวหนังเหี่ยวย่นราวเปลือกไม้ที่นั่งอยู่หลังแผงที่วางสินค้ากระจุกกระจิก

"ข้าเดาว่าเจ้ากำลังจะออกไปล่าสัตว์ นี่คือขนของเสืออัคคี" ชายชรายกแผ่นหนังสีส้มลายดำขึ้นมาโชว์ ดวงตาขุ่นมัวเป็นประกาย "กลิ่นสาปของมันจะช่วยเจ้าได้มากทีเดียว เจอกับเจ้าในวันนี้ถือเป็นวาสนา ข้าจะลดราคาให้เจ้าพิเศษ เหลือเพียงห้าร้อยเหรียญทองแดงเท่านั้น" ชายชรากล่าวพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง เผยให้เห็นฟันหน้าที่เหลืออยู่เพียงสองซี่ที่ดูคลอนแคลนอย่างจริงใจ

"ขอบคุณท่านมากขอรับ แต่ข้าเกรงว่าจะมิใคร่จำเป็น ท่านเก็บไว้ขายให้ผู้อื่นเถิด" อวี้เหวินประสานมือคารวะเล็กน้อย พร้อมกับส่ายศีรษะและส่งยิ้มสุภาพตอบกลับไป

ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองแผ่นหนังในมือชายชราอย่างพิจารณา เสืออัคคี แม้เขาจะยังไม่เคยพบเห็นด้วยตาตนเอง แต่ก็เคยได้ยินเรื่องราวจากนักล่าคนอื่นๆ มาบ้าง ในฐานะนักล่าสัตว์ป่าผู้ช่ำชอง มันเป็นอสูรระดับต่ำเฉกเช่นหมาป่าอสูร สิ่งล้ำค่าที่สุดของมันคือเขี้ยวยาวทั้งสองข้าง ซึ่งมีราคาสูงถึงสิบเหรียญเงินในตลาด ขนของมันแม้มิได้มีค่าเท่าเขี้ยว แต่ก็ถือเป็นของจากสัตว์อสูร หากสิ่งที่ชายชราผู้นี้กล่าวเป็นความจริง เหตุใดราคาจึงต่ำถึงเพียงนี้ สุดท้ายคงเป็นเพียงอุบายหลอกลวงเพื่อหวังรีดไถเงินจากเด็กหนุ่มเท่านั้น

"จะไม่รับไว้จริงๆ หรือพ่อหนุ่มเอ๋ย" ชายชราเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองอวี้เหวินด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยความสงสัยระคนผิดหวัง

"ของดีหายากเช่นนี้ ต่อให้เจ้าใช้เวลาทั้งชีวิตตามหา ก็มิอาจพบเจอโอกาสดีเช่นนี้อีกแล้ว หรือว่ายังแพงไป? เช่นนั้นพ่อหนุ่ม ข้าจะลดให้เจ้าพิเศษสุดๆ เหลือเพียงสามร้อยเหรียญทองแดงเท่านั้น จะเอารึไม่?" ชายชราโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย น้ำเสียงเริ่มเปลี่ยนเป็นคะยั้นคะยอแกมข่มขู่เล็กน้อย เมื่อเห็นว่าอวี้เหวินมิได้แสดงความสนใจในสินค้าของตนแม้แต่น้อย

แต่อวี้เหวินก็ยังคงก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน สายตามองตรงไปข้างหน้า โดยมิได้หันกลับไปสนใจเสียงของชายชราผู้นั้นแม้แต่คำเดียว ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด

"หึ...เด็กสมัยนี้ช่างเฉลียวฉลาดนัก ผิดกับข้าเมื่อเยาว์วัยราวฟ้ากับดิน" ชายชรามองตามแผ่นหลังของอวี้เหวินที่เดินห่างออกไป ถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางสบถในใจและหวนรำลึกถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อครั้งยังเป็นเด็กหนุ่ม นึกถึงเรื่องที่ตนเองเคยถูกหลอกลวงด้วยอุบายเช่นนี้ ใบหน้าของเขาก็พลันปรากฏร่องรอยแห่งความละอายใจ เขาจึงรีบสงบจิตใจ ปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลซึมตามไรผม ครู่นึง เขาก็เริ่มกล่าวเชิญชวนผู้คนที่เดินผ่านไปมาให้มาซื้อสินค้าของตนอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้นกว่าเดิม

ในแคว้นตงชิงอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ เงินตราที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนนั้นมีอยู่สี่สกุลหลัก เรียงตามลำดับค่าจากน้อยไปมาก ได้แก่ เหรียญทองแดงอันเป็นหน่วยต่ำสุด เหรียญเงินที่สูงค่าขึ้นมา เหรียญทองอันล้ำค่า และเหรียญเพชรซึ่งเป็นดั่งอัญมณีแห่งความมั่งคั่ง โดยมีอัตราส่วนในการแลกเปลี่ยนอันเป็นที่เข้าใจโดยทั่วกันคือ หนึ่งเหรียญเงินมีค่าเท่ากับหนึ่งพันเหรียญทองแดง หนึ่งเหรียญทองมีค่าเท่ากับหนึ่งพันเหรียญเงิน หรือเทียบเท่าหนึ่งล้านเหรียญทองแดง และหนึ่งเหรียญเพชรนั้นเลอค่าถึงหนึ่งพันเหรียญทอง หรือคิดเป็นจำนวนมหาศาลถึงหนึ่งพันล้านเหรียญทองแดง

ด้วยอัตราส่วนดังกล่าว หากขนของเสืออัคคีแท้ๆ มีราคาสูงล้ำถึงหนึ่งเหรียญเงิน นั่นย่อมหมายถึงมูลค่าหนึ่งพันเหรียญทองแดง การที่ชายชราผู้นั้นเสนอขายในราคาเพียงสามร้อยเหรียญทองแดง มิใช่เป็นการลดทอนคุณค่าจนน่าขัน ทั้งยังส่อเจตนาอันไม่สุจริตอีกด้วย คงมิมีผู้ใดที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดคิดกระทำการอันไร้เหตุผลเช่นนั้นเป็นแน่

เมื่ออวี้เหวินเหยียบย่างเข้าสู่ตีนเขา ไออุ่นจากผืนดินและกลิ่นหอมของใบไม้ใบหญ้าก็โชยมาแตะต้องประสาทสัมผัส เขาทอดถอนลมหายใจยาว คลายความตึงเครียดจากบรรยากาศในเมืองลงเล็กน้อย ทว่าในขณะเดียวกัน สัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอดก็ทำงานอย่างเข้มข้นขึ้น ทุกท่วงท่าจึงเต็มไปด้วยความระมัดระวัง

พลันสายตาคมกริบดุจเหยี่ยวของเขาก็จับจ้องไปยังพุ่มไม้รกทึบเบื้องหน้า เห็นกระต่ายป่าตัวหนึ่งกำลังนั่งแทะเล็มหญ้าอ่อนอย่างเพลิดเพลิน ใกล้กับโคนต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านร่มรื่น อวี้เหวินย่างก้าวเข้าไปอย่างเชื่องช้า แผ่วเบาราวกับวิญญาณที่ล่องลอยในสายลม เพื่อป้องกันมิให้กระต่ายตื่นตระหนกและหลบหนี เมื่อเข้าสู่ระยะที่มั่นใจ เขาก็หยิบหน้าไม้ออกมาจากย่ามหนังที่สะพายอยู่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว ปลายนิ้วแข็งแรงแต่คล่องแคล่วดึงสายหน้าไม้ให้ขึ้นลำอย่างเงียบเชียบ จากนั้นวางลูกศรที่เหลาจากไม้เนื้อดีอย่างประณีตบรรจงตรงกลางราง อวี้เหวินใช้สายตาอันเฉียบคมดุจอินทรีเล็งไปยังกระต่ายตัวนั้น ลมหายใจถูกกลั้นไว้ชั่วขณะ ราวกับเวลาหยุดนิ่ง

"ฉึก!" เสียงลูกศรแหวกอากาศดังแผ่วเบา ราวกับเสียงกระซิบ พุ่งตรงเข้าปักที่ลำคอของกระต่ายตัวนั้นอย่างแม่นยำราวกับจับวาง เมื่อแน่ใจว่าเหยื่อสิ้นลมแล้ว เขาก็เดินเข้าไปจับที่หูยาวนุ่มของมันแล้วดึงขึ้นมาใส่ในย่ามด้วยท่าทางคล่องแคล่ว เขาทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่พบพานสัตว์ที่สามารถนำมากินและล่าได้ โดยมิได้เสียเวลาแม้แต่น้อย

เมื่อถึงยามเที่ยงวัน แสงสุริยาส่องตรงลงมายังกลางศีรษะ อวี้เหวินจึงหยุดพักใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ความร่มเย็น สายลมพัดโชยมาเบาๆ พัดพาเอาความเหนื่อยล้าให้จางหายไป เขานั่งลงบนพื้นหญ้านุ่ม หยิบเอาอาหารแห้งและน้ำสะอาดที่เตรียมมาออกมาเติมพลังให้กับร่างกาย

หลังจากการพักผ่อนอันสั้นๆ ที่ช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าขึ้น สิ้นสุดลง เขาก็เริ่มออกล่าสัตว์และหาของป่าอีกครั้ง ตระเวนไปทั่วบริเวณรอบนอกของขุนเขาได้พักใหญ่ ท่ามกลางแมกไม้เขียวขจีและเสียงนกร้องขับขาน จึงพบเข้ากับกระบือป่ารูปร่างอ้วนพีตัวหนึ่ง กำลังเล็มหญ้าอยู่อย่างสบายอารมณ์

เพียงแค่เห็นรูปร่างที่สมบูรณ์และแข็งแรงนั้น ในความคิดของอวี้เหวินก็พลันปรากฏภาพรสชาติอันโอชะของเนื้อกระบือย่างหอมกรุ่น อีกทั้งเดิมทีเขาตั้งใจจะหาสัตว์ใหญ่สักตัวเพื่อนำกลับไปเป็นอาหารให้กับบิดาผู้เป็นที่รัก เขาจึงย่องตามกระบือตัวนั้นไปอย่างเงียบเชียบ ระมัดระวังทุกฝีก้าว มิให้ส่งเสียงใดๆ รบกวน

กระบือตัวนี้กลับมีความประหลาดอย่างยิ่ง แม้รูปร่างของมันจะอ้วนกลมและท่าทางการเคลื่อนไหวจะดูเนิบนาบเชื่องช้า ราวกับมิมีพิษสง แต่ไม่ว่าอวี้เหวินจะเร่งฝีเท้าวิ่ง หรือย่องตามอย่างระมัดระวังเพียงใด มันก็สามารถหลุดรอดจากการจับกุมของเขาไปได้ทุกครั้ง สร้างความฉงนสนเท่ห์ให้กับอวี้เหวินเป็นอย่างมาก ราวกับกระบือตัวนี้มีญาณวิเศษ หรือมีผู้ใดคอยชี้แนะแนวทางให้มันหลบหนีก็มิปาน

"กระบือป่าตัวนี้น่าประหลาดพิกล ด้วยทรวดทรงอ้วนพีกลมกลึงราวกับโอ่งดินเผา เหตุใดจึงสามารถเคลื่อนกายได้อย่างว่องไวดุจสายลมเล่า! ช่างเป็นเรื่องน่าโมโหจนเกินทน ข้ายิ่งทุ่มเทกำลังติดตาม มันกลับยิ่งทิ้งช่วงห่างออกไปราวกับเยาะเย้ย!" อวี้เหวินคำรามในลำคอด้วยความขุ่นเคือง โลหิตในกายสูบฉีดแรงขึ้นจนรู้สึกได้ เขาฝืนเร่งฝีเท้า หมายจะย่นระยะห่างให้ใกล้เคียง

เวลาล่วงเลยไปอีกพักใหญ่ แสงสุริยาเริ่มทอประกายสีส้มทอง บ่งบอกถึงยามบ่ายคล้อย อวี้เหวินรู้สึกถึงลมหายใจที่เริ่มหอบกระชั้นถี่รัว ราวกับปอดจะฉีกขาดด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการไล่ล่ากระบือน้อยตัวนั้นจนต้องหยุดยืนพักชั่วครู่ หยาดเหงื่อไหลรินอาบแก้มคมสัน ทว่าเจ้ากระบือน้อยกลับยังคงโลดแล่นวิ่งเต้นไปมาอย่างสบายอารมณ์ มันชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อย หันศีรษะมาทางอวี้เหวิน ดวงตากลมโตสีดำขลับดูราวกับกำลังท้าทายและเยาะเย้ยในความไร้สามารถของเขา พลางกระดิกหางสั้นๆ ไปมาอย่างยียวนกวนโทสะ

"ฮึ่ม! เจ้ากระบือน้อย เจ้ามีสิ่งใดให้ข้าต้องอับอายขายหน้ากัน!" อวี้เหวินกำมือแน่น เข้าใจในท่าทีที่ยั่วยุของมัน จึงรู้สึกราวกับถูกดูแคลนเหยียดหยาม เขาจึงกัดฟันกรอด รวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ทั้งหมด ออกวิ่งไล่ตามมันอีกครั้ง

ฝ่ายเจ้ากระบือน้อย บางคราก็หยุดฝีเท้าลงเล็มหญ้าอ่อนอย่างไม่ใส่ใจ ราวกับมิได้มีสิ่งใดน่ากังวล บางคราก็ส่ายบั้นท้ายกลมกลึงไปมาอย่างยั่วเย้า บางคราก็จงใจรอให้อวี้เหวินใกล้เข้ามาจนแทบจะคว้าถึง แล้วจึงออกวิ่งนำไปอีกครั้ง ทว่ายิ่งอวี้เหวินทุ่มเทกำลังไล่ตาม เขากลับยิ่งรู้สึกเหมือนระยะห่างระหว่างเขากับมันนั้นถ่างกว้างออกไปเรื่อยๆ พลังกายที่สะสมมาเริ่มจางหาย ลมหายใจถี่กระชั้นราวกับจะขาดห้วง ความฉงนสนเท่ห์ในใจก็ยิ่งทวีคูณจนแทบคลั่ง

'ข้าไล่ตามมันมาตลอดเส้นทาง กลับมิได้พบพานสัตว์อื่นแม้แต่เงาของมัน เหตุใดป่าแห่งนี้จึงเงียบสงัดผิดปกติเช่นนี้?' อวี้เหวินขมวดคิ้วมุ่นเป็นปม คิดอย่างหนักหน่วง เขาพลันชะลอฝีเท้าลงอีกครั้ง แล้วหันไปสำรวจป่าโดยรอบอย่างละเอียด

ต้นไม้แต่ละต้นสูงเสียดฟ้า ลำต้นใหญ่โตจนต้องใช้คนหลายคนโอบ ใบไม้สีเขียวเข้มหนาทึบจนแสงสุริยาแทบส่องลอดลงมาไม่ถึง พื้นป่าเต็มไปด้วยพุ่มไม้รกครึ้มและเถาวัลย์พันเกี่ยว ราวกับเป็นป่าดึกดำบรรพ์ที่มิเคยมีผู้ใดรุกล้ำ ความหนาแน่นของพืชพรรณนั้นแตกต่างจากป่าโปร่งที่เขาเดินผ่านมาเมื่อตอนเช้าอย่างสิ้นเชิง ป่าแห่งนี้ดูแปลกตาและไม่คุ้นเคยสำหรับเขาแม้แต่น้อย ราวกับเขาหลงเข้ามาในอีกโลกหนึ่ง

'ชิบหายแล้ว! หรือว่า...' ความคิดอันน่าสะพรึงกลัวสายหนึ่งแล่นปราดเข้ามาในสมองของอวี้เหวิน ทำให้โลหิตในกายเย็นเยียบไปจนถึงกระดูกสันหลัง เส้นผมทั่วศีรษะลุกชันขึ้นมาทันที

'ทุกสิ่งทุกอย่างดูผิดแผกแตกต่างไปจากเดิม ขนาดใหญ่โตเกินกว่าปกติ สภาพแวดล้อมอุดมสมบูรณ์จนน่าประหลาดพิกล ข้าได้ย่างก้าวล่วงล้ำเข้ามาในดินแดนของสัตว์อสูรแล้วหรือนี่!' เขาหยุดวิ่งโดยพลัน ยืนตระหง่านอยู่กับที่ ราวกับถูกตรึงด้วยมนต์สะกด เร่งความคิดอย่างหนักหน่วงเพื่อหาทางออกจากสถานที่แห่งนี้ หากสิ่งที่เขาสันนิษฐานเป็นความจริง การเข้ามาในเขตแดนของสัตว์อสูรเช่นนี้ ย่อมกล่าวได้ว่าหายนะอันยิ่งใหญ่ได้มาเยือนแล้ว เพราะเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง แม้จะต้องเผชิญหน้ากับอสูรชั้นต่ำที่สุด ก็มีเพียงความตายเท่านั้นที่รอคอยเขาอยู่เบื้องหน้า ความหวาดหวั่นกัดกินหัวใจของเขาจนแทบจะแหลกสลาย

ทางด้านเจ้ากระบือน้อย เมื่อทัศนาเห็นอวี้เหวินหยุดยั้งการไล่ล่าลงโดยฉับพลัน ใบหน้าเล็กๆ ที่เคยตื่นตระหนกกลับปรากฏร่องรอยแห่งความพึงพอใจปนเยาะหยัน ราวกับจะส่งภาษาใจว่า 'สมน้ำหน้าแล้ว คิกๆๆ' พร้อมกับกระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริง หายลับเข้าไปในดงพุ่มไม้หนาทึบที่อยู่เบื้องหน้าในชั่วพริบตา ทิ้งไว้เพียงร่องรอยการเคลื่อนไหวบนพื้นดิน

อวี้เหวินที่กำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดอันหนักอึ้ง ใบหน้าคมสันปรากฏร่องรอยแห่งความเคร่งเครียด ดวงตาเข้มดุจเหยี่ยวจับจ้องไปยังผืนดินเบื้องหน้า ราวกับกำลังคำนวณหาทางออก จึงมิได้ใส่ใจต่อการกระทำอันแสนยียวนของเจ้ากระบือน้อย

"มีเพียงต้องหันหลังกลับ และมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดิมที่ข้าจากมาเท่านั้น" เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ราวกับเป็นการให้สัตย์ปฏิญาณแก่ตนเอง พร้อมกับค่อยๆ หมุนกายกลับไปอย่างช้าๆ ทว่าในเสี้ยววินาทีที่สายตาของเขาปะทะเข้ากับทิวทัศน์เบื้องหลัง แสงสว่างเรืองรองผิดปกติพลันวาบเข้ามาในม่านตาของเขา...

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Kaugnay na kabanata

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่6 บุรุษงามพิศวง หินทมิฬสะท้านวิญญาณ

    ขณะที่อวี้เหวินหันกายกลับไป ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในห้วงสายตาของเขา ราวกับบุปผาต้องลมที่ร่วงหล่นลงบนผืนดินอันแข็งกระด้าง'ผู้ใดกันเล่า เหตุใดจึงมานอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่กลางป่าลึกอันเปลี่ยวร้างเช่นนี้?' เขาครุ่นคิดในใจ พลางย่างเท้าเข้าไปหาร่างนั้นด้วยความระมัดระวัง ราวกับเกรงว่าเสียงฝีเท้าจะรบกวนการพักผ่อนอันแสนเงียบสงบ ร่างมนุษย์บอบบางร่างหนึ่งที่กำลังหลับใหลไม่ได้สติ ค่อยๆ ปรากฏรูปร่างชัดเจนขึ้นในม่านสายตาของอวี้เหวิน'ช่างงดงามเสียจริง...สตรีเช่นนั้นหรือ?' อวี้เหวินจ้องมองไปยังร่างนั้นอย่างตะลึงงัน ราวกับต้องมนต์สะกด ผิวพรรณขาวผ่องดุจหิมะแรกต้องแสงจันทร์ ใบหน้างดงามหมดจดราวกับเทพธิดาที่ร่วงหล่นจากสรวงสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์ เส้นผมสีแดงเพลิงยาวสลวยราวกับสายไหม ทว่า...บนชุดผ้าเนื้อดีที่นางสวมใส่นั้น ปรากฏร่องรอยแห่งการฉีกขาดและคราบโลหิตแห้งกรัง บ่งบอกถึงการเผชิญเคราะห์ร้ายมามิใช่น้อย'ดูท่าทางนางจะได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่งนัก ข้าควรยื่นมือเข้าช่วยเหลือตามวิสัยบุรุษหรือไม่?' ความลังเลฉายชัดในดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยวของเขา"ตุบ!" เสียงฝ่ามือหนาหนักกระทบลงบนศีรษะตนเองเบาๆ "เจ้ามันคนใจหินไปแล้ว

    Huling Na-update : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่7 เตาอัสนีวิบัติหลอมกายา ปฐมบทแห่งการแปรเปลี่ยน

    ในห้วงสำนึกของซ่งเหยียนเฟย 'เหตุใดข้าจึงมิอาจขยับเขยื้อนกายได้?' ความรู้สึกอึดอัดประดุจถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ทว่าท่ามกลางความอึดอัดนั้น กลับมีกระแสไออุ่นอันแสนสบายราวกับแสงตะวันยามเช้าค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ทุกอณูของร่างกาย 'สิ่งนี้คืออันใดกัน? ข้ารู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างประหลาด ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นแขนขาที่ข้าเคยใช้มานับครั้งไม่ถ้วน' ดวงจิตในห้วงสำนึกจับจ้องไปยังอวัยวะภายในที่ถูกห่อหุ้มด้วยม่านพลังสีดำมืดสนิท ราวกับราตรีที่ไร้ซึ่งดวงดาว "อ๊ากกก!" ฉับพลันทันใดนั้นเอง กระแสพลังแห่งความมืดที่เคยอ่อนโยนกลับแปรเปลี่ยนเป็นคมมีดนับพันเล่ม กรีดแทงลึกลงไปในส่วนที่สึกหรอ บาดแผล และความอ่อนแอภายในร่างกายของเขา สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสราวกับถูกฉีกทึ้งวิญญาณ ทว่าเมื่อห้วงเวลาแห่งความทรมานนั้นค่อยๆ ผ่านพ้นไป อาการบาดเจ็บภายในที่เคยร้าวรานกลับค่อยๆ สมานตัวดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ราวกับได้รับการชุบชีวิตใหม่ ทันใดนั้นเอง ความทรงจำและองค์ความรู้บางอย่างก็ไหลบ่าเข้ามาในห้วงสำนึกของเขา 'หรือว่า...จะเป็นพลังทมิฬ? พลังแห่งความมืดมิดที่บริสุทธิ์ สีดำสนิทดุจห้วงอว

    Huling Na-update : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่8 มังกรบรรจบเมฆาคล้อย: ปฐมบทนครเฉิน

    ครู่กาลล่วงเลย เปลือกตาคู่หนึ่งจึงค่อยๆ ปรือเปิดจากห้วงนิทรา ความพร่าเลือนในม่านตาค่อยๆ จางหาย แปรเปลี่ยนเป็นความคมชัด อวี้เหวินขยับศีรษะเพียงเล็กน้อย หันไปยังทิศเบื้องขวา จึงปรากฏแก่สายตาซึ่งร่างของอสูรแมงมุมพิศดารตัวหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ เมื่อพิเคราะห์ดูอย่างละเอียดละออ จะเห็นได้ว่าใบหน้าของมันละม้ายคล้ายคลึงกับสุนัขอย่างน่าประหลาด มันถูกพิฆาตจนร่างแหลกเหลวออกเป็นสองส่วน ชิ้นส่วนอวัยวะกระจัดกระจาย เลือดสีม่วงเข้มข้นไหลนองผืนปฐพี ส่งกลิ่นคาวคลุ้งรุนแรงท่ามกลางไอแดดที่แผดเผาราวกับเปลวเพลิง"เจ้าตื่นแล้วหรือ?" เสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มิได้แสดงความตื่นตระหนกต่อภาพที่ปรากฏเสียงนั้นปลุกอวี้เหวินให้หลุดพ้นจากภวังค์แห่งความงุนงง เขาสังเกตเห็นว่าอาภรณ์ของตนเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีม่วงเหนียวข้น ซึ่งบัดนี้ได้แห้งกรังติดอยู่กับเนื้อผ้า "มัน... มันเกิดอันใดขึ้นกัน?" อวี้เหวินพึมพำด้วยความสับสนงุนงาย"เจ้าถูกอสูรแมงมุมพิษหน้าสุนัขเล่นงานเข้าแล้ว" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวพลางชี้ไปยังซากอสูรที่นอนตายอยู่มิไกล"เจ้าอาจถูกพิษของมันขณะที่ยึดเหนี่ยวโขดหินนั่น จึงเป็นเหตุให้เจ้ารู้สึกหนักอึ้งร

    Huling Na-update : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่9 ราตรีลึก ณ เหมยเหว่ย เงาอำนาจและหมากในกระดาน

    ท่ามกลางเมืองเฉินอันคึกคัก มีร้านอาหารหรูแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในย่านเก่าแก่ของเมือง แม้ขนาดของมันจะมิได้ใหญ่โตโอฬาร ทว่ากลับแฝงไปด้วยร่องรอยของกาลเวลาที่สั่งสมมาเนิ่นนาน ร้านอาหารแห่งนี้มีชื่อว่า "美味" (Měiwèi, ของกินเลิศรส) ซึ่งนับเป็นร้านอาหารที่มีเกียรติและได้รับการยอมรับสูงสุดในเมืองเฉิน เมื่อย่างกรายเข้ามาเบื้องหน้าร้าน ผู้อาจหาญทั้งหลายย่อมต้องหยุดสายตาลงยังป้ายไม้เก่าแก่ที่แขวนอยู่เหนือประตู ป้ายไม้แผ่นนี้ถูกสลักด้วยลายมือวิจิตรงดงาม บ่งบอกถึงชื่อร้านที่สืบทอดมาแต่โบราณ ด้านข้างของร้าน อักษรสลักบนผนังทั้งสองฝั่งยิ่งเสริมความหนักแน่นให้แก่สถานที่แห่งนี้ ทางขวาคือคำว่า "张进鸿" (เตียจิงฮ้ง, เจริญก้าวหน้าเกริกก้องเกรียงไกร) และทางซ้ายคือ "荣耀" (Róngyào, มีเกียรติอันประเสริฐรุ่งโรจน์) หากบุคคลทั่วไปได้พบเห็น คงเข้าใจว่านี่เป็นเพียงคำอวยพรเพื่อเสริมสิริมงคล ทว่าผู้ที่ล่วงรู้เบื้องลึกแห่งร้านเหมยเหว่ยย่อมตระหนักดีว่า นี่มิใช่เพียงถ้อยคำมงคล หากแต่เป็นปณิธานอันหนักแน่นของสถานที่แห่งนี้ อักษรด้านขวาถูกจารึกขึ้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้คนที่แวะเวียนมารับประทานอาหาร ณ ที่แห่งนี้ โดยเฉ

    Huling Na-update : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่10 ข้าไม่ได้ตั้งใจ!!

    "ช่างเป็นเคล็ดวิชาที่ลึกล้ำเกินหยั่งถึง!" อวี้เหวินอุทานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายราวกับค้นพบขุมทรัพย์ล้ำค่า เขาทอดสายตามองไปยังห้วงความคิด พลางหวนรำลึกถึงเนื้อหาของเคล็ดวิชาอีกครา 'เคล็ดวิชาหมัดอัคนีสังหารนั้น แบ่งออกเป็นสามขอบเขตใหญ่ อันได้แก่ ปฐพี อัคคี และวารี แต่ละขอบเขตยังแบ่งย่อยออกเป็นสามระดับ คือ เเรกเริ่ม กลาง และสูงสุด ในขอบเขตปฐพีนั้น เป็นการวางรากฐานแห่งกระบวนท่าของหมัดอัคนีสังหาร พลังอำนาจแห่งหมัดในระดับเริ่มต้นอยู่ที่สามร้อยจิน ระดับกลางอยู่ที่หกร้อยจิน และระดับสูงสุดอยู่ที่เก้าร้อยจิน' ภาพกระบวนท่าอันสลับซับซ้อนเริ่มฉายชัดในมโนสำนึกของอวี้เหวิน ราวกับมีผู้มาสาธิตอยู่ตรงหน้า เขาสังเกตทุกการเคลื่อนไหว จดจำทุกรายละเอียด เมื่อเริ่มเข้าใจในแก่นแห่งวิชาแล้ว อวี้เหวินจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เริ่มต้นร่ายรำตามภาพที่ปรากฏในห้วงนิมิต ฝ่ามือและหมัดถูกส่งออกไปในอากาศอย่างหนักแน่น สลับหมุนเวียนราวกับพายุโหมกระหน่ำ เท้าก้าวไปตามจังหวะ ท่วงท่าการยืนมั่นคงดุจขุนเขา ทุกอิริยาบถที่แสดงออกมาล้วนสง่างามและหนักแน่นราวกับผืนปฐพีอันกว้างใหญ่ ในระหว่างที่ฝึกฝนเพลงหมัด อวี้เหวินมิไ

    Huling Na-update : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่11 "สองบุรุษ" หนึ่งหิน...วุ่นวายยกใหญ่!

    ยามเมื่อสุริยันเยื้องย่างลงจากนภา โลกธาตุพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มชาด แสงสุดท้ายสาดส่องทาบทาทิวเมฆราวกับผ้าไหมปักลาย เด็กหนุ่มนามว่าอวี้เหวินก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ทอดฝีเท้าหนักแน่นแต่มิได้เร่งรีบ จุดหมายปลายทางคือบ้านหลังน้อย แสงไฟสลัวริบหรี่ลอดออกมาจากบานหน้าต่างไม้ในอีกไม่กี่ก้าวเบื้องหน้า ความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักตลอดวันเกาะกุมหัวใจ ทว่าเมื่อย่างเท้าเข้าสู่เรือน ได้รับการต้อนรับอันอบอุ่นและการดูแลเอาใจใส่จากผู้เป็นบิดา ความอ่อนล้าทั้งมวลก็มลายหายสิ้นดุจไอหมอกยามรุ่งอรุณ หลังจากอวี้เหวินและบิดาได้ร่วมโต๊ะทานอาหารค่ำ พูดคุยสารทุกข์สุกดิบจนกระทั่งราตรีเริ่มย่างเข้าสู่ยามดึกสงัด อวี้เหวินจึงนั่งลงขัดสมาธิ สงบจิตใจปรับลมปราณอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะล้มตัวลงนอน ณ ห้วงความมืดมิดภายในเม็ดหินอัญมณีสีดำสนิทที่ห้อยอยู่บนคอของอวี้เหวิน ปรากฏร่างหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างอ้อยอิ่ง “สามสิบสี่… สามสิบห้า… เวลาล่วงเลยมาเกือบเดือน ข้ากลับเคลื่อนกายมาได้เพียงสามสิบห้าก้าวเท่านั้น เบื้องหน้าจักมีสิ่งใดซ่อนอยู่อีกเล่า?” ซ่งเหยียนรำพึงรำพันกับตนเอง พลางหายใจหอบถี่ราวกับคนจมน้ำ เขานั่งลง หลับตาลงเพื่อ

    Huling Na-update : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่12 ขบวนสินค้าตระกูลหวัง

    เปลือกตาที่หนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยตะกั่วค่อยๆ เปิดขึ้น เผยให้เห็นดวงตาที่ยังคงพร่าเลือนและง่วงงุน ร่างกายที่อ่อนล้าประหนึ่งถูกบั่นทอนเรี่ยวแรงของอวี้เหวินค่อยๆ ขยับเขยื้อนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะพยุงกายลุกขึ้นนั่งบนเตียงไม้เนื้อดี มือเรียวลูบไล้ใบหน้าของตนเองเบาๆ เพื่อขับไล่ความง่วงงุนให้จางหายไป หลังจากเหตุการณ์พลิกผันเมื่อสามราตรีล่วงผ่าน อาการบาดเจ็บของอวี้เหวินก็สมานหายราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รุ่งอรุณแห่งวันนี้ เขาตื่นขึ้นด้วยความสดชื่น เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไปฝึกฝนวิชาอีกครั้ง อวี้เหวินเริ่มบริหารร่างกายด้วยท่วงท่าที่คุ้นเคยเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม ก่อนจะจัดเตรียมสัมภาระต่างๆ สำหรับการเดินทาง ในขณะที่เขากำลังตรวจตราสิ่งของภายในห่อผ้าอยู่นั้น เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นในห้วงความคิด "วันนี้เป็นวันที่จะต้องบุกเข้าไปในเขตแดนของพยัคฆ์หางแมงป่อง ซึ่งด้วยพละกำลังของเจ้าในยามนี้ ยังมิอาจบุกเข้าไปโดยลำพังได้ จำเป็นต้องมีสิ่งป้องกันไอความร้อนอันร้อนระอุจากรังของพวกมัน" อวี้เหวินแสดงสีหน้าเข้าใจ ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามด้วยความสงสัย "อย่าว่าแต่สิ่งใดใช้ป้องกันเลย แม้แต่ชื่อของมัน ข้

    Huling Na-update : 2025-04-20
  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่13 คุณสมบัติของผู้ยิ่งใหญ่

    "ฟ่อๆๆ!" เสียงขู่คำรามดุดันราวอสูรร้ายคำรามก้องกังวาน พร้อมกับร่างของอสรพิษลายพาดกลอนตัวเขื่อง พุ่งทะยานจากเงามืดแห่งโขดหินด้านหลัง หมายจะฉกกัดอวี้เหวินด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาด เขี้ยวแหลมคมสีเหลืองอำพันเผยให้เห็นถึงพิษร้ายที่พร้อมจะคร่าชีวิตในพริบตา"ฉัวะ!" อวี้เหวินที่ประสาทสัมผัสว่องไวดุจเหยี่ยวล่าเหยื่อ พลิกกายหลบหลีกได้อย่างหวุดหวิด พร้อมกับเหวี่ยงมือขวาออกไปราวกับแส้เหล็ก ฟาดเข้าที่กลางลำตัวของอสรพิษอย่างแม่นยำ เสียงเนื้อแตกดังสนั่น ร่างกายของงูร้ายพลันแหลกเหลว เลือดสีแดงฉานกระเซ็นเปรอะเปื้อนไปทั่วบริเวณ ราวกับพู่กันยักษ์สาดสีลงบนผืนดิน อวี้เหวินชักมือกลับ ดวงตาคมกริบจ้องมองซากอสรพิษด้วยความเหนื่อยล้า"นี่ก็เป็นตัวที่สามสิบแล้วกระมัง มิหนำซ้ำพลังของพวกมันยังเพิ่มพูนขึ้นอีกด้วย" เขาเอ่ยพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลอาบแก้ม ดวงหน้าหล่อเหลาปรากฏร่องรอยความอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้น"เพียงเท่านี้เจ้าก็หอบเสียแล้วหรือ? แค่งูหางแมงป่องตัวเล็กกระจ้อยร่อยพวกนี้" เสียงทุ้มนุ่มของบุรุษผู้หนึ่งดังกระซิบข้างใบหูของอวี้เหวิน ราวกับภูตพรายปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า พร้อมกับร

    Huling Na-update : 2025-04-20

Pinakabagong kabanata

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่26 ทลายพันจินใต้สายตาเย้ยหยัน มังกรซ่อนเล็บรอวันผงาด

    อวี้เหวิน... เสื้อผ้าบนกายเรียบง่าย ท่าทางไม่สะดุดตาเมื่อเทียบกับอัจฉริยะอื่น ๆ ที่สวมอาภรณ์หรูหรา หากดวงตาของเขา กลับเปล่งแสงเฉียบคมเยี่ยงดาบลับที่ซุกซ่อนในฝัก ใบหน้าสงบเฉย นิ่งราวแผ่นน้ำในยามราตรี แต่ในความนิ่งนั้นกลับมีบางสิ่งซ่อนอยู่... ร้อนแรงและหนักหน่วงดุจอัสนีสายลับที่รอวันฟาดฟันเขาก้าวเดินไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าแท่นศิลาสายวัดพลังสายลมเย็นโชยเอื่อยพัดชายเสื้อของเขาเบา ๆ คล้ายจะรับรู้ถึงแรงอารมณ์อันแน่นขนัดของเขาในยามนี้...ไม่มีเสียง ไม่มีคำพูด ไม่มีท่าทีแสดงความฮึกเหิมมีเพียงความสงบก่อนพายุอวี้เหวินสูดลมหายใจเข้าช้า ๆในใจกลับดังก้องด้วยเสียงของซ่งเหยียนเฟยจากมิติสร้อยคอ“เจ้าจะเปิดเผยพลังจริงหรือไม่?”เด็กหนุ่มหลับตาลงครู่หนึ่ง ดวงจิตสงบนิ่ง ก่อนพึมพำในใจ...“ไม่จำเป็น...ในยามนี้”“เพียงพอแค่ให้โลกรู้ว่า ข้า มิใช่คนที่ควรดูแคลน”ฝ่ามือของเขากำแน่น พลังหมุนเวียนจากส่วนลึกในกาย ปะทุแผ่วเบาแต่ทรงอานุภาพ เคล็ดวิชา หมัดอัคนีสังหาร เริ่มไหลเวียนผ่านเส้นเอ็นเส้นเลือดอย่างกลมกลืน ราวกับเพลิงที่ถูกกรั่นกลั่นจากขุมนรกแม้เป็นเพียง ขั้นกลาง หากภายใต้ร่างกายที่ผ่านการฝึกฝนด้วย เตาอ

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่25 รุ่งอรุณแห่งการพิสูจน์ มังกรในเงามืดเตรียมทะยานฟ้า

    ในยามที่มิติภายในสร้อยคอผสานรวมกับผลึกทมิฬชิ้นใหม่ ความเปลี่ยนแปลงบางสิ่งก็เริ่มเกิดขึ้นอย่างแผ่วเบา หากแต่ลึกซึ้งจนสัมผัสได้ถึงแก่นแท้ของพลัง เสี้ยวหนึ่งของมิตินั้นเริ่มสั่นสะเทือนอย่างเงียบงัน ราวกับม่านหมอกอันดำสนิทที่เคยปกคลุมทั่วทุกทิศ เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นกระแสพลังทมิฬอันหนาแน่นและบริสุทธิ์กว่าก่อนหน้า ซ่งเหยียนเฟย เหินร่างจิ๋วอันงดงามประหนึ่งตุ๊กตาเทพหยก ก้าวเข้าสู่ความมืดมิดอันไร้จุดจบในมิติแห่งนี้ด้วยสีหน้าครุ่นคิดลึกซึ้ง ร่างของเขาแม้จะเล็กจ้อยดั่งนกน้อยในเงามังกร แต่ความเย่อหยิ่งสง่าของเผ่าทมิฬหาได้พร่ามัวลงไม่ ผ้าคลุมสีชาดโบกสะบัดพลิ้ว ท่ามกลางพลังปราณสีดำที่วนเวียนดั่งพายุใต้บาดาล “ความมืด… หนาขึ้นกว่าคราแรกเสียอีก” เสียงนุ่มลึกของเขาเอื้อนเอ่ยในความเงียบ เขายื่นฝ่ามือเรียวเล็กออกไป พลังทมิฬที่ปะทุอยู่อย่างแผ่วเบารอบตัวไหลซึมเข้าสู่ผิวเนื้อ ก่อเกิดประกายเรืองรองสีดำวาววับที่ชั้นผิว พลังอันน่าพิศวงนี้ไม่เพียงโอบอุ้มจิตใจ หากยังปลุกเร้ากายเนื้อให้เร่งฟื้นฟูราวปาฏิหาริย์ “เพียงแค่ชิ้นเดียว… มิติแห่งนี้กลับมีการตอบสนองถึงเพียงนี้?” ดวงเนตรเขม็งมองไปยังความเวิ้งว้างเบื้องหน้

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่24 พบพานหินทมิฬ ปริศนาสร้อยคอ

    สายลมยามบ่ายแห่งเมืองซูไห่พัดโบกเอื่อยเบา หอบเอากลิ่นคาวของทะเลสาบ ผสมกับกลิ่นหอมจางๆ ของโอสถสมุนไพรที่ลอยอวลอยู่ทั่วไปในตลาดกลางเมือง ผู้คนหลากชนชั้นเดินขวักไขว่ ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าแม่ขาย ผู้ฝึกยุทธ์ในชุดยาวแสดงยศสำนัก หรือแม้แต่ผู้คนธรรมดาที่ถือถุงห่อข้าวปลาเดินสัญจรไปมา บางคนกำลังต่อรองราคาสินค้าอย่างออกรส บ้างนั่งพักหลบร้อนใต้ร่มผ้าปูตลาดแห่งนี้อึกทึกทว่าไม่ไร้ระเบียบ บรรยากาศกลับแฝงไปด้วยเสน่ห์เฉพาะตัวที่หาไม่ได้จากหมู่บ้านเล็กอย่างเทียนฟู… อวี้เหวินเดินทอดสายตาไปรอบด้าน ความรู้สึกคล้ายอยู่ในโลกอีกใบที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด“นี่แหละเมืองซูไห่ของแท้…” อู๋ซวนยิ้มพลางกวักมือเรียก “ทางนั้นคือร้านขายอาวุธ ส่วนฝั่งโน้นมีโรงน้ำชาใหญ่ ท่านรู้ไหมว่าชั้นบนมีนักเล่านิทานระดับตำนานประจำทุกค่ำคืนเลย!”อวี้เหวินพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้กล่าวอันใด แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความสนใจสายตาทั้งสองพลันสะดุดเข้ากับร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางถนนรอง มุงด้วยหลังคาผ้าสีซีดดูธรรมดายิ่งนัก หากแต่ตั้งเรียงรายไว้ด้วย “ก้อนหิน” หลากขนาด สีสันไม่งดงาม ไม่อร่ามเรือง หากแต่แฝงกลิ่นอายเร้นลับ

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่23 พบสหายใหม่ ณ นครหมอกเงิน

    รถม้าค่อยๆ แล่นผ่านถนนหินเรียบของเมืองซูไห่ บรรยากาศโดยรอบยังคงอบอวลด้วยกลิ่นสมุนไพรและไออุ่นของแสงแดดยามเที่ยง ใต้หลังคาโค้งของเรือนร้านค้า ผู้คนยังเดินขวักไขว่ด้วยจังหวะเร่งรีบที่แฝงด้วยจุดมุ่งหมาย เด็กเร่ขายข่าววิ่งสวนทางกับแม่ค้าขายโอสถ เงาของรถม้าคันหนึ่งทอดยาวลงบนพื้นหินราวกับบันทึกเส้นทางแห่งวาสนา ภายในรถ อวี้หลานยกม่านผ้าเปิดออกเล็กน้อย มองผ่านความพลุกพล่านไปยังตรอกซอยเบื้องหน้า ดวงตาเขาฉายแววเงียบขรึมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหันไปกล่าวกับชายชราที่ยังกุมบังเหียนอยู่ “ผู้อาวุโสหลี่ ที่ตรงนั้นคงจะพอแล้ว... พวกข้าสองพ่อลูกจะขอลงตรงนี้เถิด มิเหมาะนักที่จะรบกวนพวกท่านไปมากกว่านี้” ชายชราหันขวับกลับมา คิ้วขมวดเล็กน้อย “เหตุใดต้องรีบร้อนนัก น้องอวี้ เราเองก็เหมือนญาติมิตรกันแล้ว ไหนเลยจะเรียกว่ารบกวนได้?” อวี้หลานยิ้มบาง สีหน้าสงบ “ท่านผู้อาวุโสเป็นผู้มีคุณ ข้ากับบุตรชายเพียงได้รับเมตตา ชายชาติบัณฑิตควรรู้จักถนอมวาสนาให้เหมาะสม นับจากนี้เส้นทางของพวกข้าคงแตกต่างจากท่านแล้ว... ที่ตรงนี้เพียงพอ ขอบคุณท่านเป็นอย่างยิ่ง” ชายชราเงียบงันไปครู่ ก่อนถอนหายใจเบาๆ “เช่นนั้นก็แล้วแต่...

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่22 เมืองซูไห่ ดินเเดนเเห่งโอสถ

    กลางป่าเงียบสงบที่บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสนามรบ เสียงฟาดปะทะและเสียงร้องคำรามแทรกซึมไปทั่วทุกอณูอากาศ ดั่งเสียงของสายฟ้าที่ฟาดลงกลางพงหญ้า เสียงแห่งการต่อสู้บังเกิดขึ้นพร้อมกับแสงจันทร์ที่ส่องลงมาอย่างเวทนา หัวหน้าโจรซึ่งบัดนี้ลุกขึ้นจากพื้นได้แล้ว ดวงตาเปี่ยมด้วยเพลิงโทสะ ร่างพุ่งเข้าใส่ชายชราผู้สงบเย็น แต่กลับแฝงด้วยความน่าเกรงขาม “แก...เจ้าคนเฒ่า! กล้าดีอย่างไรถึงกล้าซัดข้าก่อน!” “เจ้าต่างหากที่กล้าเสียยิ่งกว่า ข้าผู้มีอายุคราวปู่เจ้ายังไม่อาจปล่อยให้หยาบคายได้ตามอำเภอใจ” ชายชรากล่าวเสียงเรียบ ดวงตาทอประกายสงบนิ่ง แต่ฝ่ามือทั้งสองกลับกางออกอย่างมั่นคง ยืนตรึงพื้นดินประหนึ่งเสาเข็มแห่งขุนเขา พริบตานั้น สองร่างพุ่งเข้าหากัน เสียงหมัดกระทบหมัดดัง “ปัง!” ลั่นสนั่น แรงกระแทกแผ่สะเทือนไปทั่ว รถม้าไหววูบเล็กน้อย เศษใบไม้ปลิวว่อนในอากาศ ในอีกฟากหนึ่ง อวี้เหวินซัดหมัดอัคนีสังหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า ร่างของศัตรูแต่ละคนปลิวกระเด็นราวใบไม้หลุดจากกิ่ง ใบหน้าของเด็กหนุ่มเปื้อนเลือดของศัตรู แต่แววตานั้นยังคงแน่วแน่ไม่คลอนแคลน ขณะนั้นเอง พ่อของเขากำลังจะวิ่งเข้ามาช่วยเหลือด้วยมือเปล่า “ท่านพ่อ! ท่า

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่21 ใต้แสงจันทร์กลางป่า เพลิงเเห่งการต่อสู้พลันลุกโชน

    แสงแดดยามสายสาดส่องลอดผ่านช่องว่างของกิ่งไม้ ทาบเงาไม้เป็นลายทออยู่บนพื้นดินที่แห้งกรัง เสียงนกร้องก้องอยู่ไกลลิบคล้ายกำลังร่ำลา และลมยามเช้าที่แผ่วเบานั้นก็เย็นเยียบกว่าทุกวัน... หรือบางทีอวี้เหวินอาจเพียงรู้สึกไปเองวันนี้ วันที่เขาต้องก้าวเท้าออกจากหมู่บ้านแห่งนี้... ได้มาถึงแล้วเขายืนอยู่หน้าบ้านไม้เก่าหลังคุ้นเคย ใบหน้าเรียบนิ่ง แววตาค่อย ๆ กวาดมองจากหลังคาที่ยังมีรอยซ่อมเก่า ๆ ฝีมือของบิดา ลงมาจนถึงชานไม้ที่เขาเคยวิ่งเล่นสมัยเด็ก และหยุดอยู่ที่บานประตูที่เขาเคยเปิดปิดนับครั้งไม่ถ้วนในแต่ละวันทุกสิ่งล้วนเงียบสงบเกินไป“ต่อจากนี้... บ้านหลังนี้ คงเงียบเหงาไร้ผู้คนแล้วกระมัง”เสียงพึมพำของเขาเบาจนแทบถูกกลืนไปกับสายลม ทว่าในใจกลับหนักอึ้งยิ่งนักตั้งแต่ลืมตาดูโลกเมื่อสิบห้าปีก่อน เขาไม่เคยก้าวออกไปไกลกว่าภูเขาหลังหมู่บ้านเลย บ้านหลังน้อยหลังนี้คือทั้งโลกของเขา เป็นที่ที่เขาเรียนรู้จักความอบอุ่น ความทุกข์ และความหวังขณะที่สายตายังทอดมองบ้านหลังนั้น อวี้เหวินพลันส่ายหัวเบา ๆ อย่างรำคาญตัวเอง ราวกับจะสะบัดความอาลัยออกจากใจ ก่อนจะละสายตาจากภาพตรงหน้า แล้วถอนหายใจออกมาอย่างเงียบงัน“

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่20 บทเริ่มเเห่งเพลิงล้างเเค้น!

    ชายชราสบถในใจ ‘ข้าจะไม่ปล่อยให้ศึกนี้ยืดเยื้อต่อไปอีก!’เขาสะบัดแขนเสื้อ มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปหยิบของบางสิ่ง มันคือ “ยันต์มารสังหาร” อักขระโบราณที่สลักไว้ด้วยโลหิตของจอมยุทธ์ยุคบรรพกาล พลังมารเข้มข้นหมุนวนอยู่ภายใน พอปรากฏออกมาก็ส่งกลิ่นอายมรณะจนพืชพรรณรอบข้างเหี่ยวเฉาในพริบตาชายชรากระตุกยิ้มเย็น แรงกดดันจากพลังมารพลันทวีคูณ เขาโยนยันต์ออกไปกลางอากาศ ก่อนจะร่ายอาคมควบคุม มันเปล่งแสงสีดำสนิท ก่อนจะพุ่งทะลวงเข้าใส่อสรพิษยักษ์“จงสลายไปซะ!” เขากล่าวเสียงก้องยันต์มารสังหารพุ่งเข้าใส่ร่างของอสรพิษยักษ์โดยตรง พลังมหาศาลปะทุขึ้นเป็นระลอก เงามารมหึมาปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้า กดทับร่างของมันไว้แน่น ก่อนที่เส้นแสงสีดำจะฉีกกระชากพลังอสูรของมันจนแหลกสลายอสรพิษยักษ์กรีดร้องเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างของมันจะค่อย ๆ แหลกสลายไปกับสายลม เหลือเพียงเถ้าถ่านสีดำล่องลอยอยู่กลางอากาศชายชราหอบหายใจ ดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นชา เขาเก็บยันต์ที่เหลือกลับเข้าไป ก่อนจะปรายตามองอวี้เหวินที่ซุ่มอยู่ห่าง ๆ ‘เจ้าหนู ข้ารู้นะว่าเจ้าคิดอะไรอยู่…’ชายชราจ้องมองซากของอสรพิษยักษ์ที่แน่นิ่งอยู่ตรงหน้า ดวงตาของเขาทอประกายเย

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่19 เผชิญหน้าปีศาจชราเเห่งเงามาร

    ภายในเรือนรับรองแขกแห่งหมู่บ้านเทียนฟู บรรยากาศในห้องเจรจาคลุ้งไปด้วยกลิ่นชาอ่อน ๆ ควันจางลอยขึ้นจากกาน้ำชาเคลือบเงา หวังหยวนนั่งอยู่ ณ ที่นั่งอันสูงศักดิ์ เบื้องหน้าคือหัวหน้าหมู่บ้านเทียนฟู ผู้มีท่าทางสุขุมแต่แววตาเต็มไปด้วยความกังวล "ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าได้ยินมาว่าเมื่อประมาณหนึ่งถึงสองเดือนก่อน มีแสงประหลาดดั่งดาวตกพุ่งลงมายังเขตเขาใกล้หมู่บ้านแห่งนี้ มิทราบว่ามีผู้ใดเห็นสิ่งนั้นอย่างชัดเจนบ้างหรือไม่" หวังหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยความหมายล้ำลึก หัวหน้าหมู่บ้านขยับกาน้ำชาช้า ๆ ก่อนถอนหายใจเบา ๆ "เรื่องนี้... ข้าเองก็ได้ยินมาอยู่บ้าง มีชาวบ้านบางคนอ้างว่าเห็นประกายสีแดงฉาน ตกลงยังหุบเขา แต่...หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปสำรวจด้วยตนเอง" เขาเว้นระยะไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงเบา "ท่านเองก็มาที่นี่เพราะเหตุนี้ใช่หรือไม่?" หวังหยวนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พลางจิบชาตรงหน้า สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง แต่ภายในดวงตา ทอแววพินิจครุ่นคิดอยู่ลึก ๆ "ในเมื่อมีดาวตกปริศนา ตกลงในเขตนี้ แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปตรวจสอบเลยแม้แต่ผู้เดียว? หรือว่า... มีบางสิ่งที่มิอาจเปิดเผย

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่18 ได้เเหวนมิติมาครอบครอง

    ผ่านไปหลายชั่วยาม ท่ามกลางสายลมราตรีอันเงียบสงัด เงาหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือปากปล่องลาวา ลมวูบหนึ่งพัดไอร้อนให้กระจายออก เผยให้เห็นร่างของชายชราในอาภรณ์ดำหม่น เส้นผมสีเทาแซมขาวปล่อยยาวถึงกลางหลัง ดวงตาเรียวเล็กเป็นประกายเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มมุมปากฉายความเจ้าแผนการอันลึกล้ำ ชายชราผู้นี้ดูคล้ายเร่ร่อนไร้หลักแหล่ง แต่ทุกอากัปกิริยากลับเต็มไปด้วยพลังอันลึกล้ำ และแฝงกลิ่นอายของพรรคมารอย่างเด่นชัด เขากวาดตามองร่องรอยพลังที่ยังคงหลงเหลืออยู่ บ่อลาวาที่ยังคงเดือดพล่าน และเศษซากของแรงระเบิด ก่อนจะยกมือขึ้นลูบเคราของตนพลางถอนหายใจเบา ๆ “มาสายไปงั้นรึ?” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเสียดาย ราวกับพลาดโอกาสสำคัญไปเสียแล้ว เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าแล้วเปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นเรียบเฉย แต่ในดวงตากลับฉายแววครุ่นคิด คำนวณกลอุบายภายในใจ “ภูเขาแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านแห่งหนึ่ง… บางทีที่นั่นอาจมีเบาะแสที่ข้าต้องการ” เขาพึมพำกับตนเอง ก่อนจะกระตุกยิ้มบาง ๆ อย่างมีเลศนัย แล้วในชั่วพริบตา ร่างของเขาก็พลันเลือนหายไปพร้อมกับสายลม ทิ้งไว้เพียงกลิ่นอายแห่งความลึกลับ และแรงลมที่พัดกระพือรอบพื้นที่นั้น ---

Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status