“ไม่เป็นไรค่ะ...คุณอยู่คนเดียวแบบนี้ไม่ลำบากเหรอคะ” ผ้าแพรมีแววตาสงสารหญิงสาวอย่างเห็นได้ชัดเธอนึกไม่ออกเลยว่าหากเธออยู่คนเดียวตอนท้องจะลำบากและหดหู่แค่ไหน
“นั่นสิสามีคุณเป็นคนยังไงกันถึงได้ปล่อยให้คุณอยู่แบบนี้” ภูผาเอ่ยอย่างใส่อารมณ์
“ที่ไหนที่เค้าไม่อยากอยู่ฉันก็มาอยากบังคับค่ะอยู่กันไปก็อึดอัดเปล่าๆเค้าก็คงมีเหตุผลของเค้านั่นแหละค่ะถึงได้ทิ้งฉันไปแบบนี้”
“ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรคนแบบนี้ก็คือคนที่ขาดความรับผิดชอบเห็นแก่ตัวที่สุด”
“คุณภูคะ” ผ้าแพรดึงข้อมือภูผาเบาๆให้เขาลดอารมณ์ลงเพราะเขายิ่งพูดเธอก็ยิ่งเห็นหญิงสาวข้างๆเธอหน้าเสีย
“ต่อไปนี้คุณจะไม่ตัวคนเดียวนะคะเรารู้จักกันถือว่าเป็นเพื่อนกันแล้วฉันจะแวะเวียนมาหาคุณบ่อยๆนะคะคุณ...” ผ้าแพรเริ่มเปลี่ยนเรื่องและทำความรู้จักกับหญิงสาวท้องโตทันทีเพราะรู้สึกถูกชะตากับเธอตั้งแต่แรกเห็นเธอเป็นหญิงสาวที่น่าจะแก่กว่าเธอไม่กี่ปีแต่รูปร่างหน้าตาสะสวยอยู่ไม่น้อยไม่รู้ว่าสามีของหญิงสาวที่ทิ้งเธอไปไม่เสียดายบ้างหรืออย่างไร
“ฉันชื่อวีนาค่ะแล้วคุณล่ะคะ” หญิงสาวตอบพร้อมยิ้มอ่อน
“ฉันชื่อแพรส่วนสามีฉันชื่อภูค่ะ” ผ้าแพรเริ่มแนะนำตัวเองและภูผาอย่างเป็นทางการเพราะไหนๆก็ถือว่าจะรู้จักมักจี่กันแล้ว
“คุณเคยทำงานอะไรมาก่อนหรือเปล่าครับ”
“ฉันรับจ้างทำบัญชีฟรีแลนซ์ค่ะพอตอนท้องก็ไม่ค่อยได้รับงานเท่าไรฉันเวียนหัวบ่อยเลยกลัวงานพลาดค่ะ”
“ถ้าคุณอยากได้งานเมื่อไรติดต่อผมได้เลยนะครับผมมีงานให้คุณตลอดแล้ว” ภูผายื่นนามบัตรของเขาให้กับวีนาเพราะเขาอยากช่วยเหลือเธอจริงๆหากจะให้เป็นเงินก็กลัวว่าอีกฝ่ายคิดว่าเขานั้นจะดูถูก
“ขอบคุณนะคะ”
หลังจากที่ทั้งสามคุยกันได้ครู่ใหญ่ภูผากับผ้าแพรก็ขอตัวกลับเพราะไม่อยากรบกวนวีนามากนัก
“ถ้าแพรเป็นคุณวีนาแพรจะเป็นยังไงนะคงจะลำบากน่าดูเลย” ในระหว่างนั่งรถกลับผ้าแพรก็อดนึกถึงวีนาไม่ได้นับว่าเธอโชคดีไม่น้อยที่มีคนคอยอยู่ข้างๆ
“ฉันไม่ยอมให้เธอเป็นแบบนั้นหรอกน่า” ภูผาเอื้อมมือลูบหัวทุยของหญิงสาวเบาๆเขารู้ว่าผ้าแพรคงจะหดหู่กับเรื่องวีนาไม่น้อยเขาเองก็เช่นกันแต่เขาจะไม่ยอมปล่อยให้หญิงสาวได้รับชะตากรรมแบบนั้นเด็ดขาดแม้เขาจะดูเสเพลในสายตาคนอื่นแต่เขาก็ไม่เคยบ่ายเบี่ยงกับสิ่งที่ตนเองจะต้องรับผิดชอบ
สามวันต่อมา
เชียงใหม่
ตอนนี้สายทองโสพิศและผ้าแพรมาถึงที่บ้านสวนของพิกุลกันเรียบร้อยแล้วในช่วงสายของวัน
“ยายคะคิดถึงที่สุดเลย” เมื่อผ้าแพรมาถึงหน้าบ้านเห็นคนเป็นยายนั่งอยู่ใต้ถุนบ้านก็รีบกระโจนเข้าไปโถมอกอดด้วยความคิดถึง
“ตัวหนูก็ใหญ่แล้วนะ” พิกุลหน้าเบ้เล็กน้อยเพราะเหมือนหลานเธอจะนึกว่าตัวเองยังตัวเล็กๆเหมือนเมื่อก่อนแต่ไม่ใช่แล้วตอนนี้หลานเธอดูมีเนื้อหนังมีน้ำมีนวลมากพอสมควรนับว่าทางบ้านสามีหลานเธอคงจะดูแลหลานเธอดีไม่น้อย
“น้าพิม” เมื่อกอดหอมยายตนจนหนำใจแล้วจึงรีบเข้าไปกอดน้าสาวของเธอแน่นเธอคิดถึงน้าของเธอไม่น้อยไปกว่ายายของเธอเลย
“นึกยังไงจะมาพักผ่อนที่นี่กันล่ะ” พิมพรรณเอ่ยทักทายคนมาจากเมืองกรุงด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเธอเตรียมห้องเอาไว้รับรองแทบไม่ทันเพราะโสพิศพึ่งจะโทรบอกเธอกะทันหันว่าจะมาเมื่อวานนี้เอง
“เห็นหนูแพรบอกคิดถึงที่นี่ฉันก็เลยพามาใจก็อยากจะมาพักผ่อนด้วยนั่นแหละคราวที่แต่งก็รีบๆร้อนๆไม่ได้อยู่ชมธรรมชาติที่นี่สักเท่าไร”
“เรานี่ยังไงกันไปอยู่บ้านเค้าไม่เท่าไรก็ทำให้เค้าต้องลำบากพากลับมา” พิกุลมองหน้าหลานสาวตนด้วยสายตาตำหนิไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากให้หลานสาวมหาแต่เกรงใจคนที่ต้องถ่อพากลับมามากกว่า
“ไม่เป็นอะไรหรอกก็บอกแล้วไงว่าฉันอยากจะมาพักผ่อนด้วย” สายทองปัดไม้ปัดมือเบาๆให้พิกุลนั้นอย่าตำหนิผ้าแพรเพราเธอเองก็อยากจะมาพักผ่อนที่นี่ด้วย
“สามีเราล่ะ” พิกุลเห็นจะมีแค่สามคนที่มาถึงแต่หลานเขยเธอไม่ยักจะเห็น
“เดี๋ยวคุณภูตามมาค่ะยาย” ผ้าแพรเอ่ยเสียงแจ๋วภูผาอยู่ประชุมในช่วงเช้าเสร็จแล้วถึงจะตามมาเห็นโทรบอกว่าถึงสนามบินที่กรุงเทพแล้วอีกไม่นานเดี๋ยวก็คงจะมาถึงที่นี่
พิมพรรณและพิกุลเห็นว่าคนกรุงมาเยือนถึงที่อีกครั้งเธอก็เลยอยากจะโชว์ฝีมือการทำขนมให้ดูเสียหน่อยทั้งยังเป็นการหากิจกรรมทำกันไปเพลินๆอีกด้วย
วันนี้ทุกคนเลยได้นั่งล้อมวงกันทำขนมใส่ไส้กันไปโดยปริยายโดยมีผ้าแพรเป็นคนตัดใบตองไปตากแห้งส่วนพิกุลนั้นก็เตรียมแป้งและวัตถุดิบพิมพรรณนั้นก็กวนไส้หน้ากระฉีกกระทะใหญ่เพราะมะพร้าวที่ขูดเอาไว้มีเยอะพอสมควรพอกวนจนได้ที่แล้วพักให้เย็นจึงมาลงมือปั้นเป็นก้อนกลมขนาดประมาณหนึ่งนิ้ว
“นี่ของโปรดรายนั้นเลยล่ะ” พิกุลมองไปที่ไส้ขนมที่กำลังจะถูกปั้นแล้วบอกให้สายทองกับโสพิศได้รู้ว่ามะพร้าวขูดที่กวนกับน้ำตาลมะพร้าวที่ถูกกวนจนเป็นสีน้ำตาลนี่เป็นของโปรดของผ้าแพร
“ปั้นไส้เสร็จถูกขโมยหายทุกทีเลยค่ะต้องคอยดูไม่ห่างเลย” พิมพรรณที่กำลังปั้นไส้ขนมแอบเหล่สายตามองหลานสาวของเธอที่กำลังนั่งจ้องไส้ขนมตาเป็นมันด้วยรอยยิ้ม
“นี่มันหวานมากเลยนะคะ” โสพิศลองใช้ช้อนตักมะพร้าวกวนมาชิมแล้วเธอก็ต้องรีบดื่มน้ำตามเพราะมันหวานมากจนเธอแสบคอกันเลยทีเดียว“ใช่แล้วล่ะค่ะเดี๋ยวเราใส่เป็นไส้อีกทีทานด้วยกันรสก็จะกลมกล่อม” พิมพรรณพยักหน้ากับโสพิศเบาๆหากผสมกับหน้าขนมแล้วรสชาติของมันก็จะหวานๆเค็มๆลงตัว“ยายคะหนูขอสักสองลูกได้หรือเปล่าตอนนี้ทนรอขนมเสร็จไม่ไหวแล้ว” ผ้าแพรหันไปยิ้มแหยให้กับพิกุลเพราะเมื่อนึกถึงรสชาติหวานมันของมะพร้าวกวนเธอก็น้ำลายแทบไหล“มันหวานมากเกินไปนะเราน่ะท้องอยู่จะทานอะไรก็ต้องเลือก” โสพิศรีบปรามผ้าแพรทันทีเพราะเธอก็ได้ยินมาว่าหมอน้ำนั้นสั่งให้ผ้าแพรอย่าทานอาหารรสจัดมากนัก“เอาน่าแม่โสคนท้องอยากจะทานอะไรก็ให้เค้าทานไปเถอะเดี๋ยวคลอดแล้วก็ทานอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าตอนให้นมลูกไม่ได้แล้ว” สายทองเห็นว่าไส้ขนมลูกสองลูกก็คงไม่ถึงกับอันตรายอีกอย่างคนท้องอยากทานอะไรเธอเองก็ไม่อยากจะห้าม“สองลูกพอนะ” โสพิศหยิบไส้ขนมใส่ใบตองแผ่นเล็กให้ผ้าแพรใจก็ห่วงสุขภาพของผ้าแพรแต่ก็เข้าใจได้เช่นกันว่าความอยากอาหารของคนท้องมันเป็นอย่างไร“ค่ะคุณแม่” ร่างบางรีบรับไส้ขนมจากมือโสพิศริมฝีปากบางยิ้มกว้างเมื่อจะได้ทานของอร่อยมือน้อยหยิบ
“นี่มันเยอะไปนะลูกทานหวานมากมันไม่ดีเดี๋ยวน้าแบ่งครึ่งให้ก็แล้วกัน” พิมพรรณจะยึดคืนไส้ขนมทั้งหมดก็สงสารหลานจึงเอากลับไปเทใส่ถ้วยคืนไว้ครึ่งหนึ่งแล้วคืนให้หลานเธอไป“ขอบคุณค่ะน้าพิม” นับว่าพิมพรรณยังเห็นแก่ความอยากของหวานของคนท้องอย่างเธอบ้างแม้เหลือครึ่งกล่องก็ยังดี“คุณภูอะ” สาวเจ้าได้กล่องของหวานคืนมาก็ตวัดสายตาแอบเคืองใส่ภูผาเล็กน้อยแล้วจึงเดินขึ้นบันไดไปเป็นครั้งแรกที่เธอขุ่นคืองเขาเลยก็ว่าได้“อ้าว” ภูผามองตามหลังหญิงสาวอย่างไม่เข้าใจเขาห่วงสุขภาพของเธอแล้วเขานั้นผิดด้วยเหรอวันที่ฝากครรภ์กับหมอน้ำก็รับปากหมอเสียดิบดีว่าจะไม่ทานอาหารรสจัดวันนี้กลับทนไม่ไหวเสียอย่างนั้น“นี่รูปใครเหรอคะคุณพิม” โสพิศยืนดูรูปภาพเด็กทารกตัวอ้วนกลมในเปลที่แปะอยู่ข้างฝาบ้านพักใหญ่ครั้งก่อนเธอเคยเห็นรูปแล้วว่าจะถามแต่ก็ยังไม่ได้ถามเสียทีว่ารูปใครหากเดาไม่ผิดคงเป็นผ้าแพรเพราะบ้านนี้น่าจะไม่มีรูปเด็กเล็กที่อื่น“หนูแพรค่ะเล็กๆจ้ำม่ำมากเลย”“ถ้าหลานฉันออกมาน่ารักน่าชังแบบนี้คงดีนะ” เป็นอย่างที่โสพิศคิดหากเธอได้อุ้มหลานน่ารักน่าชังวันนั้นเธอคงมีความสุขไม่น้อยนึกแล้วก็อยากจะให้หลานเธอคลอดออกมาวันสองวันนี้เสี
“ผอมเยอะเลยไหนดูซิมีลูกกี่ตัว...ตั้งสองตัวแน่ะอ้วนมากเลย..เจ้าอ้วน” ผ้าแพรเห็นเจ้าข้าวเหนียวก้รีบพุ่งเข้าไปหาทั้งลูบหัวมันด้วยความเอ็นดูและนั่งอุ้มลูกของเจ้าข้าวเหนียวทั้งสองตัวมาไว้ในอ้อมอกกอดเล่นอย่างหมั่นเขี้ยวแฮ่ๆๆๆ“มันจะกัดฉันหรือเปล่าเนี่ย” ภูผาได้แต่ยืนตัวเกร็งเพราะดูเจ้าข้าวเหนียวจะไม่เป็นมิตรกับเขาเท่าไร“คุณภูรีบเทข้าวกับน้ำให้มันสิคะ”“โอเค..” คนตัวโตหยิบกะละมังสองใบที่วางอยู่ตรงหน้าเจ้าข้าวเหนียวเขารับเทข้าวให้มันจนเต็มกะละมังและเทน้ำตามอีกกะละมังอย่างรวดเร็วพอเจ้าข้าวเหนียวเห็นว่าเขาเป็นคนให้อาหารก็เริ่มกระดิกหางให้จึงทำให้ภูผาค่อยกล้าเข้าใกล้มันหน่อย“คุณภูว่าฉันจะตั้งชื่อลูกหมาว่าอะไรดีคะ” ผ้าแพรชูลูกหมาตัวอ้วนกลมสีขาวกับสีน้ำตาลทองทั้งสองให้ภูผาได้ดูหากเธอเดาม่ผิดพ่อของเจ้าสองตัวคงเป็นสีขาวแน่นอนเพราะไม่อย่างนันเจ้าตัวสีขาวนี้จะออกมาเป็นสีนี้ได้อย่างไร“ไหนฉันขอดูหน่อยตัวนี้สีทองก็ชื่อทองตัวนี้สีขาวก็ชื่อขาวไงไม่เห็นยาก” “คิดให้เยอะกว่านี้หน่อยไม่ได้เหรอคะเหมือนคุณพูดออกมาแบบไม่ต้องคิดอะไรเลย” ใบหน้าหวานเริ่มขมวดคิ้วเป็นปมที่รู้สึกว่าภูผาจะตอบผ่านๆ“นี่ถ้าฉันไม่เห็น
“วันนี้พี่คิณนอนค้างที่นี่นะคะ” สาวเจ้ายังคงกอดพี่ชายของเธอไม่ยอมปล่อยทำเอาคนที่ถือตะกร้ามะม่วงอยู่ถึงกับวางตะกร้าลงบนแคร่ไม้ใต้ถุนบ้านอย่างไม่พอใจเท่าไรนัก“ไม่ได้หรอกแพรพี่มีประชุมต่อที่แวะมาก็ทักทายยายกับน้าพิมเท่านั้น” ที่คนินทร์มาที่นี่เพราะเขามีธุระผ่านมาจึงแวะมาทักทายทุกคน“ทำไมล่ะคะประชุมเสร็จก็กลับมานอนที่นี่ไม่ได้เหรอเราไม่ได้เจอกันนานแล้วนะคะ” ผ้าแพรบ่นอู้อี้เพราะเมื่องานแต่งเธอคนินทร์ก็ไม่ว่างมาวันนี้ก็ยังไม่ว่างอยู่คุยกับเธออีก“เราโตจนมีลูกมีสามีแล้วนะแพรจะอ้อนพี่เค้าเป็นเด็กๆได้ยังไง” พิกุลปรามหลานสาวของเธอด้วยตอนนี้ต่างคนต่างโตมีหน้าที่รับผิดชอบจะให้ผ้าแพรมาอ้อนคนินทร์เป็นเด็กๆจะไม่ได้“ขอโทษทีนะคะพอดีสองคนนี้เค้าเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ” พิมพรรณเห็นโสพิศเริ่มมองพฤติกรรมของผ้าแพรและคนินทร์อย่างไม่พอใจเธอจึงต้องอธิบายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ให้โสพิศฟังว่าทั้งคู่ไมได้คิดอะไรเกินเลยกว่าพี่น้องแน่นอนแค่สนิทกันมากเพราะเห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆเท่านั้น“ฉันจะพยายามเข้าใจค่ะ” โสพิศพยักหน้าเบาๆและจะพยายามทำความเข้าใจแต่เหมือนลูกชายของเธอจะไม่เข้าใจเพราะเดินหน้าหงิกหน้างอหนีเข้าไปใน
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะคุณภูหน้าคุณไม่สบอารมณ์เลยตั้งแต่เมื่อกลางวันแล้ว” ผ้าแพรอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็มานั่งข้างๆกับภูผาที่นั่งอยุ่ในชุดนอนบนเตียง เธอถามเขาด้วยสีหน้าที่สงสัยอยากจะรู้เหตุผลของอาการที่เขาเป็นอยู่เพราะหากเขาเป็นอยู่แบบนี้เธอคงอึดอัดที่จะอยู่ใกล้ๆ“เปล่า” ภูผาส่ายหัวเบาๆทั้งยังไม่ยอมมองหน้าคนที่คุยด้วยดีๆ“คุณภูแน่ใจนะคะว่าไม่ได้โกรธอะไรแพร” สาวเจ้าเอียงใบหน้าขมวดคิ้วถามคนข้างๆอีกรอบ“เธอยังไม่รู้ตัวอีกหรือไง..ไปกอดกับผู้ชายคนอื่นต่อหน้าฉันได้ยังไงรู้ไหมว่ามันทำให้ฉันดูเสียหน้า” ภูผาถอนหายใจพร้อมพ่นเรื่องเคืองใจออกมาเพราะหากไม่พูดชาตินี้แม่คนซื่อที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาคงจะไม่รู้ “พี่คิณไม่ใช่คนอื่นนะคะเค้าเป็นพี่ชายแพร” ผ้าแพรค่อยโล่งใจเมื่อรู้ว่าภูผาไม่พอใจเรื่องอะไร“ถึงเป็นพี่ชายแต่ก็ไม่ใช่พี่แท้ๆมันไม่ควร” “อ๋อ.. เห็นเมื่อกลางวันคุณแม่ก็เตือนเรื่องนี้อยู่เหมือนกันยังไงฉันก็ขอโทษนะคะที่ทำให้คุณไม่พอใจคราวหลังฉันจะห้ามใจเอาไว้ค่ะ” ร่างบางก้มหน้างุด“ดีแล้วผู้ชายที่เธอจะกอดต่อหน้าคนอื่นได้มีแค่ฉันเท่านั
กลางดึกภูผานอนมองคนในอ้อมแขนที่หลับไปพักใหญ่แล้วแต่เขานี่สิยังคงหลับตาไม่ลงแม้แต่น้อยยิ่งหญิงสาวกอดก่ายเขาในขณะที่เธอไม่รู้ตัวมากเท่าไรยิ่งทำให้อะไรๆของเขาตื่นไม่ยอมนอนและไม่รู้ได้เลยว่าเขาจะหลับลงในเวลาไหนกันในคืนนี้วันต่อมาภูผาตื่นขึ้นมาในช่วงสายเพราะเมื่อคืนกว่าจะทำใจหลับลงได้ก็เกือบรุ่งเช้าเมื่อตื่นมาก็เห็นผ้าแพรนั่งง่วนอยู่ตรงหน้าตู้กระจก“นั่นอะไร” “สร้อยแม่แพรค่ะสวยหรือเปล่าคะ” ร่างบางหันมาตอบชายหนุ่มในขณะที่เธอกำลังดึงสร้อยคอกระดูกงูเส้นเล็กสีเงินมีจี้รูปตัวทีออกจากกล่องพร้อมชูให้ภูผาได้ดู“สวยสิแต่ทำไมจี้เป็นตัวทีล่ะ” เมื่อหญิงสาวยื่นสร้อยใส่มือของเขาชายหนุ่มก็เพ่งดูอย่างพิจารณาเพราะเขาเห็นแวบแรกก็ดูออกว่าตัวที่เป็นจี้มันฝังด้วยเพชรของจริง“แม่แพรชื่อพรทิพย์ค่ะน่าจะมาจากคำว่าทิพย์” ผ้าแพรรู้ว่าแม่ของเธอชื่อเล่นว่าพรแต่ตัวทีน่าจะมาจากคำว่าทิพย์จากชื่อจริงของแม่เธอ“นี่เพชรของจริงนะแพรแม่เธอสั่งทำเองเหรอ” สายตาคมมองหน้าผ้าแพรอย่างสงสัย“ของจริงเหรอคะแพรนึกว่าไม่ใช่มาตลอดเลย” ผ้าแพรจำต้องเพ่งมองเจ้าเม็ดเพชรที่ฝังอยู่ในจี้อย่างแปลกใจเธอคิดว่าเพชรที่ฝังอยู่นั้นอาจจะเป็นแค่ของปล
“ก็คิดถึงเราด้วยนั่นแหละ” ธีรดลยื่นมือหนายีหัวลูกของเขาเล่นเบาๆที่ทำเป็นงอนไปได้ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าเขานั้นเห็นลูกตนเองสำคัญที่สุดในชีวิตอยู่แล้ว“คุณย่ากับน้าโสก็มาที่นี่ด้วยนะคะพรุ่งนี้ฟ้าว่าจะเข้าไปหาอยู่พอดี”“พ่อไปด้วยสิไม่ได้เจอพวกเค้านานแล้ว” ธีรดลพยักหน้าเบาๆหลังจากที่คุยกันเรื่องถอนหมั้นภูผากับเพียงฟ้าเรียบร้อยแล้วเขาก็ยุ่งๆไม่ได้ไปมาหาสู่กับครอบครัวของสายทองอีกเลย“ฟ้าถามจริงๆนะคะคุณพ่อไม่โกรธพี่ภูจริงใช่หรือเปล่าคะ” เพียงฟ้ายังคงสงสัยเรื่องนี้อยู่ไม่น้อยที่พ่อของเธอไม่มีทีท่าที่จะโกรธภูผาเลยสักนิดเรื่องที่ภูผามีปัญหาเรื่องผู้หญิงกันจนต้องถอนหมั้น“พ่อควรจะถามฟ้ามากกว่าตัวพ่อเองไม่ได้ติดใจอะไรทั้งนั้น” ธีรดลส่ายหัวเบาๆแม้ลูกของเขากับสุรัตน์จะไม่ได้แต่งงานกันตามคำมั่นแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องโกรธเกลียดอีกฝ่ายเพราะถ้าเป็นแบบนั้นเขาคงเป็นคนที่ดูไม่มีความเป็นผู้ใหญ่พอ“ฟ้าก็ไม่ได้ติดใจค่ะอีกอย่างฟ้าก็มีบางเรื่องอยากจะบอกคุณพ่อเหมือนกัน” ใบหน้ากลมมีสีหน้ากังวลเธอค่อนข้างไม่สบายใจเรื่องนี้มานานและอยากจะสารภาพความผิดบาปนี้ให้พ่อของเธอได้ฟัง“อะไรเหรอ” ธีรดลมองออกว่าเพีย
“นึกยังไงอยากจะมาทำรีสอร์ทที่นี่ล่ะคะ” โสพิศเอ่ยเพราะเมื่อก่นเห็นธีรดลเคยพูดกับสามีเธอตอนที่สามีเธอยังอยู่บ่อยๆว่าไม่อยากสร้างอะไรที่ต่างจังหวัดเพราะจะดูแลยากเนื่องจากงานที่กรุงเทพก็เยอะมากพอแล้ว“มีคนเสนอที่ดินแปลงสวยผมก็เลยซื้อไว้จะปล่อยว่างก็เปล่าประโยชน์ก็เลยเลือกทำรีสอร์ทซะเลยไหนๆที่นี่ก็มีคนให้ไหว้วานช่วยดูแลแล้ว” คราแรกธีรดลเองก็ไมได้อยากจะสร้างอะไรขึ้นมาเท่าไรแต่ก็ไม่อยากจะมีที่ดินสวยแล้วปล่อยทิ้งเปล่าประโยชน์อีกอย่างลูกสาวของเขาก็อยู่ที่นี่หากจะไหว้วานให้ช่วยดูแลก็คงจะไม่มีปัญหา“กะหางานให้ฟ้าเพิ่มใช่ไหมคะเนี่ย” เพียงฟ้าหลี่สายตามองคนเป็นพ่อที่กะจะหางานให้เธอแต่ก็ไม่ยอมบอกตรงๆแต่แรก“เราล่ะไม่คิดจะหาที่ทางแถวนี้ขยายกิจการบ้างเหรอ” ธีรดลหันไปถามภูผาเขาเห็นว่าภูผานั้นมีศักยภาพพอที่จะสร้างอะไรใหม่ๆขึ้นมาต่อยอดกิจการของครอบครัว“เท่าที่มีก็เหนื่อยแล้วครับคุณพ่อ” ภูผาอมยิ้มอ่อน“พ่อว่ามีที่นี่ก็ดีนะอีกอย่างเราก็มีทายาทแล้วเก็บไว้เป็นสมบัติไว้ให้ลูกตอนโต”“ค่อยว่ากันอีกทีแล้วกันครับ” เรื่องนี้ภูผาขอให้มันเป็นเรื่องในอนาคตก็แล้วกันเพราะเขายังไม่มั่นใจในฝีมือตัวเองมากพอที่จะบริหารงาน