ด้านหยางเฉิงนั้นหลังจากที่แยกตัวออกมาจากหยางจิ่งแล้ว เขาจึงมุ่งหน้ามาที่ตำหนักของฉินกุ้ยเฟยมารดาของตน ฉินกุ้ยเฟยที่เห็นว่าลูกรักมาหาก็ดีใจไม่น้อย รีบให้นางกำนัลนำชาร้อนและของว่างมาให้หยางเฉิง ก่อนจะไล่เหล่าข้ารับใช้ออกไปด้านนอกจนหมด เมื่อในตำหนักเหลือเพียงพวกนางสองคนแม่ลูกแล้ว นางจึงเอ่ยถามหยางเฉิงทันที
"ผู้ใดทำให้อาเฉิงของแม่อารมณ์เสียมากัน"
ฉินกุ้ยเฟยเอ่ยพร้อมกับยื่นมือไปจับไหล่บุตรชายของตนอย่างรักใคร่ หยางเฉิงในยามนี้นั้นสลัดทิ้งท่าทีองค์ชายรองผู้สง่างามและจิตใจดีออกไปจนหมดสิ้น แววตาของเขาดุดัน เขากำมือตนเองแน่น ก่อนจะเอ่ยกับมารดาของตน
"เสด็จแม่ ข้าเกลียดหยางจิ่ง!!!"
"ช้าก่อน อย่าส่งเสียงดังไปสิ ใจเย็น ๆ ไหนเล่าให้แม่ฟังซิ"
หยางเฉิงควบคุมตนเองไม่อยู่แล้ว เขาอยากจะหาใครสักคนมาระบายความเกลียดชังนี้ออกไป
"อาเฉิง"
"เสด็จแม่ หยางจิ่งดูแปลกไปพ่ะย่ะค่ะ ลูกพูดจายุแยงให้มันโมโหเหมือนทุกครา แต่ทว่าครั้งนี้มันกลับไม่ใส่ใจ อีกทั้งยังดูสนิทสนมกับหยางจินจินอีกด้วย"
ฉินกุ้ยเฟยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ระยะนี้นางไม่ได้ใส่ใจหยางจิ่งเท่าใดนัก แม้เขาจะมาพบนางแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีแปลกไปมิใช่หรือ
"เจ้าแน่ใจหรือ"
"เสด็จแม่คิดว่าลูกโกหกหรือ!!!"
"ไม่ใช่เช่นนั้น อาเฉิง เจ้าอย่าโมโหเลยนะลูก"
เมื่อเห็นว่าหยางเฉิงใกล้จะอาละวาดอีกครา ฉินกุ้ยเฟยจึงรีบเอ่ยทัดทานบุตรชายของตนทันที
"เสด็จแม่ เมื่อใดหยางจิ่งจะตาย ข้าทนเห็นท่านเอาใจใส่มันอีกต่อไปไม่ได้แล้ว!!!"
"อย่าคิดมากไปเลย เจ้าต้องอดทนนะ มิเช่นนั้นการใหญ่จะไม่สำเร็จ"
ฉินกุ้ยเฟยพยายามปลอบโยนหยางเฉิงให้เขาใจเย็นลง ก่อนจะครุ่นคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมา
เดิมทีนี่คือแผนการของนาง นางต้องการให้หยางจิ่งไม่รักพี่น้อง ไม่รักผู้ใด ไม่เห็นหัวใคร ซึ่งหยางจิ่งก็เชื่อฟังที่นางสอนสั่ง แต่เหตุใดระยะนี้วังหลวงจึงดูสงบผิดแปลกไปเล่า
หรือว่านางละเลยสิ่งใดไป คงเพราะนางมัวแต่วุ่นวายกับการหาคนสนับสนุนให้หยางเฉิงเป็นองค์รัชทายาท จึงไม่ทันได้สังเกตท่าทีที่แปลกไปของหยางจิ่ง
"เสด็จแม่"
"หืม"
ฉินกุ้ยเฟยที่ได้ยินหยางเฉิงร้องเรียก จึงหันมามองบุตรชายตนด้วยความรักใคร่
"ลูกจะได้เป็นองค์รัชทายาทใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"
"ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น"
เมื่อได้ยินมารดาให้คำสัญญาเช่นนั้น หยางเฉิงก็พยักหน้าเล็กน้อย อารมณ์ขุ่นมัวในใจเมื่อครู่พลันเบาบางลงไปไม่น้อย เมื่ออารมณ์เริ่มสงบลง เขาจึงเอ่ยกับมารดาของตนทันที
"เสด็จแม่ ลูกพบกับสตรีที่ถูกตาต้องใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ ลูกชอบนางตั้งแต่แรกเห็น"
ฉินกุ้ยเฟยที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยถามหยางเฉิงทันที
"นางคือผู้ใดกัน?"
"คุณหนูโจว โจวหว่านหรู บุตรสาวของท่านแม่ทัพใหญ่โจวพ่ะย่ะค่ะ"
ฉินกุ้ยเฟยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ครุ่นคิดบางอย่างขึ้นมาได้
ตระกูลโจวคุมกองทัพทหารหลายแสนนาย อีกทั้งยังเป็นคนที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัย หากหยางเฉิงได้เกี่ยวดองกับตระกูลโจว ย่อมจะส่งเสริมอำนาจไม่น้อยเลย หากใช้ตระกูลโจวเป็นเครื่องมือเพื่อเดินไปสู่อำนาจสูงสุดได้ก็คงจะนับว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง แต่ทว่าวิธีนี้ออกจะเสี่ยงไปเสียหน่อยสำหรับบุตรชายของนางที่เป็นเพียงองค์ชายรอง แต่ถ้าแผนการลุล่วงก็นับว่าคุ้มค่ากับสิ่งที่จะแลก
แต่เรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้ ต้องห้ามให้มีพิรุธเป็นอันขาด และอีกอย่างในใจของนางก็มีสตรีที่หมายตาเอาไว้ในใจอยู่แล้ว นั่นก็คือมู่จั่วหลาน หลานสาวของท่านราชครูซึ่งเป็นที่นับหน้าถือตาในหมู่บัณฑิตชั้นสูง หากมีเหล่าบัณฑิตซึ่งเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นคอยสนับสนุน แน่นอนว่าย่อมต้องมั่นคงมากกว่าตระกูลโจวที่เป็นเพียงขุนนางฝ่ายบู๊หลายเท่าตัวนัก
"อาเฉิง เช่นนั้นเรารออีกสักระยะเถิด"
"เหตุใดต้องรอ เสด็จแม่ต้องไปสู่ขอนางให้ข้าสิ!!!"
"แม่รู้แล้ว แต่เราจะรีบร้อนไม่ได้ ต้องดูทางนั้นก่อนว่านางมีใจชอบพอเจ้าหรือไม่ หากนางไม่ยินยอม อาจส่งผลเสียแก่เจ้าได้นะ บางคราอาจจะทำให้เส้นทางสู่การขึ้นเป็นองค์รัชทายาทของเจ้าสั่นคลอนเอาได้"
หยางเฉิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย
"เช่นนั้น ข้าจะทำให้นางหลงรักข้าให้ได้"
"อาเฉิง แต่งภรรยาย่อมต้องแต่งสตรีที่เชิดชูเจ้าได้"
"นางนี่แหละที่ข้าหมายตาเอาไว้ ตระกูลโจวเรืองอำนาจในแคว้นเป่ยฉิน หากข้าแต่งกับนาง ตำแหน่งองค์รัชทายาทอาจจะตกเป็นของข้าในเร็ววัน เสด็จพ่อไว้ใจตระกูลโจวเช่นนี้ นี่นับว่าเป็นเรื่องดีมากเลยนะพ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่"
ฉินกุ้ยเฟยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง บุตรชายของนางผู้นี้นับว่าสติปัญญาตื้นเขินไม่น้อย คิดเพียงเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ แต่กลับไม่ได้คิดไปไกลมากกว่านั้น
แต่เอาเถิด ตราบใดที่นางยังอยู่ นางย่อมไม่ปล่อยให้หยางเฉิงกระทำการสิ้นคิดจนเสียการใหญ่เป็นแน่!!!
เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงรับปากหยางเฉิงไปอย่างส่ง ๆ เพียงเท่านั้น ก่อนจะเขียนจดหมายและให้นางกำนัลลอบนำไปส่งให้แก่คนผู้หนึ่งที่อยู่นอกวังหลวง
นอกวังหลวง
คนผู้นั้นหลังจากที่ได้อ่านจดหมายของฉินกุ้ยเฟยก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะหันไปเอ่ยกับคนสนิทของตนคราหนึ่ง
“จับตาดูหยางจิ่งทุกฝีก้าว ว่าเขาไปที่ใด ทำเรื่องใดบ้าง แล้วนำกลับมารายงาน”
“ขอรับนายท่าน”
เมื่อสั่งการเรียบร้อยแล้ว เขาก็ยกจอกสุราขึ้นมาดื่ม พลางครุ่นคิดถึงเรื่องของหยางจิ่ง
หยางจิ่งโง่เขลาออกปานนั้น บางคราฉินกุ้ยเฟยอาจจะคิดมากไป เขารู้จักหยางจิ่งดี เป็นไปไม่ได้ที่หยางจิ่งจะกลับกลายเป็นผู้เป็นคนภายในชั่วข้ามคืน
แต่เขาก็จะไม่กระทำการย่ามใจ เขาวางแผนมาหลายปี ย่อมต้องระมัดระวังเป็นอย่างดี
ด้านโจวหว่านหรูที่กลับมาถึงที่พักแล้วก็ได้พบกับนางกำนัลน้อยนางหนึ่งที่มารอพบนาง เมื่อสอบถามก็ได้ความว่าวันนี้เฉินป๋อเหวินเดินทางเข้าวังหลวงมาพร้อมบิดาของเขา และได้ฝากของกินมาให้นาง ครั้งนี้เป็นผลไม้อบแห้งที่นางชอบ โจวหว่านหรูยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะหยิบพุทราแห้งขึ้นมากินอย่างมีความสุข
เฉินป๋อเหวินสหายรักกลับมาแล้ว
เวลาล่วงเลยผ่านไปจวบจนเข้าสู่วันที่ทางวังหลวงจะประกาศว่าผู้ใดจะได้รับเลือกให้เป็นสหายเล่าเรียนขององค์หญิง ในครั้งนี้ฮ่องเต้หยางหลิงไท่และฉินกุ้ยเฟยก็มาร่วมชมการคัดเลือกด้วย
ผลปรากฏว่า คุณหนูที่ได้รับการคัดเลือกมีด้วยกันสองคน คนแรกคือโจวหว่านหรู ส่วนคนที่สองคือมู่จั่วหลาน ฉินกุ้ยเฟยปรายตามองโจวหว่านหรูคราหนึ่ง ในใจนางพลันเข้าใจว่าเหตุใดหยางเฉิงของนางจึงอยากจะแต่งกับสตรีน้อยนางนี้จนไม่ฟังคำทัดทานของนาง
คงใช้ความงามยั่วยวนบุตรชายของนางเพื่อหวังจะปีนขึ้นที่สูงละสิท่า
ฝันไปเถิด!!! เจ้าคือไพ่ในมือที่ข้าจะเอาไว้ใช้ปูทางให้บุตรชายของข้าเพียงเท่านั้น
โจวหว่านหรูถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง จากนี้นางคงต้องเข้าออกวังหลวงอยู่บ่อยครั้ง นางมีเวลาสองปีในการเข้าออกวังหลวง เมื่อใดที่นางอายุครบสิบห้าปีย่อมหนีไม่พ้นเรื่องการหาคู่ครองและแต่งงาน วังหลวงเองก็มีกฎว่าคุณหนูที่ได้รับเลือกเป็นสหายเล่าเรียนเมื่ออายุครบสิบห้าปีก็ไม่ต้องเข้าวังมาเล่าเรียนอีก ให้เตรียมตัวแต่งงานมีคู่ครองที่ดีตามที่บิดามารดาจัดแจงเสีย
ระยะเวลาสองปีนี้ ไม่แน่ว่านางอาจจะได้สืบรู้ความเป็นไปก่อนเกิดการกบฏในวังหลวง และหาทางหนีทีไล่ให้คนในตระกูลของนางได้
นับว่าเป็นงานยากไม่น้อยเลย
เมื่อผลการคัดเลือกเสร็จสิ้นแล้ว โจวหว่านหรูและมู่จั่วหลานก็ถูกเรียกตัวไปที่ตำหนักมังกรสวรรค์ เพื่อขอบพระทัยฮ่องเต้หยางหลิงไท่ ฮ่องเต้หยางหลิงไท่ที่รู้ว่านางคือบุตรสาวของสหายรักก็เมตตานางไม่น้อย
มู่จั่วหลานลอบเบ้ปากคราหนึ่ง ระหว่างที่เดินออกมาจากตำหนักมังกรสวรรค์ ยามนี้พวกนางต้องกลับจวนแล้ว อีกสามวันจึงจะเริ่มเข้าวังได้อีกครา
ในขณะที่พวกนางเดินผ่านอุทยานหลวงก็พบกับหยางจิ่งและหยางเฉิงที่เดินผ่านมาพอดี โจวหว่านหรูทำความเคารพคนทั้งสองและไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก ต่างจากมู่จั่วหลานที่แอบส่งสายตาให้หยางจิ่งและหยางเฉิงเป็นระยะ
หากหนึ่งในองค์ชายถูกใจนาง นั่นก็นับว่าเป็นวาสนาของนางแล้ว
แต่ทว่าหยางจิ่งและหยางเฉิงกลับไม่สนใจนางเลยแม้แต่น้อย สายตาของบุรุษทั้งสองกลับมองแต่โจวหว่านหรู
"จะกลับแล้วหรือ?"
หยางจิ่งเอ่ยถามขึ้นมาก่อน โจวหว่านหรูยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบ
"เพคะองค์ชายใหญ่"
"กลับดี ๆ เล่า"
"เพคะ"
หยางเฉิงรีบก้าวเดินเข้ามาหวังจะพูดคุยกับโจวหว่านหรู หยางจิ่งที่ได้เห็นเช่นนั้นก็แอบยกเท้าเตะก้อนหินเข้าไปที่เท้าของหยางเฉิงจนเขาสะดุดล้ม ถลาเข้าไปกอดมู่จั่วหลานต่อหน้านางกำนัลและขันที
หยางจิ่งลอบขบขันคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
โน่น!! คู่ของเจ้ายืนเสนอหน้าอยู่นั่น
โจวหว่านหรูมองหยางเฉิงและมู่จั่วหลานด้วยแววตาที่เรียบเฉย ในขณะที่หยางเฉิงตกใจจนทำสิ่งใดไม่ถูก คิดอยากจะผลักมู่จั่วหลานออก แต่ยามนี้มีคนมองดูอยู่มากมายนัก เขาทำเช่นนั้นย่อมไม่ดีเป็นแน่
ภาพลักษณ์ที่เขาสร้างขึ้นมาจะต้องมาพังลงเพราะเรื่องเพียงเช่นนี้ไม่ได้
โจวหว่านหรูคร้านจะสนใจเรื่องไร้สาระเหล่านี้อีก นางจึงเดินออกจากวังหลวงทันที หยางจิ่งเองก็กลับตำหนักของตนเช่นเดียวกัน ด้านมู่จั่วหลานก็เขินอายจนหน้าแดง นางเริ่มรู้สึกว่าหยางเฉิงหล่อเหลาไม่น้อย ยิ่งได้มองใกล้ ๆ ก็ยิ่งชวนหลงใหลยิ่งนัก
แต่ทว่าหยางเฉิงกลับลอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด่าทอมู่จั่วหลานในใจ
สตรีชั่วนางนี้เลิกกอดข้าสักทีเถิด!!!
เมื่อออกจากวังหลวงมาแล้ว โจวหว่านหรูก็พบกับโจวอวี้หานและเย่หยวนที่กำลังยืนรอนางอยู่หน้าประตูวังหลวงพร้อมกับรถม้าของจวนตระกูลโจว โจวหว่านหรูยิ้มออกมาเล็กน้อย รู้สึกอบอุ่นหัวใจเป็นอย่างยิ่งชาตินี้นางจะเก็บเกี่ยวทุกความอบอุ่นและความรักจากท่านพ่อท่านแม่และพี่ใหญ่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หนทางข้างหน้าเป็นเช่นไรนางเองยังไม่อาจคาดเดาได้ แต่นางจะพยายามอย่างสุดกำลัง เพื่อปกป้องคนในตระกูลโจวให้ปลอดภัยให้ได้"น้องเล็ก"โจวอวี้หานที่เห็นว่าน้องสาวของตนออกมาแล้วก็ดีใจไม่น้อย ช่วงเวลาที่โจวหว่านหรูไม่อยู่ที่จวนนั้น ภายในจวนดูเงียบเหงาไม่น้อยเลย"พี่ใหญ่""ท่านพ่อท่านแม่ให้พี่มารอรับเจ้า อีกทั้งยังมอบตั๋วเงินมาไม่น้อยเลย ท่านพ่อบอกว่าอยู่ในวังหลวงหลายวันเจ้าคงจะเบื่อเป็นแน่ จึงอยากให้เจ้าได้ผ่อนคลาย"โจวหว่านหรูที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มตาหยี ก่อนจะเอ่ย"เช่นนั้น พี่ใหญ่พาข้าไปเดินเล่นที่ตลาดทีเถิด ข้าอยากจะผ่อนคลายเสียหน่อย""ได้สิ เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถิด""เจ้าค่ะ"โจวหว่านหรูก้าวเดินเข้ามาในรถม้า โจวอวี้หานตามน้องสาวเข้าไปนั่งในรถม้าด้วย ก่อนจะเร่งเดินทางไปที่ตลาดทันทีเมื่อมาถึงตลาด โจวหว่านหร
ยามนี้เข้าสู่ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิแล้ว ท้องฟ้าจึงค่อนข้างแจ่มใสไม่น้อยเลย เจียงหมิงเจ๋อออกมาเดินเล่นรับลมอยู่ที่ใต้ต้นดอกเหมยไม่ไกลจากที่พักของเขามากนัก เขาปรายตามองเหล่าทหารที่ติดตามอยู่ไม่ห่างด้วยแววตาที่เย็นชา แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นเขาก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ อีกทั้งยังส่งเสียงไอออกมาเป็นระยะเหล่าทหารที่ได้เห็นเช่นนั้นก็นึกดูแคลนเจียงหมิงเจ๋อไม่น้อย องค์ชายขี้โรคเช่นนี้ฝ่าบาทจะรับเอาไว้เป็นตัวประกันทำไมกัน ใช้ประโยชน์ใดไม่ได้ อีกไม่นานก็คงจะป่วยตายอยู่ในวังนี้กระมังเจียงหมิงเจ๋อมีหรือจะไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นดูแคลนตน แต่เขาจะทำสิ่งใดได้เล่า ทำได้เพียงอดทนเท่านั้นเขาคร้านจะใส่ใจกับทหารชั้นต่ำเหล่านั้น จึงทำเป็นมองไม่เห็นสายตาที่ดูแคลนของพวกมันเสีย ก่อนจะหันมาเอ่ยถามแม่นมเถียนด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา"มีข่าวส่งมาหรือไม่แม่นม?""ทูลองค์ชาย ยังไม่มีเลยเพคะ""คนของเราที่แฝงตัวเข้ามาเล่า""ยามนี้ยังไม่กล้ากระทำการสิ่งใดเพคะ เนื่องจากวังหลวงคุ้มกันแน่นหนา คนของเราจะทำสิ่งใดก็ลำบากไม่น้อยเลย"เจียงหมิงเจ๋อกำมือแน่น หนทางที่เขาจะหนีไปได้มันช่างริบหรี่เหลือเกิน แต่เขาไม่มีทางยอมแพ้เสียหรอกเมื่
เจียงหมิงเจ๋อเก็บสายตาของตนกลับคืน ก่อนจะเดินกลับมาที่พักของตน เมื่อมาถึงก็พบกับนางกำนัลน้อยผู้หนึ่งกำลังยกถ้วยโจ๊กเข้ามาให้เขา เจียงหมิงเจ๋อจ้องมองถ้วยโจ๊กตรงหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะยกมันขึ้นมากินด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย ในใจนึกค่อนขอดไม่น้อยหลังถูกจับมาเป็นเชลยเขาได้ยินว่าแคว้นเยี่ยนและแคว้นเป่ยฉินทำสัญญายุติสงคราม แคว้นเยี่ยนยินยอมเป็นเมืองขึ้นของแคว้นเป่ยฉิน ทั้งยังยินยอมส่งของมีค่าและอาวุธอีกมากมายมาที่เป่ยฉิน เนื่องจากแคว้นเยี่ยนของเขามีเหมืองแร่เหล็กที่สามารถหลอมออกมาเป็นอาวุธชั้นดีได้ ทั้งหมดเป็นเพราะพี่ชายบัดซบของเขา จึงทำให้แคว้นเยี่ยนจำต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เจียงหยงหลางยอมยุติสงครามเพื่อให้ตนเองได้อยู่อย่างสุขสบายบนบัลลังก์ต่อไป ฮ่องเต้แคว้นเป่ยฉินก็ได้อาวุธชั้นดีในราคาที่ไม่สูงมาก บางครายังได้ของบรรณาการชั้นดีที่แคว้นเยี่ยนส่งมาให้อยู่เสมออีกด้วยต่างฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน แต่คนที่ทุกข์ที่สุดกลับเป็นเขา!!เจียงหมิงเจ๋อกำมือแน่น ก่อนจะเงยหน้าไปมองนางกำนัลน้อยผู้นั้น พร้อมกับพยักหน้าคราหนึ่ง นางกำนัลผู้นั้นพยักหน้าตอบรับก่อนจะเดินออกไปด้วยท่าทีที่ไร้พิรุธเมื่อนางกำนั
หยางจิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยถามนางกำนัลผู้นั้นว่ายามนี้หยางจินจินอยู่ที่ใด เมื่อได้ความแล้วเขาจึงรีบมุ่งหน้าไปที่ตำหนักมังกรสวรรค์ทันที เมื่อมาถึงเขาก็พบกับหยางจินจินที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างกายสั่นเทา ใบหน้ามีหยดน้ำตาเปียกปอน หยางจิ่งหันไปมองฉินกุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ข้างกายเสด็จพ่อของเขา ก็เห็นว่ายามนี้ฉินกุ้ยเฟยกำลังจ้องมองหยางจินจินด้วยแววตาที่ไม่ชอบใจเท่าใดนักฮ่องเต้หยางหลิงไท่ที่เห็นพระโอรสของตน ก็รีบเอ่ยถามทันที"จิ่งเอ๋อร์ เจ้ามาก็ดี มาดูสิ่งที่น้องสาวตัวดีของเจ้าทำเอาไว้!!!"ฉินกุ้ยเฟยจ้องมองหยางจิ่งด้วยแววตาที่เย็นชาคราหนึ่ง ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ นางได้ยินมาว่าระยะนี้หยางจิ่งและหยางจินจินดูสนิทสนมกันดี อีกทั้งหยางจิ่งก็ดูเป็นผู้เป็นคนมากกว่าแต่ก่อน นี่คือสิ่งที่นางแปลกใจและสั่งให้คนตามดูมาตลอดจากการจับตาดูมาหลายวัน นางก็พอจะเข้าใจในสิ่งที่หยางเฉิงบอกนางก่อนหน้านี้แล้ว คล้ายว่าหยางจิ่งจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นจริง ๆหยางจิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยถามบิดาของตนทันที"จินเอ๋อร์ทำสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?"ฮ่องเต้หยางหลิงไท่ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง
ไป๋อี๋ซินที่ได้ยินเช่นนั้นก็จ้องมองหยางจิ่งด้วยแววตาที่เย็นเยียบพลางขมวดคิ้วมุ่น คนผู้นี้รู้ได้เช่นไรว่านางคิดจะทำสิ่งใดแววตาที่มองนางด้วยความเกลียดชังสลับกับการตัดพ้อต่อว่านั่นมันหมายความว่าเช่นไรกัน!!!หยางจิ่งจ้องมองไป๋อี๋ซินอย่างไม่ละสายตาเช่นเดียวกัน ก่อนจะเห็นว่าท่าทีที่คิดจะสังหารเขาเมื่อครู่พลันมลายหายไปจนหมดสิ้น นางมองน้องชายของตนที่ยามนี้ถูกเขาจับตัวเอาไว้ด้วยแววตาที่ร้อนรน ก่อนจะเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา"ปล่อยน้องชายข้า หากท่านอยากได้สิ่งใด ข้าจะทำตามที่ท่านขอ"หยางจิ่งได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง วันนี้เขาได้รู้ธาตุแท้ของสตรีนางนี้ด้วยตาตนเองแล้ว นางยอมทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดจริง ๆหยางจิ่งยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอ่ย"หากข้าให้เจ้าหักหลังบุรุษที่เจ้ารัก เจ้าก็ยินยอมทำใช่หรือไม่?"ไป๋อี๋ซินเม้มริมฝีปากแน่น นางไม่ได้เอ่ยตอบสิ่งใดออกไป แต่ทว่ากลับจ้องมองหยางจิ่งด้วยแววตาที่ระแวดระวัง บุรุษผู้นี้รู้ได้เช่นไรกันว่านางมีคนรักอยู่?เมื่อหลายเดือนก่อน เพราะน้องชายป่วยหนัก นางไร้หนทางจะหาเงินมารักษา จึงใช้ความงามของตนเข้าไปทำงานร่ายรำที่หอคณิกา นางไม่ได้ขายเรือน
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว หยางจิ่งก็เดินออกมาจากเรือนของไป๋อี๋ซิน ก่อนจะยกยิ้มมุมปากคราหนึ่ง แล้วจึงหันไปเอ่ยกับหวังซุน“ประคองข้า”“ประคองทำไมพ่ะย่ะค่ะ”หวังซุนงงงันไม่น้อย ก่อนหน้านี้องค์ชายก็พาเขาเดินย้อนไปย้อนมา เข้าร้านสุรา แวะโรงพนัน ก่อนจะอ้อมไปตามทางเดินจนมาถึงที่อยู่ของไป๋อี๋ซิน มาครานี้ยังแกล้งเมาอีก“เราไม่รู้ว่าจะมีคนของหยางเฉิงอยู่แถวนี้หรือไม่ รีบประคองเร็วเข้า”“พ่ะย่ะค่ะ”หวังซุนพยักหน้าด้วยความมึนงง ก่อนจะรีบตรงเข้าไปประคองหยางจิ่งทันที หยางจิ่งที่เห็นเช่นนั้นก็แกล้งทำเป็นเมาจนเดินโซเซ พูดไม่เป็นภาษา แล้วเดินตามทางไปเรื่อยเปื่อยหลายวันก่อนเขาสั่งให้หวังซุนไปตามหาหมอปรุงยาพิษผู้หนึ่ง ที่อาศัยอยู่บนภูเขาด้านหลังวัดไป๋หวา เขาจำได้ว่าในชาติก่อน ตอนเดินทางไปวัดไป๋หวาพร้อมกับเสด็จพ่อเพื่อกราบขอพรพระโพธิสัตว์ เสด็จพ่อของเขาชอบไหว้พระขอพรเป็นอย่างมาก จึงเดินทางไปที่วัดไป๋หวาทุก ๆ ปี เคยได้ยินว่ามีหมอเทวดาผู้หนึ่งเชี่ยวชาญเรื่องการปรุงยารักษาคน อีกทั้งยังเชี่ยวชาญด้านการปรุงยาพิษและยาถอนพิษ ฝีมือนั้นเก่งกาจจนแทบหาตัวจับยาก แต่ทว่าราคาค่อนข้างแพงไปเสียหน่อย หากต้อง
เฉินป๋อเหวินที่เห็นหยางจิ่งก็ชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะทำความเคารพอย่างนอบน้อม เพราะเขาติดตามท่านพ่อเข้าวังหลวงอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ได้พบหน้าหยางจิ่งอยู่บ้างในบางครา แต่เพราะเขาเป็นเพียงบุตรชายตระกูลคหบดี ส่วนหยางจิ่งเป็นถึงองค์ชาย อีกทั้งด้วยวัยที่ห่างกันทำให้เขาไม่ได้สนิทสนมกับหยางจิ่งมากเท่าใดนัก เขาเองไม่ค่อยได้อยู่ที่เมืองหลวง เนื่องจากชอบตามท่านพ่อไปค้าขายนอกเมืองตั้งแต่วัยเยาว์ ไม่เหมือนกับโจวอวี้หานที่เป็นเพื่อนเล่นวัยเดียวกันกับหยางจิ่งมาตั้งแต่วัยเด็ก หยางจิ่งเพียงพยักหน้าให้เฉินป๋อเหวิน ก่อนจะปรายตามองกล่องอาหารในมือของเฉินป๋อเหวินคราหนึ่งโจวหว่านหรูที่เห็นว่าเฉินป๋อเหวินมาหา นางก็ยิ้มให้เขาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ป๋อเหวิน เจ้ามาตั้งแต่เมื่อใดกัน?"เฉินป๋อเหวินที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยตอบนางอย่างสนิทสนม"สักพักแล้ว พอข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่จึงรีบมาพบเจ้า ข้านำขนมมาให้เจ้าด้วยนะ เจ้าหิวแล้วหรือไม่?"หยางจิ่งจ้องมองคนทั้งสองที่สนทนากันอย่างสนิทสนมด้วยแววตาที่ไม่พอใจ แต่ทว่าไม่นานเขาก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติโจวอวี้หานที่ได้เห็นเช่นนั้น จึงเอ่ยขึ้นมาทันที"ไหน ๆ ก็มากันแล้ว ไปนั่งเล่นกัน
ด้านไป๋อี๋ซินที่ได้ฟังคำสั่งจากหวังซุน นางก็ลอบกลืนน้ำลายลงคอตนเองคราหนึ่ง คนผู้นี้นับว่าลงมือได้รวดเร็วไม่น้อยเลยนางจ้องมองขวดยาระงับพิษที่หวังซุนมอบให้คราหนึ่ง ในใจรู้สึกขมขื่นจนยากจะอธิบาย ตั้งแต่วันนั้นนางก็ตัดสินใจได้แล้ว ว่านางจะเลือกรักษาชีวิตของผู้ใดเอาไว้แน่นอนว่านางเลือกไป๋หลงน้องชายของนางหากนางเลือกหยางเฉิง ยามใดที่นางตายไป นางจะมองหน้าดวงวิญญาณของท่านพ่อท่านแม่ในปรโลกได้เช่นไรกันไป๋อี๋ซินยิ้มทั้งน้ำตา ความรู้สึกของนางในยามนี้สับสนมืดมนเหลือเกิน นางเลือกทางใดย่อมไม่เป็นผลดีต่อจิตใจของนางเลยแม้แต่ทางเดียวหลายวันต่อจากนั้น หยางเฉิงก็มาพบนาง เขายังคงปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี แต่ทว่าเขากลับเอ่ยกับนางขึ้นมาประโยคหนึ่ง"ไป๋อี๋ซิน""เพคะ""อีกไม่นานข้ามีงานหนึ่งให้เจ้าไปทำ หากงานนี้สำเร็จ เจ้าจะสุขสบายไปทั้งชีวิต น้องชายเจ้าก็จะมีท่านหมอดี ๆ คอยรักษา"ไป๋อี๋ซินรินชาร้อนส่งให้หยางเฉิง เขารับมันไปดื่มจนหมดถ้วย ก่อนจะยิ้มให้นาง ไป๋อี๋ซินจ้องมองเขาด้วยแววตาที่อ่อนโยน ก่อนจะจ้องมองถ้วยชาที่หยางเฉิงดื่มจนหมดด้วยแววตาที่เจ็บปวดนางยังคงไม่กล้าลงมือกับเขา!นางใจไม่แข็งพอที่จะทำเช่นนี้
ค่ำคืนนี้ช่างเหน็บหนาวนัก แต่ทว่าภายในตำหนักมังกรสวรรค์แคว้นเยี่ยนนั้นกลับคุกรุ่นไปด้วยไฟแห่งปรารถนาเจียงหมิงเจ๋อและโจวหว่านหรูแต่งงานกันมาร่วมปีแล้ว แต่ทว่ายังคงไม่มีบุตร อาจเพราะได้รับพิษในครานั้น ทำให้การมีบุตรไม่ใช่เรื่องง่ายบนเตียงใหญ่ เจียงหมิงเจ๋อกำลังตระกองกอดร่างบางระหงตรงหน้าอย่างทะนุถนอม ริมฝีปากหนาใหญ่ทาบทับลงไปบนริมฝีปากบางสวยของนางอย่างอ่อนโยน ก่อนจะบดขยี้อย่างเร่าร้อนราวกับคนเอาแต่ใจ ลิ้นอุ่นร้อนสอดแทรกเข้าไปในโพรงปากของนางและเกี่ยวกระหวัดกันอย่างเมามัน ยามนี้ร่างกายของคนทั้งสองเปลือยเปล่า กลิ่นหอมกำยานอ่อน ๆ ยิ่งกระตุ้นกำหนัดให้ลุกโหมมากยิ่งขึ้น เจียงหมิงเจ๋อผละริมฝีปากออกจากนาง แล้วจึงจูบไซ้ไปตามซอกคอขาวเนียน ก่อนจะเลื่อนใบหน้าลงมาเรื่อย สองมือหนาใหญ่บีบขยำดอกบัวงามทั้งสองข้างของนางอย่างเต็มไม้เต็มมือ พร้อมกับครอบริมฝีปากกลืนกินจุกบัวสีหวานอย่างลำพองใจ โจวหว่านหรูส่งเสียงครางกระเส่าพลางบิดกายเร่า ๆ ไปมาด้วยความเสียวซ่าน กายสาวถูกบุรุษตรงหน้าลูบคลำเชยชมอย่างไม่ยอมลดละ เจียงหมิงเจ๋อสอดแทรกแท่งหยกสวรรค์เข้าไปในกายของนาง ก่อนจะขยับกายอย่างช้า ๆ แล้วเร่
ยามนี้เจียงหมิงเจ๋อและโจวหว่านหรูกำลังเดินเคียงข้างกันไปตามทางเดินเพื่อมุ่งหน้าออกจากวังหลวง ฉับพลันนางก็หันมาเอ่ยถามเขา“เจียงหมิงเจ๋อ ท่านเอ่ยสิ่งใดฝ่าบาทจึงเห็นด้วยง่ายดายเช่นนี้ ข้าคิดว่าจะไม่ทรงเห็นด้วยเสียอีก”เจียงหมิงเจ๋อยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะหันมามองนางด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ โจวหว่านหรูหนังตากระตุกรู้สึกว่าบุรุษตรงหน้าเริ่มจะออกอาการเจ้าเล่ห์ใส่นางอีกแล้ว“อย่ามองข้าแบบนี้สิ”“ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ข้าเอ่ยเพียงว่า ขอเพียงมีเจ้าข้างกาย และครอบครัวของเจ้าสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย ใต้หล้านี้ข้ายกให้แคว้นเป่ยฉินทั้งหมด ข้าขอมีเพียงแคว้นเยี่ยนและมีเจ้าก็พอ”โจวหว่านหรูที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย“ท่านทำได้จริง ๆ หรือ”“ทำได้สิ คนอย่างข้าไม่เคยเอ่ยวาจาโป้ปด”“แต่ท่านเคยแกล้งป่วยนะ”“โจวหว่านหรู เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ ที่ข้าทำเพราะความอยู่รอดเพียงเท่านั้น”โจวหว่านหรูจ้องมองเจียงหมิงเจ๋อด้วยแววตาที่อ่อนโยน ก่อนจะเอ่ย“หากไม่เชื่อ ข้าคงไม่เลือกท่าน”เจียงหมิงเจ๋อที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกว้าง โจวหว่านหรูพลันใจเต้นแรงเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเขา“เจ้าจะไม่มีวันเสียใจที่เลือกข้า
โจวหว่านหรูเดินทางกลับมาที่แคว้นเป่ยฉิน หยางจิ่งที่ได้รู้ข่าวว่าโจวหว่านหรูกลับมาถึงแล้ว ก็รีบมาพบนางในทันทีสตรีตรงหน้ายามนี้งดงามเป็นสาวงามสะพรั่งแล้ว โจวหว่านหรูหันมามองหยางจิ่งคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มให้เขาเล็กน้อยหลายปีที่ไม่ได้พบกัน มันทำให้นางเข้าใจหัวใจตนเองได้อย่างชัดเจนแล้วนางไม่อาจกลับไปรักเขาเฉกเช่นเดิมได้อีก แม้ในใจของนางจะไม่สามารถตัดขาดจากหยางจิ่งได้อย่างสนิทใจ แต่ทว่านางเองก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดชังเขาแล้ว นางไม่ได้รู้สึกว่าเขากำลังติดค้างสิ่งใดกับนางอยู่ บางคราทุกสิ่งที่มันเปลี่ยนไปแล้วย่อมไม่อาจหวนคืนกลับมาได้อีก จะคงไว้เพียงเรื่องราวดี ๆ ในอดีตที่จะให้จดจำแม้จะดูเหมือนสตรีที่เห็นแก่ตัว แต่โจวหว่านหรูคิดเสมอว่าในเมื่อนางมีชีวิตอีกชาติหนึ่งแล้ว นางควรมีสิทธิ์เลือกในสิ่งที่นางต้องการคราก่อนนางยังไม่แน่ใจในหัวใจของตนเองมากเท่าใดนัก แต่เมื่อได้หลับฝันไปตื่นหนึ่ง ได้รู้ความจริงบางอย่าง ใจของนางก็เริ่มชัดเจนขึ้นหยางจิ่งคือรักแรกของนางส่วนเจียงหมิงเจ๋อคือคนที่นางเลือก เพราะไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้เขาคือคนที่ทำเพื่อนางมากที่สุด“หวานหว่าน เจ้ากลับมาแล้ว”หยางจิ่งเอ่ยด้วยน้ำ
เช้าวันต่อมา โจวหว่านหรูควบม้ามุ่งหน้าไปยังทิศทางของประตูวังหลวง ระหว่างทางนั้นนางมองเห็นหยางจิ่งที่ยืนมองนางอยู่ที่ด้านหน้าประตู เขาสวมชุดสีขาวทั้งชุด ดูแล้วช่างงดงามสง่าราวกับเทพเซียน นางสั่งให้ม้าหยุด ก่อนจะกระโดดลงจากหลังม้า และเดินตรงเข้ามาหาเขา หยางจิ่งยิ้มให้นางคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"แต่งเป็นบุรุษเช่นนี้นับว่าไม่เลวเลย"โจวหว่านหรูยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"อืม"หยางจิ่งจ้องมองโจวหว่านหรูคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย พลางเอ่ย"หวานหว่าน เจ้าจะกลับมาเมื่อใด"โจวหว่านหรูจ้องมองหยางจิ่งด้วยแววตาที่อ่อนโยน ก่อนจะเอ่ย"ยังไม่รู้เหมือนกัน อาจจะหนึ่งปี สามปี หรือห้าปี ข้าอยากจะไปทำตามความฝัน ท่องไปในยุทธภพ"หยางจิ่งจ้องมองนางด้วยแววตาที่ล้ำลึก เขาอยากยื่นมือไปดึงรั้งนางใจจะขาด แต่ทว่าอีกใจก็ไม่อยากทำลายสิ่งที่นางถวิลหา ตั้งแต่ได้รู้ว่านางตั้งใจจะไปท่องเที่ยวทั่วทั้งใต้หล้า เขาก็ตกใจไม่น้อย เดิมทีคิดจะพานางเข้าวัง แต่งนางเป็นชายาเอก แต่ทว่านางกลับปฏิเสธเขาข้ายังไม่คิดจะแต่งงานกับผู้ใดในยามนี้"ข้าจะรอเจ้า ต่อให้รอทั้งชีวิต ข้าก็จะรอ"หยางจิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ โจวหว่านห
ที่ตำหนักมังกรสวรรค์แคว้นเยี่ยนยามนี้มีเหล่าทหารกำลังผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าเวรยาม โจวหว่านหรูรีบตรงมาที่แห่งนี้ทันทีที่ได้ทราบเรื่องราวจากหยางจินจินแท้จริงแล้วนางไม่ได้ฝัน เป็นเขาจริง ๆ ที่ช่วยนาง เขาป้อนโลหิตให้นางดิื่มเพื่อระงับพิษไม่ให้ลุกลามไปยังส่วนต่าง ๆ ในร่างกายนาง"ข้าอยากพบเจียงหมิงเจ๋อ"เหล่าทหารที่เฝ้าเวรยามปรายตามองนางคราหนึ่ง แต่ทว่าไม่ได้เอ่ยสิ่งใด โจวหว่านหรูที่กำลังร้อนใจ พลันจ้องมองสตรีนางหนึ่งที่เดินออกมาจากตำหนักมังกรสวรรค์ นางสวมชุดเยี่ยงสตรีสูงศักดิ์ ใบหน้างดงามไม่น้อย นางจ้องมองโจวหว่านหรูคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เจ้าก็คือโจวหว่านหรูกระมัง"โจวหว่านหรูที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง สตรีนางนั้นยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"ข้าคือพระสนมเอกของฝ่าบาท ยามนี้ฝ่าบาทคงกำลังรอพบเจ้าอยู่ เจ้าเข้าไปเถิด"ฟ่านฮวาเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินจากไปไม่แม้แต่จะมองนางอีก โจวหว่านหรูไม่รอช้ารีบเข้าไปด้านในทันที เมื่อมาถึงนางก็พบกับเจียงหมิงเจ๋อที่กำลังเอนกายนอนพิงขอบเตียง ใบหน้าหล่อเหลายามนี้ซีดเซียวราวกับคนป่วยไข้ เมื่อรับรู้ได้ว่ามีคนเข้ามา เขาจึงหันไปมองคราหนึ่ง ก่อนที่แววตาจะฉาย
หยางจิ่งนั้นยามนี้กำลังเดินออกมาจากตำหนักเหลียนฉง เมื่อออกมาก็ได้พบกับโจวอวี้หาน เฉินป๋อเหวิน รวมถึงหยางจินจินที่กำลังยืนรออยู่ด้านนอกตำหนัก เขามีท่าทีแปลกใจไม่น้อย ก่อนจะเอ่ย"พวกเจ้ามาได้เช่นไรกัน"โจวอวี้หานยิ้มให้หยางจิ่งเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"ข้าเป็นห่วงน้องเล็กจึงรีบติดตามมาสมทบกับเจ้า เฉินป๋อเหวินและหยางจินจินก็เป็นห่วงนางเช่นกัน จึงขอติดตามข้ามาด้วย"หยางจิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้าอยากให้เจ้าช่วยดูนางสักระยะ ข้ามีเรื่่องต้องไปจัดการ”โจวอวี้หานที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยถามทันที"เรื่องใดหรือ"หยางจิ่งถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"สมุนไพรที่ใช้ถอนพิษไม่เพียงพอ ข้าจำต้องขึ้นเขาไปเก็บมันมา""ข้าไปกับท่านด้วย"หยางจิ่งหันไปจ้องมองเฉินป๋อเหวินคราหนึ่ง ก่อนจะพบว่าในดวงตาของเฉินป๋อเหวินดูเด็ดเดี่ยวและมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาหึงหวงอันใดกัน เขาจึงเอ่ยกับเฉินป๋อเหวินด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรมากกว่าเดิม"ทางไปเก็บสมุนไพรอยู่บนเขา ข้าได้ยินว่ามันทั้งหนาวเหน็บและอันตรายไม่น้อย กลับมาแล้วอาจจะไม่ดีต่อสุขภาพ เจ้า...""ต่อให้ต้องตาย
เจียงหมิงเจ๋อปรายตามองหยางจิ่งคราหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้น เหล่าทหารแคว้นเยี่ยนของเขาก็พุ่งเข้าสังหารทหารแคว้นฉีในทันที อู๋เจี๋ยตื่นตระหนกไม่น้อย เพียงมองอาภรณ์ที่สวมใส่เขาก็พอคาดเดาได้ไม่ยากว่าผู้มาใหม่นี่คือใครฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนเช่นนั้นหรือ!!!เจียงหมิงเจ๋อจ้องมองอู๋เจี๋ยคราหนึ่ง ก่่อนจะเอ่ย"เจ้าสินะ ที่ขโมยศีรษะของเจียงหย่งหลางส่งไปให้ฮ่องเต้แคว้นเป่ยฉิน ศีรษะของพี่ชายข้าก็เสียบประจานอยู่ที่หน้าประตูชายแดนดี ๆ เจ้ากลับไร้มรรยาทเอาหัวเขาไปเที่ยวเล่น ช่างบังอาจนัก!!!"อู๋เจี๋ยตกใจไม่น้อย ไม่คาดคิดว่าแผนการทั้งหมดของเขาจะถูกล่วงรู้ได้รวดเร็วเช่นนี้เขารู้ว่ายามนี้ไม่อาจต่อกรได้แล้ว เจียงหมิงเจ๋อพาทหารแคว้นฉู่ที่ยามนี้รวมเป็นหนึ่งกับแคว้นเยี่ยนบุกเข้ามาเพื่อจัดการเขา มันเป็นไปได้เช่นไรไม่ใช่ว่าเจียงหมิงเจ๋อต้องสังหารหยางจิ่งหรอกหรือ!!!อู๋เจี๋ยไม่รั้งรอ เขารีบควบม้าคิดจะหนี เจียงหมิงเจ๋อยกยิ้มมุมปาก มีหรือที่เขาจะปล่อยศัตรูให้รอดไปได้ ใครที่มันคิดรุกรานเขา เขาไม่เคยเก็บเอาไว้เจียงหมิงเจ๋อคว้าคันธนูมาจากฟ่านเฉียน ก่อนจะยกขึ้นเล็งไปที่อู๋เจี๋ย ลูกธนูพุ่งฝ่าอากาศก่อนจะทะลุเข้าไปที่กลางอกข
โจวหว่านหรูสวมชุดเกราะเตรียมออกรบ ในมือของนางถือดาบยาวที่ส่องประกายวาววับ ก่อนจะกระโดดขึ้นหลังม้าและพุ่งทะยานออกไปที่ประตูชายแดนในทันที โดยมีหยางจิ่งและโจวอวี้หานเป็นผู้นำทัพ ยามนี้แขนของท่านพ่อนางดีขึ้นมากแล้ว เมื่อภัยมาถึงด้วยนิสัยของท่านพ่อย่อมไม่อาจอยู่เฉยได้ด้านหยางจินจินนั้นคอยดูแลเหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บและถูกหามกลับเข้ามา ใจของนางสั่นไหวไม่น้อยหยางจิ่งที่ควบม้ามายังสนามรบ เมื่อได้มองเห็นกองกำลังทหารเรือนแสนที่แคว้นฉียกทัพมาก็จ้องมองด้วยแววตาเย็นเยียบ ก่อนจะมองไปที่อู๋เจี๋ยซึ่งเป็นผู้นำทัพออกรบอู๋เจี๋ยจ้องมองหยางจิ่งอย่างไม่ละสายตาเช่นเดียวกัน ก่อนจะปรายตามามองโจวหว่านหรูคราหนึ่ง ในใจนึกเสียดายที่ไม่อาจนำสาวงามนางนี้มาครอบครองได้ หากเขารบชนะศึกในครานี้และหยางจิ่งพ่ายแพ้ เขาจะลากตัวนางกลับแคว้นฉีและทรมานให้สาแก่ใจโจวหว่านหรูจ้องมองอู๋เจี๋ยด้วยแววตาเกลียดชัง"ไม่คิดว่าคนแคว้นฉีจะตีสองหน้าได้เก่งกาจปานนี้ อาศัยช่วงที่ทัพของข้าอ่อนไหว ตลบหลังได้อย่างหน้าไม่อาย"หยางจิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ อู๋เจี๋ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ว่าแคว้นฉีขอ
หยางจิ่งรีบเข้ามากอดโจวหว่านหรูทันที ก่อนจะเอ่ย"เจ้ากลับมาแล้ว รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นห่วงเจ้ามากเพียงใด ข้าแทบจะพลิกแผ่นดินตามหาเจ้า"โจวหว่านหรูไม่ได้ขัดขืนหยางจิ่ง ยังคงปล่อยให้เขากอดนางอยู่เช่นนั้น"ข้าเหนื่อยแล้ว"นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้า หยางจิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เช่นนั้นเรากลับเป่ยฉินกันเถิด"หยางจิ่งกำลังจะพาโจวหว่านหรูเดินไปยังรถม้า แต่ทว่านางกลับรั้งมือของเขาเอาไว้ หยางจิ่งหันกลับมามองนางคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"มีสิ่งใดหรือ"โจวหว่านหรูจ้องมองหยางจิ่ง ก่อนจะเอ่ย"ข้าหายไปแคว้นเยี่ยนตั้งหลายวัน ท่านไม่สงสัยข้าเลยหรือ"หยางจิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือมาลูบศีรษะของนางอย่างรักใคร่"ข้าไม่สนใจ และไม่ติดใจเรื่องใดทั้งสิ้น ข้ารู้ว่าคนเช่นเจ้าหากถูกเอาเปรียบเจ้ายอมตายดีกว่า จริงหรือไม่"โจวหว่านหรูยิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าให้เขา หยางจิ่งชะงักไปชั่วขณะ เขารู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ของนางเขาไม่ได้เห็นมานานมากแล้ว แต่วันนี้นางกลับยิ้มให้เขาอีกคราโจวหว่านหรูก้าวขึ้นมานั่งบนรถม้า ก่อนจะหันมามองหยางจินจินที่นั่งอยู่ หยางจินจินก็ห