ยามนี้เข้าสู่ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิแล้ว ท้องฟ้าจึงค่อนข้างแจ่มใสไม่น้อยเลย เจียงหมิงเจ๋อออกมาเดินเล่นรับลมอยู่ที่ใต้ต้นดอกเหมยไม่ไกลจากที่พักของเขามากนัก เขาปรายตามองเหล่าทหารที่ติดตามอยู่ไม่ห่างด้วยแววตาที่เย็นชา แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นเขาก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ อีกทั้งยังส่งเสียงไอออกมาเป็นระยะ
เหล่าทหารที่ได้เห็นเช่นนั้นก็นึกดูแคลนเจียงหมิงเจ๋อไม่น้อย องค์ชายขี้โรคเช่นนี้ฝ่าบาทจะรับเอาไว้เป็นตัวประกันทำไมกัน ใช้ประโยชน์ใดไม่ได้ อีกไม่นานก็คงจะป่วยตายอยู่ในวังนี้กระมัง
เจียงหมิงเจ๋อมีหรือจะไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นดูแคลนตน แต่เขาจะทำสิ่งใดได้เล่า ทำได้เพียงอดทนเท่านั้น
เขาคร้านจะใส่ใจกับทหารชั้นต่ำเหล่านั้น จึงทำเป็นมองไม่เห็นสายตาที่ดูแคลนของพวกมันเสีย ก่อนจะหันมาเอ่ยถามแม่นมเถียนด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
"มีข่าวส่งมาหรือไม่แม่นม?"
"ทูลองค์ชาย ยังไม่มีเลยเพคะ"
"คนของเราที่แฝงตัวเข้ามาเล่า"
"ยามนี้ยังไม่กล้ากระทำการสิ่งใดเพคะ เนื่องจากวังหลวงคุ้มกันแน่นหนา คนของเราจะทำสิ่งใดก็ลำบากไม่น้อยเลย"
เจียงหมิงเจ๋อกำมือแน่น หนทางที่เขาจะหนีไปได้มันช่างริบหรี่เหลือเกิน แต่เขาไม่มีทางยอมแพ้เสียหรอก
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงให้แม่นมช่วยพยุงเขาเดินต่ออีกสักหน่อย ระหว่างนั้นดวงตาของเขาก็สอดส่องและจดจำพื้นที่ทุกแห่งในวังหลวงเอาไว้ได้อย่างขึ้นใจ
หยางจินจินที่ยามนี้รู้สึกเบื่อไม่น้อยจึงออกมาเดินเล่นรับลม อีกไม่นานนางก็จะต้องศึกษาเล่าเรียนกับอาจารย์ที่เสด็จพ่อทรงหามาให้พร้อมกับสหายเล่าเรียน นางคงไม่ค่อยมีเวลาว่างออกมาเดินเล่นเช่นนี้อีก
หยางจินจินไม่ได้ให้นางกำนัลติดตามมามากนัก นางคุ้นชินกับการมีสาวใช้เพียงไม่กี่คนมานานมากแล้ว ตั้งแต่เสด็จพ่อส่งนางกำนัลมาในวันนั้นความเป็นอยู่ของนางก็ค่อนข้างจะดีขึ้นไม่น้อยเลย
นางเดินมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงท้ายวังหลวง ดวงตาคู่สวยจ้องมองไปยังเจียงหมิงเจ๋อที่ยามนี้กำลังยืนมองใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาจากต้น จิตใจของนางพลันสั่นไหวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
เจียงหมิงเจ๋อเป็นบุรุษรูปงาม แต่กลับล้มป่วยเยี่ยงนี้ นางไม่รู้ว่าเหตุใดร่างกายของเขาจึงอ่อนแอเช่นนี้ นางสงสารเขาเหลือเกิน
เมื่อคิดได้เช่นนั้นหยางจินจินจึงก้าวเดินเข้าไปหาเจียงหมิงเจ๋อทันที
"องค์ชายเจียงหมิงเจ๋อ"
เจียงหมิงเจ๋อหันมามอง เมื่อพบว่าเป็นหยางจินจิน เขาก็ทำความเคารพนางคราหนึ่งอย่างนอบน้อม ก่อนจะส่งเสียงไอหนัก ๆ ออกมาอีกคราพร้อมกับเอ่ยอย่างอ่อนแรง
"องค์หญิงรอง"
"ไม่ต้องมากพิธีกับข้าหรอก อากาศยังหนาวอยู่เลย ท่านออกมาทำไมกัน?"
"กระหม่อมเพียงรู้สึกเบื่อน่ะพ่ะย่ะค่ะ จึงอยากออกมาเดินเล่น เชลยเช่นกระหม่อมไม่มีที่ดี ๆ ให้ไป ทำได้เพียงมายืนมองใบไม้ร่วงหล่นอยู่ตรงนี้ ขายหน้าองค์หญิงแล้ว"
หยางจินจินที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มให้เจียงหมิงเจ๋ออย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ย
"วังหลวงแห่งนี้กว้างขวาง คนสุขภาพไม่ดีเช่นท่านเดินทั้งวันก็เดินไม่ไหวหรอก เจียงหมิงเจ๋อ ข้ามีขนมกุ้ยฮวาติดมาด้วย ท่านรับไปสิ"
เจียงหมิงเจ๋อมองขนมในมือของหยางจินจินคราหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปรับขนมนั้นมาจากนาง
ตั้งแต่เขามาอยู่ในวังหลวงแห่งนี้การกินอยู่ก็ไม่สู้ดีเท่าใดนัก เมื่อเห็นว่าหยางจินจินมอบขนมกุ้ยฮวามาให้ มีหรือที่เขาจะไม่รับ ยามนี้เขาไม่มีเวลามาห่วงเรื่องฐานันดรศักดิ์หรือแม้แต่ศักดิ์ศรีของตน การเอาตัวรอดต่างหากจึงจะทำให้เขามีชีวิตรอดต่อไปได้
ต่อให้นางยื่นขนมที่ร่วงลงพื้นให้เขา เขาก็ยินดีรับอย่างเต็มใจ
ความอัปยศในครั้งนี้ เขาจะจดจำเอาไว้ในใจไม่มีวันลืม!!!
หยางจินจินที่เห็นว่าเจียงหมิงเจ๋อรับขนมไปนางก็ดีใจไม่น้อย พยายามชวนเขาสนทนาเพื่อให้บรรยากาศไม่เงียบสงัดจนเกินไป
"หากท่านเหงา ข้าจะสนทนาเป็นเพื่อนท่าน ไม่ต้องกลัวนะ ท่านพ่อของข้าใจดีมีเมตตา ข้าเชื่อว่าหากท่านไม่ก่อความวุ่นวาย เสด็จพ่อของข้าก็จะไม่ทำให้ท่านต้องลำบากใจ"
เจียงหมิงเจ๋อยิ้มให้หยางจินจินอย่างอ่อนแรง แต่ในใจกลับส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง
ใจดี มีเมตตาเช่นนั้นหรือ?
ตลกสิ้นดี!!!
หากฮ่องเต้หยางหลิงไท่ใจดีมีเมตตาจริง เขาคงไม่ต้องอยู่อย่างตายทั้งเป็นเช่นนี้หรอก อาหารก็กินไม่อิ่ม มีคนจับตามองอยู่ตลอด จะทำสิ่งใดก็ย่อมไม่สะดวก
ศักดิ์ศรีของเขามันหายไปหมดแล้วตั้งแต่เขาถูกจับมาเป็นเชลยที่นี่
นางยังจะคิดปลอบใจเขาด้วยคำพูดเช่นนี้อีกหรือ ช่างน่าขันสิ้นดี!!!
หากไม่เพราะวันนั้นเขาหลงกลเจียงหยงหลางพี่ชายชั่ว ดื่มเหล้าที่ผสมยาพิษเข้าไปจนล้มป่วย เขาคงไม่ถูกจับมาที่นี่ได้อย่างง่ายดายเป็นแน่ เพราะพิษนั้นทำให้เขาต้องล้มป่วยลงไปช่วงเวลาหนึ่ง แม้จะแก้พิษได้แล้วแต่ร่างกายก็ยังอ่อนแออยู่บ้าง เดิมทีเขาคิดว่าอีกไม่นานทุกอย่างคงจะดีขึ้น พี่ชายเฮงซวยผู้นั้นจะต้องถูกเสด็จพ่อลงโทษ แต่สวรรค์กลับใจร้ายยิ่งนัก หลังจากเขาหายป่วยได้ไม่นาน เสด็จพ่อก็ประชวรจนเสด็จสวรรคต เขาไม่มีโอกาสได้ดูใจเสด็จพ่อ ไม่มีโอกาสได้เห็นพระศพของเสด็จพ่อ เมื่อสิ้นเสด็จพ่อไป เจียงหยงหลางก็จับเขามาทรมาน แต่เขากลับรอดมาได้ทุกครา อาจจะเพราะเบื่อหรือไม่อยากฆ่าเขาแล้ว เจียงหยงหลางจึงไม่ทรมานเขาอีก แต่เขาก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเท่าใดนัก
ไม่นานนักแคว้นเป่ยฉินยกทัพมาตีแคว้นเยี่ยนหวังจะยึดครองใต้หล้าแห่งนี้ พี่ชายสารเลวของเขากลับสู้ไม่ไหว จึงส่งเขามาเป็นเชลย อีกทั้งยังเขียนสัญญาค้าขายอาวุธชั้นดีในราคาถูกให้แก่แคว้นเป่ยฉินอีกด้วย ของมีค่าทุกอย่างที่เสด็จพ่อลงมือลงแรงสร้างมาเองกับมือ ล่มสลายพินาศลงเพราะมือของเจียงหยงหลาง พี่ชายแสนชั่วของเขา!!!
นับแต่วันนั้นเขาก็กลายเป็นเชลยศึก เป็นองค์ชายขี้โรคที่ถูกส่งตัวมาอยู่ยังแคว้นเป่ยฉินเพื่อสงบศึกระหว่างแคว้น
หากเขารอดไปได้วันใด วันนั้นคือวันตายของเจียงหยงหลางพี่ชายบัดซบผู้นั้น!!!
หยางจินจินที่เห็นว่าเจียงหมิงเจ๋อเงียบไปก็จ้องมองเขาคราหนึ่ง เจียงหมิงเจ๋อที่รับรู้ว่าถูกหยางจินจินจ้องมองอยู่จึงเก็บคืนแววตาอำมหิตของตนในทันที ก่อนจะเอ่ย
"ทำให้องค์หญิงรองขบขันแล้ว"
"ข้าไม่เคยขบขันท่านเลยนะเจียงหมิงเจ๋อ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน หากท่านไม่กล้าเดินไปชมสวนดอกเหมยที่อุทยานหลวง เช่นนั้นท่านก็เดินเล่นอยู่บริเวณนี้จะดีกว่า แถวนี้ก็มีต้นไม้และบุปผางดงามไม่น้อยเลย แต่ว่าท่านอย่าเดินไปไกลนักเล่า ที่ท้ายวังหลวงมีสระบัวที่ลึกมาก ๆ อยู่ เพราะมันเชื่อมต่อกับแม่น้ำที่อยู่ด้านนอกกำแพงวังหลวง น้ำจึงค่อนข้างเย็นจัด ท่านร่างกายไม่แข็งแรง เกิดหน้ามืดจนตกน้ำไปจะไม่สบายเอาได้ อีกอย่างแม่นมของท่านก็แก่ชรามากแล้ว หากพลัดตกลงไปทั้งคู่ อาจจะอันตรายถึงแก่ชีวิต"
หยางจินจินเอ่ยพร้อมกับยิ้มตาหยี เพราะนางเคยตกลงไปในสระบัวแห่งนั้น นางจึงเห็นว่าใต้สระบัว มีช่องขนาดไม่ใหญ่มากนักที่สามารถเชื่อมกับแม่น้ำนอกวังหลวงได้ นางจึงเอ่ยเตือนเขาด้วยความห่วงใย
"ขอบพระทัยองค์หญิง"
"อืม ข้าคงต้องไปแล้ว ไว้มีโอกาสคงได้พบกับท่านใหม่"
"พ่ะย่ะค่ะ"
หยางจินจินยิ้มให้เจียงหมิงเจ๋ออีกคราก่อนจะเดินจากไป เจียงหมิงเจ๋อมองตามนางไปจนลับสายตา ก่อนจะยกยิ้มมุมปาก
น้ำเย็นจัดเช่นนั้นหรือ?
ขอบคุณเจ้ามากนะองค์หญิงตัวน้อย
เจียงหมิงเจ๋อจ้องมองไปยังทิศทางที่หยางจินจินบอกว่ามีสระบัวอยู่ด้วยแววตาที่ล้ำลึก ก่อนจะเดินกลับที่พักของตนทันที
หลายวันต่อมาโจวหว่านหรูก็เดินทางเข้าวังหลวงเพื่อมาเป็นสหายเล่าเรียนของหยางจินจิน วังหลวงกำหนดเอาว่า ในเจ็ดวันพวกนางจะต้องเขาวังหลวงสี่วัน ส่วนอีกสามวันที่เหลือสามารถพักผ่อนอยู่ที่จวนไม่ต้องเข้าวังหลวง ส่วนสี่วันที่ต้องเข้าวังหลวงนั้นเมื่อศึกษาเล่าเรียนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็สามารถกลับไปพักที่จวนได้ไม่ต้องอยู่ค้างคืนในวังหลวง
อากาศวันนี้ค่อนข้างแจ่มใส ราษฎรเริ่มออกมาทำการเพาะปลูก เนื่องจากหิมะหยุดตกแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะเริ่มทำเกษตรกรรม
สถานที่เรียนก็ถูกจัดขึ้นยังตำหนักหยวนหนิง ซึ่งเป็นตำหนักที่ตั้งอยู่ด้านหลังของตำหนักเฟิ่งหวง ซึ่งยามนี้ยังถูกปิดไว้เนื่องจากยังไม่มีฮองเฮาพระองค์ใหม่เข้ามาประทับ ตำหนักหยวนหนิงมีสองชั้น ชั้นบนจะโล่งกว้าง ลมพัดเย็นสบาย อีกทั้งยังสามารถมองเห็นทิวทัศน์ด้านในและด้านนอกวังหลวงได้อย่างชัดเจนอีกด้วย ส่วนชั้นล่างจะเป็นที่เก็บตำราความรู้ต่าง ๆ เล็กน้อยเท่านั้น วันนี้เหล่าขันทีขนโต๊ะกับเก้าอี้อย่างดีขึ้นมาจัดวางที่ด้านบนชั้นสอง เพื่อใช้เป็นที่เล่าเรียนขององค์หญิงและสหายอีกสองคน
หัวข้อการเรียนวันนี้ไม่ได้มีอันใดมากนัก เป็นเพียงตำราทั่ว ๆ ไปที่องค์หญิงต้องร่ำเรียน โจวหว่านหรูพลิกตำราตรงหน้าไปมาหน้าแล้วหน้าเล่าคราหนึ่ง ตำราเหล่านี้ล้วนผ่านตานางมาหมดแล้วในครั้งที่กำลังจะเข้าวังเป็นพระชายาองค์ชายใหญ่
เวลาในการเล่าเรียนดำเนินไปร่วมสองชั่วยามเห็นจะได้ หลังจากนั้นท่านอาจารย์ก็ให้พวกนางคัดตำรา และสามารถนั่งผ่อนคลายได้ หยางจินจินให้นางกำนัลนำของว่างมาหลายอย่าง โจวหว่านหรูรู้สึกว่าเริ่มหิวแล้ว จึงหยิบขนมกุ้ยฮวามากินหนึ่งชิ้น พร้อมกับยกชาร้อนขึ้นมาดื่ม
"ขนมถูกปากเจ้าหรือไม่โจวหว่านหรู"
โจวหว่านหรูที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันไปมองหยางจินจิน ก่อนจะยิ้มให้นางเล็กน้อย
"รสชาติดีมากเพคะ"
"อืม ข้าดีใจที่เจ้าชอบนะ"
มู่จั่วหลานที่เห็นว่าหยางจินจินไม่สนใจตนก็รู้สึกไม่ชอบใจเล็กน้อย เป็นสหายเล่าเรียนเหมือนกัน แต่องค์หญิงกลับเลือกปฏิบัติเช่นนี้ใช้ได้หรือ!!!
หยางจินจินเองมีหรือจะไม่รู้ถึงสายตาของมู่จั่วหลานที่มองมา แต่นางไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก นางไม่ชอบมู่จั่วหลานเลย สตรีนางนี้ขี้อิจฉา อีกทั้งยังชอบประจบประแจงนาง จะเดินจะนั่งล้วนมีพิธีการ ราวกับตนเองเป็นเทพธิดาลงมาจากสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น นางไม่ชอบเลย!!!
โจวหว่านหรูสนทนากับหยางจินจินอย่างสนิทสนม หยางจินจินเองก็ชื่นชอบนางมากเช่นกัน จวบจนกระทั่งถึงเวลาที่นางจะต้องกลับจวนแล้ว นางจึงลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินลงไปที่ชั้นล่าง แต่ทว่าสายตาของนางกลับมองเห็นใครบางคนกำลังยืนอยู่ที่ใต้ต้นดอกเหมยท้ายวังหลวง
นั่นมันเจียงหมิงเจ๋อใช่หรือไม่?
คนผู้นั้นไปยืนทำอันใดตรงนั้นกัน?
เจียงหมิงเจ๋อรับรู้ได้ว่ามีสายคาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมองมาที่ตน เขาจึงค่อย ๆ หันกลับไปมอง ก่อนจะพบว่าเป็นโจวหว่านหรูที่กำลังยืนมองเขาอยู่บนตำหนักหยวนหนิง แม้จะอยู่ไกลกันไม่น้อย แต่เขาจำได้ว่าเป็นนาง
โจวหว่านหรูที่เห็นว่าเจียงหมิงเจ๋อหันกลับมามองก็รีบหลบสายตาเขาในทันที ก่อนจะรีบเดินลงชั้นล่างอย่างรวดเร็ว
เจียงหมิงเจ๋อจ้องมองตำหนักหยวนหนิงต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนจะเก็บสายตาตนกลับคืน
สตรีนางนี้ เหตุใดจึงชอบมองเขาด้วยแววตาเช่นนั้นกันนะ?
เจียงหมิงเจ๋อเก็บสายตาของตนกลับคืน ก่อนจะเดินกลับมาที่พักของตน เมื่อมาถึงก็พบกับนางกำนัลน้อยผู้หนึ่งกำลังยกถ้วยโจ๊กเข้ามาให้เขา เจียงหมิงเจ๋อจ้องมองถ้วยโจ๊กตรงหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะยกมันขึ้นมากินด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย ในใจนึกค่อนขอดไม่น้อยหลังถูกจับมาเป็นเชลยเขาได้ยินว่าแคว้นเยี่ยนและแคว้นเป่ยฉินทำสัญญายุติสงคราม แคว้นเยี่ยนยินยอมเป็นเมืองขึ้นของแคว้นเป่ยฉิน ทั้งยังยินยอมส่งของมีค่าและอาวุธอีกมากมายมาที่เป่ยฉิน เนื่องจากแคว้นเยี่ยนของเขามีเหมืองแร่เหล็กที่สามารถหลอมออกมาเป็นอาวุธชั้นดีได้ ทั้งหมดเป็นเพราะพี่ชายบัดซบของเขา จึงทำให้แคว้นเยี่ยนจำต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เจียงหยงหลางยอมยุติสงครามเพื่อให้ตนเองได้อยู่อย่างสุขสบายบนบัลลังก์ต่อไป ฮ่องเต้แคว้นเป่ยฉินก็ได้อาวุธชั้นดีในราคาที่ไม่สูงมาก บางครายังได้ของบรรณาการชั้นดีที่แคว้นเยี่ยนส่งมาให้อยู่เสมออีกด้วยต่างฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน แต่คนที่ทุกข์ที่สุดกลับเป็นเขา!!เจียงหมิงเจ๋อกำมือแน่น ก่อนจะเงยหน้าไปมองนางกำนัลน้อยผู้นั้น พร้อมกับพยักหน้าคราหนึ่ง นางกำนัลผู้นั้นพยักหน้าตอบรับก่อนจะเดินออกไปด้วยท่าทีที่ไร้พิรุธเมื่อนางกำนั
หยางจิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยถามนางกำนัลผู้นั้นว่ายามนี้หยางจินจินอยู่ที่ใด เมื่อได้ความแล้วเขาจึงรีบมุ่งหน้าไปที่ตำหนักมังกรสวรรค์ทันที เมื่อมาถึงเขาก็พบกับหยางจินจินที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างกายสั่นเทา ใบหน้ามีหยดน้ำตาเปียกปอน หยางจิ่งหันไปมองฉินกุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ข้างกายเสด็จพ่อของเขา ก็เห็นว่ายามนี้ฉินกุ้ยเฟยกำลังจ้องมองหยางจินจินด้วยแววตาที่ไม่ชอบใจเท่าใดนักฮ่องเต้หยางหลิงไท่ที่เห็นพระโอรสของตน ก็รีบเอ่ยถามทันที"จิ่งเอ๋อร์ เจ้ามาก็ดี มาดูสิ่งที่น้องสาวตัวดีของเจ้าทำเอาไว้!!!"ฉินกุ้ยเฟยจ้องมองหยางจิ่งด้วยแววตาที่เย็นชาคราหนึ่ง ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ นางได้ยินมาว่าระยะนี้หยางจิ่งและหยางจินจินดูสนิทสนมกันดี อีกทั้งหยางจิ่งก็ดูเป็นผู้เป็นคนมากกว่าแต่ก่อน นี่คือสิ่งที่นางแปลกใจและสั่งให้คนตามดูมาตลอดจากการจับตาดูมาหลายวัน นางก็พอจะเข้าใจในสิ่งที่หยางเฉิงบอกนางก่อนหน้านี้แล้ว คล้ายว่าหยางจิ่งจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นจริง ๆหยางจิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยถามบิดาของตนทันที"จินเอ๋อร์ทำสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?"ฮ่องเต้หยางหลิงไท่ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง
ไป๋อี๋ซินที่ได้ยินเช่นนั้นก็จ้องมองหยางจิ่งด้วยแววตาที่เย็นเยียบพลางขมวดคิ้วมุ่น คนผู้นี้รู้ได้เช่นไรว่านางคิดจะทำสิ่งใดแววตาที่มองนางด้วยความเกลียดชังสลับกับการตัดพ้อต่อว่านั่นมันหมายความว่าเช่นไรกัน!!!หยางจิ่งจ้องมองไป๋อี๋ซินอย่างไม่ละสายตาเช่นเดียวกัน ก่อนจะเห็นว่าท่าทีที่คิดจะสังหารเขาเมื่อครู่พลันมลายหายไปจนหมดสิ้น นางมองน้องชายของตนที่ยามนี้ถูกเขาจับตัวเอาไว้ด้วยแววตาที่ร้อนรน ก่อนจะเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา"ปล่อยน้องชายข้า หากท่านอยากได้สิ่งใด ข้าจะทำตามที่ท่านขอ"หยางจิ่งได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง วันนี้เขาได้รู้ธาตุแท้ของสตรีนางนี้ด้วยตาตนเองแล้ว นางยอมทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดจริง ๆหยางจิ่งยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอ่ย"หากข้าให้เจ้าหักหลังบุรุษที่เจ้ารัก เจ้าก็ยินยอมทำใช่หรือไม่?"ไป๋อี๋ซินเม้มริมฝีปากแน่น นางไม่ได้เอ่ยตอบสิ่งใดออกไป แต่ทว่ากลับจ้องมองหยางจิ่งด้วยแววตาที่ระแวดระวัง บุรุษผู้นี้รู้ได้เช่นไรกันว่านางมีคนรักอยู่?เมื่อหลายเดือนก่อน เพราะน้องชายป่วยหนัก นางไร้หนทางจะหาเงินมารักษา จึงใช้ความงามของตนเข้าไปทำงานร่ายรำที่หอคณิกา นางไม่ได้ขายเรือน
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว หยางจิ่งก็เดินออกมาจากเรือนของไป๋อี๋ซิน ก่อนจะยกยิ้มมุมปากคราหนึ่ง แล้วจึงหันไปเอ่ยกับหวังซุน“ประคองข้า”“ประคองทำไมพ่ะย่ะค่ะ”หวังซุนงงงันไม่น้อย ก่อนหน้านี้องค์ชายก็พาเขาเดินย้อนไปย้อนมา เข้าร้านสุรา แวะโรงพนัน ก่อนจะอ้อมไปตามทางเดินจนมาถึงที่อยู่ของไป๋อี๋ซิน มาครานี้ยังแกล้งเมาอีก“เราไม่รู้ว่าจะมีคนของหยางเฉิงอยู่แถวนี้หรือไม่ รีบประคองเร็วเข้า”“พ่ะย่ะค่ะ”หวังซุนพยักหน้าด้วยความมึนงง ก่อนจะรีบตรงเข้าไปประคองหยางจิ่งทันที หยางจิ่งที่เห็นเช่นนั้นก็แกล้งทำเป็นเมาจนเดินโซเซ พูดไม่เป็นภาษา แล้วเดินตามทางไปเรื่อยเปื่อยหลายวันก่อนเขาสั่งให้หวังซุนไปตามหาหมอปรุงยาพิษผู้หนึ่ง ที่อาศัยอยู่บนภูเขาด้านหลังวัดไป๋หวา เขาจำได้ว่าในชาติก่อน ตอนเดินทางไปวัดไป๋หวาพร้อมกับเสด็จพ่อเพื่อกราบขอพรพระโพธิสัตว์ เสด็จพ่อของเขาชอบไหว้พระขอพรเป็นอย่างมาก จึงเดินทางไปที่วัดไป๋หวาทุก ๆ ปี เคยได้ยินว่ามีหมอเทวดาผู้หนึ่งเชี่ยวชาญเรื่องการปรุงยารักษาคน อีกทั้งยังเชี่ยวชาญด้านการปรุงยาพิษและยาถอนพิษ ฝีมือนั้นเก่งกาจจนแทบหาตัวจับยาก แต่ทว่าราคาค่อนข้างแพงไปเสียหน่อย หากต้อง
เฉินป๋อเหวินที่เห็นหยางจิ่งก็ชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะทำความเคารพอย่างนอบน้อม เพราะเขาติดตามท่านพ่อเข้าวังหลวงอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ได้พบหน้าหยางจิ่งอยู่บ้างในบางครา แต่เพราะเขาเป็นเพียงบุตรชายตระกูลคหบดี ส่วนหยางจิ่งเป็นถึงองค์ชาย อีกทั้งด้วยวัยที่ห่างกันทำให้เขาไม่ได้สนิทสนมกับหยางจิ่งมากเท่าใดนัก เขาเองไม่ค่อยได้อยู่ที่เมืองหลวง เนื่องจากชอบตามท่านพ่อไปค้าขายนอกเมืองตั้งแต่วัยเยาว์ ไม่เหมือนกับโจวอวี้หานที่เป็นเพื่อนเล่นวัยเดียวกันกับหยางจิ่งมาตั้งแต่วัยเด็ก หยางจิ่งเพียงพยักหน้าให้เฉินป๋อเหวิน ก่อนจะปรายตามองกล่องอาหารในมือของเฉินป๋อเหวินคราหนึ่งโจวหว่านหรูที่เห็นว่าเฉินป๋อเหวินมาหา นางก็ยิ้มให้เขาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ป๋อเหวิน เจ้ามาตั้งแต่เมื่อใดกัน?"เฉินป๋อเหวินที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยตอบนางอย่างสนิทสนม"สักพักแล้ว พอข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่จึงรีบมาพบเจ้า ข้านำขนมมาให้เจ้าด้วยนะ เจ้าหิวแล้วหรือไม่?"หยางจิ่งจ้องมองคนทั้งสองที่สนทนากันอย่างสนิทสนมด้วยแววตาที่ไม่พอใจ แต่ทว่าไม่นานเขาก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติโจวอวี้หานที่ได้เห็นเช่นนั้น จึงเอ่ยขึ้นมาทันที"ไหน ๆ ก็มากันแล้ว ไปนั่งเล่นกัน
ด้านไป๋อี๋ซินที่ได้ฟังคำสั่งจากหวังซุน นางก็ลอบกลืนน้ำลายลงคอตนเองคราหนึ่ง คนผู้นี้นับว่าลงมือได้รวดเร็วไม่น้อยเลยนางจ้องมองขวดยาระงับพิษที่หวังซุนมอบให้คราหนึ่ง ในใจรู้สึกขมขื่นจนยากจะอธิบาย ตั้งแต่วันนั้นนางก็ตัดสินใจได้แล้ว ว่านางจะเลือกรักษาชีวิตของผู้ใดเอาไว้แน่นอนว่านางเลือกไป๋หลงน้องชายของนางหากนางเลือกหยางเฉิง ยามใดที่นางตายไป นางจะมองหน้าดวงวิญญาณของท่านพ่อท่านแม่ในปรโลกได้เช่นไรกันไป๋อี๋ซินยิ้มทั้งน้ำตา ความรู้สึกของนางในยามนี้สับสนมืดมนเหลือเกิน นางเลือกทางใดย่อมไม่เป็นผลดีต่อจิตใจของนางเลยแม้แต่ทางเดียวหลายวันต่อจากนั้น หยางเฉิงก็มาพบนาง เขายังคงปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี แต่ทว่าเขากลับเอ่ยกับนางขึ้นมาประโยคหนึ่ง"ไป๋อี๋ซิน""เพคะ""อีกไม่นานข้ามีงานหนึ่งให้เจ้าไปทำ หากงานนี้สำเร็จ เจ้าจะสุขสบายไปทั้งชีวิต น้องชายเจ้าก็จะมีท่านหมอดี ๆ คอยรักษา"ไป๋อี๋ซินรินชาร้อนส่งให้หยางเฉิง เขารับมันไปดื่มจนหมดถ้วย ก่อนจะยิ้มให้นาง ไป๋อี๋ซินจ้องมองเขาด้วยแววตาที่อ่อนโยน ก่อนจะจ้องมองถ้วยชาที่หยางเฉิงดื่มจนหมดด้วยแววตาที่เจ็บปวดนางยังคงไม่กล้าลงมือกับเขา!นางใจไม่แข็งพอที่จะทำเช่นนี้
หยางจิ่งได้ฟังเรื่องราวที่หวังซุนนำมารายงานก็ยกยิ้มมุมปากคราหนึ่ง เมล็ดพันธุ์แห่งความระแวงที่เขาหว่านให้ไป๋อี๋ซินยามนี้เห็นผลแล้ว รอเวลาอีกเพียงไม่นาน เขาย่อมสามารถจัดการหยางเฉิงได้เป็นแน่“แล้วเรื่องที่ข้าให้เจ้าไปตามคนชุดดำผู้นั้นไปถึงไหนแล้ว”หวังซุนที่ได้ยินเช่นนั้นก็จ้องมองหยางจิ่งคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยที่มาที่ไปของชายชุดดำผู้นั้นให้ฟังอย่างละเอียด หยางจิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ย“เจ้าแน่ใจหรือว่ามันไปที่นั่นจริง ๆ”“พ่ะย่ะค่ะ อีกเรื่องหนึ่งก็คือ คนของเราที่แฝงตัวอยู่ในวังหลวงมารายงานว่า ไม่นานมานี้ ฉินกุ้ยเฟยให้คนนำจดหมายไปส่งให้คนผู้หนึ่ง คนของเราจึงตามสืบต่อไป จนกระทั่งพบว่า...”"อ้ำอึ้งทำไมกัน รีบบอกมาสิ"หวังซุนที่ได้ยินเช่นนั้นจึงถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาหยางจิ่ง พลางกระซิบบางอย่างที่ข้างหูของเขา หยางจิ่งได้ฟังที่หวังซุนบอกเขาก็กำมือแน่น แววตาคมพลันมีท่าทีตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก"เจ้าแน่ใจหรือ?""พ่ะย่ะค่ะ คนของเรายืนยันหนักแน่นว่าเป็นเรื่องจริง อีกทั้งยังบอกว่าการส่งจดหมายโต้ตอบกันไปมาเช่นนี้ มิใช่เพิ่งเริ่มทำ แต่คล้ายว่าทำมานานแล้ว เห็นได้
เจียงหมิงเจ๋อที่มองเห็นสีหน้าลำบากใจของโจวหว่านหรู ก็รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด เขายิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเก็บดอกมู่ตานดอกนั้นเอาไว้เสียเอง แววตาที่จ้องมองนางอย่างล้ำลึกเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยเช่นเดิม เมื่อครู่เขาเกือบจะเผยตัวตนเดิมของตนเองออกไปต่อหน้านางเสียแล้วน้อยคนนักที่จะทำให้เขารู้สึกประหม่าและควบคุมตนเองไม่ได้เช่นนี้ นางคือคนแรก ทั้งแววตาและท่าทีของนาง มันทำให้เขารู้สึกว่านางกำลังค้นหาบางอย่างในตัวของเขาอยู่เจียงหมิงเจ๋อคร้านจะใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเช่นสตรีไม่รับดอกไม้ เขามองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงยิ้มให้นางคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ขออภัยแม่นางด้วย ข้าคงเสียมรรยาทแล้ว เดิมทีข้าเห็นว่าแม่นางกำลังจะยื่นมือไปเด็ดดอกมู่ตานดอกนั้น จึงเก็บมันมามอบให้แม่นาง ไม่ได้มีความคิดที่ไม่น่าให้อภัยเลยแม้แต่น้อย หากทำให้แม่นางขุ่นเคือง ข้าต้องขออภัยด้วย"โจวหว่านหรูจ้องมองเจียงหมิงเจ๋อคราหนึ่ง นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ท่าทีที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของบุรุษผู้นี้ช่างน่าสนใจไม่น้อยเลยแท้จริงแล้วเจียงหมิงเจ๋อเป็นคนเช่นไรกันแน่!"โจวหว่านหรู"ในขณะที่โจวหว่านหรูกำลัง
ค่ำคืนนี้ช่างเหน็บหนาวนัก แต่ทว่าภายในตำหนักมังกรสวรรค์แคว้นเยี่ยนนั้นกลับคุกรุ่นไปด้วยไฟแห่งปรารถนาเจียงหมิงเจ๋อและโจวหว่านหรูแต่งงานกันมาร่วมปีแล้ว แต่ทว่ายังคงไม่มีบุตร อาจเพราะได้รับพิษในครานั้น ทำให้การมีบุตรไม่ใช่เรื่องง่ายบนเตียงใหญ่ เจียงหมิงเจ๋อกำลังตระกองกอดร่างบางระหงตรงหน้าอย่างทะนุถนอม ริมฝีปากหนาใหญ่ทาบทับลงไปบนริมฝีปากบางสวยของนางอย่างอ่อนโยน ก่อนจะบดขยี้อย่างเร่าร้อนราวกับคนเอาแต่ใจ ลิ้นอุ่นร้อนสอดแทรกเข้าไปในโพรงปากของนางและเกี่ยวกระหวัดกันอย่างเมามัน ยามนี้ร่างกายของคนทั้งสองเปลือยเปล่า กลิ่นหอมกำยานอ่อน ๆ ยิ่งกระตุ้นกำหนัดให้ลุกโหมมากยิ่งขึ้น เจียงหมิงเจ๋อผละริมฝีปากออกจากนาง แล้วจึงจูบไซ้ไปตามซอกคอขาวเนียน ก่อนจะเลื่อนใบหน้าลงมาเรื่อย สองมือหนาใหญ่บีบขยำดอกบัวงามทั้งสองข้างของนางอย่างเต็มไม้เต็มมือ พร้อมกับครอบริมฝีปากกลืนกินจุกบัวสีหวานอย่างลำพองใจ โจวหว่านหรูส่งเสียงครางกระเส่าพลางบิดกายเร่า ๆ ไปมาด้วยความเสียวซ่าน กายสาวถูกบุรุษตรงหน้าลูบคลำเชยชมอย่างไม่ยอมลดละ เจียงหมิงเจ๋อสอดแทรกแท่งหยกสวรรค์เข้าไปในกายของนาง ก่อนจะขยับกายอย่างช้า ๆ แล้วเร่
ยามนี้เจียงหมิงเจ๋อและโจวหว่านหรูกำลังเดินเคียงข้างกันไปตามทางเดินเพื่อมุ่งหน้าออกจากวังหลวง ฉับพลันนางก็หันมาเอ่ยถามเขา“เจียงหมิงเจ๋อ ท่านเอ่ยสิ่งใดฝ่าบาทจึงเห็นด้วยง่ายดายเช่นนี้ ข้าคิดว่าจะไม่ทรงเห็นด้วยเสียอีก”เจียงหมิงเจ๋อยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะหันมามองนางด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ โจวหว่านหรูหนังตากระตุกรู้สึกว่าบุรุษตรงหน้าเริ่มจะออกอาการเจ้าเล่ห์ใส่นางอีกแล้ว“อย่ามองข้าแบบนี้สิ”“ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ข้าเอ่ยเพียงว่า ขอเพียงมีเจ้าข้างกาย และครอบครัวของเจ้าสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย ใต้หล้านี้ข้ายกให้แคว้นเป่ยฉินทั้งหมด ข้าขอมีเพียงแคว้นเยี่ยนและมีเจ้าก็พอ”โจวหว่านหรูที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย“ท่านทำได้จริง ๆ หรือ”“ทำได้สิ คนอย่างข้าไม่เคยเอ่ยวาจาโป้ปด”“แต่ท่านเคยแกล้งป่วยนะ”“โจวหว่านหรู เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ ที่ข้าทำเพราะความอยู่รอดเพียงเท่านั้น”โจวหว่านหรูจ้องมองเจียงหมิงเจ๋อด้วยแววตาที่อ่อนโยน ก่อนจะเอ่ย“หากไม่เชื่อ ข้าคงไม่เลือกท่าน”เจียงหมิงเจ๋อที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกว้าง โจวหว่านหรูพลันใจเต้นแรงเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเขา“เจ้าจะไม่มีวันเสียใจที่เลือกข้า
โจวหว่านหรูเดินทางกลับมาที่แคว้นเป่ยฉิน หยางจิ่งที่ได้รู้ข่าวว่าโจวหว่านหรูกลับมาถึงแล้ว ก็รีบมาพบนางในทันทีสตรีตรงหน้ายามนี้งดงามเป็นสาวงามสะพรั่งแล้ว โจวหว่านหรูหันมามองหยางจิ่งคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มให้เขาเล็กน้อยหลายปีที่ไม่ได้พบกัน มันทำให้นางเข้าใจหัวใจตนเองได้อย่างชัดเจนแล้วนางไม่อาจกลับไปรักเขาเฉกเช่นเดิมได้อีก แม้ในใจของนางจะไม่สามารถตัดขาดจากหยางจิ่งได้อย่างสนิทใจ แต่ทว่านางเองก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดชังเขาแล้ว นางไม่ได้รู้สึกว่าเขากำลังติดค้างสิ่งใดกับนางอยู่ บางคราทุกสิ่งที่มันเปลี่ยนไปแล้วย่อมไม่อาจหวนคืนกลับมาได้อีก จะคงไว้เพียงเรื่องราวดี ๆ ในอดีตที่จะให้จดจำแม้จะดูเหมือนสตรีที่เห็นแก่ตัว แต่โจวหว่านหรูคิดเสมอว่าในเมื่อนางมีชีวิตอีกชาติหนึ่งแล้ว นางควรมีสิทธิ์เลือกในสิ่งที่นางต้องการคราก่อนนางยังไม่แน่ใจในหัวใจของตนเองมากเท่าใดนัก แต่เมื่อได้หลับฝันไปตื่นหนึ่ง ได้รู้ความจริงบางอย่าง ใจของนางก็เริ่มชัดเจนขึ้นหยางจิ่งคือรักแรกของนางส่วนเจียงหมิงเจ๋อคือคนที่นางเลือก เพราะไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้เขาคือคนที่ทำเพื่อนางมากที่สุด“หวานหว่าน เจ้ากลับมาแล้ว”หยางจิ่งเอ่ยด้วยน้ำ
เช้าวันต่อมา โจวหว่านหรูควบม้ามุ่งหน้าไปยังทิศทางของประตูวังหลวง ระหว่างทางนั้นนางมองเห็นหยางจิ่งที่ยืนมองนางอยู่ที่ด้านหน้าประตู เขาสวมชุดสีขาวทั้งชุด ดูแล้วช่างงดงามสง่าราวกับเทพเซียน นางสั่งให้ม้าหยุด ก่อนจะกระโดดลงจากหลังม้า และเดินตรงเข้ามาหาเขา หยางจิ่งยิ้มให้นางคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"แต่งเป็นบุรุษเช่นนี้นับว่าไม่เลวเลย"โจวหว่านหรูยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"อืม"หยางจิ่งจ้องมองโจวหว่านหรูคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย พลางเอ่ย"หวานหว่าน เจ้าจะกลับมาเมื่อใด"โจวหว่านหรูจ้องมองหยางจิ่งด้วยแววตาที่อ่อนโยน ก่อนจะเอ่ย"ยังไม่รู้เหมือนกัน อาจจะหนึ่งปี สามปี หรือห้าปี ข้าอยากจะไปทำตามความฝัน ท่องไปในยุทธภพ"หยางจิ่งจ้องมองนางด้วยแววตาที่ล้ำลึก เขาอยากยื่นมือไปดึงรั้งนางใจจะขาด แต่ทว่าอีกใจก็ไม่อยากทำลายสิ่งที่นางถวิลหา ตั้งแต่ได้รู้ว่านางตั้งใจจะไปท่องเที่ยวทั่วทั้งใต้หล้า เขาก็ตกใจไม่น้อย เดิมทีคิดจะพานางเข้าวัง แต่งนางเป็นชายาเอก แต่ทว่านางกลับปฏิเสธเขาข้ายังไม่คิดจะแต่งงานกับผู้ใดในยามนี้"ข้าจะรอเจ้า ต่อให้รอทั้งชีวิต ข้าก็จะรอ"หยางจิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ โจวหว่านห
ที่ตำหนักมังกรสวรรค์แคว้นเยี่ยนยามนี้มีเหล่าทหารกำลังผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าเวรยาม โจวหว่านหรูรีบตรงมาที่แห่งนี้ทันทีที่ได้ทราบเรื่องราวจากหยางจินจินแท้จริงแล้วนางไม่ได้ฝัน เป็นเขาจริง ๆ ที่ช่วยนาง เขาป้อนโลหิตให้นางดิื่มเพื่อระงับพิษไม่ให้ลุกลามไปยังส่วนต่าง ๆ ในร่างกายนาง"ข้าอยากพบเจียงหมิงเจ๋อ"เหล่าทหารที่เฝ้าเวรยามปรายตามองนางคราหนึ่ง แต่ทว่าไม่ได้เอ่ยสิ่งใด โจวหว่านหรูที่กำลังร้อนใจ พลันจ้องมองสตรีนางหนึ่งที่เดินออกมาจากตำหนักมังกรสวรรค์ นางสวมชุดเยี่ยงสตรีสูงศักดิ์ ใบหน้างดงามไม่น้อย นางจ้องมองโจวหว่านหรูคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เจ้าก็คือโจวหว่านหรูกระมัง"โจวหว่านหรูที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง สตรีนางนั้นยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"ข้าคือพระสนมเอกของฝ่าบาท ยามนี้ฝ่าบาทคงกำลังรอพบเจ้าอยู่ เจ้าเข้าไปเถิด"ฟ่านฮวาเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินจากไปไม่แม้แต่จะมองนางอีก โจวหว่านหรูไม่รอช้ารีบเข้าไปด้านในทันที เมื่อมาถึงนางก็พบกับเจียงหมิงเจ๋อที่กำลังเอนกายนอนพิงขอบเตียง ใบหน้าหล่อเหลายามนี้ซีดเซียวราวกับคนป่วยไข้ เมื่อรับรู้ได้ว่ามีคนเข้ามา เขาจึงหันไปมองคราหนึ่ง ก่อนที่แววตาจะฉาย
หยางจิ่งนั้นยามนี้กำลังเดินออกมาจากตำหนักเหลียนฉง เมื่อออกมาก็ได้พบกับโจวอวี้หาน เฉินป๋อเหวิน รวมถึงหยางจินจินที่กำลังยืนรออยู่ด้านนอกตำหนัก เขามีท่าทีแปลกใจไม่น้อย ก่อนจะเอ่ย"พวกเจ้ามาได้เช่นไรกัน"โจวอวี้หานยิ้มให้หยางจิ่งเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"ข้าเป็นห่วงน้องเล็กจึงรีบติดตามมาสมทบกับเจ้า เฉินป๋อเหวินและหยางจินจินก็เป็นห่วงนางเช่นกัน จึงขอติดตามข้ามาด้วย"หยางจิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้าอยากให้เจ้าช่วยดูนางสักระยะ ข้ามีเรื่่องต้องไปจัดการ”โจวอวี้หานที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยถามทันที"เรื่องใดหรือ"หยางจิ่งถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"สมุนไพรที่ใช้ถอนพิษไม่เพียงพอ ข้าจำต้องขึ้นเขาไปเก็บมันมา""ข้าไปกับท่านด้วย"หยางจิ่งหันไปจ้องมองเฉินป๋อเหวินคราหนึ่ง ก่อนจะพบว่าในดวงตาของเฉินป๋อเหวินดูเด็ดเดี่ยวและมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาหึงหวงอันใดกัน เขาจึงเอ่ยกับเฉินป๋อเหวินด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรมากกว่าเดิม"ทางไปเก็บสมุนไพรอยู่บนเขา ข้าได้ยินว่ามันทั้งหนาวเหน็บและอันตรายไม่น้อย กลับมาแล้วอาจจะไม่ดีต่อสุขภาพ เจ้า...""ต่อให้ต้องตาย
เจียงหมิงเจ๋อปรายตามองหยางจิ่งคราหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้น เหล่าทหารแคว้นเยี่ยนของเขาก็พุ่งเข้าสังหารทหารแคว้นฉีในทันที อู๋เจี๋ยตื่นตระหนกไม่น้อย เพียงมองอาภรณ์ที่สวมใส่เขาก็พอคาดเดาได้ไม่ยากว่าผู้มาใหม่นี่คือใครฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนเช่นนั้นหรือ!!!เจียงหมิงเจ๋อจ้องมองอู๋เจี๋ยคราหนึ่ง ก่่อนจะเอ่ย"เจ้าสินะ ที่ขโมยศีรษะของเจียงหย่งหลางส่งไปให้ฮ่องเต้แคว้นเป่ยฉิน ศีรษะของพี่ชายข้าก็เสียบประจานอยู่ที่หน้าประตูชายแดนดี ๆ เจ้ากลับไร้มรรยาทเอาหัวเขาไปเที่ยวเล่น ช่างบังอาจนัก!!!"อู๋เจี๋ยตกใจไม่น้อย ไม่คาดคิดว่าแผนการทั้งหมดของเขาจะถูกล่วงรู้ได้รวดเร็วเช่นนี้เขารู้ว่ายามนี้ไม่อาจต่อกรได้แล้ว เจียงหมิงเจ๋อพาทหารแคว้นฉู่ที่ยามนี้รวมเป็นหนึ่งกับแคว้นเยี่ยนบุกเข้ามาเพื่อจัดการเขา มันเป็นไปได้เช่นไรไม่ใช่ว่าเจียงหมิงเจ๋อต้องสังหารหยางจิ่งหรอกหรือ!!!อู๋เจี๋ยไม่รั้งรอ เขารีบควบม้าคิดจะหนี เจียงหมิงเจ๋อยกยิ้มมุมปาก มีหรือที่เขาจะปล่อยศัตรูให้รอดไปได้ ใครที่มันคิดรุกรานเขา เขาไม่เคยเก็บเอาไว้เจียงหมิงเจ๋อคว้าคันธนูมาจากฟ่านเฉียน ก่อนจะยกขึ้นเล็งไปที่อู๋เจี๋ย ลูกธนูพุ่งฝ่าอากาศก่อนจะทะลุเข้าไปที่กลางอกข
โจวหว่านหรูสวมชุดเกราะเตรียมออกรบ ในมือของนางถือดาบยาวที่ส่องประกายวาววับ ก่อนจะกระโดดขึ้นหลังม้าและพุ่งทะยานออกไปที่ประตูชายแดนในทันที โดยมีหยางจิ่งและโจวอวี้หานเป็นผู้นำทัพ ยามนี้แขนของท่านพ่อนางดีขึ้นมากแล้ว เมื่อภัยมาถึงด้วยนิสัยของท่านพ่อย่อมไม่อาจอยู่เฉยได้ด้านหยางจินจินนั้นคอยดูแลเหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บและถูกหามกลับเข้ามา ใจของนางสั่นไหวไม่น้อยหยางจิ่งที่ควบม้ามายังสนามรบ เมื่อได้มองเห็นกองกำลังทหารเรือนแสนที่แคว้นฉียกทัพมาก็จ้องมองด้วยแววตาเย็นเยียบ ก่อนจะมองไปที่อู๋เจี๋ยซึ่งเป็นผู้นำทัพออกรบอู๋เจี๋ยจ้องมองหยางจิ่งอย่างไม่ละสายตาเช่นเดียวกัน ก่อนจะปรายตามามองโจวหว่านหรูคราหนึ่ง ในใจนึกเสียดายที่ไม่อาจนำสาวงามนางนี้มาครอบครองได้ หากเขารบชนะศึกในครานี้และหยางจิ่งพ่ายแพ้ เขาจะลากตัวนางกลับแคว้นฉีและทรมานให้สาแก่ใจโจวหว่านหรูจ้องมองอู๋เจี๋ยด้วยแววตาเกลียดชัง"ไม่คิดว่าคนแคว้นฉีจะตีสองหน้าได้เก่งกาจปานนี้ อาศัยช่วงที่ทัพของข้าอ่อนไหว ตลบหลังได้อย่างหน้าไม่อาย"หยางจิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ อู๋เจี๋ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ว่าแคว้นฉีขอ
หยางจิ่งรีบเข้ามากอดโจวหว่านหรูทันที ก่อนจะเอ่ย"เจ้ากลับมาแล้ว รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นห่วงเจ้ามากเพียงใด ข้าแทบจะพลิกแผ่นดินตามหาเจ้า"โจวหว่านหรูไม่ได้ขัดขืนหยางจิ่ง ยังคงปล่อยให้เขากอดนางอยู่เช่นนั้น"ข้าเหนื่อยแล้ว"นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้า หยางจิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เช่นนั้นเรากลับเป่ยฉินกันเถิด"หยางจิ่งกำลังจะพาโจวหว่านหรูเดินไปยังรถม้า แต่ทว่านางกลับรั้งมือของเขาเอาไว้ หยางจิ่งหันกลับมามองนางคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"มีสิ่งใดหรือ"โจวหว่านหรูจ้องมองหยางจิ่ง ก่อนจะเอ่ย"ข้าหายไปแคว้นเยี่ยนตั้งหลายวัน ท่านไม่สงสัยข้าเลยหรือ"หยางจิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือมาลูบศีรษะของนางอย่างรักใคร่"ข้าไม่สนใจ และไม่ติดใจเรื่องใดทั้งสิ้น ข้ารู้ว่าคนเช่นเจ้าหากถูกเอาเปรียบเจ้ายอมตายดีกว่า จริงหรือไม่"โจวหว่านหรูยิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าให้เขา หยางจิ่งชะงักไปชั่วขณะ เขารู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ของนางเขาไม่ได้เห็นมานานมากแล้ว แต่วันนี้นางกลับยิ้มให้เขาอีกคราโจวหว่านหรูก้าวขึ้นมานั่งบนรถม้า ก่อนจะหันมามองหยางจินจินที่นั่งอยู่ หยางจินจินก็ห