“คดีที่มือปราบเมิ่งจับกุมได้ในระยะนี้ มีสองสามคดีที่เมื่อจับกุมได้แล้วกลับต้องปล่อยตัวภายหลัง ท่านหาเวลาไปตรวจสอบหน่อยก็แล้วกัน”
รองผู้บัญชาการทหารม้ารับคำแล้วจึงไปสืบสวนและตรวจสอบคดีที่เมิ่งหยางเป็นผู้จับกุมอย่างละเอียด สุ่ยฝานหรงสังหรณ์ใจว่าต้องมีสิ่งซ่อนเร้น แต่ไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นหลักฐานชัดเจนว่าเมิ่งหยางพัวพันในทางมิชอบ
วันแต่งงานของเมิ่งหยางและสุ่ยเฉินเฟิงก็ใกล้เข้ามาแล้ว เขานึกเป็นห่วงน้องสาวอย่างบอกไม่ถูกจึงตัดสินใจบอกกล่าวข้อกังวลนี้ สุ่ยเฉินเฟิงฟังแล้วก็นิ่งอึ้งไปนาน ทั้งสองนำความไปปรึกษาแม่ทัพใหญ่สุ่ยลี่หรงผู้เป็นบิดาและฮูหยินเจียงไจฉือผู้เป็นมารดา
ฮูหยินแม่ทัพใหญ่ใบหน้าซีดเผือด หันมามองบุตรีผู้งดงามด้วยความสงสาร หากแต่งงานไปแล้วเมิ่งหยางถูกจับกุมเนื่องจากการกระทำความผิด เช่นนั้นแล้วบุตรีของนางจะมีชีวิตต่อไปเช่นไร ในขณะที่แม่ทัพใหญ่สุ่ยลี่หรงนิ่งเงียบ แต่มีเพลิงโทสะอัดแน่นในดวงตา
“คนสกปรกเช่นนี้ จะปล่อยให้เข้ามาเกี่ยวพันกับตระกูลของเราได้อย่างไร” ท่านแม่ทัพใหญ่หันไปสั่งการบุตรชายเสียงราบเรียบ แต่น่าสะพรึงกลัวว่า “เจ้าไปหาจุดอ่อนของเมิ่งหยางมาให้ข้า ต้องหาให้ได้”
อีกไม่กี่วันก็ถึงกำหนดที่ขบวนสินสอดจะส่งมายังจวนแม่ทัพใหญ่ แต่ก็เกิดเรื่องเสียก่อน แม่นางจากครอบครัวเล็ก ๆ กล่าวว่านางตั้งครรภ์กับเมิ่งหยาง อย่างไรก็ต้องรับนางเป็นอนุ แม้หลายจวนจะมีทั้ง ฮูหยินใหญ่ ฮูหยินรอง อนุ สาวใช้อุ่นเตียงก็ตาม แต่สุ่ยเฉินเฟิงเติบโตมาในจวนที่แม่ทัพใหญ่และฮูหยินรักใคร่กลมเกลียวกัน บิดาไม่มีภริยาอื่นใด บรรยากาศภายในจวนจึงเต็มไปด้วยความสงบสุข
ในขณะที่เหมยกุ้ยเพื่อนสนิทของนางซึ่งมีบิดาที่แจกจ่ายความรักอย่างทั่วถึง ในจวนมีฮูหยินรอง ฮูหยินสาม และอนุหลายนาง แต่ละวันพันเรื่อง มารดาของเหมยกุ้ยซึ่งเป็นฮูหยินใหญ่หาความสงบแทบไม่มี
แม้จะระแวงแคลงใจการทำงานของเมิ่งหยาง แต่เมื่อเกิดเหตุอื้อฉาวในเรื่องชู้สาวเช่นนี้ สุ่ยเฉินเฟิงก็ร้าวรานใจ นั่นหมายความว่าตลอดเวลาที่คบหากับนาง เมิ่งหยางก็ไร้ความซื่อสัตย์ คำสัญญาที่เคยกล่าวว่าจะมีนางเพียงผู้เดียวก็เป็นเพียงคำลวง สุ่ยเฉินเฟิงตรองดูแล้วจึงขอยกเลิกการหมั้นหมาย
แม้เมิ่งหยางจะขออภัยและให้คำมั่นสัญญาว่าแม่นางผู้นั้นจะไม่รบกวนให้สุ่ยเฉินเฟิงระคายใจ แต่เขาก็ไม่อาจทอดทิ้งนางได้เพราะมีชีวิตน้อย ๆ อยู่ในครรภ์ ในที่สุดการหมั้นหมายที่เตรียมไว้ก็ไม่เกิดขึ้น เสียงซุบซิบนินทาทั่วเมืองหลวง
“เจ้าเก็บตัวอยู่แต่ในจวนนานเกินไปแล้วนะ” หนึ่งเดือนต่อมา เหมยกุ้ยเอ่ยปากเมื่อมาเยือนจวนแม่ทัพใหญ่ อันที่จริงนางก็มาพูดคุยเป็นเพื่อนเกือบทุกวัน มองเพื่อนเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในจวนแล้วอึดอัดใจแทน “ไปเดินเล่นกันไหม เลือกซื้อของสวย ๆ หรือไปหาของอร่อยกัน”
สุ่ยเฉินเฟิงคิดดูแล้ว การเปลี่ยนบรรยากาศอาจทำให้นางเพลิดเพลินจนลืมเรื่องหมองเศร้าได้บ้าง ในที่สุดสองสาวก็ไปปรากฏตัวอยู่ที่ร้านเครื่องประดับ ระหว่างที่เลือกปิ่นปักผมกันนั้น ด้านหลังก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
“เฟิงเอ๋อร์ ต้องการชิ้นไหนเลือกได้เลย ข้าซื้อให้เจ้า” ร่างสูงของเมิ่งหยางเคลื่อนเข้ามาใกล้
สุ่ยเฉินเฟิงเหลือบตามมองเพื่อนสาว เหมยกุ้ยรีบส่ายหน้า “ข้าเปล่า ไม่รู้เขามาเจอพวกเราได้อย่างไร”
สุ่ยเฉินเฟิงวางปิ่นในมือกลับเข้าที่เดิม แล้วเดินออกจากร้าน เมิ่งหยางเดินตาม นางจึงหันหน้ามามองเขาตรง ๆ “คุณชายเมิ่ง ข้าขอความเป็นส่วนตัว”
เมิ่งหยางระล่ำระลัก “เฟิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าโกรธข้าได้ไหม ขอเวลาให้นางคลอดเสียก่อน แล้วข้าจะให้เงินนางไปตั้งตัว ไม่รับเป็นอนุ เก็บไว้เพียงเด็ก”
ถ้อยคำนั้นทำให้กลุ่มคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ได้ยินชัดเจน มีเสียงนินทาว่าเป็นชายหญิงที่ร้ายกาจ แม้จะกระซิบกระซาบแล้วก็ยังลอยมาเข้าหูบุตรีแม่ทัพใหญ่ ใบหน้าพลันร้อนผ่าวด้วยความอับอาย
“ข้าไม่โกรธท่านแล้ว แต่อย่าให้ข้าต้องทำให้พ่อแม่ลูกพลัดพราก ต่อไปท่านและข้าเดินบนถนนคนละเส้นกันแล้ว”
สุ่ยเฉินเฟิงขยับเดินหนีแต่ชายหนุ่มกลับยึดข้อมือของนางไว้ “เฟิงเอ๋อร์” หญิงสาวใช้มือปลดมือใหญ่นั้นออก สีหน้าของนางนิ่งมาก เมิ่งหยางมือตกลงข้างกายอย่างอ่อนแรง
สุ่ยเฉินเฟิงมองตรง ๆ กล้ำกลืนความเจ็บช้ำไว้ในใจ แม้มิได้มีความรักใคร่ฉันท์ชายหนุ่มหญิงสาว แต่เมิ่งหยางในสายตาของนางนั้นก็คือบุรุษที่นางมั่นใจว่าเขารักใคร่และซื่อสัตย์ต่อนางผู้เดียวมาตลอดเวลาอันยาวนาน
“อย่าทำอย่างนี้ แล้วต่อไปก็โปรดเรียกข้าว่าคุณหนูสุ่ย”
นางเดินหน้าเชิดจากไป เมิ่งหยางขยับจะตาม แต่เหมยกุ้ยรีบเข้ามาขวางไว้ ในที่สุดมือปราบหนุ่มก็ได้แต่ยืนนิ่งอย่างเศร้าหมองมองอดีตคู่หมายและเพื่อนจากไป ดวงตาของมือปราบหนุ่มวาวโรจน์ อย่าได้คิดว่าจะปล่อยมือจากนางง่าย ๆ อย่างไรเขาก็ต้องได้ครอบครองสุ่ยเฉินเฟิง
เขามีความรักลึกซึ้งในตัวตนของนางมานานแล้ว และที่สำคัญนางเป็นบุตรีของแม่ทัพใหญ่ การเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันย่อมมีประโยชน์มาก วันนี้ปล่อยให้นางมีเวลาทำใจอีกหน่อย เมิ่งหยางถอนหายใจ แล้วจึงหันกลับเดินไปอีกทาง
ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของบุรุษหนุ่มในเครื่องแต่งกายสามัญชนที่เพิ่งเดินออกมาจากเหลาเฉียน แม้จะแต่งกายเหมือนคุณชายจวนใดจวนหนึ่งแต่กลิ่นอายความสูงศักดิ์ยังคงแผ่ออกจากกาย อีกทั้งยังมีกลุ่มชายฉกรรจ์ที่อยู่รอบตัวนั้นอีก ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่ง ในเครื่องแต่งกายสามัญชนมองตามหญิงสาวทั้งสอง พลันโบกมือให้กลุ่มองครักษ์กระจายตัว เหลือไว้เพียงจางชุนองครักษ์คนสนิท เขาก้าวเท้ายาว ๆ เดินไปเคียงข้างสุ่ยเฉินเฟิงและเหมยกุ้ย“เฟิงเอ๋อร์ คุณหนูเหมย พวกเจ้ามาซื้อของหรือ” หญิงสาวทั้งสองกำลังจะยอบตัวตามแบบพิธีทำความเคารพผู้ดำรงตำแหน่งอ๋องที่เป็นเชื้อพระวงศ์ เทียนตี้หย่งรีบยกมือห้าม แล้วกล่าวเสียงเบาว่า“ไม่ต้องมากพิธี ตอนนี้ข้าแต่งกายสามัญชน พวกเจ้าไม่เห็นหรือ อย่าให้ราษฎรแตกตื่น”หญิงสาวทั้งสองยิ้ม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่ง ปะปนอยู่กับสามัญชน สุ่ยเฉินเฟิงกล่าวเสียงเบาว่า “พวกหม่อมฉันซื้อของเรียบร้อย กำลังจะกลับจวนแล้ว ทูลลาเพคะ” ฉินอ๋องรีบก้าวไปขวางหน้า “ไหน ๆ ก็ออกมาแล้ว วันนี้เหลาเฉียนมีหมูหมักพุทราสูตรใหม่ พวกเจ้าไปชิมด้วยกันเถิด”เหมยกุ้ยทำตาโต ดวงหน้ากลม ๆ ยิ้มแป้น “ดีเพคะ ฟังชื่อก็น่าอร่อย
เมื่อวสันตฤดูมาเยือน ปีนี้ฝนตกหนักกว่าทุกปี อากาศขมุกขมัว ข่าวการลักลอบค้าเกลือเถื่อนกำลังเป็นประเด็นให้ผู้คนได้ถกเถียงกัน คนทั่วไปก็ว่ามือปราบวังหลวงเมิ่งหยางมีความรู้ความสามารถเก่งกล้าเกินกว่าผู้ใด นักเล่าเรื่องนิยมเล่าเรื่องของเมิ่งหยางโดยให้เขาเป็นพระเอกไปปราบอธรรมต่าง ๆ ใส่สีตีข่าวอีกหน่อยเพื่อความบันเทิง เมิ่งหยางก็ประทับอยู่ในใจของผู้คนแล้วแม้ว่าเมิ่งหยางเป็นมือปราบวังหลวง แต่หากมีคดีสำคัญที่นอกเหนือจากความรับผิดชอบ เขามักจะเข้ามาช่วยเหลือจับกุมผู้กระทำผิดเสมอ ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวว่าเขาแทรกแซงการทำงาน สถานะน้องชายคนเล็กของเมิ่งกุ้ยเฟยทำให้ได้รับความเกรงใจเป็นพิเศษอย่างไรก็ตาม คดีใหญ่ ๆ ที่เมิ่งหยางเป็นผู้คลี่คลาย สามารถจับกุมผู้กระทำผิดส่งศาลได้จำนวนมาก แต่บรรดามือปราบด้วยกันกลับกังขา เมื่อส่งผู้ต้องหาเข้าสู่กระบวนการของศาลแล้ว หลายคดีที่ไม่สามารถลงทัณฑ์ได้เพราะหลักฐานไม่เพียงพอ“นี่ก็เป็นอีกคดีที่ผู้ต้องหามีแนวโน้มจะรอดพ้นจากการถูกลงทัณฑ์เพราะหลักฐานไม่เพียงพอ” ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่ง เคาะลงบนสำนวนของเถ้าแก่ถาง พ่อค้าเกลือเถื่อนรายใหญ่ สุ่ยฝานหรงถอนหายใจ“คดีนี้ เมื่อ
ในเวลาต่อมา ร่างสูงใบหน้าละมุนก็มาเยือนที่คุมขัง เขาแจ้งแก่ผู้คุมว่าต้องการมาสอบปากคำเพิ่มเติม ผู้คุมเห็นว่าเมิ่งหยางเป็นผู้จับกุมเถ้าแก่ถางในครั้งแรก จึงให้เข้าไปพบนักโทษแต่โดยดี “เถ้าแก่ ท่านยังจ่ายค่าเรือนไม่ครบ”เถ้าแก่ถางมองเมินเมิ่งหยางอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน“ข้าถูกคุมขังโทษทัณฑ์ร้ายแรงขนาดนี้ ท่านยังกล้ามาถามเรื่องเงินหรือ”“ตอนแรก ข้าก็ช่วยให้จำนวนเกลือมีเพียงเล็กน้อยแล้ว เป็นท่านเองที่ไม่รอบคอบ ไม่แบ่งของไว้หลาย ๆ ที่”“ก็ท่านเองมิใช่หรือ แนะนำให้เก็บไว้ที่จีฮวงลู่”เมิ่งหยางโบกมืออย่างรำคาญ ดวงตาแข็งกร้าว “ข้าไม่เถียงกับท่านแล้ว บอกมาท่านเก็บทรัพย์สินไว้ที่ไหน จะเอามาจ่ายค่าเรือนให้ครบ”เถ้าแก่ถางยืนกรานไม่บอกที่เก็บทรัพย์สิน เมิ่งหยางแสยะยิ้ม กล่าวเบา ๆ ว่า “พรุ่งนี้ รอฟังข่าว”มือปราบหนุ่มจากไปแล้ว เถ้าแก่ถางระล่ำระลักบอกผู้คุมว่า “ข้าขอพบฉินอ๋อง ข้ามีเรื่องจะสารภาพเพิ่มเติม”คืนนั้น ยามจื่อ ชายฉกรรจ์ในชุดดำนับสิบคนถีบประตูเรือนเถ้าแก่ถางจนสลักหลุด เมื่อเข้าไปในเรือนได้แล้วก็แยกย้ายกันไปค้นตามห้องต่าง ๆ เมิ่งหยางยืนสั่งการอย่างอหังการ“ฆ่าให้หมด ให้มันรู้ว่าการปฏิเสธอำ
งานเลี้ยงดำเนินไปอย่างสนุกสนาน อย่างไรก็ตาม หญิงสาวทั้งหลายและชายหนุ่มทั้งปวงก็ได้แต่มองกันห่าง ๆ จนกระทั่งเสนาบดีกรมคลังกล่าวเชิญแขกทุกท่านร่วมสนุกแข่งขันยิงธนู โดยไม่แบ่งแยกหญิงชาย ทุกคนจึงไปรวมตัวกันที่ลานกว้างซึ่งเป็นสถานที่จัดแข่งขัน สุ่ยเฉินเฟิงซึ่งแทรกกลุ่มหญิงสาวเข้ามาใกล้พี่ชายกล่าวเสียงใส“พี่ใหญ่ ท่านก็ลองสักหน่อย ของรางวัลก็น่าสนใจมิใช่น้อย”ทันใดนั้น บุรุษในเครื่องแต่งกายสีเขียวเข้ม ปักลวดลายสวยงามก็ก้าวเข้ามา“หากคุณหนูสุ่ยต้องการของรางวัล ข้าจะนำมาให้”พลันสายตาทุกคู่จับจ้องไปที่เจ้าของเสียง บุตรชายคนเล็กแห่งจวนเสนาบดีกรมโยธานั่นเอง เขามีชื่อเสียงในฝีมือธนูอยู่พอสมควร สุ่ยเฉินเฟิงแย้มปาก“ขอบคุณคุณชายมาก แต่พี่ชายของข้าก็จะนำมาให้ข้าอยู่แล้ว ไม่รบกวนคุณชาย”จงเฝิ่นลู่สีหน้ามืดครึ้มแล้ว นางเม้มปาก พยายามกลืนความขุ่นเคืองใจลงท้อง งานนี้จวนเสนาบดีกรมคลังเป็นเจ้าภาพ คนที่โดดเด่นที่สุดก็ควรเป็นนาง แต่นี่อะไร บุตรีของแม่ทัพใหญ่แย่งความสนใจมากเกินไปแล้วบุตรชายเสนาบดีกรมโยธายังคงมียิ้มที่มุมปากก่อนเดินไปประจำจุดแข่งขัน สุ่ยฝานหรงก็เช่นกัน แน่นอนว่าสุ่ยฝานหรง รองผู้บัญชาการทหาร
ร่างสูงเพรียวของฉินอ๋องก้าวเข้ามาในห้องทำงานของรองผู้บัญชาการทหารม้า เมื่อได้รับข่าวจากสุ่ยฝานหรง เขาก็รีบรุดมาอย่างเร็ว ดวงตายาวรีบัดนี้เปล่งประกายโหด“ยังไม่สารภาพงั้นหรือ ถ้าเช่นนั้น ข้าจะสอบถามเอง”เท่านั้นเอง หญิงสาวก็ร้องโหยหวน การสอบปากคำผู้ต้องหาของฉินอ๋องเป็นที่เลื่องลือ ไม่มีผู้ที่ฉินอ๋องสอบปากคำด้วยตนเองแล้วไม่คายความลับ ทันใดนั้น ร่างกายของนางก็ชักเกร็ง นัยน์ตาเหลือกลาน ฉินอ๋องตะโกนลั่น“อย่าให้นางฆ่าตัวตาย”แต่ก็สายไปเสียแล้ว ผิวของหญิงสาวเป็นสีม่วงคล้ำช้ำเลือดช้ำหนองอย่างรวดเร็ว นางขบกัดยาพิษที่ซ่อนไว้ในซอกฟันให้แตกออก พิษเข้าทำลายระบบหายใจอย่างรวดเร็วและยังมีผลต่อระบบการหมุนเวียนของโลหิตเมื่อนายทหารคนสนิทของสุ่ยฝานหรงตรวจสอบศพ ก็พบว่านางมีสัญญลักษณ์กองโจรปีศาจคำราม รองผู้บัญชาการทหารม้าเคร่งเครียด เส้นเลือดปูดโปนบนขมับ เขาสั่งห้ามทุกคนแพร่งพรายเรื่องนี้ เพื่อมิให้กระทบต่อชื่อเสียงของสุ่ยเฉินเฟิงคนของสุ่ยฝานหรงทำงานอย่างรวดเร็ว ร่างของหญิงสาวนางนั้นถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากที่ทำการรองผู้บัญชาการทหารม้าอย่างเงียบเชียบภายในห้องทำงานของรองผู้บัญชาการทหารม้าเต็มไปด้วยผู้คนที
ในลานกว้างบนยอดเขาเกาชาน บุรุษที่มีเครื่องหน้าละมุนนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่ประกอบขึ้นอย่างสวยงาม ใกล้กันมีร่างขาวผ่องในเครื่องแต่งกายสีครีมนั่งหน้าบึ้ง ชายฉกรรจ์จำนวนมากและหญิงสาวหกคนแต่งกายทะมัดทะแมงนั่งล้อมวง นอกจากมีไหเหล้าวางไว้ข้างกายแล้ว ยังมีอาวุธวางไว้ไม่ห่างกายทุกคน กลิ่นหมูป่าย่างโชยหอมมาแตะจมูก เสียงท้องของใครคนหนึ่งในหน่วยมัจฉาพระกาฬดังขึ้น ทุกคนในหน่วยหันหน้ามามองจางชุน เขายิ้มจืดๆ เอามือกุมท้อง ยังโชคดีที่หน่วยมัจฉาพระกาฬอยู่ห่างจากกลุ่มชายฉกรรจ์พอที่เสียงท้องร้องหิวไม่ดังไปเข้าหูเพราะมั่นใจในความปลอดภัยของพื้นที่ กองโจรปีศาจคำรามจึงจัดคนไว้ลาดตระเวนจำนวนหนึ่ง ที่เหลือฉลองกันเต็มที่ วันนี้ลูกพี่จะสมรสสมรักแล้ว อันที่จริงสุ่ยเฉินเฟิงก็เป็นคู่หมายของเมิ่งหยางมาตั้งแต่นางยังอยู่ในท้องมารดาแล้ว เพียงแต่ว่ายังมิได้มีพิธีหมั้นตามธรรมเนียม เมิ่งหยางก็เกิดเหตุเสียก่อนฉินอ๋องเขม้นมองว่าที่บ่าวสาวในกองโจร อย่างน้อยก็ยังสบายใจได้นิดหน่อยว่าสุ่ยเฉินเฟิงยังปลอดภัย จะบุกเข้าไปชิงตัวนางทันทีก็คงยาก กองโจรนี้มีจำนวนคนมากกว่าหน่วยมัจฉาพระกาฬหลายเท่าตัว ยังไม่แน่ว่ามีกับดัก
ทางสุ่ยฝานหรงนั้น เมื่อฉินอ๋องพร้อมหน่วยมัจฉาพระกาฬเคลื่อนกายลงน้ำไปแล้ว ชายหนุ่มส่งยาลูกกลอนเม็ดเล็ก ๆ ให้ฝูซิง นายทหารคนสนิทและทหารในหน่วยพยัคฆ์เหินอีกจำนวนหนึ่ง ก่อนจะหยิบห่อของที่ได้รับจากฉินอ๋องออกมาหนึ่งห่อแล้วกล่าวว่า“ยาลูกกลอนนี้ช่วยป้องกันพิษจากสมุนไพรที่จะทาลงบนเกราะ แม้ว่าสมุนไพรพิษมีผลเฉพาะพืช ไม่มีผลต่อคนหรือสัตว์ แต่ท่านอ๋องคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุด ไม่ต้องการให้มีผลกระทบใด ๆ จึงให้ผู้มีหน้าที่โรยสมุนไพรพิษกินยาลูกกลอนป้องกันไว้ก่อน”รองผู้บัญชาการทหารม้ากวาดตามองกองกำลังที่ติดตามมา แล้วกล่าวต่อไปว่า“ยาลูกกลอนมีจำกัด ไม่สามารถแจกจ่ายให้ทุกคนได้ ขอให้ผู้ที่ไม่ได้ทำหน้าที่โรยสมุนไพรพิษถอยไปอยู่เหนือลมก่อนเถิด”เหล่าทหารที่ไม่ได้กินยาลูกกลอนและม้าศึกทั้งหลายถอยไปตั้งมั่นอยู่เหนือลม สุ่ยฝานหรงเปิดห่อของ สมุนไพรพิษในห่อมีสีแดงคล้ำ กลิ่นเหมือนใบไม้หมักที่ทับถมกันมานานปีส่งกลิ่นฉุนเฉียวแรง สมุนไพรพิษผสมน้ำทาลงบนเสื้อเกราะของทหาร ทหารผู้กล้าล่องแพไม้ที่ต่อขึ้นอย่างลวก ๆ ไปยังฝั่งป่าไม้กินเนื้อคน กลิ่นสมุนไพรพิษดูเหมือนจะทำให้ต้นไม้ใหญ่ตระหนกไม่น้อยเลยทีเดียว พยายามเอนลำต้นออ
ตลอดทางเดินไปยังเรือนผู้นำ สุ่ยเฉินเฟิงพยายามสงบสติอารมณ์ กวาดตามองหาทางหนีทีไล่ แต่มองไปทางใดก็ล้วนแต่เห็นเวรยามของกองโจรยืนประจำจุดเรือนผู้นำเป็นเรือนไม้ขนาดกลางชั้นเดียว ก่อสร้างขึ้นแบบหยาบ ๆ ห่างออกไปเป็นเรือนของคนอื่นในกองโจร ปลูกในลักษณะกระท่อมขนาดเล็กหลายหลังเรียงรายกันไปเมื่อก้าวเข้าสู่ตัวเรือนผู้นำ ภายในเรือนตกแต่งด้วยสีแดง แม้จะไม่หรูหราแต่ก็แสดงถึงงานมงคล เมิ่งหยางจูงมือนางมานั่งที่โต๊ะ รินเหล้ามงคลใส่จอกส่งให้ สุ่ยเฉินเฟิงรับมาแต่โดยดี นางมีสีหน้าแปลกใจ“พี่หยางนำสิ่งของเหล่านี้ขึ้นมาบนยอดเขาได้อย่างไร”เมิ่งหยางกำลังอารมณ์ดี เมื่อเห็นสุ่ยเฉินเฟิงไม่ต่อต้าน ก็เข้าใจว่านางยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี“มีเส้นทางที่จะขึ้นมาได้โดยไม่ยาก วันหน้าเจ้าจะได้เห็น”สุ่ยเฉินเฟิงวางจอกเหล้าไว้บนโต๊ะ นางเดินชมสิ่งของภายในเรือนแล้วไปหยุดอยู่ตรงหน้าภาพวาดทิวทัศน์ เมิ่งหยางเดินเข้ามาทางด้านหลัง สอดแขนเข้ามาโอบเอว ก้มลงกระซิบว่า“เฟิงเอ๋อร์ เจ้าจะถ่วงเวลาให้เนิ่นช้าไปไย เราไปพักผ่อนกันเถอะ”ฉับพลัน สุ่ยเฉินเฟิงหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้า ในมือคว้าแจกันทองเหลืองฟาดลงไปบนศีรษะของเมิ่งหยาง ชายหนุ่มเบี
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่อลังการ เทียนตี้หย่ง ขึ้นครองราชย์สถาปนาเป็นฮ่องเต้เทียนคงอิงฉ๋ง ราษฎรทั่วแคว้นต้าเจียเฉลิมฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืน พวกเขาล้วนมีความหวังที่ยิ่งใหญ่กว่าครั้งใดที่เคยหวัง ต่างแคว้นล้วนส่งทูตมาแสดงความยินดี ไม่มีแคว้นใดหาญกล้าทดสอบความแข็งแกร่งของฮ่องเต้พระองค์ใหม่เผ่าตู้เป็นชนเผ่าที่เคยถูกแคว้นต้าเลี่ยงรุกรานและสร้างความอัปยศให้แก่องค์หญิงหลายองค์จนปลิดชีพตนเอง เมื่อแคว้นต้าเจียปราบปรามแคว้นต้าเลี่ยงทำให้เผ่าตู้ได้รับอิสระอีกครั้ง เมื่อมาแสดงความยินดีในครั้งนี้ มีองค์หญิงน้อยเผ่าตู้ร่วมเดินทางมาด้วย องค์หญิงนาราเป็นองค์หญิงองค์เดียวที่ปลอดภัยจากการรุกราน เนื่องจากช่วงเวลานั้นไม่ได้อยู่ในดินแดนเผ่าตู้ ในท้องพระโรง พระเจ้าเทียนคงอิงฉ๋ง เทียนตี้หย่ง ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร พระพักตร์ขาวใส ดวงตาดำขลับยาวรีปลายชี้ฟ้า จมูกโด่งเป็นสัน ช่างสง่างามเหลือเกิน องค์หญิงน้อยมองดูด้วยความตะลึง หลงรักบุรุษผู้สง่างามนี้ทันทีเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์ขอบคุณแคว้นต่าง ๆ ที่มาร่วมแสดงความยินดี และเชิญทูตทุกแคว้นทุกชนเผ่าเข้าร่วมงานเลี้ยงในตอนเย็น เนื่องจากยังไม่มีการแต่
หลังจากพระเจ้าเต๋อหมิงได้รับบาดเจ็บ คณะหมอหลวงก็พยายามทุกวิธีในการรักษา เพราะฤทธิ์ยาระงับความเจ็บปวดที่หมอหลวงปรุงขึ้น แม้พระพักตร์จะขาวซีดแต่ก็ไม่แสดงถึงความเจ็บปวด เวลาผ่านไปสิบกว่าวัน ลมหายใจที่แผ่วเบานั้นก็หยุดนิ่ง หัวหน้าหมอหลวงตรวจชีพจรอีกครั้งก่อนจะหันมาทูลต่อไทเฮาสือจินอวี้ว่า“พระองค์กลับคืนสู่สวรรค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไทเฮาสือจินอวี้ตัวอ่อน เป็นลมล้มพับ ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่ง ที่ยืนอยู่ใกล้กันรับตัวเสด็จป้าสะใภ้ไว้ทันก่อนพระวรกายกระทบพื้น หมอหลวงแบ่งคนมาปฐมพยาบาลไทเฮา ความเศร้าโศกเสียใจล้นห้องบรรทมออกไปครอบคลุมวังหลวงและกระจายออกไปทั่วแคว้น พระเจ้าเต๋อหมิงเป็นผู้ปกครองใต้หล้าด้วยความเมตตา จึงเป็นที่รักใคร่ของราษฎร ในช่วงเวลาอันเศร้าหมอง ฉินอ๋องเป็นกำลังหลักในการสั่งการเรื่องต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยหลังจากพิธีการต่าง ๆ ผ่านพ้นไป ไทเฮาสือจินอวี้ก็เรียกฉินอ๋องเข้าเฝ้า สุ่ยเฉินเฟิงดูแลเครื่องแต่งกายให้พระสวามี ฉินอ๋องใช้นิ้วดันคางของนางให้เงยหน้าขึ้น“เฟิงเอ๋อร์ เจ้ากังวลอะไรหรือ”สุ่ยเฉินเฟิงถอนหายใจ “ไม่แน่ว่าการเรียกตัวเข้าเฝ้าในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับบัลลังก์ที่ว่างอยู่เพ
พระเจ้าเต๋อหมิงบาดเจ็บสาหัส นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุพระองค์ก็ยังไม่ลืมพระเนตรขึ้นมา มีเพียงชีพจรและลมหายใจแผ่วเบาเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ เกิดความโกลาหลในการบริหารงานเล็กน้อย ไทเฮาสือจินอวี้ต้องออกนั่งเป็นประธานการประชุมขุนนางในฐานะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน พระนางไม่ประทับบนบัลลังก์มังกร แต่กลับให้คนนำเก้าอี้หงส์จากตำหนักของพระนางมาใช้ประทับเป็นการชั่วคราวแม้ว่าปกติไม่ว่าไทเฮาหรือฮองเฮาพระองค์ใดก็ตาม ไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการของวังหลวงได้ ผู้เป็นมารดาของแผ่นดินมีหน้าที่ควบคุมกำกับดูแลวังหลังให้เป็นไปโดยเรียบร้อย แต่สถานการณ์ของแคว้นต้าเจียในคราวนี้แตกต่างออกไป พระเจ้าเต๋อหมิงไม่ได้อภิเษกสมรสเพราะอยู่ระหว่างการไว้ทุกข์ให้กับไท่ซ่างหวงซึ่งก็คือเสด็จพ่อของพระองค์นั่นเอง อีกทั้งพระเจ้าเต๋อหมิงก็ไม่มีสนมจึงยังไม่มีพระราชโอรสหรือพระราชธิดาแม้แต่พระองค์เดียว แคว้นต้าเจียจึงยังไม่มีรัชทายาทเดิมทีเหล่าขุนนางตั้งใจว่าหลังจากพ้นการไว้ทุกข์ให้ไท่ซ่างหวงแล้ว พวกเขาจะกดดันให้พระเจ้าเต๋อหมิงอภิเษกสมรสและแต่งตั้งฮองเฮา รวมทั้งให้เริ่มการคัดเลือกสนมเข้ามาปรนนิบัติตามธรรมเนียมท
ก่อนที่สุ่ยฝานหรงจะออกไป ฉินอ๋องสั่งการเพิ่มเติมว่า “ตอนที่จับกุมเมิ่งกุ้ยเฟย คนที่สุสานบรรพชนล้วนถูกลงโทษ นางกำนัลอู่ก็ติดตามกุ้ยเฟยไปที่สุสานด้วย ท่านตรวจสอบด้วยว่าผู้ใดช่วยเหลือให้นางหลบหนีจนรอดพ้นได้” “พ่ะย่ะค่ะ”สุ่ยฝานหรงออกไปแล้ว ฉินอ๋องกลับเข้าไปในห้องบรรทมของพระเจ้าเต๋อหมิง มีโต๊ะวางไว้มุมห้อง เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ จางชุนรินน้ำชาส่งให้ เขารับมาถือไว้นิ่ง ๆ มองตรงไปก็เห็นญาติผู้พี่นอนนิ่ง พระพักตร์ซีดเซียว นี่คือสิ่งที่เขากังวลอยู่เสมอว่าจะเกิดขึ้น และแล้วก็เกิดขึ้นจริง พี่สี่ของเขาพระทัยอ่อน ใช้สายพระเนตรที่เมตตามองผู้คนโดยรอบ ใช้พระคุณแต่เพียงอย่างเดียวในการปกครองเวลาผ่านไป แม่ทัพใหญ่สุ่ยฝานหรงกลับมาอีกครั้งเมื่อเข้ายามอิ๋น เขาสีหน้าไม่ดีนัก รายงานว่า“ตรวจสอบโดยละเอียดแล้วพ่ะย่ะค่ะ นางกำนัลอู่ไม่ถูกจับกุมเพราะนางลากลับบ้านเดิมเพื่อจัดการงานศพของมารดา เมื่องานศพเสร็จแล้ว ระหว่างทางที่เดินทางกลับเมืองหลวง ก็ได้ข่าวว่าคนที่สุสานบรรพชนถูกจับกุม นางจึงซ่อนเร้นตัว เมื่อทหารที่ไปตรวจค้นสุสานบรรพชนและทำลายเห็ดเมากลับไปแล้ว นางก็ลักลอบเข้าไปในสุสานบรรพชน เพราะนางอยู่ที่นั่นกั
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จป้าสะใภ้ หลานจะสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้สภาพในคุกไม่เหมาะสำหรับผู้บาดเจ็บ” เขาหันถามหัวหน้าหมอหลวงว่า “จะเคลื่อนย้ายฝ่าบาทได้หรือไม่ หรือต้องรอให้อาการดีขึ้นกว่านี้ก่อน”หัวหน้าหมอหลวงตอบว่า “สามารถเคลื่อนย้ายได้แล้วพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง แต่ต้องทำด้วยความระมัดระวัง คุกหลวงไม่เหมาะกับการรักษาผู้ป่วยจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”ในที่สุด พระเจ้าเต๋อหมิงก็ถูกเคลื่อนย้ายไปยังตำหนักเฉียนชิง ฉินอ๋องประคองไทเฮา สือจินอวี้ไปพร้อมกัน โดยให้สุ่ยฝานหรงซึ่งตามมาถึงแล้ว ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียด ไทเฮานั่งกุมพระหัตถ์พระราชโอรส พระพักตร์ของพระองค์และพระเจ้าเต๋อหมิงซีดขาวพอกัน"เสด็จป้าสะใภ้พักผ่อนก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ไทเฮาสือจินอวี้ส่ายพระพักตร์ “ป้าสะใภ้จะเฝ้าเต๋อเอ๋อร์ เมื่อเขาฟื้นจะได้เห็นหน้าแม่เป็นคนแรก”“ถ้าเช่นนั้นหลานจะให้คนจัดห้องด้านข้างเป็นที่บรรทมชั่วคราวดีไหมพ่ะย่ะค่ะ เสด็จป้าสะใภ้ไปพักผ่อนก่อน มิฉะนั้นอาจจะประชวรไปอีกพระองค์ หากพี่สี่รู้สึกตัวแม้เพียงเล็กน้อยจะให้คนไปทูลให้ทรงทราบทันที”ไทเฮาพยักพระพักตร์ ฉินอ๋องจึงสั่งให้ขันทีประจำตำหนักเฉียนชิงเร่งจัดห้องบรรทมช
ในห้องขังห้องหนึ่งของคุกหลวง บนโต๊ะตัวเล็กซึ่งวางไว้มุมหนึ่งมีกับข้าวสองอย่างและน้ำ แม้จานอาหารจะไม่ได้ตกแต่งอย่างสวยงาม แต่กับข้าวก็มีทั้งเนื้อและผัก อีกมุมหนึ่งมีผ้าผืนใหญ่ค่อนข้างหนาปูไว้บนพื้นสำหรับใช้เป็นที่นอน อากาศเย็นและอับชื้น โคมไฟที่มุมกำแพงส่องแสงลอดลูกกรงเข้ามาทำให้ในห้องขังไม่มืดองค์ชายรอง เทียนตี้ฮุ่ย นั่งอยู่บนผ้าปูนอน หลังพิงกำแพงคุกหลวง สามวันแล้วที่เขาเข้ามาอยู่ในคุกหลวง แม้ว่าอาหารจะไม่เป็นที่พอใจแต่เขาก็รับประทานได้ ไม่มีเหตุผลที่ต้องทรมานตัวเอง ข้อเท้าของเขาได้รับการรักษา หมอหลวงเข้ามาทำแผลให้วันละสองครั้ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังอักเสบ มีเลือดและน้ำหนองซึมออกมา เขาไม่สามารถเดินได้ แม้จะเป็นระยะทางใกล้ ๆ จากที่นอนตรงไปยังโต๊ะอาหาร เขาต้องคลานไป ช่างน่าอนาถนักมีเงาไหววูบอยู่หน้าห้องขัง เขามองออกไปก็เห็นบุรุษรูปร่างสูงผอมที่คุ้นเคย ทั้งหน้าตาผิวพรรณและเครื่องแต่งกายล้วนสูงส่ง พระเจ้าเต๋อหมิงมองผ่านลูกกรงเข้ามา ตรัสถามว่า“แผลที่ขาเป็นอย่างไรบ้างพี่รอง”องค์ชายรอง เทียนตี้ฮุ่ย หันหน้าไปอีกทางหนึ่ง ใบหน้าเศร้าโศก ไม่พูดไม่จา พระเจ้าเต๋อหมิงจึงให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ไขกุญแ
พระเจ้าเต๋อหมิงลุกขึ้นจากบัลลังก์มังกร ตรงไปหยุดยืนตรงหน้าพี่รองของเขา พระเนตรฉายแววเสียพระทัยชัดเจน องค์ชายรองที่นั่งคุกเข่าเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นน้องชาย ฝ่ายหนึ่งดูสูงส่ง อีกฝ่ายหนึ่งดูไร้ค่า ภาพนั้นสะท้อนเข้าตาของอดีตเมิ่งกุ้ยเฟย น้ำตารินไหลลงมาอาบใบหน้าองค์ชายรองถูกมัดมือแต่ไม่ได้มัดเท้า เขาผุดลุกขึ้นยืนประจันหน้า “ถือว่าข้าเพลี่ยงพล้ำในหมากกระดานนี้ สังหารข้าเสียเถิด”“ไม่....” เสียงของอดีตเมิ่งกุ้ยเฟยร้องดังลั่นท้องพระโรง ทุกสายตาหันไปจับจ้องนางที่ทรุดตัวลงไปนั่งราบลงกับพื้น สองมือที่ถูกมัดแน่นเหยียดนิ้วออกกราบลงบนพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ได้โปรดอภัยให้เย่าชือเพคะ ได้โปรดเห็นแก่ความเป็นพี่น้อง”ในขณะที่ทุกสายตาจับจ้องไปที่อดีตพระสนมของฮ่องเต้องค์ก่อน องค์ชายรองก็พุ่งตัวสุดแรงเข้าหาผู้เป็นน้องชาย เป็นความหวังครั้งสุดท้าย หากพระเศียรของพระเจ้าเต๋อหมิงกระทบพื้นแข็งของท้องพระโรงที่ถูกขัดจนขึ้นเงานั้น พระชนม์ชีพอาจไม่เหลือแล้วมีอาวุธบางอย่างถูกซัดออกมาจากหลังฉาก อาวุธลับนั้นหมุนแหวกอากาศส่งเสียงแหลมดังเสียดแทงโสตประสาท สกัดองค์ชายรองให้ทรุดลงกับพื้นก่อนที่จะถึงพระวรกายของพระเจ้าเต๋อหมิง
“เจ้านั่งคอยหลังฉากก่อนนะ ข้าอยากจะฟังว่าพี่รองจะแก้ตัวอย่างไร”พระเจ้าเต๋อหมิงตรัสสั่ง ฉินอ๋องจึงเดินไปนั่งหลังฉาก พระเจ้าเต๋อหมิงตรงไปยังบัลลังก์มังกร ยามนั้นเป็นเวลาเซิน ไม่มีการประชุมขุนนาง ในท้องพระโรงอันกว้างใหญ่จึงมีเพียงองค์ชายรอง เทียนตี้ฮุ่ย และเมิ่งกุ้ยเฟย ยืนอยู่กลางห้อง มือของพวกเขาถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือกแน่นหนา รายล้อมไปด้วยทหารหน่วยพยัคฆ์เหินและหน่วยมัจฉาพระกาฬ นอกจากนั้นก็คือบรรดาองครักษ์ประจำพระองค์ของพระเจ้าเต๋อหมิง เมื่อพระเจ้าเต๋อหมิงประทับบนบัลลังก์ ทหารหน่วยพยัคฆ์เหินซึ่งควบคุมตัวองค์ชายรองก็ใช้ฝ่ามือกดลงบนบ่าแล้วเอ่ยว่า “คุกเข่า”เทียนตี้ฮุ่ยสีหน้าเรียบเฉย เขาทรุดตัวลงคุกเข่าแต่โดยดีเพราะรู้ว่าขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์ ในขณะที่อดีตเมิ่งกุ้ยเฟยคุกเข่าลงพร้อมกัน “พี่รองทำเช่นนี้ทำไม”“เจ้าไม่น่าจะใช้คำถามนี้กับข้า” เทียนตี้ฮุ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ไร้ความอ่อนน้อมที่เคยฉาบไว้ แม้แต่สรรพนามก็เปลี่ยนไปด้วย “พี่รองทั้งลักลอบเพาะปลูกเห็ดเมา ทั้งอยู่เบื้องหลังบ่อนการพนันทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้ล้วนทำลายเยาวชน ทำลายราษฎร เป็นการทำร้ายแคว้นต้าเจียอย่างถึงรากนั่นเชียว
ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่ง และแม่ทัพใหญ่ สุ่ยฝานหรง รับรู้การตัดสินพระทัยของพระเจ้าเต๋อหมิงด้วยความกังวล แต่เรื่องนี้ก็มีพระราชโองการแล้วจึงได้แต่เก็บปากเก็บคำเมื่อเทียนตี้ฮุ่ยคืนสู่ตำแหน่งฉู่อ๋องแล้ว ฉินอ๋องก็คาดว่าเขาคงจะขอพระราชทานอภัยโทษให้เมิ่งกุ้ยเฟยผู้เป็นมารดาด้วย แต่หลังจากเวลาผ่านไปพอสมควร องค์ชายรอง เทียนตี้ฮุ่ย ก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ ทำให้แปลกใจฉินอ๋อง เทียนตี้หย่ง ไม่ได้ไปเยือนจวนแม่ทัพใหญ่นานแล้วเพราะสุ่ยเฉินเฟิงแต่งให้เขาแล้ว จวนแม่ทัพใหญ่จึงไม่มีแรงดึงดูดเขาอีกต่อไป กลับกลายเป็นว่าสุ่ยฝานหรงเป็นฝ่ายมาเยือนจวนอ๋องมากขึ้น สุ่ยฝานหรงมักจะแวะไปรับเหมยกุ้ยมาด้วยวันนี้ก็เช่นกัน ทั้งสี่คนนั่งล้อมวงในลานข้าง อากาศอบอุ่น กลิ่นดอกไม้หอมอ่อน ๆ ทำให้บรรยากาศสดชื่น บนโต๊ะมีอาหารหลายชนิด สุ่ยเฉินเฟิงจับตามองพี่ชายเงียบ ๆ นางรู้สึกว่าเขาเอาใจใส่เหมยกุ้ยเป็นพิเศษ สุ่ยฝานหรงคีบอาหารวางให้บนข้าวของเหมยกุ้ย“เจ้าลองซักคำ เนื้อกวางป่าผัดเห็ดนี่อร่อยมาก”เหมยกุ้ยใช้ตะเกียบคีบเห็ดขึ้นมาดูแล้วกล่าวว่า “คล้ายเห็ดเมาเลย”ทำให้ผู้ร่วมโต๊ะต่างก็เพ่งตามองเห็ด สุ่ยฝานหรงบอกว่า “ไม่ใช่เห็ดเมา เพียงแ