ดินแดนทางตอนใต้ของแคว้นเจียเกิดอุทกภัยรุนแรง เรือกสวนไร่นาถูกน้ำท่วม ผลิตผลทางการเกษตรเสียหาย บางพื้นที่กระแสน้ำไหลแรงพัดพาชีวิตผู้คนไปอีกด้วย ราษฎรต้องหลั่งน้ำตาปะปนกับน้ำที่เจิ่งนอง เกิดจลาจลและเสียงเรียกร้องให้ทางการเข้าช่วยเหลือโดยเร็ว แต่หน่วยงานระดับท้องถิ่นมีทรัพยากรในการดูแลราษฎรจำกัด ฎีกาขอความช่วยเหลือกองพะเนินเทินทึกบนโต๊ะทรงพระอักษรฮ่องเต้มีรับสั่งให้ฉินอ๋องและรองผู้บัญชาการกองกำลังทหารม้าเข้าเฝ้าที่ห้องทรงพระอักษรโดยด่วน เมื่อทั้งสองทำความเคารพ ฮ่องเต้แย้มพระโอษฐ์แล้วก็ตรัสว่า“ไม่ต้องมากพิธี พวกเจ้าทั้งสองนั่งเถิด”“ขอบพระทัยเสด็จลุง”“ขอบพระทัยฝ่าบาท”ทั้งสองเสียงประสานกันก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ ไม่รอช้าฮ่องเต้ตรัสต่อไปว่า “พวกเจ้าทั้งสองคงรู้แล้วว่าดินแดนทางใต้เกิดอุทกภัยหนักมากที่สุดในรอบสิบปี ราษฎรได้รับความทุกข์ยาก”ฮ่องเต้หันมามองหน้าฉินอ๋อง “จื่อหยวน ลุงอยากให้เจ้าพาคนไปแก้ไขปัญหาให้ราษฎร เพราะตอนนี้มีการปล้นสะดม ทางท้องถิ่นไม่สามารถปราบปรามได้”“พ่ะย่ะค่ะ พรุ่งนี้เช้าหลานจะออกเดินทางพร้อมหน่วยมัจฉาพระกาฬและกองกำลังทหารอีกจำนวนหนึ่ง ให้รองผู้บัญชาการสุ่ยฝานหรงไปช่ว
แม่ทัพใหญ่สุ่ยลี่หรงยกทัพออกเดินทางไปชายแดนทางเหนือของแคว้นต้าเจีย แม้อายุจะล่วงเลยเข้าสู่วัยกลางคน แต่สมองยังแจ่มใส การวางแผนกลยุทธ์การศึกยังคงล้ำลึก ความเชื่อมั่นในตัวผู้บังคับบัญชาทำให้เหล่าทหารต้าเจียเดินทัพด้วยความฮึกเหิม สองสัปดาห์ผ่านไป กองทัพเดินทางมาได้ถึงสองในสามส่วนของระยะทาง วันนี้ท้องฟ้ามืดเร็วกว่าปกติ ลมพัดแรง มีสัญญาณบ่งบอกว่าฝนจะตกในไม่ช้า แม่ทัพใหญ่สุ่ยลี่หรงจึงให้เร่งเดินทางไปยังเนินดินดำซึ่งเป็นลานกว้างอยู่สูงขึ้นไปเล็กน้อยเพื่อพักแรมค้างคืนในกระโจมแม่ทัพใหญ่ นายทหารสามนายนั่งล้อมวงปรึกษาหารือการทำศึก“อีกไม่กี่วันก็จะถึงชายแดนแล้ว ข้าแทบรอบดขยี้ต้าเลี่ยงไม่ไหว” นายทหารหุ่นกำยำล่ำสัน กำหมัดสองข้างทำท่าชนกัน “ข้าก็เช่นกัน จะนำหัวแม่ทัพเอี้ยนกลับไปฝากชาวต้าเจีย” นายทหารอีกนายหนึ่งทำท่าขึงขังแม่ทัพใหญ่ยิ้ม ใบหน้าคลายความดุดันลงเล็กน้อย เขากล่าวว่า “พรุ่งนี้ก็จะถึงจุดนัดพบกับคนของฉิวเยี่ยนแล้ว คงจะรู้สถานการณ์ชายแดนได้ละเอียดมากขึ้น”“แม่ทัพน้อยฉิวเยี่ยนคงนับวันรอให้ท่านแม่ทัพใหญ่ไปถึงชายแดนขอรับ” กล่าวพลาง นายทหารผู้บึกบึนก็หัวเราะเสียงดังแม่ทัพน้อยฉิวเยี่ยนคือ
เช้าวันรุ่งขึ้น กระโจมของแม่ทัพใหญ่สุ่ยลี่หรงยังคงเงียบ ทหารรักษาการณ์แปลกใจ ปกติท่านแม่ทัพตื่นเช้าตรู่ทุกวัน ทำไมวันนี้ในกระโจมไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ เขาร้องเรียกแต่ไม่ได้รับการตอบกลับใด ๆ จึงเปิดกระโจมเข้าไปภายในร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพใหญ่สุ่ยลี่หรงนอนนิ่งอยู่บนผ้ารอง มีผ้าห่มคลุมไว้เรียบร้อย หรือว่าจะป่วยไข้ลุกไม่ไหว ทหารรักษาการณ์คิดในใจพลางก้าวเท้าเข้าไปใกล้ ทันใดนั้นเขาก็เบิกตากว้าง เข้าไปเอามือตรวจชีพจรและลมหายใจก็พบว่า แม่ทัพใหญ่สิ้นชีพไปแล้วทหารรักษาการณ์ตกใจสุดขีด เขารีบไปกระโจมของนายทหารร่างบึกบึนที่นั่งร่วมวงกับแม่ทัพใหญ่เมื่อคืนที่ผ่านมาเพื่อแจ้งข่าว ก็พบว่านายทหารท่านนั้นจากโลกนี้ไปแล้วเช่นกัน และนายทหารอีกท่านที่นั่งร่วมวงกันก็ลาโลกนี้ไปแล้วนายทหารที่ตำแหน่งสูงสุดในขณะนั้นคือ หัวหน้าหวาง เขาเป็นผู้เปิดผ้าห่มคลุมกายของแม่ทัพใหญ่สุ่ยลี่หรงออก ใบหน้านั้นขาวซีดแต่เปลือกตาและริมฝีปากดำคล้ำ มีรอยเขี้ยวสามเขี้ยวบนหลังมือขวา รอยเขี้ยวที่หนึ่งและสามมีขนาดกว้างเท่ากัน แต่รอยเขี้ยวตรงกลางมีขนาดใหญ่กว่า เขาสันนิษฐานเบื้องต้นว่าแม่ทัพใหญ่สุ่ยลี่หรงเสียชีวิตจากสัตว์มีพิษ แต่เป็นสัตว
ร่างไร้วิญญาณของแม่ทัพใหญ่ถูกส่งกลับมายังเมืองหลวง สุ่ยฝานหรงได้รับอนุญาตให้เดินทางจากดินแดนทางใต้กลับเมืองหลวงเพื่อทำพิธีศพให้ผู้เป็นบิดา ชายหนุ่มเปิดผ้าขาวออกดูและจดบันทึกรายละเอียดและเก็บหลักฐานด้วยตนเองเท่าที่สามารถทำได้พิธีศพจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ สุ่ยเฉินเฟิงดวงตาแดงช้ำ เปลือกตาบวมเป่งจากการเสียน้ำตาแต่ก็พยายามเข้มแข็งเพราะต้องดูแลมารดาซึ่งเป็นลมแล้วเป็นลมอีก ฉินอ๋องกลับจากดินแดนทางใต้มาร่วมงานศพ เมื่อพิธีต่าง ๆ เสร็จสิ้นแล้ว ฉินอ๋องและสุ่ยฝานหรงกลับไปควบคุมการแก้ปัญหาอุทกภัยอีกครั้ง ตำแหน่งของสุ่ยฝานหรงยังเติบโตไม่ทันในวงราชการ เมื่อบิดาเสียชีวิตจึงมีผู้อื่นได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่คนใหม่จวนอดีตแม่ทัพใหญ่เต็มไปด้วยความเงียบเหงา ในแต่ละวันฮูหยินเจียงจือไฉจะนั่งนิ่ง กอดเสื้อผ้าของสุ่ยลี่หรงไว้แนบอก สุ่ยเฉินเฟิงก็ต้องควบคุมดูแลจวนแทนมารดาวันนี้มีเสียงเอะอะดังอยู่หน้าประตูจวน พ่อบ้านเดินไปดูก็พบว่ามีหญิงตั้งครรภ์นางหนึ่งเป็นลมล้มพับอยู่หน้าจวน ชาวบ้านกลุ่มใหญ่รุมล้อมอยู่ บางคนพยายามนวดมือนวดแขนให้ แต่ร่างนั้นก็ยังนอนแน่นิ่ง สุ่ยเฉินเฟิงเดินผ่านมาพอดี มองเห็นภาพจากช่อ
เช้าวันรุ่งขึ้น มีเสียงดังอยู่หน้าประตูจวน ซักครู่พ่อบ้านมาแจ้งแก่สุ่ยเฉินเฟิงว่า “คุณหนู ทางการส่งคนมาขอตรวจค้นจวนขอรับ”หญิงสาวหันไปมองมารดาซึ่งนั่งอยู่ไกล ๆ แล้วสั่งถิงถิงว่า “ถิงถิง เจ้าไปพาท่านแม่ไปนั่งเล่นที่เรือนเพาะชำ” จากนั้นนางก็หันมาบอกว่า “พ่อบ้านตามข้ามา”สุ่ยเฉินเฟิงเดินมาถึงลานหน้าของจวน มือปราบท้องถิ่นเกือบยี่สิบคนยืนรออยู่อย่างน่าเกรงขาม ในจำนวนนี้สุ่ยเฉินเฟิงรู้จักมือปราบหลายคนเพราะเมื่อครั้งบิดายังมีชีวิตอยู่ บิดาเคยช่วยเหลือมือปราบไว้หลายคน หัวหน้ามือปราบที่มาครั้งนี้ก็เคยได้รับความช่วยเหลือ“ท่านอา มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะจึงมาล้อมจวน”หัวหน้ามือปราบตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า “คุณหนูสุ่ย มีข่าวลือไปทั่วว่าอดีตมือปราบวังหลวงเมิ่งหยางหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่ หน่วยเหนือจึงสั่งการให้ข้ามาตรวจค้นเสียหน่อย นี่คือหมายค้น จึงต้องขอรบกวนคุณหนูให้ความร่วมมือด้วยขอรับ”สุ่ยเฉินเฟิงลอบถอนหายใจ เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่เมิ่งหยางก็ก่อเรื่องชู้สาวทำให้นางร้าวรานใจ นี่ตายไปแล้วยังจะสร้างความวุ่นวายให้อีก นางกลืนความหงุดหงิดลงท้อง ใบหน้ายังคงยิ้มบาง ๆ กล่าวอย่างนุ่มนวลว่า“เชิญท่านอาให้คนต
เดิมพระชายากู้ชุนฉือนับว่าเป็นมารดาที่รักใคร่และหวงแหนบุตรชายจนเกินพอดี นางไม่รู้สึกเดือดร้อนใจที่ฉินอ๋องยังไม่เคยมีคนรักซักคน นางมีความสุขที่มารดาของหญิงสาวสูงศักดิ์จำนวนมากมาเอาอกเอาใจนางหวังจะให้บุตรีได้เป็นพระชายาฉินอ๋องนางก็ดูไปเรื่อย ๆ ยังไม่ตัดสินใจว่าผู้ใดเหมาะสมที่สุด พระชายากู้ชุนฉือไม่เคยคิดว่าการเลือกพระชายาฉินอ๋องนั้นควรเป็นหน้าที่ของบุตรชายของนางแต่บัดนี้ เมื่อพระชายานึกถึงว่าฉินอ๋อง เทียนตี้หย่งอาจสนิทสนมกับสุ่ยเฉินเฟิงผู้อื้อฉาว พระชายากู้ชุนฉือก็เริ่มที่จะกวาดตามองหาบุตรีของผู้สูงศักดิ์หรือผู้มีอำนาจทางการทหารหรือบุตรีของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่เหมาะสมให้แก่เทียนตี้หย่งบุตรีของเสนาบดีกรมคลัง จงเฝิ่นลู่ ก็เป็นตัวเลือกหนึ่งที่นำมาพิจารณา บิดาของนางทำงานรับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ คุมเรื่องเงินเรื่องทองในท้องพระคลัง เป็นที่เกรงใจของขุนนางทั่วไป สำหรับมารดาของจงเฝิ่นลู่มาจากตระกูลเล็ก ๆ อาศัยน้องสาวถวายตัวรับใช้ฮ่องเต้ นางจึงมีโอกาสได้เป็นฮูหยินใหญ่ของเสนาบดีกรมคลัง จงเฝิ่นลู่ก็หน้าตาสวยงาม มีความรู้ในหน้าที่ของกุลสตรีเป็นอย่างดี ติดอยู่อย่างเดียวคือนางเป็นหลานของเมิ่งกุ้ยเฟย พระ
เมื่อพระชายากู้ชุนฉือยังคงสงวนท่าที จงเฝิ่นลู่ผู้ซึ่งนั่งฟังผู้ใหญ่สนทนาอย่างเรียบร้อยในจวนอ๋อง เมื่อกลับมาถึงจวนเสนาบดีกรมคลัง นางก็ปลดปล่อยอารมณ์ที่เก็บกดไว้ออกมาจนหมด สาวใช้ผู้เคราะห์ร้ายยกน้ำชาพร้อมขนมมาวางบนโต๊ะ จงเฝิ่นลู่มองไปที่ขนมแล้วก็กรี๊ดออกมาดังมาดัง ๆ“กรี๊ดดดด ขนมคู่รักนี่ใครซื้อมา” นางหยิบขนมแท่งยาว ๆ มีสีแดงเหลืองพันเป็นเกลียว ขว้างลงไปบนพื้น เล็บแหลม ๆ ข่วนเข้าที่แก้มของสาวใช้ เสียงดังแควก เลือดสีแดงสดค่อย ๆ ซึมออกมา นางจิกผมของสาวใช้แล้วกระชากอย่างแรง“โอ๊ย คุณหนู บ่าวผิดไปแล้ว คุณหนู ยกโทษให้บ่าวด้วย” สาวใช้ร้องด้วยความเจ็บเบา ๆ ไม่กล้าส่งเสียงดัง ไม่รู้หรอกว่าผิดอะไร แต่ขออภัยไว้ก่อนดีกว่าฮูหยินเสนาบดีกรมคลังยกมือห้ามปราม “พอแล้วลู่เอ๋อร์ ปล่อยเด็กไปเถอะ ระวังเล็บหัก”จงเฝิ่นลู่คลายมือจากศีรษะ สาวใช้รีบเก็บขนมบนพื้นแล้วออกไปให้พ้นหน้าโดยเร็ว คุณหนูจวนนี้อารมณ์ร้ายมาก ถ้าไม่ใช่เพราะติดสัญญาซื้อขายก็คงไม่อยู่ด้วยแล้วจงเฝิ่นลู่ยังคงนั่งหน้าบึ้ง “ข้าไม่ชอบชื่อขนม แล้วก็ไม่ชอบพระชายาด้วย นางไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา”“ไม่เป็นไร พรุ่งนี้พวกเราเข้าวังกัน ท่านน้าของเจ้าอาจช
ฮูหยินเสนาบดีกรมคลังตัดสินใจเอ่ยตรง ๆ กับน้องสาวผู้สูงศักดิ์ว่า“ฉินอ๋องยังไม่มีหญิงคนรัก แต่เมื่ออยู่เมืองหลวงเขาเข้าออกจวนอดีตแม่ทัพใหญ่เกือบทุกวัน นอกจากคุณชายสุ่ยแล้ว ที่นั่นยังมีบุตรีของอดีตแม่ทัพใหญ่ด้วย หากปล่อยเวลาให้เนิ่นนาน หม่อมฉันเกรงว่าคุณหนูในห้องหออย่างลู่เอ๋อร์จะไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของพี่น้องคู่นั้นเพคะ”ฮูหยินเสนาบดีกรมคลังถอนหายใจ ก่อนกล่าวต่อไปว่า “ตอนนี้ฉินอ๋องไปแก้ไขปัญหาอุทกภัยทางดินแดนใต้ ขุนนางท้องถิ่นก็ส่งบุตรีมาดูแลถึงที่พักเพคะ”“แล้วพี่หญิงคิดว่าข้าจะช่วยได้อย่างไร”“ขอสมรสพระราชทานระหว่างฉินอ๋องและลู่เอ๋อร์เพคะ เมื่อมาเป็นเขยของตระกูลก็ย่อมต้องสนับสนุนองค์ชายรอง”ใบหน้าของจงเฝิ่นลู่กลับมามีสีแดงเข้มอีกครั้ง ครั้งนี้มิใช่เขินอาย แต่กลับเป็นอับอายเล็กน้อยที่ต้องขอสมรสพระราชทานโดยว่าที่เจ้าบ่าวไม่รู้ตัว แต่ก็ไม่มีวิธีใดจะราบรื่นไปกว่านี้อีกแล้ว เมื่อมีเส้นสายอย่างน้าสาวผู้สูงศักดิ์ ก็จงใช้เส้นสายให้เกิดประโยชน์เมิ่งกุ้ยเฟยมองจงเฝิ่นลู่อย่างเอ็นดู หลานสาวของนางหน้าตางดงาม อีกทั้งเป็นบุตรีภริยาเอกของเสนาบดีกรมคลัง คุณสมบัติเช่นนี้ก็สมควรใช้ให้เกิดประโยชน์“ลู่เอ
สิบปีผ่านไป ณ ตำหนักคุนหนิง ฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิง นั่งดื่มชาในสวนดอกไม้ อากาศอบอุ่น มีลมพัดผ่านเบา ๆ นึกถึงชะตาชีวิตที่แปลกประหลาด ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่มีชีวิตสงบสุขเหมือนคุณหนูสูงศักดิ์ทั่วไป แต่เมื่อถึงวัยมีคู่ครองก็มีเรื่องเดือดร้อนไม่จบไม่สิ้น ชีวิตเหมือนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง กว่าจะฝ่าฟันมาถึงวันนี้ก็ได้รับประคับประคองจากพระสวามีผู้สง่างามและครอบครัวเดิม สุ่ยเฉินเฟิงสัญญากับตนเองว่าจะทะนุถนอมความรักของพวกเขาไว้อย่างดีฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง และฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิง มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวมห้าองค์ องค์ชายหย่งเฉิงคล้ายเสด็จพ่อมากที่สุดทั้งรูปร่างหน้าตา อุปนิสัย และความรู้ความสามารถ องค์ชายหย่งเฉิงชื่นชอบการฝึกซ้อมอาวุธทุกประเภท อีกทั้งยังชำนาญหมากล้อมและการฝึกเชาว์ปัญญาต่าง ๆ เรียกว่าเก่งทั้งบู๊และบุ๋นองค์หญิงเฟิงซินหน้าตาคล้ายเสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือ ทำให้นางเป็นที่โปรดปรานของเสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือยิ่งนัก บางครั้งฮ่องเต้ยังจำใจต้องอนุญาตให้องค์หญิงเฟิงซินไปพักค้างที่ตำหนักนอกวังบ้างเพราะทนการรบเร้าของผู้เป็นมารดาไม่ไหว แรก ๆ ก็ไปพักค้างครั้งละหนึ่งคืน พอนานเข้าเสด็จย่าไทเฮา
ราษฎรต้อนรับการประสูติขององค์ชายน้อยหย่งเฉิงอย่างเอิกเกริก ร้านค้าในตลาดและบ้านเรือนราษฎรปักธงถวายพระพร เหลาเฉียนจัดทำอาหารพิเศษแจกจ่ายให้ลูกค้าโดยไม่คิดเงิน ร้านขายผลไม้ก็นำส้มมงคลมาแจกจ่ายให้ผู้คนที่สัญจรไปมาเมื่อครั้งเทียนตี้หย่งยังดำรงตำแหน่งฉินอ๋อง ราษฎรก็รักใคร่ชื่นชม แม้ในจวนอ๋องจะไม่มีพระชายา พระชายารอง หรืออนุ ก็ไม่มีผู้ใดใส่ใจ ต่อมาขึ้นครองราชย์ ราษฎรก็ปลื้มปิติ แต่ก็กังวลเพราะฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ลั่นวาจาไว้ว่าจะมีฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิงเพียงพระองค์เดียวแม้ในขณะที่แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งฮองเฮา พระนางจะตั้งครรภ์แล้วก็ตาม หากเป็นพระราชธิดาพวกเขาก็ยังไม่วางใจ ดังนั้นเมื่อองค์ชายน้อยหย่งเฉิงประสูติ จึงเป็นทั้งความยินดีและความโล่งใจของราษฎรทั้งหลาย อย่างน้อยก็สบายใจได้ว่า แคว้นต้าเจียมีผู้สืบทอดบัลลังก์มังกรแล้วในแต่ละวันขององค์ชายน้อยหย่งเฉิงมีเสด็จย่าทั้งสองและท่านยายผลัดกันมาดูแล คือเสด็จย่าไทเฮาสือจินอวี้ เสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือ และท่านยายเจียงจือไฉ แต่เสด็จย่าไทเฮาสือจินอวี้จะได้เปรียบมากกว่าเพราะประทับในวังเช่นเดียวกัน จึงมาดูแลเกือบทุกวัน เว้นแต่วันที่เสด็จย่าไทเฮ
พระราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮาเป็นไปอย่างเรียบง่ายตามความประสงค์ของสุ่ยเฉินเฟิง ตำหนักคุนหนิงของฮองเฮาได้รับการปรับปรุงใหม่ มีห้องสำหรับทารกติดกับห้องบรรทมของฮองเฮา สำหรับฮ่องเต้เทียนคงอิงฉงนั้นแม้จะมีตำหนักเฉียนชิง แต่พระองค์ก็จะมาบรรทมที่ตำหนักคุนหนิงเป็นประจำ เว้นแต่ช่วงที่ทรงงานดึกจึงจะพักผ่อนที่ตำหนักเฉียนชิงเพื่อให้ฮองเฮาพักผ่อนเต็มที่ ไม่ต้องตื่นกลางดึกสุ่ยฝานหรงซึ่งบัดนี้ได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีนั้น บางวันจะพาเหมยกุ้ยเข้าวังมาส่งที่ตำหนักคุนหนิงในช่วงเช้า และมารับกลับหลังจากประชุมขุนนางเสร็จ ชีวิตของสุ่ยเฉินเฟิงจึงไม่เงียบเหงาเกินไป ส่วนถิงถิงซึ่งบัดนี้เป็นนางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาก็ช่างมีเรื่องซุบซิบมาเล่าให้ฟัง แม้กระทั่งองค์หญิงนาราที่เสวยผลไป่เซียงกั่วเพื่อให้เกิดผื่นจะได้ยืดเวลาการอยู่ในวังหลวงเพื่อมีเวลาขอถวายตัวเป็นสนมก็มาเล่าให้ฟัง เรียกได้ว่าทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่ถิงถิงไม่ค่อยจะพลาดข่าว ถิงถิงมีความเห็นว่ารู้มากหน่อยดีกว่ารู้น้อยไปเมื่อสุ่ยฝานหรงเข้ารับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีแล้ว ฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ก็ต้องวางกำลังคนที่ไว้ใจให้ควบคุมหน่วยกำลัง
ไทเฮาสือจินอวี้ลุกขึ้นจากที่ประทับ ตรงไปยังองค์หญิงนาราที่นั่งคุกเข่า ใช้สองพระหัตถ์แตะไหล่ประคองให้องค์หญิงน้อยลุกขึ้นยืน แล้วตรัสว่า “องค์หญิงนารามีหน้าตาสวยงามและเพียบพร้อมด้วยความรู้ ไม่ควรจะมาเป็นสนม ความหวังดีนี้ไม่อาจรับไว้ได้ ขอให้แคว้นต้าเจียและเผ่าตู้ผูกพันเป็นมิตรที่ดีต่อกันเถิด”ภายนอกมีเสียงดังขึ้นว่า “ฮ่องเต้เสด็จ”เมื่อร่างสูงสง่าของฮ่องเต้ก้าวเข้ามาในโถงกลางของวังหลัง พระองค์ทำความเคารพไทเฮาก่อน แล้วจึงหันไปตรัสแก่ผู้อื่นที่ทำความเคารพว่า “ไม่ต้องมากพิธี” องค์หญิงน้อยมองด้วยสายตาหลงใหลเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อยแล้วตรัสด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เจิ้นขอบใจในน้ำใจของถู่ซือและองค์หญิง แต่ไม่อาจรับไว้ได้ ต้าเจียและเผ่าตู้ไม่จำเป็นต้องผูกพันกันด้วยการอภิเษกหรือการเป็นสนม แต่ยังเป็นพันธมิตรกันต่อไปได้”องค์หญิงน้อยทำได้เพียงกล่าวเสียงเบาว่า “เพคะ” รู้สึกอับอายแทบแทรกแผ่นดิน ไม่คิดมาก่อนว่าจะถูกปฏิเสธแม้แต่การเป็นสนม เทียนตี้หย่งหันไปทางทูตเผ่าตู้แล้วตรัสว่า “เผ่าตู้มีสินค้าหายากหลายอย่างที่ต้าเจียไม่มี เจิ้นจะให้ทูตการค้าต้าเจียหารือเรื่องการพัฒนาการค้าขายระหว่างกันดีห
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่อลังการ เทียนตี้หย่ง ขึ้นครองราชย์สถาปนาเป็นฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง ราษฎรทั่วแคว้นต้าเจียเฉลิมฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืน พวกเขาล้วนมีความหวังที่ยิ่งใหญ่กว่าครั้งใดที่เคยหวัง ต่างแคว้นล้วนส่งทูตมาแสดงความยินดี ไม่มีแคว้นใดหาญกล้าทดสอบความแข็งแกร่งของฮ่องเต้พระองค์ใหม่เผ่าตู้เป็นชนเผ่าที่เคยถูกแคว้นต้าเลี่ยงรุกรานและสร้างความอัปยศให้แก่องค์หญิงหลายองค์จนปลิดชีพตนเอง เมื่อแคว้นต้าเจียปราบปรามแคว้นต้าเลี่ยงทำให้เผ่าตู้ได้รับอิสระอีกครั้ง เมื่อมาแสดงความยินดีในครั้งนี้ มีองค์หญิงน้อยเผ่าตู้ร่วมเดินทางมาด้วย องค์หญิงนาราเป็นองค์หญิงองค์เดียวที่ปลอดภัยจากการรุกราน เนื่องจากช่วงเวลานั้นไม่ได้อยู่ในดินแดนเผ่าตู้ ในท้องพระโรง พระเจ้าเทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร พระพักตร์ขาวใส ดวงตาดำขลับยาวรีปลายชี้ฟ้า จมูกโด่งเป็นสัน ช่างสง่างามเหลือเกิน องค์หญิงน้อยมองดูด้วยความตะลึง หลงรักบุรุษผู้สง่างามนี้ทันทีเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์ขอบคุณแคว้นต่าง ๆ ที่มาร่วมแสดงความยินดี และเชิญทูตทุกแคว้นทุกชนเผ่าเข้าร่วมงานเลี้ยงในตอนเย็น เนื่องจากยังไม่มีการแต่งตั
หลังจากพระเจ้าเต๋อหมิงได้รับบาดเจ็บ คณะหมอหลวงก็พยายามทุกวิธีในการรักษา เพราะฤทธิ์ยาระงับความเจ็บปวดที่หมอหลวงปรุงขึ้น แม้พระพักตร์จะขาวซีดแต่ก็ไม่แสดงถึงความเจ็บปวด เวลาผ่านไปสิบกว่าวัน ลมหายใจที่แผ่วเบานั้นก็หยุดนิ่ง หัวหน้าหมอหลวงตรวจชีพจรอีกครั้งก่อนจะหันมาทูลต่อไทเฮาสือจินอวี้ว่า“พระองค์กลับคืนสู่สวรรค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไทเฮาสือจินอวี้ตัวอ่อน เป็นลมล้มพับ ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่ง ที่ยืนอยู่ใกล้กันรับตัวเสด็จป้าสะใภ้ไว้ทันก่อนพระวรกายกระทบพื้น หมอหลวงแบ่งคนมาปฐมพยาบาลไทเฮา ความเศร้าโศกเสียใจล้นห้องบรรทมออกไปครอบคลุมวังหลวงและกระจายออกไปทั่วแคว้น พระเจ้าเต๋อหมิงเป็นผู้ปกครองใต้หล้าด้วยความเมตตา จึงเป็นที่รักใคร่ของราษฎร ในช่วงเวลาอันเศร้าหมอง ฉินอ๋องเป็นกำลังหลักในการสั่งการเรื่องต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยหลังจากพิธีการต่าง ๆ ผ่านพ้นไป ไทเฮาสือจินอวี้ก็เรียกฉินอ๋องเข้าเฝ้า สุ่ยเฉินเฟิงดูแลเครื่องแต่งกายให้พระสวามี ฉินอ๋องใช้นิ้วดันคางของนางให้เงยหน้าขึ้น“เฟิงเอ๋อร์ เจ้ากังวลอะไรหรือ”สุ่ยเฉินเฟิงถอนหายใจ “ไม่แน่ว่าการเรียกตัวเข้าเฝ้าในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับบัลลังก์ที่ว่างอยู่เพ
พระเจ้าเต๋อหมิงบาดเจ็บสาหัส นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุพระองค์ก็ยังไม่ลืมพระเนตรขึ้นมา มีเพียงชีพจรและลมหายใจแผ่วเบาเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ เกิดความโกลาหลในการบริหารงานเล็กน้อย ไทเฮาสือจินอวี้ต้องออกนั่งเป็นประธานการประชุมขุนนางในฐานะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน พระนางไม่ประทับบนบัลลังก์มังกร แต่กลับให้คนนำเก้าอี้หงส์จากตำหนักของพระนางมาใช้ประทับเป็นการชั่วคราวแม้ว่าปกติไม่ว่าไทเฮาหรือฮองเฮาพระองค์ใดก็ตาม ไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการของวังหลวงได้ ผู้เป็นมารดาของแผ่นดินมีหน้าที่ควบคุมกำกับดูแลวังหลังให้เป็นไปโดยเรียบร้อย แต่สถานการณ์ของแคว้นต้าเจียในคราวนี้แตกต่างออกไป พระเจ้าเต๋อหมิงไม่ได้อภิเษกสมรสเพราะอยู่ระหว่างการไว้ทุกข์ให้กับไท่ซ่างหวงซึ่งก็คือเสด็จพ่อของพระองค์นั่นเอง อีกทั้งพระเจ้าเต๋อหมิงก็ไม่มีสนมจึงยังไม่มีพระราชโอรสหรือพระราชธิดาแม้แต่พระองค์เดียว แคว้นต้าเจียจึงยังไม่มีรัชทายาทเดิมทีเหล่าขุนนางตั้งใจว่าหลังจากพ้นการไว้ทุกข์ให้ไท่ซ่างหวงแล้ว พวกเขาจะกดดันให้พระเจ้าเต๋อหมิงอภิเษกสมรสและแต่งตั้งฮองเฮา รวมทั้งให้เริ่มการคัดเลือกสนมเข้ามาปรนนิบัติตามธรรมเนียมท
ก่อนที่สุ่ยฝานหรงจะออกไป ฉินอ๋องสั่งการเพิ่มเติมว่า “ตอนที่จับกุมเมิ่งกุ้ยเฟย คนที่สุสานบรรพชนล้วนถูกลงโทษ นางกำนัลอู่ก็ติดตามกุ้ยเฟยไปที่สุสานด้วย ท่านตรวจสอบด้วยว่าผู้ใดช่วยเหลือให้นางหลบหนีจนรอดพ้นได้” “พ่ะย่ะค่ะ”สุ่ยฝานหรงออกไปแล้ว ฉินอ๋องกลับเข้าไปในห้องบรรทมของพระเจ้าเต๋อหมิง มีโต๊ะวางไว้มุมห้อง เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ จางชุนรินน้ำชาส่งให้ เขารับมาถือไว้นิ่ง ๆ มองตรงไปก็เห็นญาติผู้พี่นอนนิ่ง พระพักตร์ซีดเซียว นี่คือสิ่งที่เขากังวลอยู่เสมอว่าจะเกิดขึ้น และแล้วก็เกิดขึ้นจริง พี่สี่ของเขาพระทัยอ่อน ใช้สายพระเนตรที่เมตตามองผู้คนโดยรอบ ใช้พระคุณแต่เพียงอย่างเดียวในการปกครองเวลาผ่านไป แม่ทัพใหญ่สุ่ยฝานหรงกลับมาอีกครั้งเมื่อเข้ายามอิ๋น เขาสีหน้าไม่ดีนัก รายงานว่า“ตรวจสอบโดยละเอียดแล้วพ่ะย่ะค่ะ นางกำนัลอู่ไม่ถูกจับกุมเพราะนางลากลับบ้านเดิมเพื่อจัดการงานศพของมารดา เมื่องานศพเสร็จแล้ว ระหว่างทางที่เดินทางกลับเมืองหลวง ก็ได้ข่าวว่าคนที่สุสานบรรพชนถูกจับกุม นางจึงซ่อนเร้นตัว เมื่อทหารที่ไปตรวจค้นสุสานบรรพชนและทำลายเห็ดเมากลับไปแล้ว นางก็ลักลอบเข้าไปในสุสานบรรพชน เพราะนางอยู่ที่นั่นกั
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จป้าสะใภ้ หลานจะสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้สภาพในคุกไม่เหมาะสำหรับผู้บาดเจ็บ” เขาหันถามหัวหน้าหมอหลวงว่า “จะเคลื่อนย้ายฝ่าบาทได้หรือไม่ หรือต้องรอให้อาการดีขึ้นกว่านี้ก่อน”หัวหน้าหมอหลวงตอบว่า “สามารถเคลื่อนย้ายได้แล้วพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง แต่ต้องทำด้วยความระมัดระวัง คุกหลวงไม่เหมาะกับการรักษาผู้ป่วยจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”ในที่สุด พระเจ้าเต๋อหมิงก็ถูกเคลื่อนย้ายไปยังตำหนักเฉียนชิง ฉินอ๋องประคองไทเฮา สือจินอวี้ไปพร้อมกัน โดยให้สุ่ยฝานหรงซึ่งตามมาถึงแล้ว ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียด ไทเฮานั่งกุมพระหัตถ์พระราชโอรส พระพักตร์ของพระองค์และพระเจ้าเต๋อหมิงซีดขาวพอกัน"เสด็จป้าสะใภ้พักผ่อนก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ไทเฮาสือจินอวี้ส่ายพระพักตร์ “ป้าสะใภ้จะเฝ้าเต๋อเอ๋อร์ เมื่อเขาฟื้นจะได้เห็นหน้าแม่เป็นคนแรก”“ถ้าเช่นนั้นหลานจะให้คนจัดห้องด้านข้างเป็นที่บรรทมชั่วคราวดีไหมพ่ะย่ะค่ะ เสด็จป้าสะใภ้ไปพักผ่อนก่อน มิฉะนั้นอาจจะประชวรไปอีกพระองค์ หากพี่สี่รู้สึกตัวแม้เพียงเล็กน้อยจะให้คนไปทูลให้ทรงทราบทันที”ไทเฮาพยักพระพักตร์ ฉินอ๋องจึงสั่งให้ขันทีประจำตำหนักเฉียนชิงเร่งจัดห้องบรรทมช