กว่าท่านหมอจะมาถึงเรือน เหอฮวาก็แทบจะหมดลมหายใจ ความเจ็บปวดรวดร้าวจู่โจมระลอกแล้วระลอกเล่า สาวใช้ก็วิ่งวุ่นต้มน้ำร้อนบ้าง หยิบจับสิ่งของส่งให้ตามแต่ท่านหมอจะสั่ง เหงื่อเม็ดเป้ง ๆ ผุดขึ้นเต็มใบหน้าของเหอฮวาผสมกับน้ำตาของนางอย่างเข้ากันดี“คลอดแล้ว คลอดแล้ว” สาวใช้ส่งเสียงดังเมื่อร่างเล็กกระจ้อยร่อยออกมาจากตัวมารดา ท่านหมอตัดสายสะดือแล้วยกเด็กขึ้นตีก้นเบา ๆ เสียงร้องไห้จึงดังขึ้น เหอฮวาเหลือบตามองทารกที่ยังอยู่ในมือท่านหมอ คำแรกที่นางถามคือ“เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงเจ้าคะ”“ท่านได้ลูกสาว เด็กคลอดก่อนกำหนดจะอ่อนแอเล็กน้อย ต้องเอาใจใส่ให้มาก”เหอฮวาหลับตาลง ความผิดหวังจู่โจมเข้ามาอย่างเต็มหัวใจ เดิมนางหวังว่าเด็กคนนี้จะเป็นชาย เมื่อเมิ่งหยางกลับมาเขาจะต้องดีใจหากนางคลอดบุตรชายให้เขา แต่เด็กนี่เป็นผู้หญิง เมิ่งหยางต้องไม่พอใจแน่ ๆ เขาเคยแสดงท่าทีรำคาญเด็กผู้หญิง แต่ชื่นชมเด็กผู้ชาย เขามีความคิดว่าผู้ชายเท่านั้นสามารถสร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูลได้ ผู้หญิงต้องพึ่งพาสามีจึงจะมีความเป็นอยู่ที่ดีนางหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งท่านหมอก็จากไปแล้ว มีเพียงทารกน้อยในห่อผ้าวางอย
อยู่ ๆ สุ่ยเฉินเฟิงก็ถามผู้คนที่มุงดูหนูน้อย “นางชื่ออะไร”ทุกคนมองหน้ากันแล้วก็ส่ายหน้า ถิงถิงค้นตระกร้าแล้วก็เงยหน้าขึ้นมาบอกว่า “ไม่มีชื่อติดมาด้วยเจ้าค่ะ ไม่มีป้ายหยก ป้ายชื่อ หรือว่าอะไรติดมาด้วยเหมือนในเรื่องของนักเล่าเรื่องทั้งหลาย”สุ่ยเฉินเฟิงกรอกตามองบนแล้วหัวเราะ “ถิงถิง เจ้าชอบฟังนิยายประโลมโลกมากเกินไปแล้ว งั้นข้าจะเรียกนางว่าเพียวเพียว”“คุณหนูตั้งชื่อให้นาง จะเลี้ยงไว้หรือเจ้าคะ” ถิงถิงถามอย่างสงสัย“คงเลี้ยงไม่ได้หรอก เราไม่รู้ว่าเด็กคนนี้พ่อแม่นำมาทิ้งไว้เองหรือถูกลักพาตัวมา ต้องรอปรึกษาท่านแม่ อีกครึ่งเดือนท่านแม่จึงจะกลับมา”“แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรกับนางเจ้าคะ”“ข้าจะเลี้ยงไว้ชั่วคราวก่อน” สุ่ยเฉินเฟิงหันไปทางพ่อบ้านซึ่งก็มามุงดูทารกน้อยด้วย “พ่อบ้านช่วยสั่งให้คนไปดูที่ตงฉาน ว่าแม่นางเหอคลอดบุตรหรือยัง เป็นหญิงหรือชาย บุตรของนางยังอยู่ที่นั่นหรือไม่”พ่อบ้านรับคำ แล้วเดินออกไปสั่งบ่าวใช้ชายให้เร่งเดินทางไปที่ตงฉานสุ่ยเฉินเฟิงหันมามองทารกน้อยแล้วบอกถิงถิงว่า “เจ้าไปที่ร้านหมอ เชิญลุงหมอมาตรวจร่างกายนางหน่อย นางตัวผอมเหลือเกินดูบอบบางจนข้าไม่กล้าแตะ”เมื่อท่านหมอประจำ
เหมยกุ้ยก็ได้ข่าวการการตั้งครรภ์ของสุ่ยเฉินเฟิง นางฟังแล้วความโกรธพุ่งจี๊ดขึ้นสมอง ข่าวไปถึงหูนางตอนกลางคืน วันรุ่งขึ้นนางจึงเดินทางไปถึงจวนอดีตแม่ทัพใหญ่ตั้งแต่ตะวันเพิ่งขึ้น เข้าประตูจวนก็เห็นสหายรักในเครื่องแต่งกายที่เรียบง่ายยืนอุ้มทารกอยู่ในลานหน้าของจวน สุ่ยเฉินเฟิงสวมใส่เสื้อสีฟ้าอ่อน เป็นผ้านิ่มลื่นไม่ปักลวดลาย บนศีรษะปักปิ่นมุกเรียบง่าย“ลูกใครน่ะ” คำแรกที่เหมยกุ้ยเอ่ยเมื่อพบหน้าสหาย เสียงแหลมและดังมาก“จุ๊ จุ๊ เบาหน่อย เดี๋ยวเพียวเพียวตกใจ” สุ่ยเฉินเฟิงจุ๊ปากเหมยกุ้ยจึงลดเสียงลง “เจ้าไปเอาลูกใครมาเลี้ยง ทั้งตลาดลือกันทั่วว่าเจ้าตั้งครรภ์โดยยังไม่มีพิธีแต่ง”“ห๊า!!!!” สุ่ยเฉินเฟิงร้องเสียงหลง ครั้งนี้เป็นนางเองที่ส่งเสียงทั้งแหลมทั้งดัง ร่างกระจ้อยร่อยที่ซบบ่าของนางสะดุ้งทั้งตัว สุ่ยเฉินเฟิงรีบเอามือลูบหลังเบา ๆ “โอ๋ โอ๋ อย่าตกใจนะหนูน้อย”เหมยกุ้ยเดินอ้อมมาข้างหลังสุ่ยเฉินเฟิง มองใบหน้าเล็ก ๆ ที่ซบบ่าของเพื่อน ร่างนั้นสวมใส่เสื้อเด็กที่หนานุ่ม มีหมวกเด็กอ่อนบนศีรษะด้วย โผล่ออกมาแค่วงหน้าเท่านั้น ผิวของเพียวเพียวยังคงเหี่ยวย่น“นางป่วยหรือ ผิวหน้านางย่นมาก คงจะเจ็บ” เหมยกุ้ย
เหมยกุ้ยหันมาถามถิงถิงว่า “ถิงถิงแน่ใจนะว่าผู้หญิงพวกนั้นเป็นคนของฮูหยินลั่ว”ถิงถิงยืนยันว่า “บ่าวเคยเห็นติดตามฮูหยินลั่วไปซื้อของถึงสองครั้ง และเดินอยู่กับคหบดีลั่วครั้งหนึ่งเจ้าค่ะ”“คนใส่ร้ายครั้งนี้จะใช่คนของเรือนคหบดีลั่วหรือไม่ ข้าจะไปถามให้ชัดเจน” สุ่ยเฉินเฟิงดึงนิ้วออกมาจากมือเพียวเพียวที่กำไว้แน่น นางลูบแขนเล็ก ๆ บอกว่า “เจ้ารอพี่สาวอยู่ที่นี่นะ พี่สาวไปทำธุระก่อน” แม่ครัวรีบเข้ามาดูแลทารกน้อยสุ่ยเฉินเฟิงเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย แล้วสั่งรถม้าประจำจวนให้ไปส่งที่เรือนคหบดีลั่ว เหมยกุ้ยและถิงถิงก็ไปด้วยกัน เรือนคหบดีลั่วใหญ่โตและเต็มไปด้วยสีสัน วัสดุก่อสร้างแต่ละอย่างล้วนมีราคาแพง ทุกชิ้นมีขนาดใหญ่สะดุดตา แต่เมื่อนำมาประกอบกันแล้วกลับมองดูเลอะเทอะ“สิ่งที่หาซื้อไม่ได้ก็คือรสนิยมจริง ๆ” เหมยกุ้ยเปรยเมื่อรถม้าจอดหน้าเรือนสุ่ยเฉินเฟิงแจ้งแก่สาวใช้ของเรือนว่าบุตรีอดีตแม่ทัพใหญ่สุ่ยลี่หรงมาพบฮูหยินลั่ว สาวใช้ฟังแล้วก็รู้สึกว่าคนในสังคมชั้นสูงมาหาเจ้านายถึงเรือนต้องต้อนรับให้ดี เชิญไปรอในห้องโถง ความฉูดฉาดของเฟอร์นิเจอร์ทำให้สีเสื้อของหญิงสาวทั้งสามดูจืดชืดไปเลยฮูหยินลั่วเมื่อได้ยินว
เช้าวันรุ่งขึ้น เรือนคหบดีลั่วเกิดความปั่นป่วน สำนักตรวจสอบส่งคนเข้าตรวจสอบการก่อสร้างห้องเรียนของสำนักศึกษาสำหรับเด็ก คหบดีลั่วเป็นเจ้าของกิจการรับเหมาก่อสร้าง วัสดุที่นำมาก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน เกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตกระฉ่อนไปทั้งเมืองหลวงสุ่ยเฉินเฟิงและเหมยกุ้ยนั่งจิบชาหอมหมื่นลี้ด้วยกันอย่างสบายอารมณ์ สุ่ยเฉินเฟิงหยิบขนมกุ้ยฮวาส่งให้ “ขนมกุ้ยฮวานี้ ข้าทำพิเศษเพื่อขอบคุณเจ้าเลยนะ”“ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรมาก เรื่องนี้มีคนร้องเรียนมาระยะหนึ่งแล้ว ลูกพี่ลูกน้องของข้ามีหน้าที่ตรวจสอบ เขารวบรวมหลักฐานและกำลังจะเข้าตรวจอยู่พอดี ข้าก็เลยเร่งรัดไปหน่อยเท่านั้น เขาก็ตรวจทันที ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เหมยกุ้ยหัวเราะเสียงดัง “ทำไมลูกพี่ลูกน้องของเจ้าจึงตามใจเจ้ามากอย่างนี้”“เขาติดหนี้บุญคุณข้า ครั้งนี้ก็ชดใช้หมดพอดี”หญิงสาวทั้งสองพูดคุยกันอย่างออกอรรถรส เพียวเพียวนอนส่งเสียงอ้อแอ้อยู่ใกล้ ๆ วันนี้ผิวเริ่มหายเหี่ยวย่นแล้ว น้ำหนักก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คหบดีลั่วเข้าใจผิดว่าการตรวจสอบครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะฮูหยินของเขาไปพูดจาไม่ดีกับบุตรีอดีตแม่ทัพใหญ่และบุตรีของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่มาเยือนเมื่อวาน หัวหน้าผู
สุ่ยเฉินเฟิงและเหมยกุ้ยขยับตัวหันหลังให้โถงกลาง พลันสีหน้าก็เปลี่ยนอีกครั้ง สุ่ยเฉินเฟิงเหยียดมุมปาก แล้วพูดเบาพอให้ได้ยินเฉพาะกลุ่มว่า “งานเลี้ยงจะแปดเปื้อนก็เพราะมีพวกทุจริตเข้ามาปะปนนี่แหละ”ฮูหยินลั่วได้ฟังแล้วก็ระเบิดอารมณ์ “พวกเจ้าก้าวร้าวไม่เห็นผู้ใหญ่อยู่ในสายตา นิสัยเช่นนี้ใครจะอยากรับเป็นสะใภ้เข้าจวน ไม่มีคนมาสู่ขอสินะ”สายตาของฮูหยินลั่วกวาดตามองขึ้น ๆ ลง ๆ ทั่วร่างของสุ่ยเฉินเฟิง ทำให้เหวินอิงบุตรชายคนเล็กของจวนเสนาบดีกรมโยธาหันสายตามามองด้วยวันนี้สุ่ยเฉินเฟิงสวมใส่เสื้อสีม่วงอ่อน สายรัดเอวสีม่วงเข้มปักด้วยด้ายเงินสวยงาม มวยผมประดับด้วยปิ่นดอกไม้สีเงิน เกสรดอกไม้เป็นอัญมณีสีม่วงขนาดใหญ่ มีระย้าเป็นดอกไม้เงินเล็ก ๆ สลับกับอัญมณีสีม่วงขนาดเล็ก เมื่อนางเคลื่อนไหวระย้าจะแกว่งไปมา เกิดแสงระยิบระยับกระทบสายตาผู้คน ขับให้ใบหน้านั้นสวยเด่นขึ้นอีก เหวินอิงมองด้วยสายตาหลงใหลบุตรชายคนเล็กของเสนาบดีกรมโยธาหันมามองใบหน้าขุ่นเคืองของฮูหยินลั่ว แล้วจึงเอ่ยว่า “ท่านน้า ผู้ใหญ่ที่มางานเลี้ยงรวมตัวกันอยู่ทางโน้น เชิญท่านน้าทางโน้นจะดีกว่า อีกซักครู่จะมีการแสดงของคณะเชียงเปียว การแสดงกำลัง
พระชายากู้ชุนฉือมองเอวที่คอดกิ่วและหน้าท้องที่แบนราบของสุ่ยเฉินเฟิงแล้วก็สงสัยว่านางตั้งครรภ์จริงหรือ ออกจากจวนเสนาบดีกรมโยธาแล้วค่อยถามฮูหยินลั่วให้รู้เรื่องมารดาของเหมยกุ้ยนั่งอยู่ไม่ห่างจากพระชายานัก นางมองตามสายตาของพระชายาก็รู้ว่าคิดอะไรอยู่ในใจ ข่าวลือนั้นกระฉ่อนไปทั่ว นึกสงสารสุ่ยเฉินเฟิง เด็กดีแท้ ๆ ต้องมาเสียชื่อเพราะคำคนใส่ร้ายป้ายสีมารดาของเหมยกุ้ยเอ่ยขึ้นกับฮูหยินขุนนางที่นั่งทางซ้ายมือว่า “ปิ่นพลอยสีฟ้าของกุ้ยเอ๋อร์และปิ่นพลอยสีม่วงของเฟิงเอ๋อร์มาจากเหมืองอัญมณีของญาติข้าเอง วันก่อนกุ้ยเอ๋อร์ไปที่เหมืองเพื่อเยี่ยมญาติที่เพิ่งคลอดลูก เฟิงเอ๋อร์ก็ตามไปเที่ยวด้วย มีของเด็กอ่อนดี ๆ ไปฝากมากมาย พวกนางจึงได้ปิ่นมาในราคามิตรภาพ”แล้วนางก็หันไปทางขวา คุยกับฮูหยินอีกนางหนึ่งว่า “หากพวกท่านสนใจพลอยน้ำงามราคาเป็นมิตร ก็บอกได้นะข้าจะบอกญาติให้ราคาพิเศษ”ฮูหยินผู้นั้นเบิกตาโตแล้วกล่าวว่า “อ้อ งั้นที่มีข่าวว่าคุณหนูสุ่ยไปซื้อของเด็กอ่อน ก็เพื่อนำไปฝากลูกของญาติท่านหรือ” มารดาของเหมยกุ้ยพยักหน้าแล้วเอารีบเปลี่ยนเรื่องสนทนาความจริงมีอยู่ว่าสุ่ยเฉินเฟิงและเหมยกุ้ยเคยไปเยี่ยมญาติที่เพิ่
วันรุ่งขึ้น ฮูหยินเจียงจือไฉและสุ่ยเฉินเฟิงไปที่สำนักรัฐ ปรึกษาข้อกฎหมายต่าง ๆ แล้วก็ทำการแจ้งข้อมูลเบื้องต้นของเพียวเพียวไว้ก่อนว่ามาอยู่ในจวนอดีตแม่ทัพใหญ่ได้อย่างไร ทางจวนจะเลี้ยงดูและให้ที่พักพิงไว้ก่อน เมื่อมีบิดามารดาที่แท้จริงปรากฏก็จะส่งคืนให้ กรณีนี้ไม่ถือว่าเป็นการรับบุตรบุญธรรมจวนอดีตแม่ทัพใหญ่เลี้ยงดูเพียวเพียวอย่างเงียบ ๆ เวลาผ่านไป เพียวเพียวในวัยสามเดือนก็ไม่เพียงแต่กรอกตามองตามคนได้เท่านั้น ทารกเริ่มชันคอขึ้นมาเหลียวตามสิ่งที่สนใจได้บ้างแล้ว ตอนนี้ร่างกายอ้วนจ้ำม่ำ ชอบส่งเสียงเรียกร้องความสนใจฮูหยินเจียงจือไฉเลือกสาวใช้คนหนึ่งในจวนมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กชั่วคราว สาวใช้คนนี้เป็นหญิงม่าย สามีและบุตรเสียชีวิตเมื่อครั้งยังอยู่ในชนบท อายุประมาณสามสิบปี แม่ครัวซึ่งเคยเลี้ยงเพียวเพียวเมื่ออายุไม่กี่วันก็มักจะแวะเวียนมาเล่นกับทารกน้อยเสมอฮูหยินเจียงจือไฉไม่ได้แทนตัวเองว่าแม่ แต่สุ่ยเฉินเฟิงและเหมยกุ้ยแทนตัวเองว่าพี่สาว เพียวเพียวไม่ได้มีสถานะเป็นคุณหนูของจวน แต่ทุกคนในจวนก็เอ็นดูและช่วยกันเลี้ยงดูอย่างดี เสื้อผ้าและข้าวของเด็กอ่อนเป็นของที่มีคุณภาพดีเหมันตฤดูปีนี้ อากาศหนาวมาเ
สิบปีผ่านไป ณ ตำหนักคุนหนิง ฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิง นั่งดื่มชาในสวนดอกไม้ อากาศอบอุ่น มีลมพัดผ่านเบา ๆ นึกถึงชะตาชีวิตที่แปลกประหลาด ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่มีชีวิตสงบสุขเหมือนคุณหนูสูงศักดิ์ทั่วไป แต่เมื่อถึงวัยมีคู่ครองก็มีเรื่องเดือดร้อนไม่จบไม่สิ้น ชีวิตเหมือนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง กว่าจะฝ่าฟันมาถึงวันนี้ก็ได้รับประคับประคองจากพระสวามีผู้สง่างามและครอบครัวเดิม สุ่ยเฉินเฟิงสัญญากับตนเองว่าจะทะนุถนอมความรักของพวกเขาไว้อย่างดีฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง และฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิง มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวมห้าองค์ องค์ชายหย่งเฉิงคล้ายเสด็จพ่อมากที่สุดทั้งรูปร่างหน้าตา อุปนิสัย และความรู้ความสามารถ องค์ชายหย่งเฉิงชื่นชอบการฝึกซ้อมอาวุธทุกประเภท อีกทั้งยังชำนาญหมากล้อมและการฝึกเชาว์ปัญญาต่าง ๆ เรียกว่าเก่งทั้งบู๊และบุ๋นองค์หญิงเฟิงซินหน้าตาคล้ายเสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือ ทำให้นางเป็นที่โปรดปรานของเสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือยิ่งนัก บางครั้งฮ่องเต้ยังจำใจต้องอนุญาตให้องค์หญิงเฟิงซินไปพักค้างที่ตำหนักนอกวังบ้างเพราะทนการรบเร้าของผู้เป็นมารดาไม่ไหว แรก ๆ ก็ไปพักค้างครั้งละหนึ่งคืน พอนานเข้าเสด็จย่าไทเฮา
ราษฎรต้อนรับการประสูติขององค์ชายน้อยหย่งเฉิงอย่างเอิกเกริก ร้านค้าในตลาดและบ้านเรือนราษฎรปักธงถวายพระพร เหลาเฉียนจัดทำอาหารพิเศษแจกจ่ายให้ลูกค้าโดยไม่คิดเงิน ร้านขายผลไม้ก็นำส้มมงคลมาแจกจ่ายให้ผู้คนที่สัญจรไปมาเมื่อครั้งเทียนตี้หย่งยังดำรงตำแหน่งฉินอ๋อง ราษฎรก็รักใคร่ชื่นชม แม้ในจวนอ๋องจะไม่มีพระชายา พระชายารอง หรืออนุ ก็ไม่มีผู้ใดใส่ใจ ต่อมาขึ้นครองราชย์ ราษฎรก็ปลื้มปิติ แต่ก็กังวลเพราะฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ลั่นวาจาไว้ว่าจะมีฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิงเพียงพระองค์เดียวแม้ในขณะที่แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งฮองเฮา พระนางจะตั้งครรภ์แล้วก็ตาม หากเป็นพระราชธิดาพวกเขาก็ยังไม่วางใจ ดังนั้นเมื่อองค์ชายน้อยหย่งเฉิงประสูติ จึงเป็นทั้งความยินดีและความโล่งใจของราษฎรทั้งหลาย อย่างน้อยก็สบายใจได้ว่า แคว้นต้าเจียมีผู้สืบทอดบัลลังก์มังกรแล้วในแต่ละวันขององค์ชายน้อยหย่งเฉิงมีเสด็จย่าทั้งสองและท่านยายผลัดกันมาดูแล คือเสด็จย่าไทเฮาสือจินอวี้ เสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือ และท่านยายเจียงจือไฉ แต่เสด็จย่าไทเฮาสือจินอวี้จะได้เปรียบมากกว่าเพราะประทับในวังเช่นเดียวกัน จึงมาดูแลเกือบทุกวัน เว้นแต่วันที่เสด็จย่าไทเฮ
พระราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮาเป็นไปอย่างเรียบง่ายตามความประสงค์ของสุ่ยเฉินเฟิง ตำหนักคุนหนิงของฮองเฮาได้รับการปรับปรุงใหม่ มีห้องสำหรับทารกติดกับห้องบรรทมของฮองเฮา สำหรับฮ่องเต้เทียนคงอิงฉงนั้นแม้จะมีตำหนักเฉียนชิง แต่พระองค์ก็จะมาบรรทมที่ตำหนักคุนหนิงเป็นประจำ เว้นแต่ช่วงที่ทรงงานดึกจึงจะพักผ่อนที่ตำหนักเฉียนชิงเพื่อให้ฮองเฮาพักผ่อนเต็มที่ ไม่ต้องตื่นกลางดึกสุ่ยฝานหรงซึ่งบัดนี้ได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีนั้น บางวันจะพาเหมยกุ้ยเข้าวังมาส่งที่ตำหนักคุนหนิงในช่วงเช้า และมารับกลับหลังจากประชุมขุนนางเสร็จ ชีวิตของสุ่ยเฉินเฟิงจึงไม่เงียบเหงาเกินไป ส่วนถิงถิงซึ่งบัดนี้เป็นนางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาก็ช่างมีเรื่องซุบซิบมาเล่าให้ฟัง แม้กระทั่งองค์หญิงนาราที่เสวยผลไป่เซียงกั่วเพื่อให้เกิดผื่นจะได้ยืดเวลาการอยู่ในวังหลวงเพื่อมีเวลาขอถวายตัวเป็นสนมก็มาเล่าให้ฟัง เรียกได้ว่าทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่ถิงถิงไม่ค่อยจะพลาดข่าว ถิงถิงมีความเห็นว่ารู้มากหน่อยดีกว่ารู้น้อยไปเมื่อสุ่ยฝานหรงเข้ารับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีแล้ว ฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ก็ต้องวางกำลังคนที่ไว้ใจให้ควบคุมหน่วยกำลัง
ไทเฮาสือจินอวี้ลุกขึ้นจากที่ประทับ ตรงไปยังองค์หญิงนาราที่นั่งคุกเข่า ใช้สองพระหัตถ์แตะไหล่ประคองให้องค์หญิงน้อยลุกขึ้นยืน แล้วตรัสว่า “องค์หญิงนารามีหน้าตาสวยงามและเพียบพร้อมด้วยความรู้ ไม่ควรจะมาเป็นสนม ความหวังดีนี้ไม่อาจรับไว้ได้ ขอให้แคว้นต้าเจียและเผ่าตู้ผูกพันเป็นมิตรที่ดีต่อกันเถิด”ภายนอกมีเสียงดังขึ้นว่า “ฮ่องเต้เสด็จ”เมื่อร่างสูงสง่าของฮ่องเต้ก้าวเข้ามาในโถงกลางของวังหลัง พระองค์ทำความเคารพไทเฮาก่อน แล้วจึงหันไปตรัสแก่ผู้อื่นที่ทำความเคารพว่า “ไม่ต้องมากพิธี” องค์หญิงน้อยมองด้วยสายตาหลงใหลเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อยแล้วตรัสด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เจิ้นขอบใจในน้ำใจของถู่ซือและองค์หญิง แต่ไม่อาจรับไว้ได้ ต้าเจียและเผ่าตู้ไม่จำเป็นต้องผูกพันกันด้วยการอภิเษกหรือการเป็นสนม แต่ยังเป็นพันธมิตรกันต่อไปได้”องค์หญิงน้อยทำได้เพียงกล่าวเสียงเบาว่า “เพคะ” รู้สึกอับอายแทบแทรกแผ่นดิน ไม่คิดมาก่อนว่าจะถูกปฏิเสธแม้แต่การเป็นสนม เทียนตี้หย่งหันไปทางทูตเผ่าตู้แล้วตรัสว่า “เผ่าตู้มีสินค้าหายากหลายอย่างที่ต้าเจียไม่มี เจิ้นจะให้ทูตการค้าต้าเจียหารือเรื่องการพัฒนาการค้าขายระหว่างกันดีห
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่อลังการ เทียนตี้หย่ง ขึ้นครองราชย์สถาปนาเป็นฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง ราษฎรทั่วแคว้นต้าเจียเฉลิมฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืน พวกเขาล้วนมีความหวังที่ยิ่งใหญ่กว่าครั้งใดที่เคยหวัง ต่างแคว้นล้วนส่งทูตมาแสดงความยินดี ไม่มีแคว้นใดหาญกล้าทดสอบความแข็งแกร่งของฮ่องเต้พระองค์ใหม่เผ่าตู้เป็นชนเผ่าที่เคยถูกแคว้นต้าเลี่ยงรุกรานและสร้างความอัปยศให้แก่องค์หญิงหลายองค์จนปลิดชีพตนเอง เมื่อแคว้นต้าเจียปราบปรามแคว้นต้าเลี่ยงทำให้เผ่าตู้ได้รับอิสระอีกครั้ง เมื่อมาแสดงความยินดีในครั้งนี้ มีองค์หญิงน้อยเผ่าตู้ร่วมเดินทางมาด้วย องค์หญิงนาราเป็นองค์หญิงองค์เดียวที่ปลอดภัยจากการรุกราน เนื่องจากช่วงเวลานั้นไม่ได้อยู่ในดินแดนเผ่าตู้ ในท้องพระโรง พระเจ้าเทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร พระพักตร์ขาวใส ดวงตาดำขลับยาวรีปลายชี้ฟ้า จมูกโด่งเป็นสัน ช่างสง่างามเหลือเกิน องค์หญิงน้อยมองดูด้วยความตะลึง หลงรักบุรุษผู้สง่างามนี้ทันทีเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์ขอบคุณแคว้นต่าง ๆ ที่มาร่วมแสดงความยินดี และเชิญทูตทุกแคว้นทุกชนเผ่าเข้าร่วมงานเลี้ยงในตอนเย็น เนื่องจากยังไม่มีการแต่งตั
หลังจากพระเจ้าเต๋อหมิงได้รับบาดเจ็บ คณะหมอหลวงก็พยายามทุกวิธีในการรักษา เพราะฤทธิ์ยาระงับความเจ็บปวดที่หมอหลวงปรุงขึ้น แม้พระพักตร์จะขาวซีดแต่ก็ไม่แสดงถึงความเจ็บปวด เวลาผ่านไปสิบกว่าวัน ลมหายใจที่แผ่วเบานั้นก็หยุดนิ่ง หัวหน้าหมอหลวงตรวจชีพจรอีกครั้งก่อนจะหันมาทูลต่อไทเฮาสือจินอวี้ว่า“พระองค์กลับคืนสู่สวรรค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไทเฮาสือจินอวี้ตัวอ่อน เป็นลมล้มพับ ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่ง ที่ยืนอยู่ใกล้กันรับตัวเสด็จป้าสะใภ้ไว้ทันก่อนพระวรกายกระทบพื้น หมอหลวงแบ่งคนมาปฐมพยาบาลไทเฮา ความเศร้าโศกเสียใจล้นห้องบรรทมออกไปครอบคลุมวังหลวงและกระจายออกไปทั่วแคว้น พระเจ้าเต๋อหมิงเป็นผู้ปกครองใต้หล้าด้วยความเมตตา จึงเป็นที่รักใคร่ของราษฎร ในช่วงเวลาอันเศร้าหมอง ฉินอ๋องเป็นกำลังหลักในการสั่งการเรื่องต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยหลังจากพิธีการต่าง ๆ ผ่านพ้นไป ไทเฮาสือจินอวี้ก็เรียกฉินอ๋องเข้าเฝ้า สุ่ยเฉินเฟิงดูแลเครื่องแต่งกายให้พระสวามี ฉินอ๋องใช้นิ้วดันคางของนางให้เงยหน้าขึ้น“เฟิงเอ๋อร์ เจ้ากังวลอะไรหรือ”สุ่ยเฉินเฟิงถอนหายใจ “ไม่แน่ว่าการเรียกตัวเข้าเฝ้าในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับบัลลังก์ที่ว่างอยู่เพ
พระเจ้าเต๋อหมิงบาดเจ็บสาหัส นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุพระองค์ก็ยังไม่ลืมพระเนตรขึ้นมา มีเพียงชีพจรและลมหายใจแผ่วเบาเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ เกิดความโกลาหลในการบริหารงานเล็กน้อย ไทเฮาสือจินอวี้ต้องออกนั่งเป็นประธานการประชุมขุนนางในฐานะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน พระนางไม่ประทับบนบัลลังก์มังกร แต่กลับให้คนนำเก้าอี้หงส์จากตำหนักของพระนางมาใช้ประทับเป็นการชั่วคราวแม้ว่าปกติไม่ว่าไทเฮาหรือฮองเฮาพระองค์ใดก็ตาม ไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการของวังหลวงได้ ผู้เป็นมารดาของแผ่นดินมีหน้าที่ควบคุมกำกับดูแลวังหลังให้เป็นไปโดยเรียบร้อย แต่สถานการณ์ของแคว้นต้าเจียในคราวนี้แตกต่างออกไป พระเจ้าเต๋อหมิงไม่ได้อภิเษกสมรสเพราะอยู่ระหว่างการไว้ทุกข์ให้กับไท่ซ่างหวงซึ่งก็คือเสด็จพ่อของพระองค์นั่นเอง อีกทั้งพระเจ้าเต๋อหมิงก็ไม่มีสนมจึงยังไม่มีพระราชโอรสหรือพระราชธิดาแม้แต่พระองค์เดียว แคว้นต้าเจียจึงยังไม่มีรัชทายาทเดิมทีเหล่าขุนนางตั้งใจว่าหลังจากพ้นการไว้ทุกข์ให้ไท่ซ่างหวงแล้ว พวกเขาจะกดดันให้พระเจ้าเต๋อหมิงอภิเษกสมรสและแต่งตั้งฮองเฮา รวมทั้งให้เริ่มการคัดเลือกสนมเข้ามาปรนนิบัติตามธรรมเนียมท
ก่อนที่สุ่ยฝานหรงจะออกไป ฉินอ๋องสั่งการเพิ่มเติมว่า “ตอนที่จับกุมเมิ่งกุ้ยเฟย คนที่สุสานบรรพชนล้วนถูกลงโทษ นางกำนัลอู่ก็ติดตามกุ้ยเฟยไปที่สุสานด้วย ท่านตรวจสอบด้วยว่าผู้ใดช่วยเหลือให้นางหลบหนีจนรอดพ้นได้” “พ่ะย่ะค่ะ”สุ่ยฝานหรงออกไปแล้ว ฉินอ๋องกลับเข้าไปในห้องบรรทมของพระเจ้าเต๋อหมิง มีโต๊ะวางไว้มุมห้อง เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ จางชุนรินน้ำชาส่งให้ เขารับมาถือไว้นิ่ง ๆ มองตรงไปก็เห็นญาติผู้พี่นอนนิ่ง พระพักตร์ซีดเซียว นี่คือสิ่งที่เขากังวลอยู่เสมอว่าจะเกิดขึ้น และแล้วก็เกิดขึ้นจริง พี่สี่ของเขาพระทัยอ่อน ใช้สายพระเนตรที่เมตตามองผู้คนโดยรอบ ใช้พระคุณแต่เพียงอย่างเดียวในการปกครองเวลาผ่านไป แม่ทัพใหญ่สุ่ยฝานหรงกลับมาอีกครั้งเมื่อเข้ายามอิ๋น เขาสีหน้าไม่ดีนัก รายงานว่า“ตรวจสอบโดยละเอียดแล้วพ่ะย่ะค่ะ นางกำนัลอู่ไม่ถูกจับกุมเพราะนางลากลับบ้านเดิมเพื่อจัดการงานศพของมารดา เมื่องานศพเสร็จแล้ว ระหว่างทางที่เดินทางกลับเมืองหลวง ก็ได้ข่าวว่าคนที่สุสานบรรพชนถูกจับกุม นางจึงซ่อนเร้นตัว เมื่อทหารที่ไปตรวจค้นสุสานบรรพชนและทำลายเห็ดเมากลับไปแล้ว นางก็ลักลอบเข้าไปในสุสานบรรพชน เพราะนางอยู่ที่นั่นกั
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จป้าสะใภ้ หลานจะสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้สภาพในคุกไม่เหมาะสำหรับผู้บาดเจ็บ” เขาหันถามหัวหน้าหมอหลวงว่า “จะเคลื่อนย้ายฝ่าบาทได้หรือไม่ หรือต้องรอให้อาการดีขึ้นกว่านี้ก่อน”หัวหน้าหมอหลวงตอบว่า “สามารถเคลื่อนย้ายได้แล้วพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง แต่ต้องทำด้วยความระมัดระวัง คุกหลวงไม่เหมาะกับการรักษาผู้ป่วยจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”ในที่สุด พระเจ้าเต๋อหมิงก็ถูกเคลื่อนย้ายไปยังตำหนักเฉียนชิง ฉินอ๋องประคองไทเฮา สือจินอวี้ไปพร้อมกัน โดยให้สุ่ยฝานหรงซึ่งตามมาถึงแล้ว ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียด ไทเฮานั่งกุมพระหัตถ์พระราชโอรส พระพักตร์ของพระองค์และพระเจ้าเต๋อหมิงซีดขาวพอกัน"เสด็จป้าสะใภ้พักผ่อนก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ไทเฮาสือจินอวี้ส่ายพระพักตร์ “ป้าสะใภ้จะเฝ้าเต๋อเอ๋อร์ เมื่อเขาฟื้นจะได้เห็นหน้าแม่เป็นคนแรก”“ถ้าเช่นนั้นหลานจะให้คนจัดห้องด้านข้างเป็นที่บรรทมชั่วคราวดีไหมพ่ะย่ะค่ะ เสด็จป้าสะใภ้ไปพักผ่อนก่อน มิฉะนั้นอาจจะประชวรไปอีกพระองค์ หากพี่สี่รู้สึกตัวแม้เพียงเล็กน้อยจะให้คนไปทูลให้ทรงทราบทันที”ไทเฮาพยักพระพักตร์ ฉินอ๋องจึงสั่งให้ขันทีประจำตำหนักเฉียนชิงเร่งจัดห้องบรรทมช