๒
ครั้นกลีบบุปผาโรย
กาลเวลาผ่านพ้นมาจนพ่อรักษ์อายุจวนจะครบเก้าขวบ เจ้ากลิ่นเองก็เติบโตมาเป็นเด็กชายสมวัย แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเติบโตมากับบุตรชายของท่านเจ้าคุณหรืออย่างไร ผิวพรรณของลูกบ่าวผู้นี้ถึงได้ผุดผ่อง ผิดแผกจากลูกบ่าวคนอื่น ๆ ที่อยู่ในเรือนเดียวกัน และด้วยความที่เจ้ากลิ่นนั้นเป็นเด็กไม่ดื้อไม่ซน คุณหญิงกลอยจึงเอ็นดูมันยิ่งนัก
“ แค่ก ๆ ”
เสียงไอแห้ง ๆ ดังมาจากคุณหญิงที่กำลังนั่งเอนหลังอยู่ที่ศาลาข้างเรือนใหญ่ มือเรียวกำลังประคองท้องที่นูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้จะท้องแก่ใกล้คลอดแล้ว แต่ร่างกายกลับดูซูบผอมไม่เหมือนคนท้องใกล้คลอดแม้แต่น้อย
“ ขึ้นเรือนดีหรือไม่เจ้าคะคุณหญิง บ่าวเห็นคุณหญิงไอถี่เหลือเกินเจ้าค่ะ ”
“ พ่อรักษ์กับพ่อกลิ่นยังเล่นกันอยู่ ข้าไม่อยากห้ามลูกที่กำลังสนุก อีกอย่างข้าจะมีโอกาสได้ดูลูกเล่นได้เช่นนี้อีกนานไหมก็มิรู้ได้ ”
“ คุณหญิงอย่าเอ่ยเช่นนี้สิเจ้าคะ กำลังท้องกำลังไส้อยู่นะเจ้าคะคุณหญิง ”
เจ้าหล่อนไม่ได้เอ่ยกระไรตอบกลับ เพราะไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าตัวเองว่าร่างกายนั้นกำลังย่ำแย่เพียงไหน
“ พ่อรักษ์ พ่อกลิ่น มานี่มา ”
ลูกชายวัยเก้าขวบ กับลูกบ่าววัยหกขวบหันมาตามเสียงเรียก ทั้งคู่วิ่งช้า ๆ มายังศาลา ลมหายใจของเจ้ากลิ่นพ่นออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อน ผิดกับพ่อรักษ์ที่ยังคงยิ้มร่าด้วยความร่าเริง ไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยหอบเลยแม้แต่น้อย
“ เหนื่อยหรือพ่อกลิ่น ”
คุณหญิงท่านลูบหัวทุยของลูกบ่าวที่เห็นมาตั้งแต่เกิด เอ็นดูประดุจลูกหลานของตนเอง แววตาอ่อนโยนมองดูเด็กน้อยที่ผิวพรรณผุดผาด ต่างจากผู้เป็นบิดรมารดาแท้ ๆ เสียอีก
“ เหนื่อยขอรับคุณน้า ”
“ ประเดี๋ยวเถอะไอ้กลิ่น ริอ่านตีตนเสมอนายนะเอ็ง ประเดี๋ยวข้าจะตีเอ็งให้หลังลายเชียว ”
เสียงดุของบ่าวข้างกายคุณหญิงทำให้เจ้ากลิ่นสะดุ้งตัวโยน ก้มหน้าปากเริ่มเบะน้ำตาคลอหน่วยจนคุณหญิงท่านต้องรีบลูบหัวเพื่อปลอบใจ
“ อย่าว่าเด็กมันเลยเป็นข้าเองนี่แหละที่บอกให้พ่อกลิ่นเรียกข้าแบบนี้ ”
“ มันจะเคยตัวคิดว่าตัวเองมีศักดิ์เทียมนายเอานะเจ้าคะคุณหญิง ”
“ เด็กมันจะคิดหรือไม่คิดอยู่ที่ผู้ใหญ่อย่างข้าเป็นคนสอนมิใช่รึ หากข้าสอนในสิ่งดี ๆ เด็กมันก็เติบโตมาดี หรือเอ็งไม่คิดแบบเดียวกับข้า ”
“ บ่าวแค่กลัวมันจะเหลิงเอาน่ะเจ้าค่ะ ”
“ ไม่ต้องกลัวในสิ่งที่มันยังไม่เกิดขึ้นดอก แม้หากมันจะเกิดขึ้น ข้าเองไม่เห็นว่ามันจะผิดกระไร ในเมื่อข้าเองก็เอ็นดูพ่อกลิ่นเหมือนลูกเฉกเช่นเดียวกับพ่อรักษ์ ”
คุณหญิงพูดจบก็ใช้นิ้วเรียวปาดหยดน้ำใสของเจ้ากลิ่นอย่างอ่อนโยน พ่อรักษ์ที่อยู่ในวัยที่พูดคุยรู้เรื่อง เมื่อเห็นเพื่อนที่โตมาด้วยกันร้องไห้ ก็เขยิบตัวไปนั่งใกล้ ๆ
“ เป็นกระไรพ่อกลิ่น ร้องไห้ทำไม ”
“ น้องแค่เหนื่อยน่ะพ่อรักษ์ ดูสิน้องเหงื่อออกเต็มตัวไปเสียหมดพ่อรักษ์ก็ยังจะชวนน้องเล่นไม่หยุด ”
“ ก็เล่นกับพ่อกลิ่นสนุกกว่าเล่นกับคนอื่นนี่ขอรับคุณแม่ ”
“ แม่รู้ แต่พ่อรักษ์ก็ต้องให้น้องได้พักบ้างรู้ไหม ”
“ ขอรับคุณแม่ เช่นนั้นวันนี้ข้าไม่เล่นแล้วก็ได้ขอรับ ”
“ ดีจ้ะ ไหน ๆ ก็หยุดเล่นแล้วก็มากินน้ำกินท่าเสียบ้าง แม่ทำน้ำลอยดอกมะลิที่ลูกชอบมาให้ด้วย ”
พ่อรักษ์รับขันน้ำมากินด้วยความกระหาย ก่อนจะยื่นขันน้ำไปให้เจ้ากลิ่นที่น้ำตาเพิ่งจะแห้งไปไม่นาน
“ ค่อย ๆ กินสิพ่อกลิ่น เดี๋ยวก็สำลักหรอก ”
“ แค่ก ๆ ”
“ นั่นประไร เห็นไหมข้าบอกแล้วว่าให้ค่อย ๆ กิน มานี่มาใกล้ ๆ ข้า ”
พ่อรักษ์ดึงตัวเจ้ากลิ่นที่ตัวเล็กกว่าเข้ามาหาตนเอง ก่อนจะก้มตัวลงไปเป่ากะหม่อมบาง ๆ ของเจ้ากลิ่น
“ เพี้ยง...ขวัญเอ๊ยขวัญมานะพ่อกลิ่น ”
คุณหญิงมองดูเด็กชายทั้งสองคน อมยิ้มให้กับความไร้เดียงสาของเด็กน้อยทั้งสอง
เสียงหรีดหริ่งเรไรยามค่ำคืนดังขึ้นท่ามกลางความมืด เสียงลมหนาวพัดผ่านต้นไม้ใบหญ้าด้านนอกก่อให้เกิดการเสียดสีจนเป็นเสียงน่าฟัง เรือนบ่าวของบ้านท่านเจ้าคุณดูเงียบสงบต่างจากตอนกลางวันที่มีบ่าวไพร่พลุกพล่าน
“ กลิ่นเอ๊ย.... ”
“ จ๊ะแม่... ”
เจ้ากลิ่นนอนคุดคู้อยู่ภายใต้ผ้าห่มหนา ร่างเล็กมีท่อนแขนผู้เป็นมารดาโอบกอดเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่บุตรชาย
“ วันนี้ป้าจวงมาบอกแม่ว่าเอ็งเรียกคุณหญิงท่านว่าน้างั้นรึ ”
เด็กชายไม่ได้ตอบกลับ ดวงตาปรือเพราะความง่วงน่าจะเป็นสาเหตุให้เจ้ากลิ่นไม่ได้ฟังผู้เป็นมารดาพูด
“ ถึงคุณหญิงท่านจะเอ็นดูเอ็ง แต่เอ็งจะไปตีตนเสมอท่านไม่ได้นะ แม่กับเอ็งโชคดีแล้วที่ได้มาเป็นบ่าวที่เรือนนี้ มิหนำซ้ำเอ็งยังได้รับความเมตตาจากคุณ ๆ ท่านอีก เอ็งต้องช่วยงานพวกท่านอย่าได้เกียจคร้านเชียวนะ ”
เจ้ากลิ่นหลับไปนานแล้ว เด็กน้อยไม่ได้รับรู้สิ่งที่แม่พูดเลยสักนิด ผู้เป็นแม่ได้แต่กระชับอ้อมกอด ได้แต่ภาวนาในใจให้ลูกชายนั้นเติบโตมาอย่างไม่หลงระเริงไปกับความเอ็นดูที่ได้รับจากผู้เป็นนาย
“ นังปรุง ๆ นังปรุงโว้ย ”
เสียงเรียกดังลั่นไปทั่วเรือนบ่าว คนถูกเรียกลืมตาตื่นมาหลังจากเข้าสู่ภวังค์ไปได้ไม่นาน ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวลูกชายก่อนจะเดินออกมาหาคนที่ยืนตัวสั่นเพราะความหนาวด้านนอก
“ มาเรียกข้าเสียดึกดื่นเชียวพี่จวง มีกระไรรึ ”
“ คุณหญิงท่านจะคลอดแล้ว แต่หนนี้ดูจะคลอดยากกว่าหนแรก เจ้าคุณท่านเลยให้มาตามเอ็งไปที่เรือนใหญ่ ท่านเจ้าคุณสั่งว่าให้พาไอ้กลิ่นไปด้วย รีบไปเอาลูกเอ็งมาเร็วเข้า ”
“ จ้ะพี่ ”
ปรุงรีบเข้าไปในเรือนก่อนที่จะเอาผ้าห่มห่อตัวลูกชายแล้วอุ้มออกมาเพื่อพาไปที่เรือนใหญ่ เจ้ากลิ่นได้แต่งัวเงียอยู่บนอ้อมกอดแม่ที่กำลังวิ่งอยู่ ดวงตาดำที่ปรือเพราะความง่วงได้แต่งุนงงกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
“ นังปรุงมาแล้วรึ ”
“ เจ้าค่ะ ท่านเจ้าคุณ ”
หลังจากกระวีกระวาดพาลูกวิ่งมาบนเรือนใหญ่ นังปรุงก็วางลูกชายที่ยังตื่นไม่เต็มตาลง บนเรือนใหญ่คลาคล่ำไปด้วยบ่าวไพร่เต็มเรือนที่กำลังวิ่งวุ่นบริเวณห้องของคุณหญิงท่าน มองไปยังด้านในผ่าน ๆ ตาก็เห็นยายกล่ำที่กำลังอยู่ใกล้กับคุณหญิง
“ มีใครไปตามนังปรุงมารึยัง ตามมันมาช่วยข้าที ”
เสียงดังลั่นของยายกล่ำ ทำให้นังปรุงที่นั่งอยู่รีบเข้าไปทันที
“ มาเสียทีนะมึง คุณหญิงท่านไม่มีแรงเบ่ง เอ็งรีบไปนั่งหนุนหลังคุณหญิงท่านประเดี๋ยวนี้ อีจวงน้ำอุ่นกับใบมะนาว ที่ข้าให้เอ็งไปเกียมได้รึยังรีบเอามาให้คุณหญิงกินเร็วเข้า ”
เสียงเอ็ดตะโรในห้องของคุณหญิงส่งผลให้เจ้ากลิ่นเริ่มกลัว ท่านเจ้าคุณเห็นทีจึงบอกให้บุตรชายพาเจ้ากลิ่นเข้าไปนอนในห้องเสีย
“ พ่อรักษ์...พาเจ้ากลิ่นไปนอนเสียเถิดลูก กว่าแม่เจ้าจะคลอดน้องเจ้าได้พ่อว่าก็น่าจะย่ำรุ่ง ไปพักผ่อนเสียเมื่อน้องเจ้าออกมาแล้วเจ้าจะได้มาช่วยแม่เลี้ยงน้อง ”
“ ขอรับคุณพ่อ ไปนอนกันเถอะพ่อกลิ่น ”
พ่อรักษ์จูงแขนเจ้ากลิ่นกลับเข้าไปในห้องของตนเอง แม้ในใจไม่ได้ต้องการที่จะกลับเข้าไปนอนเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ต้องเชื่อฟังพ่ออย่างจำใจ
“ หนาวหรือไม่พ่อกลิ่น ”
พ่อรักษ์ถามบ่าวคนสนิทของตัวเองที่โตมาด้วยกัน เจ้ากลิ่นพยักหน้าก่อนที่น้ำตาจะรื้นเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ยังคงติดตาอยู่
“ เจ้ากลัวรึ อย่าได้กลัวไปเลยพ่อกลิ่น วันพรุ่งข้าก็จะมีน้องแล้ว ข้าจะได้เป็นพี่ชาย ส่วนเจ้าเองก็จะได้เป็นพี่ชายของน้องข้าด้วยเหมือนกัน เจ้าก็ดีใจเหมือนกันใช่หรือไม่ ”
พ่อรักษ์มองดูเจ้ากลิ่นที่นอนหลับสนิท ก่อนจะดึงผ้าห่มมาคลุมเจ้ากลิ่นเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ ก่อนที่ตนเองจะทิ้งตัวลงนอนตามไปพร้อม ๆ กับความตื่นเต้น
“ คุณรักษ์เจ้าขา... ”
เสียงเรียกของนังจวงบ่าวรับใช้บนเรือนใหญ่เขย่าแขนนายน้อยของตนเองให้ตื่น พ่อรักษ์เด้งตัวขึ้นมาด้วยสีหน้าแช่มชื่น
“ น้องข้าล่ะ น้องข้าอยู่ที่ใด ”
“ ล้างหน้าล้างตาก่อนเถิดเจ้าค่ะ คุณหญิงท่านเรียกหาคุณรักษ์กับเจ้ากลิ่นเจ้าค่ะ ”
จวงกล่าวจบก็หันไปปลุกเจ้ากลิ่นที่ยังนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวกระไร
“ ลุกขึ้นได้แล้วกลิ่นเอ๊ย คุณหญิงท่านเรียกหา อย่าให้ท่านรอนาน ”
“ จ้ะป้าจวง ”
“ ไปล้างหน้าล้างตาเสียให้ดี เสร็จแล้วเอ็งก็เข้าไปรอที่ห้องของคุณหญิงท่านเสีย อย่าช้าเชียว ”
เจ้ากลิ่นก้าวลงจากที่นอนของคุณรักษ์แล้วรีบวิ่งไปล้างหน้าล้างตาทันที
ภายในห้องของคุณหญิงมีบ่าวไพร่นั่งล้อมรอบเตียงนอน ท่านเจ้าคุณนั่งอยู่ข้างกายของคุณหญิง คุณรักษ์ที่พอจะรู้เรื่องรู้ราวแล้ว เมื่อก้าวเข้ามาภายในห้องก็จับสังเกตได้
“ พ่อรักษ์...มาแล้วเหรอลูก มาหาแม่ตรงนี้สิลูก แม่ขอดูหน้าเจ้าชัด ๆ เสียหน่อย แล้วพ่อกลิ่นล่ะลูกน้องไม่ได้มาพร้อมกับเจ้ารึ ”
น้ำเสียงไร้เรี่ยวแรงเอ่ยพูดอย่างยากลำบาก นิ้วเรียวที่เหมือนจะมีเพียงหนังหุ้มยื่นไปหาลูกชาย
“ พ่อกลิ่นก็มาพร้อมลูกขอรับ ”
“ เช่นนั้นก็เข้ามาหาแม่พร้อมกันทั้งสองคนเลย แม่อยากเห็นหน้าพวกเจ้าทั้งคู่ ”
เด็กชายทั้งสองเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ กายของหญิงสาว มือผอมของคุณหญิงสั่นเทา พยายามเอื้อมมือไปลูบหน้าของลูกชาย สลับกับเจ้ากลิ่นที่คุณหญิงเอ็นดูมันเหมือนเป็นบุตรในอุทร
“ เสียดายเหลือเกิน... ”
“ คุณแม่มีอันใดให้ต้องเสียดายหรือขอรับ ”
“ เสียดายที่แม่จะไม่มีโอกาสได้เห็นเจ้าสองคนเติบใหญ่ เสียดายที่น้องของเจ้าจะไม่ได้เห็นหน้าแม่ตอนที่รู้ความกว่านี้ ”
“ คุณแม่จะไปที่ใดหรือขอรับ ให้ลูกไปกับคุณแม่ด้วยนะขอรับ ”
“ ที่ที่แม่จะไปมันไกลแสนไกลเหลือเกินลูก...ที่สำคัญมันยังไม่ถึงเพลาของพ่อรักษ์ที่จะต้องไปที่แห่งนั้น...ฟังแม่นะพ่อรักษ์ ต่อแต่นี้เจ้าต้องเชื่อฟังคุณพ่อ ช่วยดูแลน้องสาวของเจ้า..แทนแม่ เข้าใจหรือไม่พ่อรักษ์ ”
คุณหญิงกลืนก้อนสะอื้นลงคออย่างยากลำบาก หยาดน้ำตาเอ่อคลอขอบตาคล้ำ พ่อรักษ์พอจะเข้าใจที่แม่ต้องการจะสื่อ แต่เพราะยังเยาว์วัยความคิดเอาแต่ใจก็ยังเผยให้เห็นอยู่
“ แต่ข้าไม่อยากให้ท่านแม่ไปไหนทั้งนั้น ข้าอยากให้ท่านแม่อยู่กับข้า ”
“ พ่อรักษ์...ฟังแม่ แม่รักเจ้ามากเหลือเกินครานี้แม่จะขอร้องเจ้าให้เชื่อแม่เป็นครั้งสุดท้าย เจ้าให้แม่ได้หรือไม่พ่อรักษ์ ”
“ ฮึก ๆ ข...ขอรับคุณแม่ ”
“ เป็นเด็กดีเหลือเกินยอดรักของแม่ ก้มมาให้แม่หอมเจ้าสักหน่อยได้หรือไม่ ”
พ่อรักษ์ก้มตัวลงไปให้คุณหญิงหอมพวงแก้ม ก่อนที่คุณหญิงจะกวักมือเรียกเจ้ากลิ่นที่นั่งไม่รู้สถานการณ์
“ พ่อกลิ่น...น้าฝากเจ้าเป็นเพื่อนเล่นกับพ่อรักษ์ด้วยหนา ดูแลพ่อรักษ์แทนน้าด้วยหนาพ่อกลิ่น ”
คุณหญิงดึงตัวเจ้ากลิ่นมาหอมหน้าผากขาว กวักมือเรียกลูกชายที่นั่งร้องไห้อยู่เข้ามาสวมกอดเด็กชายทั้งคู่อีกครั้ง เมื่อคลายอ้อมกอดก็มองหน้าลูกชายด้วยความเศร้าใจ หวังเพียงว่าอยากจะจดจำใบหน้าของบุตรชายไว้ในความทรงจะก่อนที่จะจากไป
“ พ่อรักษ์ของแม่...เมื่อแม่ไม่อยู่แล้ว เจ้าก็อย่าได้กล่าวโทษน้องของเจ้าเลยหนา หากเจ้าจะโทษผู้ใดสักคน ก็โทษแม่เถิดที่แม่มีบุญวาสนาดูแลพวกเจ้าได้ถึงเพียงเท่านี้ ”
น้ำตาไหลอาบแก้มตอบ คุณหญิงมองหน้าเจ้าคุณวรจิตร นับตั้งแต่อยู่กินกันมาไม่เคยมีสักเพียงครั้งที่เจ้าคุณวรจิตรจะทำให้ตนต้องขุ่นข้องหมองใจ มีผัวดีถึงเพียงนี้แต่ตนกลับไร้วาสนาอยู่เป็นคู่กันจนเห็นลูกหลานเติบโต
“ คุณพี่...น้องฝากดูแลลูกของเราด้วยนะเจ้าคะ... ”
คุณหญิงเอ่ยบอกก่อนจะหันไปมองลูกสาวที่นอนอยู่ข้าง ๆ นิ้วผ่ายผอมเกลี่ยไปที่แก้มแดงของเด็กหญิงแรกเกิด
“ แม่ขอโทษนะ ‘รำพึง’ ลูกแม่... ”
สิ้นเสียงเรียกชื่อลูกสาวของตน มืออันผอมบางของคุณหญิงก็หล่นลงเบา ๆ บนตัวของลูกสาว ใบหน้าผ่ายผอมของคุณหญิงฉาบไปด้วยคราบน้ำตา เสียงบ่าวบนเรือนร่ำไห้ดังระงม ความเศร้าโศกเข้าครอบงำเรือนของท่านเจ้าคุณวรจิตร เมื่อนายหญิงอันเป็นเหมือนนางอัปสรนั้นได้กลับสู่สรวงสวรรค์เสียแล้ว
๓ มั่นคงดั่งทานตะวัน “ พี่กลิ่นจ๊ะ คุณพี่ไปไหนแล้วหรือจ๊ะ ” คุณหนูรำพึงบุตรสาวคนเล็กของท่านเจ้าคุณวรจิตร เติบโตมาเป็นสาวรุ่นอายุอานามก็เข้าปีที่สิบแล้ว หน้าตาก็สะสวยละม้ายคล้ายคลึงมารดาที่รำพึงเองก็จำหน้ามิได้ “ คุณรักษ์อยู่ที่ท้ายสวนขอรับคุณหนู ” เจ้ากลิ่นละมือจากการคัดดอกมะลิ มองไปยังหญิงสาวด้วยสายตาเอ็นดู “ คุณพี่คงดูชนไก่อีกสินะ แล้วนี่พี่กลิ่นไม่ไปดูบ้างหรือจ๊ะ เห็นมาช่วยรำพึงคัดแต่ดอกมะลิจะเบื่อเอานะ ” “ บ่าวไม่เบื่อหรอกขอรับคุณหนู บ่าวอยู่กงนี้ดีแล้วขอรับไปอยู่กับคุณรักษ์ตอนนี้บ่าวสงสารไก่ขอรับ ” “ พี่กลิ่นนี่ก็ช่างแปลกคน บ่าวผู้ชายคนอื่นก็ขลุกกันอยู่ที่ท้ายสวนกันทั้งนั้น มีก็แต่พี่กลิ่นนี่แหละหนาที่มาขลุกอยู่แต่กับรำพึง ระวังเถิดประเดี๋ยวคุณพี่เรียกหาไม่เจอจะโดนดุเอาเสียอีก ” “ คุณรักษ์ไม่ว่าบ่าวหรอกขอรับ เพราะคุณรักษ์เป็นคนไล่บ่าวให้กลับมาช่วยงานคุณหนูเองขอรับ ” “ คุณพี่น่ะหรือเป็นคนบอกให้พี่กลิ่นมาช่วยงานรำพึงที่เรือนนี้ ” “ ขอรับ คุณรักษ์เป็นคนพูดเองเลยขอร
๔ เข้มแข็งดุจผกากรอง สองร่างกายเปลือยเปล่าบนตั่งนอนที่มีเบาะยัดนุ่นหุ้มด้วยผ้าพื้นสีแดง มือใหญ่ของพ่อรักษ์กอบกุมปทุมถันของนางกลางเมืองอย่าง “จำเรียน” ร่างอรชรค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาตอนย่ำรุ่ง หลังผ่านค่ำคืนสวาทกับบุตรชายของท่านเจ้าคุณมีชื่อ ที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอยู่ในวัยกลัดมันหรืออย่างไร จำเรียนจึงต้องปรนเปรอชายหนุ่มผู้นี้จนร่างกายบอบช้ำไปแทบทั้งตัว กว่าจะได้หลับตาพักก็ตอนที่แสงโคมสีแดงที่อยู่ในเรือนไม้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าเรือนแห่งนี้ได้เวลาหลับไหล “ อือ.... ” เสียงครางในลำคอ พร้อมกระชับวงแขนแกร่งให้แน่นขึ้นจนจำเรียนต้องพยายามดันแขนไว้ “ คุณรักษ์เจ้าคะ ขอจำเรียนไปล้างเนื้อล้างตัวเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ” “ ล้างทำไมให้เปลืองเวลาไปเล่า อีกประเดี๋ยวข้าก็ทำให้เอ็งเหนียวตัวอีกรอบแล้ว เอ็งดูสิตัวของข้ามันต้องการเอ็งอีกรอบแล้วเห็นหรือไม่จำเรียน ” พ่อรักษ์ส่งสายตาหวานเยิ้มไปยังส่วนที่กำลังขยายใหญ่ตรงกลางลำตัว จำเรียนจ้องมองไปยังส่วนนั้น ก่อนที่ร่างบางจะโดนร่างแกร่งจับพลิกตัวลงกับเบาะนอน พร้อม ๆ กับบทเพลงบรร
๕ สบดวงเนตร สามสี่วันมานี้พ่อรักษ์อยู่ติดเรือนอย่างที่ไม่เคยมีผู้ใดเห็นมาก่อน นั่นก็เป็นเพราะต้องคอยเทียวไปเทียวมาระหว่างเรือนใหญ่กับเรือนบ่าวเพื่อคอยดูไม่ให้เจ้ากลิ่นลุกขึ้นมาทำงานตอนที่ร่างกายยังไม่หายดี ในขณะที่เจ้าคุณวรจิตรเองช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้กลับเรือน หรือหากกลับก็กลับมาเพียงเปลี่ยนผ้าผ่อนเท่านั้น ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าเพลานี้ท่านเจ้าคุณวรจิตรต้องคอยวางแผนให้ทางท่านเจ้าเมืองกำราบเมืองประเทศราชที่มีข่าวแว่วมาว่ากำลังคิดกระด้างกระเดื่อง “ จะไปดูพี่กลิ่นที่เรือนหรือเจ้าคะคุณพี่ ” แม่รำพึงเอ่ยถามพี่ชายที่กำลังลงจากเรือน พ่อรักษ์หันมามองน้องสาวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ รำพึงชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นพี่ชายมองมาด้วยความไม่พอใจ “ ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง... ” พ่อรักษ์เอ่ยกับน้องอย่างไม่ไยดี แม่รำพึงดวงตาร้อนผ่าวเพราะความน้อยใจที่ตั้งแต่โตมาพี่ชายไม่เคยพูดจาดี ๆ ด้วยเลยสักครั้ง “ น้องแค่เห็นว่าหากคุณพี่ไปหาพี่กลิ่น น้องจะฝากข้าวต้มมัดที่น้องทำไปให้พี่กลิ่น แต่หากคุณพี่ไม่สะดวกน้องจะเอาไปให้พี่กลิ่นคราหลังก็ได้ค่ะ ”
๖ อวลกลิ่นพุดตาน “ แม่พุดตานนอนห้องนี้เถิด ประเดี๋ยวข้าจะให้บ่าวมันช่วยขนข้าวของมาไว้ให้เสียบนเรือน ” “ เจ้าค่ะท่านเจ้าคุณ ” “ ต่อจากนี้ข้าก็ขอฝากเรือนนี้ไว้ให้แม่พุดตานดูแลแทนข้าทีนะ ส่วนเรื่องเมื่อครู่ก็อย่าได้ถือสามันเลยอยู่ให้สบายใจเถิด ” “ เจ้าค่ะ... ” “ พักผ่อนเสียเถิดวันนี้ข้าต้องเข้าวัง มีกระไรก็เรียกบ่าวในเรือน หรือแม่รำพึงให้มาพูดคุยเป็นเพื่อนเสียก็ได้ ” “ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ” ท่านเจ้าคุณวรจิตรมองดูหญิงสาวที่ยืนหน้าเรียบเฉยอยู่ แววตาไม่สามารถซ่อนความรู้สึกภายในใจของเจ้าหล่อนได้เลย ก่อนที่ท่านเจ้าคุณจะเดินออกไปเรียกไอ้มาดให้ไปเตรียมตัวเข้าวัง แม่พุดตานมองตามหลังผัวหมาด ๆ ของตนเองด้วยแววตาเศร้าสร้อย “ อย่าร้องไห้ไปเลยเจ้าค่ะ เป็นเมียท่านเจ้าคุณวรจิตรอย่างไรเสียก็มีหน้ามีตานะเจ้าคะ ” แม่พุดตานใช้นิ้วเรียวปาดหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอ หันกลับมามองบ่าวรับใช้ร่างท้วมที่ยืนมองอยู่ด้านหลังมาพักใหญ่ “ ได้ผัวคราวพ่อนี่น่ะหรือป้าผัน สู้อยู่เป็นสาวเทื้อคาเรือนมิดีกว่าหรือจ๊ะ ”
๗ เบญจมาศในหมู่ภมร “ พี่ชายเจ้าไม่มากินข้าวอีกแล้วหรือแม่รำพึง ” ท่านเจ้าคุณเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าบุตรชายไม่อยู่กินข้าวเช้ามาหลายวัน คิ้วหนาแซมขาวขมวดมุ่นจนคนนั่งร่วมสำรับอึดอัด “ รับข้าวเถิดเจ้าค่ะท่านเจ้าคุณ ” แม่พุดตานเอ่ยเสียงเรียบ มือเรียวตักข้าวใส่จานของท่านเจ้าคุณ “ นังจวงไปตามพ่อรักษ์มา ” “ จะ...เจ้าค่ะ ” นังจวงสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงที่ปนไปด้วยความโกรธส่งตรงมาที่ตน มันตอบรับคำสั่งรีบวิ่งไปตามพ่อรักษ์ที่เรือนบ่าว “ เรียกข้ามีกระไรหรือขอรับคุณพ่อ ” พ่อรักษ์ขึ้นเรือนมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใช้หางตาปรายมองหญิงสาวสองคนที่นั่งร่วมสำรับอย่างไม่ชอบใจ “ นั่งลง ” “ คุณพ่อแจ้งมาได้เลยขอรับว่ามีกระไรกับข้า ” “ กูบอกให้มึงนั่งลงไอ้รักษ์ ” “ หากคุณพ่อไม่มีกระไรเพียงแต่อยากเรียกข้ามาให้ร่วมสำรับกับครอบครัวของคุณพ่อ ข้าไม่ต้องการขอรับ ข้ากินข้าวที่เรือนบ่าวกับแม่ปรุงอิ่มแล้วขอรับ ” “ ไอ้ลูกไม่รักดี มึงเห็นบ่าวดีกว่ากูที่เป็นพ่อของมึงเชียวรึไอ้
๘ เจ็บกายแต่เต็มใจ เปลือกตาดำคล้ำค่อย ๆ เปิดขึ้นมาพร้อมกับความปวดร้าวไปทั่วตัว ดวงตาดำหรี่มองบุคคลข้าง ๆ ที่ดูเลือนรางไปหมด “ คุณรักษ์ขอรับ... ” เสียงเจ้ากลิ่นทำให้พ่อรักษ์แค่นยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะเพ่งมองไปยังใบหน้าขาวของบ่าวจนมองเห็นชัดในสายตาของตนเอง “ ดูทำหน้าเข้าซีพ่อกลิ่น ข้ายังไม่ได้ตายเสียหน่อย ” “ คุณรักษ์อย่าพูดเช่นนี้สิขอรับ มันเป็นลางไม่ดีนะขอรับ ” “ แล้วนี่ใครเป็นคนพาข้ากลับมาที่เรือนหรือพ่อกลิ่น ” “ พี่จอมกับลุงมาดขอรับ ” “ แล้วพ่อข้ารู้เรื่องหรือไม่พ่อกลิ่น ” เจ้ากลิ่นพยักหน้าเบา ๆ ด้วยแววตาเป็นห่วง ก่อนที่หัวทุยของมันจะโดนมือกร้านลูบเพื่อให้คลายกังวล “ ไม่ต้องห่วงข้าดอกพ่อกลิ่น...แล้วนี่พ่อกลิ่นมาเฝ้าข้าตั้งแต่เมื่อใดกัน ” “ เมื่อคืนขอรับ พอมีคนมาแจ้งข่าวท่านเจ้าคุณก็สั่งให้บ่าวในเรือนไปพาคุณรักษ์มาที่เรือนขอรับ ท่านเจ้าคุณให้หมอยามาดูคุณรักษ์แล้วก็ให้กินยาให้หมดสามวันขอรับ แล้วนี่คุณรักษ์หิวหรือยังขอรับ ” “ หิวแล้วซีพ่อก
๙ เป็นเวรหรือกรรม “ เป็นเช่นไรบ้าง เอ็งเจ็บแผลมากหรือไม่ ” ไอ้จอมเอ่ยปากถามเจ้ากลิ่นที่ยังคงนอนคว่ำหน้าเพราะบาดแผลที่โดนโบยยังคงมีเลือดติดอยู่ เจ้ากลิ่นหันหน้ามามองคนที่ตนรักเหมือนพี่ชาย ที่สองวันมานี้เทียวแวะเวียนมาถามไถ่อยู่แทบจะทั้งวี่วัน “ เจ็บอยู่จ้ะพี่จอม แต่ไม่เท่าคราแรก ” “ เอ็งอยากได้กระไรก็บอกพี่นะกลิ่น พี่เอามาให้เอง ” “ ฉันขอบใจพี่มากนะจ๊ะพี่จอม แต่แม่คอยหามาให้ฉันไม่ได้ขาดกระไร อีกอย่างงานพี่จอมก็มากโขอยู่ไม่ต้องห่วงฉันหรอกจ้ะพี่จอม ” " จะไม่ให้ห่วงเอ็งได้ยังไง ดูตัวเอ็งสิเล็กกระจ้อยร่อยเพียงนี้ ลมพัดก็แทบจะปลิวไปตามแรงลมเสียกระมัง ” “ พี่ก็พูดเกินไปพี่จอม ฉันไม่ได้อ่อนแอเยี่ยงนั้นเสียหน่อย ” “ เอาเถิด ๆ นอนพักเสียจะได้หายไว ๆ หายแล้วพี่จะพาเอ็งไปกินขนม ” “ ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะพี่จอม ” “ ฮะ ๆ ๆ พี่ไปก่อนนะ นอนเสียเถิด ” ไอ้จอมลูบหัวน้องด้วยความรักใคร่ รอยยิ้มใจดีมอบให้กับเจ้ากลิ่นที่ทำหน้าบึ้งตึงที่โดนมองว่ายังเป็นเด็กน้อยตัวเล็กในสายตาของคนอื่น
๑๐ พี่จะพาเอ็งไปเอง “ พ่อกลิ่นกลับเรือนไปเสียเถิด เทียวไปเทียวมาเช่นนี้ไม่เหนื่อยเอาดอกรึ “ เสียงทุ้มที่แม้ว่าฟังแล้วคล้ายจะรำคาญ แต่แววตาที่มองมากลับดูเป็นห่วงบ่าวที่นั่งมองตนเอง เจ้ากลิ่นช่วงนี้เทียวไปเทียวมา เพื่อมาพาพ่อรักษ์กลับเรือนตามสั่งของท่านเจ้าคุณ คราแรกพ่อรักษ์ก็จะยอมตามกลับไป แต่เป็นเพราะเจ้ากลิ่นบอกว่าเป็นความต้องการของบิดา ด้วยความเจ้าคิดเจ้าแค้นพ่อรักษ์จึงไม่ยอมกลับเรือนตามที่คิดไว้ “ ไม่เหนื่อยหรอกขอรับ แต่หากคุณรักษ์ยังมิยอมกลับเรือนเยี่ยงนี้ อีกไม่นานบ่าวอาจจะเหนื่อยก็ได้ขอรับ ” “ ดูพูดเข้าซีพ่อกลิ่น...หากพ่อกลิ่นเบื่อหน่ายข้าเสียแล้วเยี่ยงนี้อีกไม่นานข้าก็คงได้เป็นหมาหัวเน่าแน่ ” “ กล่าวเช่นนั้นได้อย่างไรขอรับ บ่าวรับใช้คุณรักษ์มาตั้งแต่จำความได้ บ่าวเคารพรักคุณรักษ์มากกว่าสิ่งใด แล้วเหตุใดบ่าวจะเบื่อหน่ายชีวิตที่อยู่ใกล้ ๆ ได้ดูแลรับใช้คุณรักษ์ได้เล่าขอรับ ” พ่อรักษ์มองบ่าวด้วยสายตาอ่อนโยน แต่ไหนแต่ไรเจ้ากลิ่นไม่เคยจะปริปากแม้แต่น้อยว่าเหนื่อยหน่ายกับชีวิตที่ต้องคอยมาตามปรนนิบัติตนเอง
๑๐ พี่จะพาเอ็งไปเอง “ พ่อกลิ่นกลับเรือนไปเสียเถิด เทียวไปเทียวมาเช่นนี้ไม่เหนื่อยเอาดอกรึ “ เสียงทุ้มที่แม้ว่าฟังแล้วคล้ายจะรำคาญ แต่แววตาที่มองมากลับดูเป็นห่วงบ่าวที่นั่งมองตนเอง เจ้ากลิ่นช่วงนี้เทียวไปเทียวมา เพื่อมาพาพ่อรักษ์กลับเรือนตามสั่งของท่านเจ้าคุณ คราแรกพ่อรักษ์ก็จะยอมตามกลับไป แต่เป็นเพราะเจ้ากลิ่นบอกว่าเป็นความต้องการของบิดา ด้วยความเจ้าคิดเจ้าแค้นพ่อรักษ์จึงไม่ยอมกลับเรือนตามที่คิดไว้ “ ไม่เหนื่อยหรอกขอรับ แต่หากคุณรักษ์ยังมิยอมกลับเรือนเยี่ยงนี้ อีกไม่นานบ่าวอาจจะเหนื่อยก็ได้ขอรับ ” “ ดูพูดเข้าซีพ่อกลิ่น...หากพ่อกลิ่นเบื่อหน่ายข้าเสียแล้วเยี่ยงนี้อีกไม่นานข้าก็คงได้เป็นหมาหัวเน่าแน่ ” “ กล่าวเช่นนั้นได้อย่างไรขอรับ บ่าวรับใช้คุณรักษ์มาตั้งแต่จำความได้ บ่าวเคารพรักคุณรักษ์มากกว่าสิ่งใด แล้วเหตุใดบ่าวจะเบื่อหน่ายชีวิตที่อยู่ใกล้ ๆ ได้ดูแลรับใช้คุณรักษ์ได้เล่าขอรับ ” พ่อรักษ์มองบ่าวด้วยสายตาอ่อนโยน แต่ไหนแต่ไรเจ้ากลิ่นไม่เคยจะปริปากแม้แต่น้อยว่าเหนื่อยหน่ายกับชีวิตที่ต้องคอยมาตามปรนนิบัติตนเอง
๙ เป็นเวรหรือกรรม “ เป็นเช่นไรบ้าง เอ็งเจ็บแผลมากหรือไม่ ” ไอ้จอมเอ่ยปากถามเจ้ากลิ่นที่ยังคงนอนคว่ำหน้าเพราะบาดแผลที่โดนโบยยังคงมีเลือดติดอยู่ เจ้ากลิ่นหันหน้ามามองคนที่ตนรักเหมือนพี่ชาย ที่สองวันมานี้เทียวแวะเวียนมาถามไถ่อยู่แทบจะทั้งวี่วัน “ เจ็บอยู่จ้ะพี่จอม แต่ไม่เท่าคราแรก ” “ เอ็งอยากได้กระไรก็บอกพี่นะกลิ่น พี่เอามาให้เอง ” “ ฉันขอบใจพี่มากนะจ๊ะพี่จอม แต่แม่คอยหามาให้ฉันไม่ได้ขาดกระไร อีกอย่างงานพี่จอมก็มากโขอยู่ไม่ต้องห่วงฉันหรอกจ้ะพี่จอม ” " จะไม่ให้ห่วงเอ็งได้ยังไง ดูตัวเอ็งสิเล็กกระจ้อยร่อยเพียงนี้ ลมพัดก็แทบจะปลิวไปตามแรงลมเสียกระมัง ” “ พี่ก็พูดเกินไปพี่จอม ฉันไม่ได้อ่อนแอเยี่ยงนั้นเสียหน่อย ” “ เอาเถิด ๆ นอนพักเสียจะได้หายไว ๆ หายแล้วพี่จะพาเอ็งไปกินขนม ” “ ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะพี่จอม ” “ ฮะ ๆ ๆ พี่ไปก่อนนะ นอนเสียเถิด ” ไอ้จอมลูบหัวน้องด้วยความรักใคร่ รอยยิ้มใจดีมอบให้กับเจ้ากลิ่นที่ทำหน้าบึ้งตึงที่โดนมองว่ายังเป็นเด็กน้อยตัวเล็กในสายตาของคนอื่น
๘ เจ็บกายแต่เต็มใจ เปลือกตาดำคล้ำค่อย ๆ เปิดขึ้นมาพร้อมกับความปวดร้าวไปทั่วตัว ดวงตาดำหรี่มองบุคคลข้าง ๆ ที่ดูเลือนรางไปหมด “ คุณรักษ์ขอรับ... ” เสียงเจ้ากลิ่นทำให้พ่อรักษ์แค่นยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะเพ่งมองไปยังใบหน้าขาวของบ่าวจนมองเห็นชัดในสายตาของตนเอง “ ดูทำหน้าเข้าซีพ่อกลิ่น ข้ายังไม่ได้ตายเสียหน่อย ” “ คุณรักษ์อย่าพูดเช่นนี้สิขอรับ มันเป็นลางไม่ดีนะขอรับ ” “ แล้วนี่ใครเป็นคนพาข้ากลับมาที่เรือนหรือพ่อกลิ่น ” “ พี่จอมกับลุงมาดขอรับ ” “ แล้วพ่อข้ารู้เรื่องหรือไม่พ่อกลิ่น ” เจ้ากลิ่นพยักหน้าเบา ๆ ด้วยแววตาเป็นห่วง ก่อนที่หัวทุยของมันจะโดนมือกร้านลูบเพื่อให้คลายกังวล “ ไม่ต้องห่วงข้าดอกพ่อกลิ่น...แล้วนี่พ่อกลิ่นมาเฝ้าข้าตั้งแต่เมื่อใดกัน ” “ เมื่อคืนขอรับ พอมีคนมาแจ้งข่าวท่านเจ้าคุณก็สั่งให้บ่าวในเรือนไปพาคุณรักษ์มาที่เรือนขอรับ ท่านเจ้าคุณให้หมอยามาดูคุณรักษ์แล้วก็ให้กินยาให้หมดสามวันขอรับ แล้วนี่คุณรักษ์หิวหรือยังขอรับ ” “ หิวแล้วซีพ่อก
๗ เบญจมาศในหมู่ภมร “ พี่ชายเจ้าไม่มากินข้าวอีกแล้วหรือแม่รำพึง ” ท่านเจ้าคุณเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าบุตรชายไม่อยู่กินข้าวเช้ามาหลายวัน คิ้วหนาแซมขาวขมวดมุ่นจนคนนั่งร่วมสำรับอึดอัด “ รับข้าวเถิดเจ้าค่ะท่านเจ้าคุณ ” แม่พุดตานเอ่ยเสียงเรียบ มือเรียวตักข้าวใส่จานของท่านเจ้าคุณ “ นังจวงไปตามพ่อรักษ์มา ” “ จะ...เจ้าค่ะ ” นังจวงสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงที่ปนไปด้วยความโกรธส่งตรงมาที่ตน มันตอบรับคำสั่งรีบวิ่งไปตามพ่อรักษ์ที่เรือนบ่าว “ เรียกข้ามีกระไรหรือขอรับคุณพ่อ ” พ่อรักษ์ขึ้นเรือนมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใช้หางตาปรายมองหญิงสาวสองคนที่นั่งร่วมสำรับอย่างไม่ชอบใจ “ นั่งลง ” “ คุณพ่อแจ้งมาได้เลยขอรับว่ามีกระไรกับข้า ” “ กูบอกให้มึงนั่งลงไอ้รักษ์ ” “ หากคุณพ่อไม่มีกระไรเพียงแต่อยากเรียกข้ามาให้ร่วมสำรับกับครอบครัวของคุณพ่อ ข้าไม่ต้องการขอรับ ข้ากินข้าวที่เรือนบ่าวกับแม่ปรุงอิ่มแล้วขอรับ ” “ ไอ้ลูกไม่รักดี มึงเห็นบ่าวดีกว่ากูที่เป็นพ่อของมึงเชียวรึไอ้
๖ อวลกลิ่นพุดตาน “ แม่พุดตานนอนห้องนี้เถิด ประเดี๋ยวข้าจะให้บ่าวมันช่วยขนข้าวของมาไว้ให้เสียบนเรือน ” “ เจ้าค่ะท่านเจ้าคุณ ” “ ต่อจากนี้ข้าก็ขอฝากเรือนนี้ไว้ให้แม่พุดตานดูแลแทนข้าทีนะ ส่วนเรื่องเมื่อครู่ก็อย่าได้ถือสามันเลยอยู่ให้สบายใจเถิด ” “ เจ้าค่ะ... ” “ พักผ่อนเสียเถิดวันนี้ข้าต้องเข้าวัง มีกระไรก็เรียกบ่าวในเรือน หรือแม่รำพึงให้มาพูดคุยเป็นเพื่อนเสียก็ได้ ” “ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ” ท่านเจ้าคุณวรจิตรมองดูหญิงสาวที่ยืนหน้าเรียบเฉยอยู่ แววตาไม่สามารถซ่อนความรู้สึกภายในใจของเจ้าหล่อนได้เลย ก่อนที่ท่านเจ้าคุณจะเดินออกไปเรียกไอ้มาดให้ไปเตรียมตัวเข้าวัง แม่พุดตานมองตามหลังผัวหมาด ๆ ของตนเองด้วยแววตาเศร้าสร้อย “ อย่าร้องไห้ไปเลยเจ้าค่ะ เป็นเมียท่านเจ้าคุณวรจิตรอย่างไรเสียก็มีหน้ามีตานะเจ้าคะ ” แม่พุดตานใช้นิ้วเรียวปาดหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอ หันกลับมามองบ่าวรับใช้ร่างท้วมที่ยืนมองอยู่ด้านหลังมาพักใหญ่ “ ได้ผัวคราวพ่อนี่น่ะหรือป้าผัน สู้อยู่เป็นสาวเทื้อคาเรือนมิดีกว่าหรือจ๊ะ ”
๕ สบดวงเนตร สามสี่วันมานี้พ่อรักษ์อยู่ติดเรือนอย่างที่ไม่เคยมีผู้ใดเห็นมาก่อน นั่นก็เป็นเพราะต้องคอยเทียวไปเทียวมาระหว่างเรือนใหญ่กับเรือนบ่าวเพื่อคอยดูไม่ให้เจ้ากลิ่นลุกขึ้นมาทำงานตอนที่ร่างกายยังไม่หายดี ในขณะที่เจ้าคุณวรจิตรเองช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้กลับเรือน หรือหากกลับก็กลับมาเพียงเปลี่ยนผ้าผ่อนเท่านั้น ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าเพลานี้ท่านเจ้าคุณวรจิตรต้องคอยวางแผนให้ทางท่านเจ้าเมืองกำราบเมืองประเทศราชที่มีข่าวแว่วมาว่ากำลังคิดกระด้างกระเดื่อง “ จะไปดูพี่กลิ่นที่เรือนหรือเจ้าคะคุณพี่ ” แม่รำพึงเอ่ยถามพี่ชายที่กำลังลงจากเรือน พ่อรักษ์หันมามองน้องสาวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ รำพึงชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นพี่ชายมองมาด้วยความไม่พอใจ “ ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง... ” พ่อรักษ์เอ่ยกับน้องอย่างไม่ไยดี แม่รำพึงดวงตาร้อนผ่าวเพราะความน้อยใจที่ตั้งแต่โตมาพี่ชายไม่เคยพูดจาดี ๆ ด้วยเลยสักครั้ง “ น้องแค่เห็นว่าหากคุณพี่ไปหาพี่กลิ่น น้องจะฝากข้าวต้มมัดที่น้องทำไปให้พี่กลิ่น แต่หากคุณพี่ไม่สะดวกน้องจะเอาไปให้พี่กลิ่นคราหลังก็ได้ค่ะ ”
๔ เข้มแข็งดุจผกากรอง สองร่างกายเปลือยเปล่าบนตั่งนอนที่มีเบาะยัดนุ่นหุ้มด้วยผ้าพื้นสีแดง มือใหญ่ของพ่อรักษ์กอบกุมปทุมถันของนางกลางเมืองอย่าง “จำเรียน” ร่างอรชรค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาตอนย่ำรุ่ง หลังผ่านค่ำคืนสวาทกับบุตรชายของท่านเจ้าคุณมีชื่อ ที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอยู่ในวัยกลัดมันหรืออย่างไร จำเรียนจึงต้องปรนเปรอชายหนุ่มผู้นี้จนร่างกายบอบช้ำไปแทบทั้งตัว กว่าจะได้หลับตาพักก็ตอนที่แสงโคมสีแดงที่อยู่ในเรือนไม้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าเรือนแห่งนี้ได้เวลาหลับไหล “ อือ.... ” เสียงครางในลำคอ พร้อมกระชับวงแขนแกร่งให้แน่นขึ้นจนจำเรียนต้องพยายามดันแขนไว้ “ คุณรักษ์เจ้าคะ ขอจำเรียนไปล้างเนื้อล้างตัวเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ” “ ล้างทำไมให้เปลืองเวลาไปเล่า อีกประเดี๋ยวข้าก็ทำให้เอ็งเหนียวตัวอีกรอบแล้ว เอ็งดูสิตัวของข้ามันต้องการเอ็งอีกรอบแล้วเห็นหรือไม่จำเรียน ” พ่อรักษ์ส่งสายตาหวานเยิ้มไปยังส่วนที่กำลังขยายใหญ่ตรงกลางลำตัว จำเรียนจ้องมองไปยังส่วนนั้น ก่อนที่ร่างบางจะโดนร่างแกร่งจับพลิกตัวลงกับเบาะนอน พร้อม ๆ กับบทเพลงบรร
๓ มั่นคงดั่งทานตะวัน “ พี่กลิ่นจ๊ะ คุณพี่ไปไหนแล้วหรือจ๊ะ ” คุณหนูรำพึงบุตรสาวคนเล็กของท่านเจ้าคุณวรจิตร เติบโตมาเป็นสาวรุ่นอายุอานามก็เข้าปีที่สิบแล้ว หน้าตาก็สะสวยละม้ายคล้ายคลึงมารดาที่รำพึงเองก็จำหน้ามิได้ “ คุณรักษ์อยู่ที่ท้ายสวนขอรับคุณหนู ” เจ้ากลิ่นละมือจากการคัดดอกมะลิ มองไปยังหญิงสาวด้วยสายตาเอ็นดู “ คุณพี่คงดูชนไก่อีกสินะ แล้วนี่พี่กลิ่นไม่ไปดูบ้างหรือจ๊ะ เห็นมาช่วยรำพึงคัดแต่ดอกมะลิจะเบื่อเอานะ ” “ บ่าวไม่เบื่อหรอกขอรับคุณหนู บ่าวอยู่กงนี้ดีแล้วขอรับไปอยู่กับคุณรักษ์ตอนนี้บ่าวสงสารไก่ขอรับ ” “ พี่กลิ่นนี่ก็ช่างแปลกคน บ่าวผู้ชายคนอื่นก็ขลุกกันอยู่ที่ท้ายสวนกันทั้งนั้น มีก็แต่พี่กลิ่นนี่แหละหนาที่มาขลุกอยู่แต่กับรำพึง ระวังเถิดประเดี๋ยวคุณพี่เรียกหาไม่เจอจะโดนดุเอาเสียอีก ” “ คุณรักษ์ไม่ว่าบ่าวหรอกขอรับ เพราะคุณรักษ์เป็นคนไล่บ่าวให้กลับมาช่วยงานคุณหนูเองขอรับ ” “ คุณพี่น่ะหรือเป็นคนบอกให้พี่กลิ่นมาช่วยงานรำพึงที่เรือนนี้ ” “ ขอรับ คุณรักษ์เป็นคนพูดเองเลยขอร
๒ ครั้นกลีบบุปผาโรย กาลเวลาผ่านพ้นมาจนพ่อรักษ์อายุจวนจะครบเก้าขวบ เจ้ากลิ่นเองก็เติบโตมาเป็นเด็กชายสมวัย แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเติบโตมากับบุตรชายของท่านเจ้าคุณหรืออย่างไร ผิวพรรณของลูกบ่าวผู้นี้ถึงได้ผุดผ่อง ผิดแผกจากลูกบ่าวคนอื่น ๆ ที่อยู่ในเรือนเดียวกัน และด้วยความที่เจ้ากลิ่นนั้นเป็นเด็กไม่ดื้อไม่ซน คุณหญิงกลอยจึงเอ็นดูมันยิ่งนัก “ แค่ก ๆ ” เสียงไอแห้ง ๆ ดังมาจากคุณหญิงที่กำลังนั่งเอนหลังอยู่ที่ศาลาข้างเรือนใหญ่ มือเรียวกำลังประคองท้องที่นูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้จะท้องแก่ใกล้คลอดแล้ว แต่ร่างกายกลับดูซูบผอมไม่เหมือนคนท้องใกล้คลอดแม้แต่น้อย “ ขึ้นเรือนดีหรือไม่เจ้าคะคุณหญิง บ่าวเห็นคุณหญิงไอถี่เหลือเกินเจ้าค่ะ ” “ พ่อรักษ์กับพ่อกลิ่นยังเล่นกันอยู่ ข้าไม่อยากห้ามลูกที่กำลังสนุก อีกอย่างข้าจะมีโอกาสได้ดูลูกเล่นได้เช่นนี้อีกนานไหมก็มิรู้ได้ ” “ คุณหญิงอย่าเอ่ยเช่นนี้สิเจ้าคะ กำลังท้องกำลังไส้อยู่นะเจ้าคะคุณหญิง ” เจ้าหล่อนไม่ได้เอ่ยกระไรตอบกลับ เพราะไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าตัวเองว่าร่างกายนั้นกำลัง