๘
เจ็บกายแต่เต็มใจ
เปลือกตาดำคล้ำค่อย ๆ เปิดขึ้นมาพร้อมกับความปวดร้าวไปทั่วตัว ดวงตาดำหรี่มองบุคคลข้าง ๆ ที่ดูเลือนรางไปหมด
“ คุณรักษ์ขอรับ... ”
เสียงเจ้ากลิ่นทำให้พ่อรักษ์แค่นยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะเพ่งมองไปยังใบหน้าขาวของบ่าวจนมองเห็นชัดในสายตาของตนเอง
“ ดูทำหน้าเข้าซีพ่อกลิ่น ข้ายังไม่ได้ตายเสียหน่อย ”
“ คุณรักษ์อย่าพูดเช่นนี้สิขอรับ มันเป็นลางไม่ดีนะขอรับ ”
“ แล้วนี่ใครเป็นคนพาข้ากลับมาที่เรือนหรือพ่อกลิ่น ”
“ พี่จอมกับลุงมาดขอรับ ”
“ แล้วพ่อข้ารู้เรื่องหรือไม่พ่อกลิ่น ”
เจ้ากลิ่นพยักหน้าเบา ๆ ด้วยแววตาเป็นห่วง ก่อนที่หัวทุยของมันจะโดนมือกร้านลูบเพื่อให้คลายกังวล
“ ไม่ต้องห่วงข้าดอกพ่อกลิ่น...แล้วนี่พ่อกลิ่นมาเฝ้าข้าตั้งแต่เมื่อใดกัน ”
“ เมื่อคืนขอรับ พอมีคนมาแจ้งข่าวท่านเจ้าคุณก็สั่งให้บ่าวในเรือนไปพาคุณรักษ์มาที่เรือนขอรับ ท่านเจ้าคุณให้หมอยามาดูคุณรักษ์แล้วก็ให้กินยาให้หมดสามวันขอรับ แล้วนี่คุณรักษ์หิวหรือยังขอรับ ”
“ หิวแล้วซีพ่อกลิ่นข้าไม่ได้กินกระไรเลย ยกเว้นเสียก็แต่เหล้า ”
“ คุณรักษ์ต้องกินข้าวลงท้องเสียบ้างนะขอรับ เจ็บป่วยขึ้นมาจะยุ่งกันเสียทั้งเรือนนะขอรับ ”
“ พ่อกลิ่นก็คอยมาหาข้าวหาปลาให้ข้ากินทุกวันเสียก็สิ้นเรื่อง ”
“ บ่าวก็หาให้กินอยู่ทุกวันนี่ขอรับ แต่หากถึงคราที่คุณรักษ์จักต้องออกเรือน บ่าวก็ต้องให้แม่นายที่จะมาเป็นนายหญิงของคุณรักษ์เป็นคนตระเตรียม ”
“ ข้ามีแค่พ่อกลิ่นก็พอแล้ว ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องมีเมีย ”
“ .... ”
คำพูดที่อาจดูไม่มีกระไร แต่หากลองตีความหมายของมันที่ส่งออกมาพร้อมแววตาวาววับของพ่อรักษ์นั่นก็ทำให้บ่าวอย่างเจ้ากลิ่นหัวใจเต้นผิดจังหวะ ใบหูแดงระเรื่อส่งผลให้มีไอร้อนผะผ่าวไปทั่วใบหน้าขาวนวล
“ บ่าวไปเตรียมสำรับมาให้คุณรักษ์ก่อนนะขอรับ กินเสร็จแล้วจะได้กินยา เลยเวลามามากแล้วขอรับ ”
เจ้ากลิ่นรีบลุกออกไปด้วยอาการลุ่มร้อนในกายคล้ายเหมือนคนเจ็บไข้ แต่หารู้ไม่ว่าอาการของมันทำคนเจ็บอย่างพ่อรักษ์แย้มยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกเอ็นดู
“ ประเดี๋ยวคุณรักษ์กินข้าวอิ่มแล้ว บ่าวเอายามาให้นะขอรับ วันนี้กินอีกวันเดียวก็ครบตามที่หมอยาบอกไว่แล้วขอรับ ”
เจ้ากลิ่นเอ่ยบอกนายเมื่อเห็นพ่อรักษ์ล้างมือในชามที่วางไว้ใกล้ ๆ มันช่วยบ่าวในเรือนยกสำรับออกไปเก็บ ก่อนจะเดินไปยกชามกระเบื้องลายสวยที่บรรจุยาต้มสีน้ำตาลเข้มเข้ามาให้นายของมัน พ่อรักษ์รับถ้วยยามายกดื่มรวดเดียวหมดแล้วจึงยื่นชามเปล่าคืนให้เจ้ากลิ่น
“ ข้ากินยาครบสามวันแล้ว พ่อกลิ่นจะปล่อยให้ข้าออกจากห้องหับได้หรือไม่ ”
“ บ่าวไม่ได้ห้ามคุณรักษ์เสียหน่อยนี่ขอรับ นี่บ่าวหลงคิดว่าคุณรักษ์เป็นกระไรหนักหนาหรือเปล่าถึงอยู่ในเรือนได้เสียขนาดนี้ขอรับ ”
“ หากไม่ได้พ่อกลิ่นมาดูแล ข้าก็คงไปให้นังจำเรียนดูแลข้าที่ตลาดวังหว้าแทนพ่อกลิ่นเสียก็เท่านั้น ”
“ .... ”
“ ข้าเย้าพ่อเล่น ดูทำหน้าเข้าซี ”
“ บ่าวรู้ว่าบ่าวเป็นเพียงแค่บ่าว แต่บ่าวไม่ใคร่อยากให้คุณรักษ์ไปตลาดวังหว้าบ่อย ๆ นะขอรับ ไปทีไรเห็นจะมีแต่เรื่องแต่ราวกลับมาให้เจ็บเนื้อเจ็บตัว ดีเสียเท่าไหร่ที่มีชาวบ้านแถวนั้นมาเห็นเข้า คุณรักษ์ถึงได้ไม่เป็นกระไรไปมากกว่านี้ ”
เจ้ากลิ่นทำหน้าไม่สู้ดีนักเมื่อพูดถึงสถานที่ที่พ่อรักษ์ไปหลายครั้งหลายครา พ่อรักษ์เห็นหน้าบ่าวก็อดจะเห็นใจไม่ได้ เพราะตนเองนั้นรู้ดีว่าคนตรงหน้านั้นเป็นห่วงตนเองมากเหมือนญาติแท้ ๆ
“ เห็นพ่อกลิ่นเป็นห่วงข้าแบบนี้ เอาเป็นว่าข้าจะไปก่อเรื่องให้น้อยลงเสียก็แล้วกัน ”
“ ไม่มีเรื่องเลยมิได้หรือขอรับคุณรักษ์ บ่าวไม่อยากเห็นคุณรักษ์เจ็บตัวอีกแล้วขอรับ ”
คุณรักษ์มองบ่าวข้างกายด้วยความรู้สึกอบอุ่นหัวใจ ตั้งแต่แม่ตายความอบอุ่นที่เคยได้รับจากมารดาก็เลือนหายไปจากรอบกาย เหลือก็เพียงกองไฟน้อย ๆ ที่คอยให้ความอบอุ่นอย่างเจ้ากลิ่นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่พ่อรักษ์พอจะกอบกุมความอบอุ่นไว้เยียวยาหัวใจแม้เพียงเศษเสี้ยวก็พอใจแล้ว
ท้องพระโรงรโหฐาน ประดับประดาด้วยลายฉลุลงรักปักทอง ช่างดูวิจิตรและตระการตายิ่งนัก บรรยากาศหลังเข้าเฝ้าองค์เหนือหัวแล้วเสร็จ ข้าราชการทั้งน้อยใหญ่ต่างทยอยเดินออกมา บ้างก็ปลีกตัวออกมาเพื่อกลับเรือนของตนเอง บ้างก็จับกลุ่มพูดคุยกันต่อทั้งเรื่องราชการและปัญหาต่าง ๆ ที่พบเจอในครอบครัวของแต่ละคน
“ เป็นเช่นไรเล่าท่านเจ้าคุณ ”
“ เจ้าคุณพิทักษ์.... ”
เจ้าคุณวรจิตรหันกลับไปมองเสียงทุ้ม ร่างสูงเดินด้วยท่วงท่าองอาจเดินเข้ามาทางกลุ่มของท่านเจ้าคุณวรจิตรด้วยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์
“ ท่านเจ้าคุณนี่ทำบุญด้วยกระไร เหนือหัวท่านจึงพระราชทานเมียแต่งอย่างคุณพุดตานให้ ได้ข่าวว่างามปานนางอัปสรเลยมิใช่หรือ ”
“ ข้าก็แค่สร้างคุณงามความดีตอบแทนแผ่นดินเท่านั้นท่านเจ้าคุณ สิ่งที่ได้รับมาก็ถือว่าเป็นสิ่งดี ๆ ที่แผ่นดินตอบแทนในคุณงามความดีของข้าก็เท่านั้น ”
“ ไหน ๆ แล้วท่านก็สร้างคุณงามความดีไว้ให้กับแผ่นดินไว้มากนัก เหตุใดท่านไม่กำชับให้พ่อรักษ์สร้างคุณงามความดีเช่นท่านบ้างเล่าท่านเจ้าคุณวรจิตร ”
“ ท่านเจ้าคุณหมายความว่าเยี่ยงไร บุตรชายของข้าทำกระไรหรือขอรับ ”
“ เห็นทีว่าท่านจะมัวดูแลแต่บ้านแต่เมืองไม่ได้รู้รึว่าพ่อรักษ์เกกมะเหรกเกเรให้ชาวบ้านชาวช่องนินทากันให้สนุกปาก เพลา ๆ เรื่องบ้านเมืองเสียบ้างนะท่านเจ้าคุณ จะได้มีเพลาไปอบรมสั่งสอนบุตรชายให้อยู่ในร่องในรอยสร้างคุณประโยชน์ให้บ้านเมืองเช่นเดียวกับที่ท่านทำบ้าง นี่ข้าหวังดีดอกนะท่านเจ้าคุณข้าถึงมาบอก ”
เจ้าคุณพิทักษ์เดินจากไปเหมือนผู้ชนะ รอยยิ้มเห็นใจที่ผู้ใดมองก็รู้ว่าแฝงไปด้วยความเยาะเย้ย แต่ไหนแต่ไรเจ้าคุณพิทักษ์ก็ไม่ใคร่ชอบใจนักที่เจ้าคุณวรจิตรที่มีอายุอานามน้อยกว่า แต่กลับได้รับความไว้วางใจจากเหนือหัวมากกว่าตนจนฐานะและบรรดาศักดิ์นั้นเทียบเท่ากับตนเอง
“ กลับมาเหนื่อย ๆ กินน้ำเสียหน่อยนะเจ้าคะท่านเจ้าคุณ ”
แม่พุดตานตักน้ำลอยดอกมะลิมาส่งให้ท่านเจ้าคุณที่นั่งทำหน้าถมึงทึงอยู่บนแคร่กลางเรือน หันไปมองเมียหมาด ๆ ครู่หนึ่งพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แต่สิ่งที่ได้รู้มาหลังจากที่ท่านเจ้าคุณไปที่ตลาดวังหว้ามาก็เป็นที่ยืนยันว่าสิ่งที่ได้ยินจากปากท่านเจ้าคุณพิทักษ์นั้น มิได้ผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่ตนได้ยินมาเองกับหู นั่นจึงทำให้ใบหน้าที่แม้จะพยายามควบคุมอารมณ์นั้นไม่ส่งผลเท่าใดนัก
“ ไอ้มาดมึงไปลากตัวไอ้ลูกระยำมาเดี๋ยวนี้ ”
“ ขะ...ขอรับ ”
ไอ้มาดรีบวิ่งลงจากเรือนไปยังสวนที่พ่อรักษ์อยู่ บ่าวไพร่บนเรือนใหญ่หน้าถอดสีเพราะรู้ว่าอีกไม่นานต่อจากนี้สองพ่อลูกต้องมีปากเสียงกันอีกเป็นแน่
“ แม่พุดตานมีกระไรก็ไปทำเสียเถิด ข้าไม่อยากให้แม่พุดตานตกใจ ”
“ มิเป็นไรเจ้าค่ะ อย่างไรเสียข้าก็เป็นเมียของท่านเจ้าคุณ ปัญหาหนักหรือเบาข้าก็อยากแบ่งเบาเจ้าค่ะ ”
“ เช่นนั้นก็ขอบใจเจ้ามากแม่พุดตาน ”
“ มิเป็นไรเจ้าค่ะท่านเจ้าคุณ แต่อย่างไรเสียก็ค่อย พูดค่อยจากันจะดีกว่านะเจ้าคะ ”
ท่านเจ้าคุณมองหน้าเมียด้วยความเอ็นดู แต่เป็นสายตาความเอ็นดูที่ประดุจเหมือนลูกหลานหาใช่คู่ชีวิตไม่ คิดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ แต่ไหนแต่ไรตั้งแต่แม่กลอยตายจากไป ท่านเจ้าคุณก็ไม่ได้คิดที่จะมีเมียใหม่เลยแม้แต่น้อย หากมิใช่เพราะองค์เหนือหัวพระราชทานแม่พุดตานมาให้ ตนคงไม่คิดจะรับผู้ใดเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของตนอีกเป็นแน่
" มีกระไรหรือขอรับคุณพ่อ ”
พ่อรักษ์เอ่ยเสียงเรียบเมื่อขึ้นมาบนเรือนใหญ่ สีหน้าเฉยเมยไม่ยี่หระของพ่อรักษ์นั้น ยิ่งทำให้ผู้เป็นบิดาอารมณ์เดือดดาล
“ กูเลี้ยงมึงมาไม่ดีพอหรืออย่างไรไอ้รักษ์ มึงถึงทำตัวเยี่ยงนี้ ฮึ หรือเพราะมึงไม่พอใจกระไรกู มึงถึงทำตัวเหลวแหลกให้ชาวบ้านชาวช่องนินทาให้อับอายมาถึงเรือน ”
“ ... ”
“ อย่ามาเงียบใส่กูไอ้รักษ์ บอกกูมาเสียกูต้องทำกระไรมึงถึงจะเป็นผู้เป็นคนเหมือนลูกเรือนอื่นบ้าง ”
“ คุณพ่อไม่ต้องทำกระไรหรอกขอรับ แค่ไม่ต้องสนใจข้าก็พอขอรับ ”
“ ไอ้รักษ์ กูเป็นพ่อมึง มึงจะทำกระไรต่อให้กูไม่ได้ห้าม ไม่ได้สนใจ แต่ความเลวระยำของมึงก็โจษจันกันทั่ว บ่าวไพร่ในเรือนก็มีมากโข มึงไม่เรียกพวกมันมา มึงกลับไปเอาอีพวกกลางเมืองมากกให้กูอับอายขายขี้หน้า ”
“ ถึงข้าจะไปกกไปกอดนางกลางเมืองแล้วอย่างไรขอรับ อย่างน้อยอ้ายอีพวกนั้นก็มิได้อายุรุ่นราวคราวลูกเหมือนอย่างเมียคุณพ่อนี่ขอรับ ”
“ ไอ้รักษ์ ”
เพียะ!!
มือหยาบฟาดไปที่หน้าคร้ามเต็มแรง แม่พุดตานได้แต่มองสองพ่อลูกด้วยความตกใจ แม่รำพึงเองก็ออกมาทันเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด จึงรีบวิ่งไปยืนด้านหลังของบิดาหวังว่าตนจะห้ามไม่ให้มันรุนแรงไปกว่าเดิม
“ ใจเย็น ๆ นะเจ้าคะคุณพ่อ ”
“ จะให้พ่อใจเย็นกับพี่เอ็งได้อย่างไร วันนี้ถ้าเลือดหัวพี่เอ็งไม่ออก ก็อย่ามาเรียกข้าว่าพ่อเลย ”
“ เจ้าคุณพ่อ ”
ท่านเจ้าคุณเบี่ยงตนเองออกจากการจับกุมของลูกสาว ร่างท้วมเดินดุ่ม ๆ ไปยังไม้เท้าที่วางอยู่ไม่ไกล ก่อนจะเอามันชี้หน้าไปยังบุตรชายด้วยความโกรธเกี้ยว
“ วันนี้กูจะเอาเลือดมึงออกมาดูเสียทีว่าเลือดมึงจะสีแดงหรือสีดำไอ้รักษ์ ”
“ ไม่ว่าเลือดข้าจะสีอะไร มันก็ไม่ได้ทำให้ข้าเปลี่ยนได้หรอกขอรับคุณพ่อ แต่ใครจะรู้เล่าขอรับหากเลือดของข้าที่ไหลออกมาวันนี้ มันจะทำให้ข้าสร้างเรื่องงามหน้ากระไรให้คุณพ่ออับอายมากกว่าเดิมอีกก็ได้นะขอรับ ”
“ ไอ้รักษ์ ไอ้ลูกระยำ ”
“ อยากจะตีข้าก็เชิญเถิดขอรับ ลูกผู้ชายไม่เคยกลัวการโดนตีหรอกขอรับ ”
“ ได้ไอ้รักษ์มึงอยากลองดีกับกู กูก็จะทำให้มึงดูว่าพ่อแบบกูทำกระไรกับมึงได้บ้าง ไอ้มาด ไอ้จอม มึงมาจับมันไว้อย่าให้หลุดมือเชียว แม่พุดตานเจ้าไปหยิบหวายมาให้ข้าที ”
พ่อรักษ์ยืนอยู่นิ่ง ๆ ในใจไม่ได้คิดจะขัดขืนเลยสักนิด แววตาอยากเอาชนะบิดาตนเองฉายชัด จ้องมองมือกร้านที่รับหวายมาจากคุณพุดตาน
“ ไอ้กลิ่นมึงมานี่ ”
เจ้ากลิ่นที่นั่งตัวสั่นเพราะกลัวนายของตนเองจะโดนลงโทษ มันค่อย ๆ ลุกขึ้นเดินเข้าไปหาท่านเจ้าคุณ พ่อรักษ์มองไปทางเจ้ากลิ่นเป็นเชิงว่าไม่ต้องกังวล แต่กลับกันแววตาของท่านเจ้าคุณดูเหมือนจะมีกระไรบางอย่างที่จะทำให้คนอย่างพ่อรักษ์รู้สึกได้ว่าไม่น่าไว้วางใจ
“ นังจวงมัดไอ้กลิ่นไว้ที่เสาให้แน่น ”
“ จะ...เจ้าคะ ”
คำสั่งของเจ้าคุณทำให้บ่าวอย่างนังจวงสับสน มันมองหน้านายของมันสลับกับหน้าของนังปรุงแม่ของเจ้ากลิ่นด้วยความงงงัน
“ กูบอกให้มึงมัดไอ้กลิ่น มึงไม่ได้ยินที่กูบอกหรืออย่างไรอีจวง ”
“ จะ...เจ้าค่ะ ๆ ”
นังจวงกระวีกระวาดลุกขึ้นมาเอาเชือกป่านเส้นใหญ่มัดรวบข้อมือทั้งสองข้างของเจ้ากลิ่นไว้กับเสากลางเรือน
“ ในเมื่อกูสั่งกูสอนแล้วมึงไม่เชื่อกูไอ้รักษ์ ความผิดนี้กูก็จะโทษบ่าวของมึงที่ปรามมึงไม่ได้ ไอ้กลิ่นนับจากนี้นายมึงจะไปทำระยำตำบอนกระไรก็แล้วแต่ที่ทำให้กูต้องอับอายกลายเป็นขี้ปากผู้อื่น มึงจำไว้ว่ามึงต้องโดนโบยแทนนายของมึง โทษฐานที่มึงดูแลนายมึงไม่ได้ ”
เอ่ยจบท่านเจ้าคุณก็ง้างหวายในมือแล้วสะบัดปลายเล็กเรียวของหวายลงบนหลังของเจ้ากลิ่นทันที เสียงหวายแหวกอากาศก่อนจะหวดลงไปบนแผ่นหลังนั้น บ่าวไพร่ในเรือนเห็นก็แต่จะสมเพชเวทนาเจ้ากลิ่น ร่างขาวผิดจากบ่าวผู้อื่นสะดุ้งเฮือกทุกครั้งที่หวายถูกโบยลงหลัง นังปรุงได้แต่มองบุตรชายด้วยคราบน้ำตา อยากจะเข้าไปรับหวายแทนลูกแต่ก็ถูกนังจวงจับขืนตนเองและส่ายหัวให้มันรู้ว่านังปรุงไม่ควรเข้าไปขวางในขณะที่สายน้ำยังเชี่ยวอยู่
พ่อรักษ์ที่โดนไอ้มาดกับไอ้จอมจับไว้ คราแรกก็ไม่ได้คิดที่จะขัดขืนกระไรหากทุกอย่างเกิดกับตนเอง แต่นี่พอเจ้ากลิ่นที่เป็นเสมือนน้องแท้ ๆ ต้องมารับกรรมแทนถึงแม้ตนอยากที่จะวิ่งเข้าไปหักหวายในมือของบิดาก็มิอาจทำได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะต้องการเอาชนะท่านเจ้าคุณหรืออย่างไร ถึงแม้จะถูกจับตัวไว้ พ่อรักษ์กับไม่พยายามที่จะสลัดหนีจากบ่าวที่จับตนเองไว้แม้แต่น้อย
“ เจ้าคุณพ่อ...พอเถิดเจ้าค่ะ พี่กลิ่นสลบไปแล้วนะเจ้าคะ ”
เป็นแม่รำพึงที่เข้ามาห้ามผู้เป็นบิดา เจ้าหล่อนเข้าไปคั่นกลางระหว่างท่านเจ้าคุณกับเจ้ากลิ่น ก่อนจะประคองร่างของเจ้ากลิ่นที่ไม่ได้สติอย่างไม่ถือตัว
“ แม่ปรุงพาพี่กลิ่นกลับเรือนเสียเถิดจ้ะ ”
“ จะ...เจ้าค่ะคุณรำพึง ไปลูกกลับเรือนเรากันนะลูกนะ ”
นังปรุงเข้าไปแก้มัดให้ลูกชาย โดยมีนังจวงช่วยพยุงเจ้ากลิ่นกลับเรือนบ่าวไปด้วยอีกคน
“ มึงไปให้พ้นหน้ากูเสียไอ้รักษ์ ”
“ ปล่อยกู ”
พ่อรักษ์สะบัดตัวออกจากไอ้มาดกับไอ้จอม ไอ้จอมเห็นดังนั้นแล้วจึงรีบค้อมตัวเดินกลับไปยังเรือนบ่าวด้วยความเป็นห่วงเจ้ากลิ่น พ่อรักษ์เองด้วยทิฐิผนวกกับความโกรธจึงเดินลงไปจากเรือน ทิ้งให้ท่านเจ้าคุณยืนถือหวายด้วยมืออันสั่นเทาอยู่ตรงนั้น
“ ส่งมาให้ลูกเถิดเจ้าค่ะคุณพ่อ ”
“ มันน่านักเลี้ยงมาไม่เคยให้ตกระกำลำบาก แต่กลับทำตัวเลวระยำยิ่งกว่านักเลงหัวไม้ ”
“ ใจเย็น ๆ เถิดเจ้าค่ะคุณพ่อ พักเสียหน่อยเถิดนะเจ้าคะ เหนื่อยมาเสียทั้งวันแล้ว ”
“ ไม่ใช่พ่อไม่อยากพักดอกหนาแม่รำพึง แต่เพราะพี่เจ้าทำให้พ่อได้แต่ระอาใจ เฮ้อ ไม่รู้พ่อทำเวรทำกรรมอันใดไว้ ถึงได้เป็นเยี่ยงนี้ ”
“ อย่าพูดเช่นนั้นสิเจ้าคะ ประเดี๋ยวทุกอย่างก็จักดีขึ้นเจ้าค่ะ ”
“ พ่อคงตายเสียก่อนกระมัง ”
ท่านเจ้าคุณได้แต่ทอดถอนใจ มือหนากุมขมับตนเองด้วยความปวดหัว คิ้วขมวดมุ่นเพราะความคิดทุกอย่างประเดประดังเข้ามาให้วิตก
“ ป้าปรุงจ๊ะ ”
เสียงเรียกของไอ้จอมทำให้นังปรุงที่กำลังเช็ดเนื้อเช็ดตัวเจ้ากลิ่นที่ยังนอนไม่ได้สติ แผ่นหลังเต็มไปด้วยรอยหวายที่หวดลงมาสุดแรงเพราะความโกรธของท่านเจ้าคุณที่มีต่อบุตรชาย แต่คนที่รับกรรมกับเป็นลูกของตนที่เป็นเพียงแค่บ่าวในเรือนเท่านั้น
“ มีกระไรไอ้จอม กลิ่นมันยังนอนอยู่วันนี้เอ็งจะไปทำกระไรก็ไปทำเสีย ”
“ ขอข้าเข้าไปดูมันเสียหน่อยเถิดจ้ะป้าปรุง ”
“ มาดูมันแล้วเอ็งจะทำกระไรได้ ไปเสียอย่ามากวนใจข้าเพลานี้ไอ้จอม ”
“ จ้ะป้า หากขาดเหลือกระไรป้าก็เรียกข้านะจ๊ะ ”
“ เออ... ”
ไอ้จอมได้แต่เดินจากไปเพราะไม่อยากกวนใจนังปรุง ต่อให้มันจะห่วงเจ้ากลิ่นอย่างไร แต่มันคงไม่สู้ความรู้สึกห่วงใยของแม่แท้ ๆ เป็นแน่
“ เห็นพวกกูเป็นบ่าวไพร่แล้วจะทำกระไรกับพวกกูก็ได้อย่างนั้นหรือวะ โธ่โว้ย ”
“ อ๊ะ... ”
เจ้ากลิ่นที่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาหลังจากที่ไม่ได้สติมานาน ทันทีที่ขยับตัวความปวดแสบจากรอยแผลยาวหลายแผลกลางหลังก็เข้าเล่นงานทันที นังปรุงที่นั่งดูลูกชายมาครู่ใหญ่ค่อย ๆ ประคองลูกชายให้ลุกขึ้นมาด้วยความสงสารจับใจ
“ เป็นอย่างไรบ้างลูก เจ็บมากไหม ”
“ แม่... ”
“ เป็นเวรเป็นกรรมจริง ๆ ลูกเอ๊ย หากแม่ไม่ได้เกิดมาเป็นบ่าวเอ็งก็คงไม่ต้องมารับกรรมแบบนี้ดอก ”
“ อย่าพูดอย่างนี้สิจ๊ะแม่ ฉันเกิดมาเป็นลูกของแม่แค่นี้ก็เป็นบุญของฉันแล้วจ้ะ ”
“ กลิ่นเอ๊ย... ”
“ แล้วนี่คุณรักษ์เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะแม่ ”
ถึงแม้ตนเองจะปวดแสบกับบาดแผลที่ได้รับ แต่เจ้ากลิ่นกลับไม่ได้กังวลกับความเจ็บปวดนั้นสักเท่าใด แววตาอยากรู้ที่ส่งตรงมายังผู้เป็นแม่ ทำให้นังปรุงน้ำตาเอ่อล้นไปด้วยความเวทนาลูกของตน
“ เอ็งเจ็บเพราะคุณรักษ์ถึงเพียงนี้ เอ็งยังจะเป็นห่วงคนอื่นอึกรึ เอ็งไม่โกรธคุณรักษ์บ้างเลยรึลูก ”
“ เหตุใดฉันต้องโกรธคุณรักษ์ด้วยจ๊ะแม่ ในเมื่อฉันมีหน้าที่ดูแลคุณรักษ์จริง ๆ นี่จ๊ะ ”
“ แต่เอ็งต้องมาเจ็บตัวแทนในสิ่งที่เอ็งไม่ได้ทำนี่น่ะรึ ”
“ มันก็ถูกแล้วไม่ใช่หรือจ๊ะ ในเมื่อเจ้าคุณท่านไว้ใจให้ฉันรับใช้คุณรักษ์ แต่ฉันกลับดูแลคุณรักษ์ท่านให้อยู่ในร่องในรอยไม่ได้ ฉันก็ต้องโดนเยี่ยงนี้แหละจ้ะแม่มันถูกแล้ว ”
“ กลิ่นเอ๊ย...ลูก ”
นังปรุงเอื้อมมือไปลูบหัวลูกชายคนเดียวของตน ดวงตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำใส อยากจะโอบกอดลูกไว้ให้แน่น ก็เกรงว่าจะทำให้ลูกเจ็บกว่าเดิม แต่ไหนแต่ไรมามันก็พร่ำสอนให้ลูกรู้จักตอบแทนความดีของคุณ ๆ ท่านที่เมตตามันเยี่ยงลูกหลาน แต่มันก็ไม่ได้คิดว่าเจ้ากลิ่นจะเชื่อฟังคำที่แม่พร่ำบอกได้ดีเช่นนี้
...แม่ไม่รู้ว่าเป็นบุญหรือกรรม ที่เอ็งเชื่อฟังแม่เช่นนี้ กลิ่นเอ๊ย...
๙ เป็นเวรหรือกรรม “ เป็นเช่นไรบ้าง เอ็งเจ็บแผลมากหรือไม่ ” ไอ้จอมเอ่ยปากถามเจ้ากลิ่นที่ยังคงนอนคว่ำหน้าเพราะบาดแผลที่โดนโบยยังคงมีเลือดติดอยู่ เจ้ากลิ่นหันหน้ามามองคนที่ตนรักเหมือนพี่ชาย ที่สองวันมานี้เทียวแวะเวียนมาถามไถ่อยู่แทบจะทั้งวี่วัน “ เจ็บอยู่จ้ะพี่จอม แต่ไม่เท่าคราแรก ” “ เอ็งอยากได้กระไรก็บอกพี่นะกลิ่น พี่เอามาให้เอง ” “ ฉันขอบใจพี่มากนะจ๊ะพี่จอม แต่แม่คอยหามาให้ฉันไม่ได้ขาดกระไร อีกอย่างงานพี่จอมก็มากโขอยู่ไม่ต้องห่วงฉันหรอกจ้ะพี่จอม ” " จะไม่ให้ห่วงเอ็งได้ยังไง ดูตัวเอ็งสิเล็กกระจ้อยร่อยเพียงนี้ ลมพัดก็แทบจะปลิวไปตามแรงลมเสียกระมัง ” “ พี่ก็พูดเกินไปพี่จอม ฉันไม่ได้อ่อนแอเยี่ยงนั้นเสียหน่อย ” “ เอาเถิด ๆ นอนพักเสียจะได้หายไว ๆ หายแล้วพี่จะพาเอ็งไปกินขนม ” “ ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะพี่จอม ” “ ฮะ ๆ ๆ พี่ไปก่อนนะ นอนเสียเถิด ” ไอ้จอมลูบหัวน้องด้วยความรักใคร่ รอยยิ้มใจดีมอบให้กับเจ้ากลิ่นที่ทำหน้าบึ้งตึงที่โดนมองว่ายังเป็นเด็กน้อยตัวเล็กในสายตาของคนอื่น
๑๐ พี่จะพาเอ็งไปเอง “ พ่อกลิ่นกลับเรือนไปเสียเถิด เทียวไปเทียวมาเช่นนี้ไม่เหนื่อยเอาดอกรึ “ เสียงทุ้มที่แม้ว่าฟังแล้วคล้ายจะรำคาญ แต่แววตาที่มองมากลับดูเป็นห่วงบ่าวที่นั่งมองตนเอง เจ้ากลิ่นช่วงนี้เทียวไปเทียวมา เพื่อมาพาพ่อรักษ์กลับเรือนตามสั่งของท่านเจ้าคุณ คราแรกพ่อรักษ์ก็จะยอมตามกลับไป แต่เป็นเพราะเจ้ากลิ่นบอกว่าเป็นความต้องการของบิดา ด้วยความเจ้าคิดเจ้าแค้นพ่อรักษ์จึงไม่ยอมกลับเรือนตามที่คิดไว้ “ ไม่เหนื่อยหรอกขอรับ แต่หากคุณรักษ์ยังมิยอมกลับเรือนเยี่ยงนี้ อีกไม่นานบ่าวอาจจะเหนื่อยก็ได้ขอรับ ” “ ดูพูดเข้าซีพ่อกลิ่น...หากพ่อกลิ่นเบื่อหน่ายข้าเสียแล้วเยี่ยงนี้อีกไม่นานข้าก็คงได้เป็นหมาหัวเน่าแน่ ” “ กล่าวเช่นนั้นได้อย่างไรขอรับ บ่าวรับใช้คุณรักษ์มาตั้งแต่จำความได้ บ่าวเคารพรักคุณรักษ์มากกว่าสิ่งใด แล้วเหตุใดบ่าวจะเบื่อหน่ายชีวิตที่อยู่ใกล้ ๆ ได้ดูแลรับใช้คุณรักษ์ได้เล่าขอรับ ” พ่อรักษ์มองบ่าวด้วยสายตาอ่อนโยน แต่ไหนแต่ไรเจ้ากลิ่นไม่เคยจะปริปากแม้แต่น้อยว่าเหนื่อยหน่ายกับชีวิตที่ต้องคอยมาตามปรนนิบัติตนเอง
๑ กลิ่นกรุ่น “ นังจวง ๆ เอ็งรีบไปตามยายกล่ำมาประเดี๋ยวนี้ คุณหญิงท่านใกล้จะคลอดเต็มทีแล้ว ” เสียงโหวกเหวกดังไปทั่วอาณาบริเวณเรือนไม้ใหญ่ บ่าวไพร่วิ่งวุ่นกันไปทั่ว บ้างก็วิ่งเข้าครัวเพื่อตระเตรียมหม้อดินมาต้มน้ำรอยายกล่ำ ผู้ซึ่งเป็นหมอตำแยผู้มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน “ แล้วนี่มีผู้ใดไปแจ้งท่านเจ้าคุณแล้วหรือไม่ ไอ้แจ้ง ข้าให้เอ็งไปบอก แล้วนี่เอ็งไปมาแล้วหรืออย่างไร ” “ ข้าให้คนไปแจ้งแล้วจ้ะพี่ น่าจะอีกสักประเดี๋ยวท่านเจ้าคุณน่าจะถึงจ้ะ ” “ อย่าให้พลาดเชียวนะไอ้แจ้ง ” ไอ้มาด หัวหน้าบ่าวในเรือนกำชับให้แน่ใจ ก่อนจะรีบเดินออกไปดูตรงส่วนอื่นต่อระหว่างที่รอหมอตำแยที่ส่งคนไปตามที่บ้านที่อยู่ไม่ไกลจากเรือนเท่าใดนัก “ พี่มาด ยายกล่ำมาหรือยังพี่ คุณหญิงเจ็บท้องมานานแล้วนะพี่ ” “ กูรู้แล้ว กูก็ร้อนใจไม่ต่างจากมึงหรอก ” “ พี่จะมัวแต่ร้อนใจไม่ได้นะพี่มาด คนเจ็บท้องคือคุณหญิงท่าน รีบให้ใครไปเร่งประเดี๋ยวนี้เลย ” “ เออๆ กูรู้แล้ว มึงรีบเข้าไปดูคุณหญิงท่านซะ ทางนี้กูจัดการเอง ไอ้แจ้
๒ ครั้นกลีบบุปผาโรย กาลเวลาผ่านพ้นมาจนพ่อรักษ์อายุจวนจะครบเก้าขวบ เจ้ากลิ่นเองก็เติบโตมาเป็นเด็กชายสมวัย แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเติบโตมากับบุตรชายของท่านเจ้าคุณหรืออย่างไร ผิวพรรณของลูกบ่าวผู้นี้ถึงได้ผุดผ่อง ผิดแผกจากลูกบ่าวคนอื่น ๆ ที่อยู่ในเรือนเดียวกัน และด้วยความที่เจ้ากลิ่นนั้นเป็นเด็กไม่ดื้อไม่ซน คุณหญิงกลอยจึงเอ็นดูมันยิ่งนัก “ แค่ก ๆ ” เสียงไอแห้ง ๆ ดังมาจากคุณหญิงที่กำลังนั่งเอนหลังอยู่ที่ศาลาข้างเรือนใหญ่ มือเรียวกำลังประคองท้องที่นูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้จะท้องแก่ใกล้คลอดแล้ว แต่ร่างกายกลับดูซูบผอมไม่เหมือนคนท้องใกล้คลอดแม้แต่น้อย “ ขึ้นเรือนดีหรือไม่เจ้าคะคุณหญิง บ่าวเห็นคุณหญิงไอถี่เหลือเกินเจ้าค่ะ ” “ พ่อรักษ์กับพ่อกลิ่นยังเล่นกันอยู่ ข้าไม่อยากห้ามลูกที่กำลังสนุก อีกอย่างข้าจะมีโอกาสได้ดูลูกเล่นได้เช่นนี้อีกนานไหมก็มิรู้ได้ ” “ คุณหญิงอย่าเอ่ยเช่นนี้สิเจ้าคะ กำลังท้องกำลังไส้อยู่นะเจ้าคะคุณหญิง ” เจ้าหล่อนไม่ได้เอ่ยกระไรตอบกลับ เพราะไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าตัวเองว่าร่างกายนั้นกำลัง
๓ มั่นคงดั่งทานตะวัน “ พี่กลิ่นจ๊ะ คุณพี่ไปไหนแล้วหรือจ๊ะ ” คุณหนูรำพึงบุตรสาวคนเล็กของท่านเจ้าคุณวรจิตร เติบโตมาเป็นสาวรุ่นอายุอานามก็เข้าปีที่สิบแล้ว หน้าตาก็สะสวยละม้ายคล้ายคลึงมารดาที่รำพึงเองก็จำหน้ามิได้ “ คุณรักษ์อยู่ที่ท้ายสวนขอรับคุณหนู ” เจ้ากลิ่นละมือจากการคัดดอกมะลิ มองไปยังหญิงสาวด้วยสายตาเอ็นดู “ คุณพี่คงดูชนไก่อีกสินะ แล้วนี่พี่กลิ่นไม่ไปดูบ้างหรือจ๊ะ เห็นมาช่วยรำพึงคัดแต่ดอกมะลิจะเบื่อเอานะ ” “ บ่าวไม่เบื่อหรอกขอรับคุณหนู บ่าวอยู่กงนี้ดีแล้วขอรับไปอยู่กับคุณรักษ์ตอนนี้บ่าวสงสารไก่ขอรับ ” “ พี่กลิ่นนี่ก็ช่างแปลกคน บ่าวผู้ชายคนอื่นก็ขลุกกันอยู่ที่ท้ายสวนกันทั้งนั้น มีก็แต่พี่กลิ่นนี่แหละหนาที่มาขลุกอยู่แต่กับรำพึง ระวังเถิดประเดี๋ยวคุณพี่เรียกหาไม่เจอจะโดนดุเอาเสียอีก ” “ คุณรักษ์ไม่ว่าบ่าวหรอกขอรับ เพราะคุณรักษ์เป็นคนไล่บ่าวให้กลับมาช่วยงานคุณหนูเองขอรับ ” “ คุณพี่น่ะหรือเป็นคนบอกให้พี่กลิ่นมาช่วยงานรำพึงที่เรือนนี้ ” “ ขอรับ คุณรักษ์เป็นคนพูดเองเลยขอร
๔ เข้มแข็งดุจผกากรอง สองร่างกายเปลือยเปล่าบนตั่งนอนที่มีเบาะยัดนุ่นหุ้มด้วยผ้าพื้นสีแดง มือใหญ่ของพ่อรักษ์กอบกุมปทุมถันของนางกลางเมืองอย่าง “จำเรียน” ร่างอรชรค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาตอนย่ำรุ่ง หลังผ่านค่ำคืนสวาทกับบุตรชายของท่านเจ้าคุณมีชื่อ ที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอยู่ในวัยกลัดมันหรืออย่างไร จำเรียนจึงต้องปรนเปรอชายหนุ่มผู้นี้จนร่างกายบอบช้ำไปแทบทั้งตัว กว่าจะได้หลับตาพักก็ตอนที่แสงโคมสีแดงที่อยู่ในเรือนไม้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าเรือนแห่งนี้ได้เวลาหลับไหล “ อือ.... ” เสียงครางในลำคอ พร้อมกระชับวงแขนแกร่งให้แน่นขึ้นจนจำเรียนต้องพยายามดันแขนไว้ “ คุณรักษ์เจ้าคะ ขอจำเรียนไปล้างเนื้อล้างตัวเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ” “ ล้างทำไมให้เปลืองเวลาไปเล่า อีกประเดี๋ยวข้าก็ทำให้เอ็งเหนียวตัวอีกรอบแล้ว เอ็งดูสิตัวของข้ามันต้องการเอ็งอีกรอบแล้วเห็นหรือไม่จำเรียน ” พ่อรักษ์ส่งสายตาหวานเยิ้มไปยังส่วนที่กำลังขยายใหญ่ตรงกลางลำตัว จำเรียนจ้องมองไปยังส่วนนั้น ก่อนที่ร่างบางจะโดนร่างแกร่งจับพลิกตัวลงกับเบาะนอน พร้อม ๆ กับบทเพลงบรร
๕ สบดวงเนตร สามสี่วันมานี้พ่อรักษ์อยู่ติดเรือนอย่างที่ไม่เคยมีผู้ใดเห็นมาก่อน นั่นก็เป็นเพราะต้องคอยเทียวไปเทียวมาระหว่างเรือนใหญ่กับเรือนบ่าวเพื่อคอยดูไม่ให้เจ้ากลิ่นลุกขึ้นมาทำงานตอนที่ร่างกายยังไม่หายดี ในขณะที่เจ้าคุณวรจิตรเองช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้กลับเรือน หรือหากกลับก็กลับมาเพียงเปลี่ยนผ้าผ่อนเท่านั้น ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าเพลานี้ท่านเจ้าคุณวรจิตรต้องคอยวางแผนให้ทางท่านเจ้าเมืองกำราบเมืองประเทศราชที่มีข่าวแว่วมาว่ากำลังคิดกระด้างกระเดื่อง “ จะไปดูพี่กลิ่นที่เรือนหรือเจ้าคะคุณพี่ ” แม่รำพึงเอ่ยถามพี่ชายที่กำลังลงจากเรือน พ่อรักษ์หันมามองน้องสาวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ รำพึงชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นพี่ชายมองมาด้วยความไม่พอใจ “ ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง... ” พ่อรักษ์เอ่ยกับน้องอย่างไม่ไยดี แม่รำพึงดวงตาร้อนผ่าวเพราะความน้อยใจที่ตั้งแต่โตมาพี่ชายไม่เคยพูดจาดี ๆ ด้วยเลยสักครั้ง “ น้องแค่เห็นว่าหากคุณพี่ไปหาพี่กลิ่น น้องจะฝากข้าวต้มมัดที่น้องทำไปให้พี่กลิ่น แต่หากคุณพี่ไม่สะดวกน้องจะเอาไปให้พี่กลิ่นคราหลังก็ได้ค่ะ ”
๖ อวลกลิ่นพุดตาน “ แม่พุดตานนอนห้องนี้เถิด ประเดี๋ยวข้าจะให้บ่าวมันช่วยขนข้าวของมาไว้ให้เสียบนเรือน ” “ เจ้าค่ะท่านเจ้าคุณ ” “ ต่อจากนี้ข้าก็ขอฝากเรือนนี้ไว้ให้แม่พุดตานดูแลแทนข้าทีนะ ส่วนเรื่องเมื่อครู่ก็อย่าได้ถือสามันเลยอยู่ให้สบายใจเถิด ” “ เจ้าค่ะ... ” “ พักผ่อนเสียเถิดวันนี้ข้าต้องเข้าวัง มีกระไรก็เรียกบ่าวในเรือน หรือแม่รำพึงให้มาพูดคุยเป็นเพื่อนเสียก็ได้ ” “ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ” ท่านเจ้าคุณวรจิตรมองดูหญิงสาวที่ยืนหน้าเรียบเฉยอยู่ แววตาไม่สามารถซ่อนความรู้สึกภายในใจของเจ้าหล่อนได้เลย ก่อนที่ท่านเจ้าคุณจะเดินออกไปเรียกไอ้มาดให้ไปเตรียมตัวเข้าวัง แม่พุดตานมองตามหลังผัวหมาด ๆ ของตนเองด้วยแววตาเศร้าสร้อย “ อย่าร้องไห้ไปเลยเจ้าค่ะ เป็นเมียท่านเจ้าคุณวรจิตรอย่างไรเสียก็มีหน้ามีตานะเจ้าคะ ” แม่พุดตานใช้นิ้วเรียวปาดหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอ หันกลับมามองบ่าวรับใช้ร่างท้วมที่ยืนมองอยู่ด้านหลังมาพักใหญ่ “ ได้ผัวคราวพ่อนี่น่ะหรือป้าผัน สู้อยู่เป็นสาวเทื้อคาเรือนมิดีกว่าหรือจ๊ะ ”
๑๐ พี่จะพาเอ็งไปเอง “ พ่อกลิ่นกลับเรือนไปเสียเถิด เทียวไปเทียวมาเช่นนี้ไม่เหนื่อยเอาดอกรึ “ เสียงทุ้มที่แม้ว่าฟังแล้วคล้ายจะรำคาญ แต่แววตาที่มองมากลับดูเป็นห่วงบ่าวที่นั่งมองตนเอง เจ้ากลิ่นช่วงนี้เทียวไปเทียวมา เพื่อมาพาพ่อรักษ์กลับเรือนตามสั่งของท่านเจ้าคุณ คราแรกพ่อรักษ์ก็จะยอมตามกลับไป แต่เป็นเพราะเจ้ากลิ่นบอกว่าเป็นความต้องการของบิดา ด้วยความเจ้าคิดเจ้าแค้นพ่อรักษ์จึงไม่ยอมกลับเรือนตามที่คิดไว้ “ ไม่เหนื่อยหรอกขอรับ แต่หากคุณรักษ์ยังมิยอมกลับเรือนเยี่ยงนี้ อีกไม่นานบ่าวอาจจะเหนื่อยก็ได้ขอรับ ” “ ดูพูดเข้าซีพ่อกลิ่น...หากพ่อกลิ่นเบื่อหน่ายข้าเสียแล้วเยี่ยงนี้อีกไม่นานข้าก็คงได้เป็นหมาหัวเน่าแน่ ” “ กล่าวเช่นนั้นได้อย่างไรขอรับ บ่าวรับใช้คุณรักษ์มาตั้งแต่จำความได้ บ่าวเคารพรักคุณรักษ์มากกว่าสิ่งใด แล้วเหตุใดบ่าวจะเบื่อหน่ายชีวิตที่อยู่ใกล้ ๆ ได้ดูแลรับใช้คุณรักษ์ได้เล่าขอรับ ” พ่อรักษ์มองบ่าวด้วยสายตาอ่อนโยน แต่ไหนแต่ไรเจ้ากลิ่นไม่เคยจะปริปากแม้แต่น้อยว่าเหนื่อยหน่ายกับชีวิตที่ต้องคอยมาตามปรนนิบัติตนเอง
๙ เป็นเวรหรือกรรม “ เป็นเช่นไรบ้าง เอ็งเจ็บแผลมากหรือไม่ ” ไอ้จอมเอ่ยปากถามเจ้ากลิ่นที่ยังคงนอนคว่ำหน้าเพราะบาดแผลที่โดนโบยยังคงมีเลือดติดอยู่ เจ้ากลิ่นหันหน้ามามองคนที่ตนรักเหมือนพี่ชาย ที่สองวันมานี้เทียวแวะเวียนมาถามไถ่อยู่แทบจะทั้งวี่วัน “ เจ็บอยู่จ้ะพี่จอม แต่ไม่เท่าคราแรก ” “ เอ็งอยากได้กระไรก็บอกพี่นะกลิ่น พี่เอามาให้เอง ” “ ฉันขอบใจพี่มากนะจ๊ะพี่จอม แต่แม่คอยหามาให้ฉันไม่ได้ขาดกระไร อีกอย่างงานพี่จอมก็มากโขอยู่ไม่ต้องห่วงฉันหรอกจ้ะพี่จอม ” " จะไม่ให้ห่วงเอ็งได้ยังไง ดูตัวเอ็งสิเล็กกระจ้อยร่อยเพียงนี้ ลมพัดก็แทบจะปลิวไปตามแรงลมเสียกระมัง ” “ พี่ก็พูดเกินไปพี่จอม ฉันไม่ได้อ่อนแอเยี่ยงนั้นเสียหน่อย ” “ เอาเถิด ๆ นอนพักเสียจะได้หายไว ๆ หายแล้วพี่จะพาเอ็งไปกินขนม ” “ ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะพี่จอม ” “ ฮะ ๆ ๆ พี่ไปก่อนนะ นอนเสียเถิด ” ไอ้จอมลูบหัวน้องด้วยความรักใคร่ รอยยิ้มใจดีมอบให้กับเจ้ากลิ่นที่ทำหน้าบึ้งตึงที่โดนมองว่ายังเป็นเด็กน้อยตัวเล็กในสายตาของคนอื่น
๘ เจ็บกายแต่เต็มใจ เปลือกตาดำคล้ำค่อย ๆ เปิดขึ้นมาพร้อมกับความปวดร้าวไปทั่วตัว ดวงตาดำหรี่มองบุคคลข้าง ๆ ที่ดูเลือนรางไปหมด “ คุณรักษ์ขอรับ... ” เสียงเจ้ากลิ่นทำให้พ่อรักษ์แค่นยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะเพ่งมองไปยังใบหน้าขาวของบ่าวจนมองเห็นชัดในสายตาของตนเอง “ ดูทำหน้าเข้าซีพ่อกลิ่น ข้ายังไม่ได้ตายเสียหน่อย ” “ คุณรักษ์อย่าพูดเช่นนี้สิขอรับ มันเป็นลางไม่ดีนะขอรับ ” “ แล้วนี่ใครเป็นคนพาข้ากลับมาที่เรือนหรือพ่อกลิ่น ” “ พี่จอมกับลุงมาดขอรับ ” “ แล้วพ่อข้ารู้เรื่องหรือไม่พ่อกลิ่น ” เจ้ากลิ่นพยักหน้าเบา ๆ ด้วยแววตาเป็นห่วง ก่อนที่หัวทุยของมันจะโดนมือกร้านลูบเพื่อให้คลายกังวล “ ไม่ต้องห่วงข้าดอกพ่อกลิ่น...แล้วนี่พ่อกลิ่นมาเฝ้าข้าตั้งแต่เมื่อใดกัน ” “ เมื่อคืนขอรับ พอมีคนมาแจ้งข่าวท่านเจ้าคุณก็สั่งให้บ่าวในเรือนไปพาคุณรักษ์มาที่เรือนขอรับ ท่านเจ้าคุณให้หมอยามาดูคุณรักษ์แล้วก็ให้กินยาให้หมดสามวันขอรับ แล้วนี่คุณรักษ์หิวหรือยังขอรับ ” “ หิวแล้วซีพ่อก
๗ เบญจมาศในหมู่ภมร “ พี่ชายเจ้าไม่มากินข้าวอีกแล้วหรือแม่รำพึง ” ท่านเจ้าคุณเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าบุตรชายไม่อยู่กินข้าวเช้ามาหลายวัน คิ้วหนาแซมขาวขมวดมุ่นจนคนนั่งร่วมสำรับอึดอัด “ รับข้าวเถิดเจ้าค่ะท่านเจ้าคุณ ” แม่พุดตานเอ่ยเสียงเรียบ มือเรียวตักข้าวใส่จานของท่านเจ้าคุณ “ นังจวงไปตามพ่อรักษ์มา ” “ จะ...เจ้าค่ะ ” นังจวงสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงที่ปนไปด้วยความโกรธส่งตรงมาที่ตน มันตอบรับคำสั่งรีบวิ่งไปตามพ่อรักษ์ที่เรือนบ่าว “ เรียกข้ามีกระไรหรือขอรับคุณพ่อ ” พ่อรักษ์ขึ้นเรือนมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใช้หางตาปรายมองหญิงสาวสองคนที่นั่งร่วมสำรับอย่างไม่ชอบใจ “ นั่งลง ” “ คุณพ่อแจ้งมาได้เลยขอรับว่ามีกระไรกับข้า ” “ กูบอกให้มึงนั่งลงไอ้รักษ์ ” “ หากคุณพ่อไม่มีกระไรเพียงแต่อยากเรียกข้ามาให้ร่วมสำรับกับครอบครัวของคุณพ่อ ข้าไม่ต้องการขอรับ ข้ากินข้าวที่เรือนบ่าวกับแม่ปรุงอิ่มแล้วขอรับ ” “ ไอ้ลูกไม่รักดี มึงเห็นบ่าวดีกว่ากูที่เป็นพ่อของมึงเชียวรึไอ้
๖ อวลกลิ่นพุดตาน “ แม่พุดตานนอนห้องนี้เถิด ประเดี๋ยวข้าจะให้บ่าวมันช่วยขนข้าวของมาไว้ให้เสียบนเรือน ” “ เจ้าค่ะท่านเจ้าคุณ ” “ ต่อจากนี้ข้าก็ขอฝากเรือนนี้ไว้ให้แม่พุดตานดูแลแทนข้าทีนะ ส่วนเรื่องเมื่อครู่ก็อย่าได้ถือสามันเลยอยู่ให้สบายใจเถิด ” “ เจ้าค่ะ... ” “ พักผ่อนเสียเถิดวันนี้ข้าต้องเข้าวัง มีกระไรก็เรียกบ่าวในเรือน หรือแม่รำพึงให้มาพูดคุยเป็นเพื่อนเสียก็ได้ ” “ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ” ท่านเจ้าคุณวรจิตรมองดูหญิงสาวที่ยืนหน้าเรียบเฉยอยู่ แววตาไม่สามารถซ่อนความรู้สึกภายในใจของเจ้าหล่อนได้เลย ก่อนที่ท่านเจ้าคุณจะเดินออกไปเรียกไอ้มาดให้ไปเตรียมตัวเข้าวัง แม่พุดตานมองตามหลังผัวหมาด ๆ ของตนเองด้วยแววตาเศร้าสร้อย “ อย่าร้องไห้ไปเลยเจ้าค่ะ เป็นเมียท่านเจ้าคุณวรจิตรอย่างไรเสียก็มีหน้ามีตานะเจ้าคะ ” แม่พุดตานใช้นิ้วเรียวปาดหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอ หันกลับมามองบ่าวรับใช้ร่างท้วมที่ยืนมองอยู่ด้านหลังมาพักใหญ่ “ ได้ผัวคราวพ่อนี่น่ะหรือป้าผัน สู้อยู่เป็นสาวเทื้อคาเรือนมิดีกว่าหรือจ๊ะ ”
๕ สบดวงเนตร สามสี่วันมานี้พ่อรักษ์อยู่ติดเรือนอย่างที่ไม่เคยมีผู้ใดเห็นมาก่อน นั่นก็เป็นเพราะต้องคอยเทียวไปเทียวมาระหว่างเรือนใหญ่กับเรือนบ่าวเพื่อคอยดูไม่ให้เจ้ากลิ่นลุกขึ้นมาทำงานตอนที่ร่างกายยังไม่หายดี ในขณะที่เจ้าคุณวรจิตรเองช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้กลับเรือน หรือหากกลับก็กลับมาเพียงเปลี่ยนผ้าผ่อนเท่านั้น ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าเพลานี้ท่านเจ้าคุณวรจิตรต้องคอยวางแผนให้ทางท่านเจ้าเมืองกำราบเมืองประเทศราชที่มีข่าวแว่วมาว่ากำลังคิดกระด้างกระเดื่อง “ จะไปดูพี่กลิ่นที่เรือนหรือเจ้าคะคุณพี่ ” แม่รำพึงเอ่ยถามพี่ชายที่กำลังลงจากเรือน พ่อรักษ์หันมามองน้องสาวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ รำพึงชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นพี่ชายมองมาด้วยความไม่พอใจ “ ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง... ” พ่อรักษ์เอ่ยกับน้องอย่างไม่ไยดี แม่รำพึงดวงตาร้อนผ่าวเพราะความน้อยใจที่ตั้งแต่โตมาพี่ชายไม่เคยพูดจาดี ๆ ด้วยเลยสักครั้ง “ น้องแค่เห็นว่าหากคุณพี่ไปหาพี่กลิ่น น้องจะฝากข้าวต้มมัดที่น้องทำไปให้พี่กลิ่น แต่หากคุณพี่ไม่สะดวกน้องจะเอาไปให้พี่กลิ่นคราหลังก็ได้ค่ะ ”
๔ เข้มแข็งดุจผกากรอง สองร่างกายเปลือยเปล่าบนตั่งนอนที่มีเบาะยัดนุ่นหุ้มด้วยผ้าพื้นสีแดง มือใหญ่ของพ่อรักษ์กอบกุมปทุมถันของนางกลางเมืองอย่าง “จำเรียน” ร่างอรชรค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาตอนย่ำรุ่ง หลังผ่านค่ำคืนสวาทกับบุตรชายของท่านเจ้าคุณมีชื่อ ที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอยู่ในวัยกลัดมันหรืออย่างไร จำเรียนจึงต้องปรนเปรอชายหนุ่มผู้นี้จนร่างกายบอบช้ำไปแทบทั้งตัว กว่าจะได้หลับตาพักก็ตอนที่แสงโคมสีแดงที่อยู่ในเรือนไม้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าเรือนแห่งนี้ได้เวลาหลับไหล “ อือ.... ” เสียงครางในลำคอ พร้อมกระชับวงแขนแกร่งให้แน่นขึ้นจนจำเรียนต้องพยายามดันแขนไว้ “ คุณรักษ์เจ้าคะ ขอจำเรียนไปล้างเนื้อล้างตัวเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ” “ ล้างทำไมให้เปลืองเวลาไปเล่า อีกประเดี๋ยวข้าก็ทำให้เอ็งเหนียวตัวอีกรอบแล้ว เอ็งดูสิตัวของข้ามันต้องการเอ็งอีกรอบแล้วเห็นหรือไม่จำเรียน ” พ่อรักษ์ส่งสายตาหวานเยิ้มไปยังส่วนที่กำลังขยายใหญ่ตรงกลางลำตัว จำเรียนจ้องมองไปยังส่วนนั้น ก่อนที่ร่างบางจะโดนร่างแกร่งจับพลิกตัวลงกับเบาะนอน พร้อม ๆ กับบทเพลงบรร
๓ มั่นคงดั่งทานตะวัน “ พี่กลิ่นจ๊ะ คุณพี่ไปไหนแล้วหรือจ๊ะ ” คุณหนูรำพึงบุตรสาวคนเล็กของท่านเจ้าคุณวรจิตร เติบโตมาเป็นสาวรุ่นอายุอานามก็เข้าปีที่สิบแล้ว หน้าตาก็สะสวยละม้ายคล้ายคลึงมารดาที่รำพึงเองก็จำหน้ามิได้ “ คุณรักษ์อยู่ที่ท้ายสวนขอรับคุณหนู ” เจ้ากลิ่นละมือจากการคัดดอกมะลิ มองไปยังหญิงสาวด้วยสายตาเอ็นดู “ คุณพี่คงดูชนไก่อีกสินะ แล้วนี่พี่กลิ่นไม่ไปดูบ้างหรือจ๊ะ เห็นมาช่วยรำพึงคัดแต่ดอกมะลิจะเบื่อเอานะ ” “ บ่าวไม่เบื่อหรอกขอรับคุณหนู บ่าวอยู่กงนี้ดีแล้วขอรับไปอยู่กับคุณรักษ์ตอนนี้บ่าวสงสารไก่ขอรับ ” “ พี่กลิ่นนี่ก็ช่างแปลกคน บ่าวผู้ชายคนอื่นก็ขลุกกันอยู่ที่ท้ายสวนกันทั้งนั้น มีก็แต่พี่กลิ่นนี่แหละหนาที่มาขลุกอยู่แต่กับรำพึง ระวังเถิดประเดี๋ยวคุณพี่เรียกหาไม่เจอจะโดนดุเอาเสียอีก ” “ คุณรักษ์ไม่ว่าบ่าวหรอกขอรับ เพราะคุณรักษ์เป็นคนไล่บ่าวให้กลับมาช่วยงานคุณหนูเองขอรับ ” “ คุณพี่น่ะหรือเป็นคนบอกให้พี่กลิ่นมาช่วยงานรำพึงที่เรือนนี้ ” “ ขอรับ คุณรักษ์เป็นคนพูดเองเลยขอร
๒ ครั้นกลีบบุปผาโรย กาลเวลาผ่านพ้นมาจนพ่อรักษ์อายุจวนจะครบเก้าขวบ เจ้ากลิ่นเองก็เติบโตมาเป็นเด็กชายสมวัย แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเติบโตมากับบุตรชายของท่านเจ้าคุณหรืออย่างไร ผิวพรรณของลูกบ่าวผู้นี้ถึงได้ผุดผ่อง ผิดแผกจากลูกบ่าวคนอื่น ๆ ที่อยู่ในเรือนเดียวกัน และด้วยความที่เจ้ากลิ่นนั้นเป็นเด็กไม่ดื้อไม่ซน คุณหญิงกลอยจึงเอ็นดูมันยิ่งนัก “ แค่ก ๆ ” เสียงไอแห้ง ๆ ดังมาจากคุณหญิงที่กำลังนั่งเอนหลังอยู่ที่ศาลาข้างเรือนใหญ่ มือเรียวกำลังประคองท้องที่นูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้จะท้องแก่ใกล้คลอดแล้ว แต่ร่างกายกลับดูซูบผอมไม่เหมือนคนท้องใกล้คลอดแม้แต่น้อย “ ขึ้นเรือนดีหรือไม่เจ้าคะคุณหญิง บ่าวเห็นคุณหญิงไอถี่เหลือเกินเจ้าค่ะ ” “ พ่อรักษ์กับพ่อกลิ่นยังเล่นกันอยู่ ข้าไม่อยากห้ามลูกที่กำลังสนุก อีกอย่างข้าจะมีโอกาสได้ดูลูกเล่นได้เช่นนี้อีกนานไหมก็มิรู้ได้ ” “ คุณหญิงอย่าเอ่ยเช่นนี้สิเจ้าคะ กำลังท้องกำลังไส้อยู่นะเจ้าคะคุณหญิง ” เจ้าหล่อนไม่ได้เอ่ยกระไรตอบกลับ เพราะไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าตัวเองว่าร่างกายนั้นกำลัง