๕
สบดวงเนตร
สามสี่วันมานี้พ่อรักษ์อยู่ติดเรือนอย่างที่ไม่เคยมีผู้ใดเห็นมาก่อน นั่นก็เป็นเพราะต้องคอยเทียวไปเทียวมาระหว่างเรือนใหญ่กับเรือนบ่าวเพื่อคอยดูไม่ให้เจ้ากลิ่นลุกขึ้นมาทำงานตอนที่ร่างกายยังไม่หายดี ในขณะที่เจ้าคุณวรจิตรเองช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้กลับเรือน หรือหากกลับก็กลับมาเพียงเปลี่ยนผ้าผ่อนเท่านั้น ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าเพลานี้ท่านเจ้าคุณวรจิตรต้องคอยวางแผนให้ทางท่านเจ้าเมืองกำราบเมืองประเทศราชที่มีข่าวแว่วมาว่ากำลังคิดกระด้างกระเดื่อง
“ จะไปดูพี่กลิ่นที่เรือนหรือเจ้าคะคุณพี่ ”
แม่รำพึงเอ่ยถามพี่ชายที่กำลังลงจากเรือน พ่อรักษ์หันมามองน้องสาวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ รำพึงชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นพี่ชายมองมาด้วยความไม่พอใจ
“ ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง... ”
พ่อรักษ์เอ่ยกับน้องอย่างไม่ไยดี แม่รำพึงดวงตาร้อนผ่าวเพราะความน้อยใจที่ตั้งแต่โตมาพี่ชายไม่เคยพูดจาดี ๆ ด้วยเลยสักครั้ง
“ น้องแค่เห็นว่าหากคุณพี่ไปหาพี่กลิ่น น้องจะฝากข้าวต้มมัดที่น้องทำไปให้พี่กลิ่น แต่หากคุณพี่ไม่สะดวกน้องจะเอาไปให้พี่กลิ่นคราหลังก็ได้ค่ะ ”
“ เช่นนั้นเอ็งก็เอามา ไม่ต้องไปเองให้ยุ่งยากวุ่นวายเสียเปล่า ๆ ”
“ เช่นนั้นน้องฝากด้วยนะเจ้าคะ ”
รำพึงส่งข้าวต้มมัดให้สองคู่ส่งยิ้มดีใจให้พี่ชายที่กำลังรับขนมจากมือของตนเอง รำพึงรู้สึกว่าหากเป็นเรื่องใดที่เกี่ยวกับเจ้ากลิ่นพี่ชายของเธอจะยินยอมเสมอ นั่นจึงทำให้รำพึงรู้สึกปลื้มปิติที่เรื่องของเจ้ากลิ่นนั้นทำให้ตนได้มีเหตุผลที่ได้สนทนากับพี่ชายบ้างแม้เพียงนิดก็ยังดี
“ กลิ่นพี่บอกเอ็งว่าไม่ต้องทำมิใช่รึ ”
“ พี่จอมนี่หละก็ ฉันบอกว่าฉันทำไหวเหตุใดต้องคอยห้ามฉันด้วยอีกคนหละพี่ ”
เจ้ากลิ่นหน้านิ่วไม่ยอมฟังที่ไอ้จอมห้าม สองมือกลับยกกระบุงเดินไปยังท่าน้ำเพื่อตักน้ำมาเติมลงตุ่มบนเรือนใหญ่ให้เต็ม
“ แต่เนื้อตัวเอ็งยังไม่หายดี พักเสียอีกสักวันมิดีกว่ารึ ”
“ พี่จอม...ฉันนอนพักมาก็สี่ซ้าห้าวันแล้ว นอนอยู่เฉย ๆ มิได้ทำกระไรฉันก็เบื่อซี มาจับนู่นนี่ฉันจะได้ไม่ขี้เกียจไปเสียก่อน ”
“ แต่ว่า.... ”
“ ไม่แต่แล้วพี่จอม อย่างไรเสียฉันก็จะทำ แค่คุณรักษ์ห้ามฉันคนเดียวก็มากพอแล้ว นี่พี่ยังคิดที่จะห้ามให้ฉันทำในสิ่งที่อยากทำอีกหรือพี่จอม ”
ไอ้จอมคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินชื่อของพ่อรักษ์จากเจ้ากลิ่นที่กำลังถือกระบุงเดินดุ่ม ๆ ไปที่ท่าน้ำ เนื้อตัวที่ยังคงมีรอยเขียวช้ำ บาดแผลยังคงไม่แห้งดีนัก ในใจได้แต่นึกถึงวันที่เจ้ากลิ่นโดนทำร้ายแล้วก็ยิ่งโมโห หากวันที่เจ้ากลิ่นมาถามหาคุณรักษ์มันไม่รู้สึกตงิดในใจจนต้องตามเจ้ากลิ่นไปที่ตลาดวังหว้า วันนั้นเจ้ากลิ่นมันคงได้นอนจมกองดินอยู่กงนั้นทั้งคืน โดยที่คนต้นเหตุคงมิรู้เสียด้วยซ้ำว่าได้สร้างปัญหาไว้ให้กับคนอื่นมากเพียงใด
แต่ถึงแม้วันที่ไอ้จอมตามไปเจอเจ้ากลิ่นนอนอยู่บนพื้นดิน สติสตังแทบจะไม่มี เนื้อตัวมีร่องรอยบอบช้ำเต็มไปหมด แต่เจ้ากลิ่นไม่เคยคิดถึงตัวเองเลยแม้แต่น้อย เอาแต่เอ่ยว่าอย่าทำร้ายคุณรักษ์อยู่อย่างนั้นจนหมดสติ ไอ้จอมจึงคับแค้นใจนักที่คนมีอันจะกินอย่างคุณรักษ์ไม่เคยรู้เลยว่าชนชั้นล่างอย่างพวกมันนั้นต้องรองมือรองตีนให้เสียเท่าไหร่แล้ว
“ มาพี่ช่วย... ”
“ จะมาแย่งฉันทำไมเล่าพี่จอม พี่ก็ไปเอากระบุงอันใหม่มาซี ”
“ ในเมื่อพี่ไม่ห้ามเอ็งแล้ว ก็ให้พี่ช่วยเอ็งนี่แหละ เอ็งตัวกระเปี๊ยกเดียวหิ้วน้ำกระบุงเดียวก็แทบไม่ไหวแล้ว ”
“ เห็นฉันตัวเล็กพี่จอมเลยจะดูแคลนฉันรึ ไม่รู้หรือฉันนี่แข็งแรงมากเลยนะพี่จอม ”
“ อย่างนั้นรึ ไอ้เปี๊ยก ฮ่า ๆ ๆ ”
ไอ้จอมหัวเราะเสียงดัง ส่งสายตาหยอกล้อไปให้เจ้ากลิ่น ก่อนจะยกกระบุงที่ใส่น้ำจนเต็มสองกระบุงเดินไปทางเรือนใหญ่ เจ้ากลิ่นได้แต่ยกกระบุงใส่น้ำที่เหลืออีกกระบุงเดียวตามไปด้วยความกระท่อนกระแท่น
“ ดูจะมีความสุขเหลือเกินนะพ่อกลิ่น ”
“ คุณรักษ์ ”
เจ้ากลิ่นมองไปยังคุณรักษ์ที่เพิ่งเดินลงมาจากเรือน ในมือมีข้าวต้มมัดที่แม่รำพึงฝากมาให้เจ้ากลิ่น ใบหน้าคุณรักษ์ดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าใดนัก ตาจ้องเขม็งไปยังไอ้จอมที่หยุดยืนรอเจ้ากลิ่นไม่ยอมเอาน้ำในกระบุงไปเติมเสียที ก่อนที่จะหันกลับมามองเจ้ากลิ่นที่ยืนอยู่ตรงหน้า สายตาสำรวจร่องรอยบนตัวอย่างโจ่งแจ้ง จนทำให้คนถูกมองรู้สึกกระอักกระอ่วน
“ ข้าบอกว่าให้พ่อกลิ่นพักจนกว่าจะหายมิใช่รึ ”
“ บ่าวหายแล้วขอรับคุณรักษ์ ”
“ เนื้อตัวยังเขียวช้ำเช่นนี่ พ่อกลิ่นเรียกว่าหายรึ ”
พ่อรักษ์ก้าวอาด ๆ เข้าไปจับท่อนแขนของเจ้ากลิ่นไว้ ไม่รู้ตัวเองเลยว่าแรงอารมณ์ทำให้ท่อนแขนของเจ้ากลิ่นขึ้นรอยแดง เจ้ากลิ่นหน้าเสียเพราะตั้งแต่โตมาพ่อรักษ์ไม่เคยทำกระไรรุนแรงกับมันแบบนี้มาก่อน
“ คุณรักษ์ปล่อยแขนไอ้กลิ่นมันเถิดขอรับ ”
“ ไม่ใช่เรื่องของมึงอย่าสอดไอ้จอม ”
พ่อรักษ์หันไปจ้องไอ้จอมตาแข็ง ท่อนแขนแกร่งของไอ้จอมบีบแน่นไปที่แขนของพ่อรักษ์อย่างไม่เกรงกลัว
“ พี่จอมปล่อยแขนคุณรักษ์เสีย ประเดี๋ยวก็โดนลงหวายหรอกพี่ ”
“ พี่ไม่ปล่อยจนกว่าคุณรักษ์จะปล่อยแขนของเอ็ง ”
“ พี่จอม...ฉันขอนะพี่ ”
ไอ้จอมปล่อยมือพ่อรักษ์ตามที่เจ้ากลิ่นขอร้อง แต่ถึงแม้จะปล่อยมือแล้ว สายตาของมันก็ไม่ได้ห่างไปจากคนทั้งคู่
“ มึงมีงานกระไรก็ไปทำไอ้จอม ส่วนพ่อกลิ่นตามข้าไปที่สวน ”
“ แต่บ่าวยังเติมน้ำไม่เต็มตุ่มเลยขอรับ ”
“ ทิ้งกระบุงไว้ให้พี่จอมของพ่อเสียสิ แรงมันมีมากโขเติมน้ำให้เต็มตุ่มคนเดียวมันคงทำได้กระมัง ”
“ แต่ยังเหลืออีกหลายตุ่มเลยนะขอรับคุณรักษ์ ”
พ่อรักษ์ไม่เอ่ยอะไรต่อ ขายาวก้าวนำเจ้ากลิ่นไปที่สวนไม่สนใจท่าทีที่ดูเป็นกังวลว่าไอ้จอมจะตักน้ำใส่ตุ่มให้เต็มคนเดียวได้เช่นไร ไอ้จอมได้แต่พยักหน้าให้เจ้ากลิ่นไม่ต้องกังวล เจ้ากลิ่นจึงจำต้องยอมเดินตามพ่อรักษ์ไปที่สวนหลังเรือนใหญ่
สวนหลังเรือนใหญ่ที่กินเนื้อที่เกือบกึ่งหนึ่งของที่ดินของเจ้าคุณวรจิตรที่ตกทอดมาจากครอบครัวข้ารับใช้พ่ออยู่หัวมาหลายยุคหลายสมัย พื้นที่ถูกแบ่งออกเป็นสัดส่วนชัดเจน ส่วนด้านหน้าคือเรือนใหญ่เรือนเดี่ยวที่ยังมีพื้นที่ต่อเติมเพื่อกลายเป็นเรือนขยายได้เมื่อถึงวัยที่พ่อรักษ์ได้ตกแต่งแม่นายเข้าเรือน ต่อจากเรือนใหญ่ก็เป็นสวนที่ปลูกผลหมากรากไม้ไว้กินไว้แจกจ่ายชาวบ้าน รวมไปถึงเล้าไก่ชนของพ่อรักษ์ก็อยู่ในอาณาบริเวณนี้เช่นกัน
เขตสวนหลังเรือนใหญ่นี้ บ่าวไพร่ในบ้านต่างรู้ดีว่าเป็นที่ที่พ่อรักษ์จะมาเมื่อมีเรื่องกังวลใจ หรือคราที่มีปัญหากับท่านเจ้าคุณวรจิตร เป็นเหตุให้ไม่นานมานี้พ่อรักษ์จึงได้ให้บ่าวผู้ชายสร้างเรือนหลังเล็ก ๆ ไว้สำหรับหนีหน้าจากครอบครัว
“ คุณรักษ์ให้บ่าวตามมามีกระไรจะให้บ่าวทำหรือขอรับ ”
“ นี่...แม่รำพึงฝากให้ข้าเอามาให้พ่อกลิ่น ”
พ่อรักษ์ยื่นข้าวต้มมัดที่น้องสาวฝากมาให้เจ้ากลิ่น มือขาวยื่นไปรับมาด้วยรอยยิ้ม รอยปื้นแดง ๆ ที่ท่อนแขนดึงสายตาคมให้มองดูด้วยความเป็นห่วง
“ เจ็บหรือไม่พ่อกลิ่น ”
“ ไม่ขอรับ เนื้อตัวบ่าวก็เป็นเยี่ยงนี้แหละขอรับ โดนกระไรนิดหน่อยก็แดงแล้ว แต่ไม่ได้เจ็บไม่ได้ปวดกระไรขอรับคุณรักษ์มิต้องห่วงขอรับ ”
“ ข้าขอโทษ...พ่อกลิ่น ”
น้ำเสียงอ่อนโยนของพ่อรักษ์ส่งผลให้เจ้ากลิ่นเบิกตาโต ก่อนที่พ่อรักษ์จะเอื้อมไปยกแขนของเจ้ากลิ่นขึ้นมาเป่าด้วยความทะนุถนอม แต่การกระทำของพ่อรักษ์นั้นทำให้เจ้ากลิ่นใจเต้นไม่เป็นส่ำ
“ บะ...บ่าวไม่ได้เป็นกระไรขอรับคุณรักษ์ ”
“ นี่ถ้าแม่ข้ายังอยู่ข้าคงโดนเอ็ดไปแล้วที่ทำเนื้อตัวเจ้าแดงเยี่ยงนี้ ”
เจ้ากลิ่นมองนายของมันที่กำลังพ่นลมหายใจอุ่น ๆ ลงบนท่อนแขน ความรู้สึกปั่นป่วนกำลังก่อเกิดอยู่ภายใน
“ คุณหญิงท่านไม่เอ็ดคุณรักษ์เพราะบ่าวหรอกขอรับ คุณหญิงท่านรักคุณรักษ์ยิ่งกว่ากระไร ”
“ พ่อกลิ่นไม่รู้กระไร แต่ไหนแต่ไรมาคุณแม่รักและเอ็นดูพ่อมากยิ่งกว่าข้าที่เป็นลูกแท้ ๆ เสียอีก ”
“ คุณรักษ์ก็พูดเข้าขอรับ ไม่มีทางที่คุณหญิงท่านจะรักบ่าวมากกว่าคุณรักษ์เป็นแน่ บ่าวมั่นใจขอรับ ”
“ หึ ๆ...ข้าก็มั่นใจเหมือนกันว่าคุณแม่ต้องรักพ่อกลิ่นมากแน่ ๆ เหมือนอย่างที่ข้าเองก็รักพ่อกลิ่นเช่นกัน ”
วินาทีที่พ่อรักษ์เอ่ยเสร็จ ดวงตาคมสีนิลก็เงยหน้าขึ้นมามองไปยังดวงตาดำที่สั่นไหวน้อย ๆ ของเจ้ากลิ่น พ่อรักษ์มองสบตากับบ่าวคนสนิท ดวงตาสุกใสของคนใกล้ตัวที่เติบใหญ่มาด้วยกันที่มองมานั้นยิ่งพิศก็ยิ่งดูน่าค้นหา หัวใจของคนร่างใหญ่เริ่มรู้สึกหวิวไหว
“ ข้าเพิ่งรู้ว่าดวงตาพ่อกลิ่นงดงามถึงเพียงนี้เลยหรือ ”
“ คุณรักษ์... ”
นิ้วหยาบของพ่อรักษ์เอื้อมมาเกลี่ยบนเปลือกตาของเจ้ากลิ่นอย่างแผ่วเบา ดวงตาสุกใสของบ่าวร่างบางค่อย ๆ หลับพริ้มรับกับสัมผัสจากพ่อรักษ์ เจ้ากลิ่นหัวใจเต้นรัวเมื่อปลายนิ้วที่สัมผัสนั้นให้ความรู้สึกหวามไหว
“ พ่อกลิ่น...ลืมตามองมาที่ข้า ”
พ่อรักษ์สั่งด้วยน้ำเสียงเบาหวิว เจ้ากลิ่นเปิดเปลือกตาขึ้นมาช้า ๆ นัยน์ตาเยิ้มเป็นเงาส่งตรงไปยังนายของมัน
“ ต่อจากนี้...พ่อกลิ่นต้องมองแต่ข้าผู้เดียวเท่านั้น...เข้าใจหรือไม่พ่อกลิ่น ”
“ ขะ...ขอรับ ”
“ ทีนี้ก็กินข้าวต้มมัดเสียทีเถิดพ่อกลิ่น ประเดี๋ยวเย็นจะหมดอร่อยไปเสีย ”
พ่อรักษ์ผละออกมานั่งพิงระเบียงชานเรือน ปล่อยให้พ่อกลิ่นแกะข้าวต้มมัดกินอยู่เงียบ ๆ พ่อรักษ์ลอบยิ้มให้กับท่าทีงุ่มง่ามทำกระไรไม่ถูกของเจ้ากลิ่นเมื่อเห็นว่าพ่อรักษ์กำลังมองมันอยู่
“ คุณรักษ์เจ้าขา ”
เสียงเรียกที่ดูเหนื่อยหอบของนังจวงบ่าวบนเรือนใหญ่ตะโกนเรียกอยู่หน้าเรือนเล็กในสวน
“ เอ็งเรียกข้ามีกระไร ”
“ คุณท่านเรียกหาคุณรักษ์ให้ไปพบที่เรือนใหญ่เจ้าค่ะ เอ็งด้วยไอ้กลิ่น ”
ประโยคสุดท้ายนังจวงหันไปบอกเจ้ากลิ่นที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ กับพ่อรักษ์บนเรือน ก่อนที่มันจะมองไปยังพ่อรักษ์อย่างกังวล
บนเรือนใหญ่มีบ่าวไพร่อยู่พร้อมหน้า สีหน้าทุกคนดูแช่มชื่น รอยยิ้มระบายอยู่บนใบหน้าจนคนที่มาทีหลังอย่างเจ้ากลิ่นกับพ่อรักษ์ก็อดสงสัยมิได้
เจ้ากลิ่นนั่งลงตรงข้างไอ้จอมที่มันหวงที่ไว้ให้ ก่อนที่จะมองไปยังกลางเรือนก็เห็นท่านเจ้าคุณวรจิตรนั่งอยู่บนตั่งไม้สักเคลือบเงา เจ้าของเรือนนั่งคู่กับผู้หญิงหน้าตาสะสวย อายุอานามน่าจะพอ ๆ กับพ่อรักษ์เห็นจะได้ พ่อรักษ์เดินเข้าไปนั่งลงตรงข้ามน้องสาวของตนเอง ครู่หนึ่งพ่อรักษ์มองไปยังคนที่นั่งข้างบิดาของตนเองด้วยความสงสัย
“ มากันครบแล้วใช่มั้ยนังจวง ”
“ เจ้าค่ะคุณท่าน ”
“ นี่ แม่พุดตาน ต่อจากนี้แม่พุดตานจะมาเป็นคุณหญิงของเรือนนี้ ในฐานะเมียของข้า ”
บ่าวไพร่ในเรือนต่างยิ้มร่า เมื่อเรือนแห่งนี้จะได้มีคุณหญิงคนใหม่เสียที นับตั้งแต่คุณหญิงกลอยตายไป เรือนหลังนี้ก็แทบจะไม่มีชีวิตชีวาเสียเลย ดีที่ยังมีคุณหนูรำพึงที่ยังพอให้เรือนมีคนดูแลบ้าง
“ คุณพ่อคงเสียสติไปแล้วกระมังขอรับ ดูก็รู้ว่าเมียใหม่ของคุณพ่ออายุคราวลูกเช่นนี้ ”
“ ไอ้รักษ์!! ”
เสียงเดือดดาลของท่านเจ้าคุณแผดกังวานไปทั่วเรือน ดวงตาแข็งกร้าวจ้องมองบุตรชายด้วยโทสะที่ร้อนละอุ แต่พ่อรักษ์ก็ไม่ได้ยี่หระต่อเหตุตรงหน้าไม่ พ่อรักษ์มองไปยังแม่พุดตานด้วยสายตารับไม่ได้ เมื่อเห็นผู้หญิงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับตนจะมานั่งทับที่ที่แม่ของตนเคยอยู่
“ ไม่มีใครมาแทนคุณแม่บนเรือนนี้ได้หรอกขอรับ ยิ่งเป็นผู้หญิงรุ่นลูกเยี่ยงนี้ข้ายิ่งไม่ยินดีที่จะยอมรับขอรับ ”
“ กูไม่ได้มาขอให้มึงยินยอม เรือนนี้มันเรือนกู นี่ก็แม่พุดตานเมียกู แล้วก็จะเป็นแม่ของมึงกับแม่รำพึงนับแต่วันนี้ รู้ไว้เสียไอ้รักษ์ ”
หยดน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาคมของพ่อรักษ์ มือกำแน่นจนเส้นเลือดโปนเต็มหลังมือ พ่อรักษ์ลุกขึ้นก่อนจะหันหน้าไปมองพ่อกับเมียใหม่ด้วยสายตาชิงชัง แล้วจึงเดินลงจากเรือนไปด้วยอารมณ์ครุกรุ่น
๖ อวลกลิ่นพุดตาน “ แม่พุดตานนอนห้องนี้เถิด ประเดี๋ยวข้าจะให้บ่าวมันช่วยขนข้าวของมาไว้ให้เสียบนเรือน ” “ เจ้าค่ะท่านเจ้าคุณ ” “ ต่อจากนี้ข้าก็ขอฝากเรือนนี้ไว้ให้แม่พุดตานดูแลแทนข้าทีนะ ส่วนเรื่องเมื่อครู่ก็อย่าได้ถือสามันเลยอยู่ให้สบายใจเถิด ” “ เจ้าค่ะ... ” “ พักผ่อนเสียเถิดวันนี้ข้าต้องเข้าวัง มีกระไรก็เรียกบ่าวในเรือน หรือแม่รำพึงให้มาพูดคุยเป็นเพื่อนเสียก็ได้ ” “ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ” ท่านเจ้าคุณวรจิตรมองดูหญิงสาวที่ยืนหน้าเรียบเฉยอยู่ แววตาไม่สามารถซ่อนความรู้สึกภายในใจของเจ้าหล่อนได้เลย ก่อนที่ท่านเจ้าคุณจะเดินออกไปเรียกไอ้มาดให้ไปเตรียมตัวเข้าวัง แม่พุดตานมองตามหลังผัวหมาด ๆ ของตนเองด้วยแววตาเศร้าสร้อย “ อย่าร้องไห้ไปเลยเจ้าค่ะ เป็นเมียท่านเจ้าคุณวรจิตรอย่างไรเสียก็มีหน้ามีตานะเจ้าคะ ” แม่พุดตานใช้นิ้วเรียวปาดหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอ หันกลับมามองบ่าวรับใช้ร่างท้วมที่ยืนมองอยู่ด้านหลังมาพักใหญ่ “ ได้ผัวคราวพ่อนี่น่ะหรือป้าผัน สู้อยู่เป็นสาวเทื้อคาเรือนมิดีกว่าหรือจ๊ะ ”
๗ เบญจมาศในหมู่ภมร “ พี่ชายเจ้าไม่มากินข้าวอีกแล้วหรือแม่รำพึง ” ท่านเจ้าคุณเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าบุตรชายไม่อยู่กินข้าวเช้ามาหลายวัน คิ้วหนาแซมขาวขมวดมุ่นจนคนนั่งร่วมสำรับอึดอัด “ รับข้าวเถิดเจ้าค่ะท่านเจ้าคุณ ” แม่พุดตานเอ่ยเสียงเรียบ มือเรียวตักข้าวใส่จานของท่านเจ้าคุณ “ นังจวงไปตามพ่อรักษ์มา ” “ จะ...เจ้าค่ะ ” นังจวงสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงที่ปนไปด้วยความโกรธส่งตรงมาที่ตน มันตอบรับคำสั่งรีบวิ่งไปตามพ่อรักษ์ที่เรือนบ่าว “ เรียกข้ามีกระไรหรือขอรับคุณพ่อ ” พ่อรักษ์ขึ้นเรือนมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใช้หางตาปรายมองหญิงสาวสองคนที่นั่งร่วมสำรับอย่างไม่ชอบใจ “ นั่งลง ” “ คุณพ่อแจ้งมาได้เลยขอรับว่ามีกระไรกับข้า ” “ กูบอกให้มึงนั่งลงไอ้รักษ์ ” “ หากคุณพ่อไม่มีกระไรเพียงแต่อยากเรียกข้ามาให้ร่วมสำรับกับครอบครัวของคุณพ่อ ข้าไม่ต้องการขอรับ ข้ากินข้าวที่เรือนบ่าวกับแม่ปรุงอิ่มแล้วขอรับ ” “ ไอ้ลูกไม่รักดี มึงเห็นบ่าวดีกว่ากูที่เป็นพ่อของมึงเชียวรึไอ้
๘ เจ็บกายแต่เต็มใจ เปลือกตาดำคล้ำค่อย ๆ เปิดขึ้นมาพร้อมกับความปวดร้าวไปทั่วตัว ดวงตาดำหรี่มองบุคคลข้าง ๆ ที่ดูเลือนรางไปหมด “ คุณรักษ์ขอรับ... ” เสียงเจ้ากลิ่นทำให้พ่อรักษ์แค่นยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะเพ่งมองไปยังใบหน้าขาวของบ่าวจนมองเห็นชัดในสายตาของตนเอง “ ดูทำหน้าเข้าซีพ่อกลิ่น ข้ายังไม่ได้ตายเสียหน่อย ” “ คุณรักษ์อย่าพูดเช่นนี้สิขอรับ มันเป็นลางไม่ดีนะขอรับ ” “ แล้วนี่ใครเป็นคนพาข้ากลับมาที่เรือนหรือพ่อกลิ่น ” “ พี่จอมกับลุงมาดขอรับ ” “ แล้วพ่อข้ารู้เรื่องหรือไม่พ่อกลิ่น ” เจ้ากลิ่นพยักหน้าเบา ๆ ด้วยแววตาเป็นห่วง ก่อนที่หัวทุยของมันจะโดนมือกร้านลูบเพื่อให้คลายกังวล “ ไม่ต้องห่วงข้าดอกพ่อกลิ่น...แล้วนี่พ่อกลิ่นมาเฝ้าข้าตั้งแต่เมื่อใดกัน ” “ เมื่อคืนขอรับ พอมีคนมาแจ้งข่าวท่านเจ้าคุณก็สั่งให้บ่าวในเรือนไปพาคุณรักษ์มาที่เรือนขอรับ ท่านเจ้าคุณให้หมอยามาดูคุณรักษ์แล้วก็ให้กินยาให้หมดสามวันขอรับ แล้วนี่คุณรักษ์หิวหรือยังขอรับ ” “ หิวแล้วซีพ่อก
๙ เป็นเวรหรือกรรม “ เป็นเช่นไรบ้าง เอ็งเจ็บแผลมากหรือไม่ ” ไอ้จอมเอ่ยปากถามเจ้ากลิ่นที่ยังคงนอนคว่ำหน้าเพราะบาดแผลที่โดนโบยยังคงมีเลือดติดอยู่ เจ้ากลิ่นหันหน้ามามองคนที่ตนรักเหมือนพี่ชาย ที่สองวันมานี้เทียวแวะเวียนมาถามไถ่อยู่แทบจะทั้งวี่วัน “ เจ็บอยู่จ้ะพี่จอม แต่ไม่เท่าคราแรก ” “ เอ็งอยากได้กระไรก็บอกพี่นะกลิ่น พี่เอามาให้เอง ” “ ฉันขอบใจพี่มากนะจ๊ะพี่จอม แต่แม่คอยหามาให้ฉันไม่ได้ขาดกระไร อีกอย่างงานพี่จอมก็มากโขอยู่ไม่ต้องห่วงฉันหรอกจ้ะพี่จอม ” " จะไม่ให้ห่วงเอ็งได้ยังไง ดูตัวเอ็งสิเล็กกระจ้อยร่อยเพียงนี้ ลมพัดก็แทบจะปลิวไปตามแรงลมเสียกระมัง ” “ พี่ก็พูดเกินไปพี่จอม ฉันไม่ได้อ่อนแอเยี่ยงนั้นเสียหน่อย ” “ เอาเถิด ๆ นอนพักเสียจะได้หายไว ๆ หายแล้วพี่จะพาเอ็งไปกินขนม ” “ ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะพี่จอม ” “ ฮะ ๆ ๆ พี่ไปก่อนนะ นอนเสียเถิด ” ไอ้จอมลูบหัวน้องด้วยความรักใคร่ รอยยิ้มใจดีมอบให้กับเจ้ากลิ่นที่ทำหน้าบึ้งตึงที่โดนมองว่ายังเป็นเด็กน้อยตัวเล็กในสายตาของคนอื่น
๑๐ พี่จะพาเอ็งไปเอง “ พ่อกลิ่นกลับเรือนไปเสียเถิด เทียวไปเทียวมาเช่นนี้ไม่เหนื่อยเอาดอกรึ “ เสียงทุ้มที่แม้ว่าฟังแล้วคล้ายจะรำคาญ แต่แววตาที่มองมากลับดูเป็นห่วงบ่าวที่นั่งมองตนเอง เจ้ากลิ่นช่วงนี้เทียวไปเทียวมา เพื่อมาพาพ่อรักษ์กลับเรือนตามสั่งของท่านเจ้าคุณ คราแรกพ่อรักษ์ก็จะยอมตามกลับไป แต่เป็นเพราะเจ้ากลิ่นบอกว่าเป็นความต้องการของบิดา ด้วยความเจ้าคิดเจ้าแค้นพ่อรักษ์จึงไม่ยอมกลับเรือนตามที่คิดไว้ “ ไม่เหนื่อยหรอกขอรับ แต่หากคุณรักษ์ยังมิยอมกลับเรือนเยี่ยงนี้ อีกไม่นานบ่าวอาจจะเหนื่อยก็ได้ขอรับ ” “ ดูพูดเข้าซีพ่อกลิ่น...หากพ่อกลิ่นเบื่อหน่ายข้าเสียแล้วเยี่ยงนี้อีกไม่นานข้าก็คงได้เป็นหมาหัวเน่าแน่ ” “ กล่าวเช่นนั้นได้อย่างไรขอรับ บ่าวรับใช้คุณรักษ์มาตั้งแต่จำความได้ บ่าวเคารพรักคุณรักษ์มากกว่าสิ่งใด แล้วเหตุใดบ่าวจะเบื่อหน่ายชีวิตที่อยู่ใกล้ ๆ ได้ดูแลรับใช้คุณรักษ์ได้เล่าขอรับ ” พ่อรักษ์มองบ่าวด้วยสายตาอ่อนโยน แต่ไหนแต่ไรเจ้ากลิ่นไม่เคยจะปริปากแม้แต่น้อยว่าเหนื่อยหน่ายกับชีวิตที่ต้องคอยมาตามปรนนิบัติตนเอง
๑ กลิ่นกรุ่น “ นังจวง ๆ เอ็งรีบไปตามยายกล่ำมาประเดี๋ยวนี้ คุณหญิงท่านใกล้จะคลอดเต็มทีแล้ว ” เสียงโหวกเหวกดังไปทั่วอาณาบริเวณเรือนไม้ใหญ่ บ่าวไพร่วิ่งวุ่นกันไปทั่ว บ้างก็วิ่งเข้าครัวเพื่อตระเตรียมหม้อดินมาต้มน้ำรอยายกล่ำ ผู้ซึ่งเป็นหมอตำแยผู้มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน “ แล้วนี่มีผู้ใดไปแจ้งท่านเจ้าคุณแล้วหรือไม่ ไอ้แจ้ง ข้าให้เอ็งไปบอก แล้วนี่เอ็งไปมาแล้วหรืออย่างไร ” “ ข้าให้คนไปแจ้งแล้วจ้ะพี่ น่าจะอีกสักประเดี๋ยวท่านเจ้าคุณน่าจะถึงจ้ะ ” “ อย่าให้พลาดเชียวนะไอ้แจ้ง ” ไอ้มาด หัวหน้าบ่าวในเรือนกำชับให้แน่ใจ ก่อนจะรีบเดินออกไปดูตรงส่วนอื่นต่อระหว่างที่รอหมอตำแยที่ส่งคนไปตามที่บ้านที่อยู่ไม่ไกลจากเรือนเท่าใดนัก “ พี่มาด ยายกล่ำมาหรือยังพี่ คุณหญิงเจ็บท้องมานานแล้วนะพี่ ” “ กูรู้แล้ว กูก็ร้อนใจไม่ต่างจากมึงหรอก ” “ พี่จะมัวแต่ร้อนใจไม่ได้นะพี่มาด คนเจ็บท้องคือคุณหญิงท่าน รีบให้ใครไปเร่งประเดี๋ยวนี้เลย ” “ เออๆ กูรู้แล้ว มึงรีบเข้าไปดูคุณหญิงท่านซะ ทางนี้กูจัดการเอง ไอ้แจ้
๒ ครั้นกลีบบุปผาโรย กาลเวลาผ่านพ้นมาจนพ่อรักษ์อายุจวนจะครบเก้าขวบ เจ้ากลิ่นเองก็เติบโตมาเป็นเด็กชายสมวัย แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเติบโตมากับบุตรชายของท่านเจ้าคุณหรืออย่างไร ผิวพรรณของลูกบ่าวผู้นี้ถึงได้ผุดผ่อง ผิดแผกจากลูกบ่าวคนอื่น ๆ ที่อยู่ในเรือนเดียวกัน และด้วยความที่เจ้ากลิ่นนั้นเป็นเด็กไม่ดื้อไม่ซน คุณหญิงกลอยจึงเอ็นดูมันยิ่งนัก “ แค่ก ๆ ” เสียงไอแห้ง ๆ ดังมาจากคุณหญิงที่กำลังนั่งเอนหลังอยู่ที่ศาลาข้างเรือนใหญ่ มือเรียวกำลังประคองท้องที่นูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้จะท้องแก่ใกล้คลอดแล้ว แต่ร่างกายกลับดูซูบผอมไม่เหมือนคนท้องใกล้คลอดแม้แต่น้อย “ ขึ้นเรือนดีหรือไม่เจ้าคะคุณหญิง บ่าวเห็นคุณหญิงไอถี่เหลือเกินเจ้าค่ะ ” “ พ่อรักษ์กับพ่อกลิ่นยังเล่นกันอยู่ ข้าไม่อยากห้ามลูกที่กำลังสนุก อีกอย่างข้าจะมีโอกาสได้ดูลูกเล่นได้เช่นนี้อีกนานไหมก็มิรู้ได้ ” “ คุณหญิงอย่าเอ่ยเช่นนี้สิเจ้าคะ กำลังท้องกำลังไส้อยู่นะเจ้าคะคุณหญิง ” เจ้าหล่อนไม่ได้เอ่ยกระไรตอบกลับ เพราะไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าตัวเองว่าร่างกายนั้นกำลัง
๓ มั่นคงดั่งทานตะวัน “ พี่กลิ่นจ๊ะ คุณพี่ไปไหนแล้วหรือจ๊ะ ” คุณหนูรำพึงบุตรสาวคนเล็กของท่านเจ้าคุณวรจิตร เติบโตมาเป็นสาวรุ่นอายุอานามก็เข้าปีที่สิบแล้ว หน้าตาก็สะสวยละม้ายคล้ายคลึงมารดาที่รำพึงเองก็จำหน้ามิได้ “ คุณรักษ์อยู่ที่ท้ายสวนขอรับคุณหนู ” เจ้ากลิ่นละมือจากการคัดดอกมะลิ มองไปยังหญิงสาวด้วยสายตาเอ็นดู “ คุณพี่คงดูชนไก่อีกสินะ แล้วนี่พี่กลิ่นไม่ไปดูบ้างหรือจ๊ะ เห็นมาช่วยรำพึงคัดแต่ดอกมะลิจะเบื่อเอานะ ” “ บ่าวไม่เบื่อหรอกขอรับคุณหนู บ่าวอยู่กงนี้ดีแล้วขอรับไปอยู่กับคุณรักษ์ตอนนี้บ่าวสงสารไก่ขอรับ ” “ พี่กลิ่นนี่ก็ช่างแปลกคน บ่าวผู้ชายคนอื่นก็ขลุกกันอยู่ที่ท้ายสวนกันทั้งนั้น มีก็แต่พี่กลิ่นนี่แหละหนาที่มาขลุกอยู่แต่กับรำพึง ระวังเถิดประเดี๋ยวคุณพี่เรียกหาไม่เจอจะโดนดุเอาเสียอีก ” “ คุณรักษ์ไม่ว่าบ่าวหรอกขอรับ เพราะคุณรักษ์เป็นคนไล่บ่าวให้กลับมาช่วยงานคุณหนูเองขอรับ ” “ คุณพี่น่ะหรือเป็นคนบอกให้พี่กลิ่นมาช่วยงานรำพึงที่เรือนนี้ ” “ ขอรับ คุณรักษ์เป็นคนพูดเองเลยขอร
๑๐ พี่จะพาเอ็งไปเอง “ พ่อกลิ่นกลับเรือนไปเสียเถิด เทียวไปเทียวมาเช่นนี้ไม่เหนื่อยเอาดอกรึ “ เสียงทุ้มที่แม้ว่าฟังแล้วคล้ายจะรำคาญ แต่แววตาที่มองมากลับดูเป็นห่วงบ่าวที่นั่งมองตนเอง เจ้ากลิ่นช่วงนี้เทียวไปเทียวมา เพื่อมาพาพ่อรักษ์กลับเรือนตามสั่งของท่านเจ้าคุณ คราแรกพ่อรักษ์ก็จะยอมตามกลับไป แต่เป็นเพราะเจ้ากลิ่นบอกว่าเป็นความต้องการของบิดา ด้วยความเจ้าคิดเจ้าแค้นพ่อรักษ์จึงไม่ยอมกลับเรือนตามที่คิดไว้ “ ไม่เหนื่อยหรอกขอรับ แต่หากคุณรักษ์ยังมิยอมกลับเรือนเยี่ยงนี้ อีกไม่นานบ่าวอาจจะเหนื่อยก็ได้ขอรับ ” “ ดูพูดเข้าซีพ่อกลิ่น...หากพ่อกลิ่นเบื่อหน่ายข้าเสียแล้วเยี่ยงนี้อีกไม่นานข้าก็คงได้เป็นหมาหัวเน่าแน่ ” “ กล่าวเช่นนั้นได้อย่างไรขอรับ บ่าวรับใช้คุณรักษ์มาตั้งแต่จำความได้ บ่าวเคารพรักคุณรักษ์มากกว่าสิ่งใด แล้วเหตุใดบ่าวจะเบื่อหน่ายชีวิตที่อยู่ใกล้ ๆ ได้ดูแลรับใช้คุณรักษ์ได้เล่าขอรับ ” พ่อรักษ์มองบ่าวด้วยสายตาอ่อนโยน แต่ไหนแต่ไรเจ้ากลิ่นไม่เคยจะปริปากแม้แต่น้อยว่าเหนื่อยหน่ายกับชีวิตที่ต้องคอยมาตามปรนนิบัติตนเอง
๙ เป็นเวรหรือกรรม “ เป็นเช่นไรบ้าง เอ็งเจ็บแผลมากหรือไม่ ” ไอ้จอมเอ่ยปากถามเจ้ากลิ่นที่ยังคงนอนคว่ำหน้าเพราะบาดแผลที่โดนโบยยังคงมีเลือดติดอยู่ เจ้ากลิ่นหันหน้ามามองคนที่ตนรักเหมือนพี่ชาย ที่สองวันมานี้เทียวแวะเวียนมาถามไถ่อยู่แทบจะทั้งวี่วัน “ เจ็บอยู่จ้ะพี่จอม แต่ไม่เท่าคราแรก ” “ เอ็งอยากได้กระไรก็บอกพี่นะกลิ่น พี่เอามาให้เอง ” “ ฉันขอบใจพี่มากนะจ๊ะพี่จอม แต่แม่คอยหามาให้ฉันไม่ได้ขาดกระไร อีกอย่างงานพี่จอมก็มากโขอยู่ไม่ต้องห่วงฉันหรอกจ้ะพี่จอม ” " จะไม่ให้ห่วงเอ็งได้ยังไง ดูตัวเอ็งสิเล็กกระจ้อยร่อยเพียงนี้ ลมพัดก็แทบจะปลิวไปตามแรงลมเสียกระมัง ” “ พี่ก็พูดเกินไปพี่จอม ฉันไม่ได้อ่อนแอเยี่ยงนั้นเสียหน่อย ” “ เอาเถิด ๆ นอนพักเสียจะได้หายไว ๆ หายแล้วพี่จะพาเอ็งไปกินขนม ” “ ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะพี่จอม ” “ ฮะ ๆ ๆ พี่ไปก่อนนะ นอนเสียเถิด ” ไอ้จอมลูบหัวน้องด้วยความรักใคร่ รอยยิ้มใจดีมอบให้กับเจ้ากลิ่นที่ทำหน้าบึ้งตึงที่โดนมองว่ายังเป็นเด็กน้อยตัวเล็กในสายตาของคนอื่น
๘ เจ็บกายแต่เต็มใจ เปลือกตาดำคล้ำค่อย ๆ เปิดขึ้นมาพร้อมกับความปวดร้าวไปทั่วตัว ดวงตาดำหรี่มองบุคคลข้าง ๆ ที่ดูเลือนรางไปหมด “ คุณรักษ์ขอรับ... ” เสียงเจ้ากลิ่นทำให้พ่อรักษ์แค่นยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะเพ่งมองไปยังใบหน้าขาวของบ่าวจนมองเห็นชัดในสายตาของตนเอง “ ดูทำหน้าเข้าซีพ่อกลิ่น ข้ายังไม่ได้ตายเสียหน่อย ” “ คุณรักษ์อย่าพูดเช่นนี้สิขอรับ มันเป็นลางไม่ดีนะขอรับ ” “ แล้วนี่ใครเป็นคนพาข้ากลับมาที่เรือนหรือพ่อกลิ่น ” “ พี่จอมกับลุงมาดขอรับ ” “ แล้วพ่อข้ารู้เรื่องหรือไม่พ่อกลิ่น ” เจ้ากลิ่นพยักหน้าเบา ๆ ด้วยแววตาเป็นห่วง ก่อนที่หัวทุยของมันจะโดนมือกร้านลูบเพื่อให้คลายกังวล “ ไม่ต้องห่วงข้าดอกพ่อกลิ่น...แล้วนี่พ่อกลิ่นมาเฝ้าข้าตั้งแต่เมื่อใดกัน ” “ เมื่อคืนขอรับ พอมีคนมาแจ้งข่าวท่านเจ้าคุณก็สั่งให้บ่าวในเรือนไปพาคุณรักษ์มาที่เรือนขอรับ ท่านเจ้าคุณให้หมอยามาดูคุณรักษ์แล้วก็ให้กินยาให้หมดสามวันขอรับ แล้วนี่คุณรักษ์หิวหรือยังขอรับ ” “ หิวแล้วซีพ่อก
๗ เบญจมาศในหมู่ภมร “ พี่ชายเจ้าไม่มากินข้าวอีกแล้วหรือแม่รำพึง ” ท่านเจ้าคุณเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าบุตรชายไม่อยู่กินข้าวเช้ามาหลายวัน คิ้วหนาแซมขาวขมวดมุ่นจนคนนั่งร่วมสำรับอึดอัด “ รับข้าวเถิดเจ้าค่ะท่านเจ้าคุณ ” แม่พุดตานเอ่ยเสียงเรียบ มือเรียวตักข้าวใส่จานของท่านเจ้าคุณ “ นังจวงไปตามพ่อรักษ์มา ” “ จะ...เจ้าค่ะ ” นังจวงสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงที่ปนไปด้วยความโกรธส่งตรงมาที่ตน มันตอบรับคำสั่งรีบวิ่งไปตามพ่อรักษ์ที่เรือนบ่าว “ เรียกข้ามีกระไรหรือขอรับคุณพ่อ ” พ่อรักษ์ขึ้นเรือนมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใช้หางตาปรายมองหญิงสาวสองคนที่นั่งร่วมสำรับอย่างไม่ชอบใจ “ นั่งลง ” “ คุณพ่อแจ้งมาได้เลยขอรับว่ามีกระไรกับข้า ” “ กูบอกให้มึงนั่งลงไอ้รักษ์ ” “ หากคุณพ่อไม่มีกระไรเพียงแต่อยากเรียกข้ามาให้ร่วมสำรับกับครอบครัวของคุณพ่อ ข้าไม่ต้องการขอรับ ข้ากินข้าวที่เรือนบ่าวกับแม่ปรุงอิ่มแล้วขอรับ ” “ ไอ้ลูกไม่รักดี มึงเห็นบ่าวดีกว่ากูที่เป็นพ่อของมึงเชียวรึไอ้
๖ อวลกลิ่นพุดตาน “ แม่พุดตานนอนห้องนี้เถิด ประเดี๋ยวข้าจะให้บ่าวมันช่วยขนข้าวของมาไว้ให้เสียบนเรือน ” “ เจ้าค่ะท่านเจ้าคุณ ” “ ต่อจากนี้ข้าก็ขอฝากเรือนนี้ไว้ให้แม่พุดตานดูแลแทนข้าทีนะ ส่วนเรื่องเมื่อครู่ก็อย่าได้ถือสามันเลยอยู่ให้สบายใจเถิด ” “ เจ้าค่ะ... ” “ พักผ่อนเสียเถิดวันนี้ข้าต้องเข้าวัง มีกระไรก็เรียกบ่าวในเรือน หรือแม่รำพึงให้มาพูดคุยเป็นเพื่อนเสียก็ได้ ” “ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ” ท่านเจ้าคุณวรจิตรมองดูหญิงสาวที่ยืนหน้าเรียบเฉยอยู่ แววตาไม่สามารถซ่อนความรู้สึกภายในใจของเจ้าหล่อนได้เลย ก่อนที่ท่านเจ้าคุณจะเดินออกไปเรียกไอ้มาดให้ไปเตรียมตัวเข้าวัง แม่พุดตานมองตามหลังผัวหมาด ๆ ของตนเองด้วยแววตาเศร้าสร้อย “ อย่าร้องไห้ไปเลยเจ้าค่ะ เป็นเมียท่านเจ้าคุณวรจิตรอย่างไรเสียก็มีหน้ามีตานะเจ้าคะ ” แม่พุดตานใช้นิ้วเรียวปาดหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอ หันกลับมามองบ่าวรับใช้ร่างท้วมที่ยืนมองอยู่ด้านหลังมาพักใหญ่ “ ได้ผัวคราวพ่อนี่น่ะหรือป้าผัน สู้อยู่เป็นสาวเทื้อคาเรือนมิดีกว่าหรือจ๊ะ ”
๕ สบดวงเนตร สามสี่วันมานี้พ่อรักษ์อยู่ติดเรือนอย่างที่ไม่เคยมีผู้ใดเห็นมาก่อน นั่นก็เป็นเพราะต้องคอยเทียวไปเทียวมาระหว่างเรือนใหญ่กับเรือนบ่าวเพื่อคอยดูไม่ให้เจ้ากลิ่นลุกขึ้นมาทำงานตอนที่ร่างกายยังไม่หายดี ในขณะที่เจ้าคุณวรจิตรเองช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้กลับเรือน หรือหากกลับก็กลับมาเพียงเปลี่ยนผ้าผ่อนเท่านั้น ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าเพลานี้ท่านเจ้าคุณวรจิตรต้องคอยวางแผนให้ทางท่านเจ้าเมืองกำราบเมืองประเทศราชที่มีข่าวแว่วมาว่ากำลังคิดกระด้างกระเดื่อง “ จะไปดูพี่กลิ่นที่เรือนหรือเจ้าคะคุณพี่ ” แม่รำพึงเอ่ยถามพี่ชายที่กำลังลงจากเรือน พ่อรักษ์หันมามองน้องสาวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ รำพึงชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นพี่ชายมองมาด้วยความไม่พอใจ “ ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง... ” พ่อรักษ์เอ่ยกับน้องอย่างไม่ไยดี แม่รำพึงดวงตาร้อนผ่าวเพราะความน้อยใจที่ตั้งแต่โตมาพี่ชายไม่เคยพูดจาดี ๆ ด้วยเลยสักครั้ง “ น้องแค่เห็นว่าหากคุณพี่ไปหาพี่กลิ่น น้องจะฝากข้าวต้มมัดที่น้องทำไปให้พี่กลิ่น แต่หากคุณพี่ไม่สะดวกน้องจะเอาไปให้พี่กลิ่นคราหลังก็ได้ค่ะ ”
๔ เข้มแข็งดุจผกากรอง สองร่างกายเปลือยเปล่าบนตั่งนอนที่มีเบาะยัดนุ่นหุ้มด้วยผ้าพื้นสีแดง มือใหญ่ของพ่อรักษ์กอบกุมปทุมถันของนางกลางเมืองอย่าง “จำเรียน” ร่างอรชรค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาตอนย่ำรุ่ง หลังผ่านค่ำคืนสวาทกับบุตรชายของท่านเจ้าคุณมีชื่อ ที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอยู่ในวัยกลัดมันหรืออย่างไร จำเรียนจึงต้องปรนเปรอชายหนุ่มผู้นี้จนร่างกายบอบช้ำไปแทบทั้งตัว กว่าจะได้หลับตาพักก็ตอนที่แสงโคมสีแดงที่อยู่ในเรือนไม้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าเรือนแห่งนี้ได้เวลาหลับไหล “ อือ.... ” เสียงครางในลำคอ พร้อมกระชับวงแขนแกร่งให้แน่นขึ้นจนจำเรียนต้องพยายามดันแขนไว้ “ คุณรักษ์เจ้าคะ ขอจำเรียนไปล้างเนื้อล้างตัวเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ” “ ล้างทำไมให้เปลืองเวลาไปเล่า อีกประเดี๋ยวข้าก็ทำให้เอ็งเหนียวตัวอีกรอบแล้ว เอ็งดูสิตัวของข้ามันต้องการเอ็งอีกรอบแล้วเห็นหรือไม่จำเรียน ” พ่อรักษ์ส่งสายตาหวานเยิ้มไปยังส่วนที่กำลังขยายใหญ่ตรงกลางลำตัว จำเรียนจ้องมองไปยังส่วนนั้น ก่อนที่ร่างบางจะโดนร่างแกร่งจับพลิกตัวลงกับเบาะนอน พร้อม ๆ กับบทเพลงบรร
๓ มั่นคงดั่งทานตะวัน “ พี่กลิ่นจ๊ะ คุณพี่ไปไหนแล้วหรือจ๊ะ ” คุณหนูรำพึงบุตรสาวคนเล็กของท่านเจ้าคุณวรจิตร เติบโตมาเป็นสาวรุ่นอายุอานามก็เข้าปีที่สิบแล้ว หน้าตาก็สะสวยละม้ายคล้ายคลึงมารดาที่รำพึงเองก็จำหน้ามิได้ “ คุณรักษ์อยู่ที่ท้ายสวนขอรับคุณหนู ” เจ้ากลิ่นละมือจากการคัดดอกมะลิ มองไปยังหญิงสาวด้วยสายตาเอ็นดู “ คุณพี่คงดูชนไก่อีกสินะ แล้วนี่พี่กลิ่นไม่ไปดูบ้างหรือจ๊ะ เห็นมาช่วยรำพึงคัดแต่ดอกมะลิจะเบื่อเอานะ ” “ บ่าวไม่เบื่อหรอกขอรับคุณหนู บ่าวอยู่กงนี้ดีแล้วขอรับไปอยู่กับคุณรักษ์ตอนนี้บ่าวสงสารไก่ขอรับ ” “ พี่กลิ่นนี่ก็ช่างแปลกคน บ่าวผู้ชายคนอื่นก็ขลุกกันอยู่ที่ท้ายสวนกันทั้งนั้น มีก็แต่พี่กลิ่นนี่แหละหนาที่มาขลุกอยู่แต่กับรำพึง ระวังเถิดประเดี๋ยวคุณพี่เรียกหาไม่เจอจะโดนดุเอาเสียอีก ” “ คุณรักษ์ไม่ว่าบ่าวหรอกขอรับ เพราะคุณรักษ์เป็นคนไล่บ่าวให้กลับมาช่วยงานคุณหนูเองขอรับ ” “ คุณพี่น่ะหรือเป็นคนบอกให้พี่กลิ่นมาช่วยงานรำพึงที่เรือนนี้ ” “ ขอรับ คุณรักษ์เป็นคนพูดเองเลยขอร
๒ ครั้นกลีบบุปผาโรย กาลเวลาผ่านพ้นมาจนพ่อรักษ์อายุจวนจะครบเก้าขวบ เจ้ากลิ่นเองก็เติบโตมาเป็นเด็กชายสมวัย แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเติบโตมากับบุตรชายของท่านเจ้าคุณหรืออย่างไร ผิวพรรณของลูกบ่าวผู้นี้ถึงได้ผุดผ่อง ผิดแผกจากลูกบ่าวคนอื่น ๆ ที่อยู่ในเรือนเดียวกัน และด้วยความที่เจ้ากลิ่นนั้นเป็นเด็กไม่ดื้อไม่ซน คุณหญิงกลอยจึงเอ็นดูมันยิ่งนัก “ แค่ก ๆ ” เสียงไอแห้ง ๆ ดังมาจากคุณหญิงที่กำลังนั่งเอนหลังอยู่ที่ศาลาข้างเรือนใหญ่ มือเรียวกำลังประคองท้องที่นูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้จะท้องแก่ใกล้คลอดแล้ว แต่ร่างกายกลับดูซูบผอมไม่เหมือนคนท้องใกล้คลอดแม้แต่น้อย “ ขึ้นเรือนดีหรือไม่เจ้าคะคุณหญิง บ่าวเห็นคุณหญิงไอถี่เหลือเกินเจ้าค่ะ ” “ พ่อรักษ์กับพ่อกลิ่นยังเล่นกันอยู่ ข้าไม่อยากห้ามลูกที่กำลังสนุก อีกอย่างข้าจะมีโอกาสได้ดูลูกเล่นได้เช่นนี้อีกนานไหมก็มิรู้ได้ ” “ คุณหญิงอย่าเอ่ยเช่นนี้สิเจ้าคะ กำลังท้องกำลังไส้อยู่นะเจ้าคะคุณหญิง ” เจ้าหล่อนไม่ได้เอ่ยกระไรตอบกลับ เพราะไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าตัวเองว่าร่างกายนั้นกำลัง