“ก็ที่ดินตรงนี่มันเป็นทำเลทองเลยนะ พวกท่านดูสิ ด้านหลังจวนของเราเป็นภูเขาที่มีลำธารไหลผ่านแถมรอบ ๆ จวนเรายังมีแต่พวกชาวบ้านเสียส่วนใหญ่ส่วนพวกชนชั้นสูงพวกนั้นก็อยู่อีกฝั่ง แปลว่าพวกเราจะได้ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องมานั่งหวาดระแวงพวกเห็บหมัดที่มาคอยสอดส่องจวนของเรามิใช่รึ”
“อีกอย่างตอนนี้ข้าก็ไม่ได้สนใจที่จะต้องไปแย่งชิงความรักจากคนที่เขาไม่มีทางรักเราอีกต่อไปแล้ว เพราะการวิ่งตามความรักนั้นมันช่างเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยจนข้านั้นขอยอมแพ้เสียดีกว่า”
“แม่นมกับพี่เสี่ยวอิงเองก็รับรู้ถึงความทุกข์ของข้ามาโดยตลอดไม่ใช่หรือ ในแต่ละวันที่ข้าต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้บิดานั้นสนใจ พยายามเอาใจใส่และไล่ตามองค์รัชทายาทเพื่อให้ได้รับความรักจากเขา จนข้ากลายเป็นหญิงร้ายกาจตั้งแต่ตอนไหนข้าเองก็ไม่รู้สึกตัว”
“ข้ากลายเป็นตัวตลกให้ผู้คนหัวเราะเยาะ ข้ากลายเป็นหญิงหน้าด้านคอยวิ่งตามหึงหวงบุรุษที่เขาไม่มีใจ ข้ากลายเป็นคุณหนูใหญ่ที่ไร้ตัวตน ไร้แม้แต่คนที่พึ่งพานั่นก็เพราะข้าคือไป๋อวี้หลัน”
“แต่ในตอนนี้ข้าเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาที่ชื่ออวี้หลันข้าจึงคิดที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบสุข ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับผู้คนที่มองเพียงเปลือกพวกนั้น ข้าขอเท่านี้ไม่ได้หรือ”
จบคำพูดที่ถูกเก็บอยู่ภายในใจของอวี้หลันก็เกิดความเงียบขึ้นเพราะว่าแม่นมหลิวกับเสี่ยวอิงนั้นต่างก็เข้าใจและรับรู้ถึงความรู้สึกของคุณหนูของพวกตนมาโดยตลอด
เพียงแต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่คุณหนูของพวกนางยอมเอ่ยความรู้สึกออกมาตรง ๆ ให้พวกนางรู้เช่นนี้ จึงทำให้หลิวหวังกับเสี่ยงอิงถึงกับน้ำตาคลออย่างรู้สึกสงสารและเห็นใจเจ้านายของพวกนาง
ตลอดเวลาที่ผ่านมาอวี้หลันนั้นไม่เคยเปิดเผยความรู้สึกให้กับทั้งสองคนได้รับรู้เลยแม้แต่น้อย ด้วยตัวของหญิงสาวนั้นกลัวว่าจะทำให้คนที่รักและหวังดีกับตัวนางที่สุดต้องทุกข์ใจไปด้วย ดังนั้นการแสดงออกของหญิงสาวจึงได้ดูแข็งกระด้างไปบ้าง
“นมกับเสี่ยวอิงแล้วแต่คุณหนูจะตัดสินใจเจ้าค่ะ นมเองก็มีความฝันที่อยากจะใช้ชีวิตนี้ของนมเพื่อมองดูคุณหนูเติบโตไปอย่างงดงามและเพียบพร้อม”
“แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือการที่คุณหนูได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามเส้นทางที่คุณหนูเลือกเดินนะเจ้าคะ”
หลิวหวังเอ่ยบอกกับหญิงสาวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนเช่นทุกครั้ง
“ขอบคุณท่านมากนะแม่นมที่คอยอยู่เคียงข้างข้าและดูแลข้ามาโดยตลอดแล้วก็ท่านไม่ต้องกังวลว่าตนเองจะต้องลำบากหรอกนะ เพราะข้าจะไปเกาะท่านตากินเองเพื่อเอาเงินมาเลี้ยงดูพวกท่านทั้งสองดีหรือไม่?”
ไป๋อวี้หลันเอ่ยขอบคุณอย่างซึ้งใจก่อนจะเอ่ยหยอกล้อเพื่อให้บรรยากาศนั้นดูผ่อนคลายลง จนสามารถเรียกรอยยิ้มจากแม่นมหลิวกับเสี่ยวอิงได้ในที่สุด
“คุณหนูท่านช่างแตกต่างและดูแปลกไปจากเดิมมากเลยนะเจ้าคะ”
“แล้วไม่ดีหรือที่ข้าไม่ดุร้ายเหมือนที่ผ่านมา”
“ดีกว่าเจ้าค่ะ ข้าชอบที่คุณหนูเป็นเช่นนี้มากกว่า”
“ก็ดีแล้ว อย่ามัวแต่คุยกันอยู่เลยพวกเรามาช่วยกันทำความสะอาดเรือนกันต่อเถิดจะได้มีที่หลับนอนในคืนนี้”
อวี้หลันเอ่ยบอกกับบ่าวทั้งสองที่พยักหน้ารับคำ จากนั้นทั้งสามก็แยกย้ายกันทำความสะอาดเรือนทางด้านปีกซ้ายก่อนเป็นอันดับแรก
พวกไป๋อวี้หลันใช้เวลาในการจัดการกับเรือนทั้งสองหลังอยู่หนึ่งชั่วยามก็เป็นอันเสร็จ โดยอวี้หลันนั้นแบ่งให้แม่นมหลิวกับเสี่ยวอิงนอนพักที่เรือนปีกขวา
ส่วนตนเองนั้นนอนพักที่เรือนปีกซ้ายที่อยู่ติดกับกำแพงของจวนอีกหลังที่ตั้งอยู่ด้านข้าง ดูจากขนาดของจวนแล้วภายในน่าจะมีความกว้างเป็นอย่างมากและก็คงจะเป็นจวนของขุนนางที่มีฐานะมากพอสมควรมิเช่นนั้นคงไม่มีตำลึงมากพอที่จะซื้อที่ดินและสร้างจวนได้ดูลึกลับและใหญ่โตถึงเพียงนี้
แต่ก็เรื่องของเขาไม่เกี่ยวกับนางหลังจากแยกย้ายกับทั้งสองหญิงสาวก็เข้ามานั่งที่ริมหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังเรือนเมื่อเปิดหน้าต่างเรือนก็จะพบกับภาพภูเขาลำธารด้านหลังที่ให้ความรู้สึกสงบและร่มรื่นจนเจ้าตัวเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
อีกฝั่งของจวนเองเมื่อพบการเคลื่อนไหวภายในจวนร้างข้าง ๆ จึงได้แหวกผ้าม่านบนห้องทำงานชั้นสองของจวนออกเพื่อมองดูผู้มาอยู่อาศัยใหม่
ดวงตาคมเข้มดุจพยัคฆ์สีแดงทับทิมจึงได้จ้องมองดูหญิงสาวที่กำลังฟุบหน้าหลับที่ริมหน้าต่างของเรือนอย่างสงบเงียบ
“นางเป็นใครกัน?”
=====================================================
ว้าว…….เจ้าของดวงตาสีแดงทับทิมนั้นคือใครกันแน่นะ มาลุ้นกันตอนหน้านะคะทุกคน
“เอาเป็นว่าตอนนี้พวกเราช่วยกันทำความสะอาดห้องพักสำหรับหลับนอนในคืนนี้กันก่อนดีหรือไม่ ถ้ามัวแต่กลัวอยู่แบบนี้คงได้นอนที่ลานหน้าเรือนเป็นแน่”ไป๋อวี้หลันไม่รู้จะบอกเกี่ยวกับเรื่องราวความเชื่อนี้อย่างไรจึงได้เปลี่ยนเรื่องพูดคุยเพื่อดึงดูดความสนใจให้ทั้งสองออกจากความกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็นนี้เสีย“ได้เจ้าค่ะ/ขอรับคุณหนู”บ่าวทั้งสี่ต่างก็เอ่ยตอบรับอย่างพร้อมเพรียงก่อนที่คนทั้งหมดจะเริ่มแยกย้ายกันไปตามคำสั่งของหญิงสาว“เข่นนั้นแม่นมกับเสี่ยวอิงก็ช่วยกันไปทำความสะอาดที่เรือนด้านในทั้งสองหลังกับข้าก็แล้วกัน ส่วนพี่หวังอู่กับพี่หวังลู่ก็รับหน้าที่ทำความสะอาดตัดต้นหญ้าที่ขึ้นสูงพวกนี้เสีย”“คะ คุณหนูเอ่ยเรียกพวกข้าว่าอย่างไรนะขอรับ”สองพี่น้องแซ่หวังที่เมื่อได้ยินคุณหนูเอ่ยเรียกพวกตนเองอย่างให้เกียรติก็ถึงกับตกใจที่อีกฝ่ายเรียกพวกเขาว่าพี่ทั้งที่ความจริงจะเรียกเพียงชื่อเฉย ๆ ก็ยังได้เลย“หืม ก็พี่หวังอู่กับพี่หวังลู่ ในเมื่อพวกท่านมีอายุมากกว่าข้านี้ อีกอย่างต่อไปนี้ข้าก็หาใช่คุณหนูผู้สูงส่งอีกต่อไป”“ข้าเป็นเพียงอวี้หลันหญิงสาวสามัญชน
หลังจากที่แม่นมกับเสี่ยวอิงจัดการธุระเสร็จเรียบร้อยแล้วก็กลับมาหาไป๋อวี้หลันที่รอทั้งสองคนอยู่ที่เรือนเพื่อที่ทั้งสามคนจะได้เดินทางออกจากจวนตระกูลไป๋แห่งนี้ในช่วงต้นยามเซิน (15.00-16.59 น.) ซึ่งทั้งสามคนนั้นไม่ได้เอาอะไรออกไปเลยนอกจากชุดเสื้อผ้าสองสามชุดเมื่อถึงเวลาพวกของไป๋อวี้หลันก็ถือห่อผ้าคนละใบพร้อมกับเดินออกไปด้านนอกเรือนทันที โดยตลอดทางตั้งแต่หน้าเรือนไปจนถึงประตูหน้าจวนพวกนางทั้งสามคนต่างก็ตกเป็นเป้าสายตาของเหล่าบ่าวไพร่ภายในเรือนรวมไปจนถึงสองแม่เจ้าเล่ห์ที่ตั้งตารอวันนี้มาตลอดทั้งชีวิต ยิ่งเมื่อได้เห็นศัตรูโดนเฉดหัวออกไปจากจวนก็ยิ่งรู้สึกเบิกบานใจเป็นอย่างมากจึงไม่พลาดที่จะแวะมาเอ่ยเย้ยหยันอีกฝ่าย“โอ๊ะ! คุณหนูใหญ่ไม่ใช่สิตอนนี้ต้องเรียกว่าไป๋อวี้หลันถึงจะถูกสินะ”เป่าลี่อินหรือฮูหยินรองมารดาของไป๋ลี่หลินเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเยาะอย่างผู้ชนะ“มีเรื่องอะไรจะพล่ามอีกอย่างนั้นรึ ถ้าจะมาเยาะเย้ยเรื่องที่ข้าออกจากตระกูลละก็ เลิกคิดไปเสียเถิด ข้าหาได้มีความเสียใจหรืออาลัยอาวรณ์จวนเส็งเครงแห่งนี้แม้แต่น้อย”ไป๋อวี้หลันเอ่ยบอกสตรีตรงหน้าด้วย
“อืม…เจ้าไปได้แล้ว”“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”ปิงฉางเอ่ยรับก่อนจะเดินออกจากห้องของผู้เป็นนายทันที“ไม่คิดว่าจะโตเป็นหญิงสาวถึงเพียงนี้แล้ว…..เวลาช่างผ่านไปเร็วจริง ๆ”ท่ามกลางความเงียบเสียงที่ดูอ่อนโยนของร่างสูงก็ดังขึ้นอย่างแผ่วเบาคล้ายกับสายลมที่ผัดผ่านไปอีกด้านอวี้หลันกับผู้ติดตามทั้งสี่เองในตอนนี้ก็กำลังทานอาหารเย็นกันอยู่ที่โรงครัวโดยที่หญิงสาวนั้นนั่งทานอยู่ที่โต๊ะทานข้าวส่วนทั้งสี่คนนั้นกลับนั่งทานอยู่บนพื้นซึ่งอาหารแต่ละอย่างยังจืดชืดอาหารในวันนี้คนที่ลงมือทำก็คือเสี่ยวอิงกับแม่นมเพียงแต่ว่าผัดผัก แกงจืด หมูทอดที่พวกนางทำมานั้นรสชาติของมันช่างทำให้อวี้หลันหมดความอยากอาหารลงไปในทันทีในชีวิตก่อนถึงแม้ชีวิตส่วนใหญ่จะอยู่แต่กับการฝึกละสนามรบแต่เรื่องอาหารการกินก็ไม่เคยต้องลำบากแถมในช่วงเรียนในโรงเรียนทหารนั้นเขาก็ยังมีสอนเรื่องการเอาตัวรอดและการทำอาหารมาให้กับนางบ้างอย่างน้อย ๆ นางก็มั่นใจว่าฝีมือการทำอาหารของนางคงจะดีกว่าสองคนนี้มากแน่นอน แต่หญิงสาวก็เข้าใจว่าวัตถุดิบและเครื่องปรุงของโลกนี้อาจจะล้าหลังกว่าที่ตนอยู่มากจึงได้
เช้าวันต่อมาหลังจากที่พวกของอวี้หลันจัดการธุระส่วนตัวจนเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้นคนทั้งหมดก็ได้เตรียมตัวเดินทางไปยังบ้านของท่านตาของหญิงสาวตามที่ได้ตกลงกันเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนนี้เพื่อไปพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ซึ่งเมื่อทุกคนพร้อมกันแล้วนั้นพวกของไป๋อวี้หลันก็ได้ออกเดินทางไปยังจวนตระกูลซ่งทันทีด้วยรถม้าที่หวังลู่ไปจ้างมาใช้เวลาในการเดินทางอยู่ไม่นานมากเนื่องจากจวนตระกูลซ่งกับจวนของอวี้หลันนั้นอยู่ในทิศตะวันออกเช่นเดียวกันดังนั้นการเดินทางจึงไม่ได้ใช้เวลานานเหมือนตอนที่หญิงสาวออกจากตระกูลไป๋ที่ตั้งอยู่ทิศตะวันตกในที่สุดรถม้ารับจ้างที่หญิงสาวนั่งมาก็จอดลงที่ประตูจวนไม้ขนาดใหญ่ที่บ่งบอกได้ถึงฐานะของเจ้าของจวนว่าร่ำรวยมากเพียงใด เพราะเพียงแค่ประตูหน้าจวนยังดูใหญ่โตอลังการถึงเพียงนี้เมื่อรถม้าจอดสนิทแล้วหวังอู่ก็ทำหน้าที่ไปพูดคุยกับยามเฝ้าประตูจวนไม่นานยามคนดังกล่าวก็รีบวิ่งเข้าไปด้านในทันทีดังนั้นหวังอู่จึงได้เดินมาบอกกล่าวกับคุณหนู“คุณหนูลงมาได้เลยขอรับ ข้าได้แจ้งให้ยามทราบแล้วว่าท่านมาขอเข้าพบนายท่าน”“อื้อ…ไปกันเถิดแม่นม เสี่ยวอิง”หญิงสาวกล่าวจบเสี่ยวอิงก็เป็นคนแรกที่เดินลงจากรถม้
เพียงแต่นั้นยังไม่ทำให้ทั้งสองตกตะลึงได้เท่ากับใบหน้าของหลานสาวที่คนทั้งคู่ได้เห็นอย่างชัดเจน ซ่งฮูหยินถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจที่หลานสาวของตนนั้นช่างมีใบหน้าที่เหมือนกับบุตรสาวของตนราวกับแฝดยิ่งดวงตาเรียวหงส์สีเหลืองอำพันเปล่งประกายของอีกฝ่ายนั้นก็ยิ่งตอกย้ำว่าหญิงสาวตรงหน้าของพวกเขานี้ก็คือหลานสาวเพียงคนเดียวของตระกูลซ่งที่เป็นดั่งดวงใจของบุตรสาวที่ฝากฝังให้พวกเขาช่วยดูแลและปกป้องให้ ทางด้านของนายท่านซ่งเองก็มีความรู้สึกไม่แตกต่างจากผู้เป็นฮูหยินของตนแม้แต่น้อยเขาทั้งตื่นเต้น ดีใจ ยินดีเป็นอย่างมากที่ในที่สุดหลานสาวเพียงคนเดียวของเขาก็มาพบเขาเสียที“หลานคารวะท่านตาท่านยายเจ้าค่ะ”อวี้หลันเอ่ยทำความเคารพทั้งสองพร้อมทั้งย่อกายอย่างงดงามจนสามารถเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากผู้เป็นตาและยายได้เป็นอย่างดี“ลุกขึ้นเถิดหลานรักของยาย ไหนเข้ามาใกล้ ๆ ให้ยายได้มองใบหน้าของเจ้าใกล้ ๆ หน่อยเร็วเข้า”ซ่งฮูหยินเอ่ยเรียกหลานสาวตรงหน้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับส่งรอยยิ้มอย่างเอ็นดูให้กับอีกฝ่าย ซึ่งอวี้หลันเองที่เมื่อได้รับความรักและความเอ็นดูจากหญิงสูงวัยตรงหน้าก็ไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายทันที
หลังจากนั้นทั้งสามคนต่างก็พูดคุยกันถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจนมาถึงเรื่องที่อวี้หลันได้ออกจากตระกูลไป๋แล้วพร้อมทั้งยังตัดขาดจากทางนั้นจนถึงขนาดออกหนังสือตัดขาดกันทำให้ผู้สูงวัยทั้งสองนั้นมีสีหน้ามืดครึ้มเป็นอย่างมากที่บุรุษสารเลวผู้นั้นกระทำการเช่นนี้กับบุตรสาวและหลานสาวของตนจนซ่งเฉิงป๋อนั้นอยากจะไปทำลายจวนแห่งนั้นให้ย่อยยับให้สาสมกับสิ่งที่บุรุษสารเลวนั้นได้ทำให้ไว้“ฮึ! ไอ้คนสารเลวนั้นมันสมควรที่จะโดนข้าจับถลกหนังเลาะกระดูกออกเป็นชิ้น ๆ ยิ่งนัก”ชายชราเอ่ยด้วยโทสะที่อัดแน่นอยู่ภายในอกของเขาจนมันแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว“นั่นสิเจ้าคะท่านพี่ น้องเองก็คิดว่าเราคงจะใจดีกับคนสารเลวเช่นนั้นเกินไปจนทำให้มันหลงลืมไปแล้วว่าเหมยเอ๋อร์นั้นคือดวงใจของพวกเราหาใช่สตรีชาวบ้านสามัญไม่!”ซ่งฮูหยินเองก็เอ่ยสำทับกับความคิดของสามีตนเองและยังรู้สึกโกรธแค้นที่อีกฝ่ายทำกับบุตรสาวอันเป็นที่รักของตนถึงเพียงนี้“ท่านตาท่านยายอย่าได้โกรธไปเลยนะเจ้าคะเดี๋ยวจะทำให้ความดันขึ้นเสียเปล่า ๆ อีกอย่างตอนนี้หลานก็ได้หลุดพ้นจากคนผู้นั้นมาอย่างปลอดภัยดีก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการตอบแทนคุณในฐานะบุตรสาวแล้วเจ้าค่ะ”อวี
กลับมาที่ปัจจุบันหลังจากที่ผู้เป็นใหญ่ของจวนทั้งสองเห็นว่าหลานสาวของตนนั้นเงียบลงไปจึงได้เอ่ยถามด้วยความห่วงใยเพราะถึงอย่างไรหญิงสาวก็ยังคงเป็นเพียงสตรีที่เพิ่งจะพ้นวัยปักปิ่นมาได้ไม่นานแต่กับต้องมาเจอเรื่องราวมากมายถึงเพียงนี้ภายในใจก็คงจะรู้สึกเคว้งคว้างอยู่มาก เพียงแค่อีกฝ่ายนั้นเป็นคนที่เก็บซ่อนสีหน้าเก่งจนหน้าตกใจ“หลันเอ๋อร์…เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”น้ำเสียงอันอบอุ่นและอ่อนโยนจากผู้เป็นยายสามารถเรียกสติที่หลุดลอยไปของหญิงสาวได้ในทันทีก่อนที่หญิงสาวจะเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มบางเบา“หลานไม่เป็นอะไรเจ้าคะท่านยาย ท่านยายอย่าได้เป็นกังวลเลย สำหรับเรื่องราวทุกอย่างที่หลานพบเจอมานั้นหลานไม่ได้สนใจนำมาทำให้ตนเองต้องทุกข์ใจหรอกเจ้าค่ะ”“ชีวิตคนเรามีแต่เวลาที่เดินหน้าเท่านั้น เราไม่มีทางย้อนเวลากลับไปได้ดั่งใจปรารถนาหรอกเจ้าค่ะ ดังนั้นเราควรจะสนใจในปัจจุบันมากกว่าจมอยู่กับอดีตที่ผ่านมาแล้ว ท่านยายเห็นด้วยกับหลานหรือไม่เจ้าคะ?”อวี้หลันเพียงมองดูสีหน้าเป็นกังวลของผู้เฒ่าทั้งสองก็รู้ถึงความกังวลในใจของพวกท่านจึงได้เอ่ยบอกถึงความคิดที่ตนเองคิดอยู่ในตอนนี้เพื่อให้ท่านทั้งสองรับรู้ว่านางนั้นไม่เป็นอะไ
หลังจากที่พวกของอวี้หลันได้ออกจากจวนตระกูลซ่งพร้อมกับตำลึงทองที่ท่านตามอบให้แล้วนั้นหญิงสาวก็บอกให้หวังอู่พาไปยังโรงรับฝากเงินทันทีเพราะเกรงว่าการที่ตนเองมีเงินอยู่มากเช่นนี้จะทำให้กลายเป็นเป้าหมายของพวกขโมยก็เป็นได้ ดังนั้นทางที่ปลอดภัยที่สุดก็คือนำเงินพวกนี้ไปฝากไว้ที่โรงรับฝากเงินคงจะเป็นการดีที่สุดซึ่งใช้เวลาเดินทางมาไม่นานพวกของอวี้หลันก็มาถึงยังตลาดกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นแหล่งที่ผู้คนพลุกพล่านมากที่สุด พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นที่ที่นางรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในครั้งแรกเมื่อรถม้ารับจ้างหยุดลงที่หน้าโรงรับฝากเงิน ไห่หลิง ที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นชิงและยังเป็นกิจการของท่านลุงรองไห่หนานของนางอีกด้วยเมื่อก่อนได้ยินเพียงผ่าน ๆ แต่ไม่คิดเลยว่าที่แห่งนี้จะใหญ่โตและหรูหราถึงเพียงนี้ ท่านลุงรองของนางนี้ช่างมีความสามารถยิ่งนัก“พี่หวังอู่ที่นี่เป็นกิจการของท่านลุงรองอีกอย่างใช่หรือไม่?”เพื่อความชัดเจนหญิงสาวจึงได้หันไปเอ่ยถามกับองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างของตนเอง“ใช่แล้วขอรับคุณหนู โรงรับจำนำไห่หลิงแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งกิจการที่สร้างรายได้มากมายให้กับตระกูลซ่งของนายท่าน แถมคุณชายรองเองก็ยังเป็น
แต่มีความสามารถด้านการต่อสู้เป็นอย่างมาก โดยหยางเทียนหนานเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลหยางหรือตระกูลนักรบที่อยู่คู่บ้านเมืองมาอย่างยาวนานพอ ๆ กับตระกูลซ่งและตอนนี้อดีตแม่ทัพใหญ่หยางเหอซานเองก็ได้ส่งคืนอำนาจให้กับฮ่องเต้ก่อนจะใช้ชีวิตกับฮูหยินสุดที่รักอยู่ภายในจวนตระกูลหยางอย่างสงบสุขและส่งหยางเทียนหนานมาทำหน้าที่แทนตนเองหลังจากนั้นทั้งสามคนก็ขี่อาชาเข้าไปด้านในค่ายทหารก่อนจะลงจากหลังม้าเมื่อเข้ามาพ้นประตูของค่ายและส่งม้าให้กับผู้ดูแลนำไปดูแลต่อทางด้านพวกเขาทั้งสามก็เดินตรงไปยังกระโจมของแม่ทัพซ่งทันที แต่เดินไปถึงลานฝึกการต่อสู้กับเห็นว่าเหล่าทหารนั้นกำลังมุงดูอะไรสักอย่างด้วยความสงสัยชินอ๋องจึงได้เปลี่ยนจุดหมายแล้วเดินตรงไปยังลานฝึกเพื่อดูว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นถึงได้ดูวุ่นวายเช่นนี้ด้านแม่ทัพซ่งพร้อมอดีตราชครูเองหลังจากได้รับรายงานว่าชินอ่องเสด็จมาตรวจค่ายพวกเขาทั้งสองต่างก็รีบออกมาต้อนรับที่ด้านหน้ากระโจมแต่รอแล้วรอเล่าอีกฝ่ายก็ยังไม่มาจึงเกิดความสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ทั้งสองจึงได้รุดหน้าไปยังด้านหน้าทางเข้าทันทีเช่นกันลานฝึกในตอนนี้สถานการณ์ก็กำลังจะเริ่มการต่อสู้ อวี
ความเงียบยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างต่อเนื่องแต่ว่าคนที่เอ่ยถึงเมื่อครู่นั้นจะได้สติคืนกลับมาหลังจากที่ตกใจกับสิ่งที่หญิงสาวตรงหน้าเอ่ย กับตนเอง ก่อนที่ใบหน้าคมเข้มจะเริ่มแดงขึ้นตามแรงโทสะที่มี“ถ้าคุณหนูอวี้หลันอยากจะพิสูจน์ความสามารถของรองแม่ทัพอย่างข้า ถ้าเช่นนั้นก็อย่ามาโวยวายว่าโดนข้ารังแกทีหลังก็แล้วกัน”เผิงซานฉีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาพร้อมกับจ้องมองใบหน้างามอย่างไม่สบอารมณ์“ไม่แน่นอน ข้าเป็นฝ่ายเอ่ยท้าประลองกับท่านเองแล้วจะไปกล่าวโทษท่านรองแม่ทัพเผิงได้อย่างไรกัน”อวี้หลันเอ่ยตอบบุรุษตรงหน้าอย่างไม่ใส่ใจกับท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงออกมา“แล้วท่านต้องการที่จะแข่งกับข้าในด้านใดกันเล่า”เมื่อเห็นว่าสตรีตรงหน้าไม่มีท่าทีร้อนใจรองแม่ทัพเผิงจึงเอ่ยถามว่านางต้องการจะแข่งกับเขาด้านใด“ต่อสู้มือเปล่าก็แล้วกัน”“นี่หลันเอ๋อร์เจ้าเปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังทันอยู่นะ อย่าทำให้เป็นเรื่องเลย”ฉือลู่เองกับเป็นคนไม่เห็นด้วยที่น้องสาวของตนกำลังจะสร้างเรื่องให้ตัวเองต้องเดือดร้อนเช่นนี้“พี่ฉือลู่ไม่ต้องกังวลไปเจ้าค่ะ ข้าไหว”อวี้หลันเอ่ยบอกกับญาติผู้พี่ของตนพร้อมส่งรอยยิ้มบางเบาไปให้อีกฝ่าย“เช่นนั้นก็เอาตาม
ภายใต้สถานการณ์อันน่าหวาดกลัวและกดดันจู่ ๆ เสียงเข้มของใครบางคนก็ดังขึ้นราวกับเป็นเสียงสวรรค์ที่ลงมาโปรดพวกนายทหารทั้งหลาย“ทะ…ท่านรองแม่ทัพซ่ง!”เสียงนายทหารหลายคนเอ่ยเรียกอีกฝ่ายที่เดินมาจากด้านหลังด้วยความสนใจอวี้หลันจึงไห้หันกลับไปมองยังทิศทางของเสียงซ่งฉือลู่เป็นบุรุษที่สูงโปร่งดูองอาจสมชายชาติทหารแถมเขายังมีใบหน้าที่หล่อเหลาที่ถูกส่งต่อมาจากท่านตาและบิดา นิสัยใจเย็น เจ้าระเบียบ รักความถูกต้อง ซื่อตรง ซื่อสัตย์ เข้มงวดในกฎที่พึงปฏิบัติเป็นอย่างมาก นี้คือสิ่งที่บรรยายถึงตัวละครรองแม่ทัพซ่งสำหรับอวี้หลันแล้วพอได้เจอตัวจริงนางก็คิดว่าตรงกับสิ่งที่เพื่อนของตนเขียนเอาไว้ทุกอย่าง ในตอนนี้ชายหนุ่มก็ได้เดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าของนางพร้อมกับมองมาด้วยสายตาสงบนิ่งจนคนถูกมองอย่างอวี้หลันต้องเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายขึ้นก่อน“คารวะพี่ฉือลู่เจ้าค่ะ”หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับย่อตัวทำความเคารพอีกฝ่าย การกระทำนั้นของนางทำให้หว่างคิ้วของรองแม่ทัพหนุ่มขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยถาม“เจ้ารู้จักข้าด้วยรึ?”“ข้าอวี้หลันเองเจ้าค่ะ”เมื่อได้รับคำถามมาหญิงสาวจึงได้เอ่ยแนะนำตัวกับคนตรงหน้า จบคำแนะนำ
หลังจากที่อวี้หลันเดินออกมาจากกระโจมของท่านลุงของนางแล้วหญิงสาวจึงเริ่มเดินสำรวจจากฝั่งด้านซ้ายที่ดูเหมือนจะเป็นลานฝึกสำหรับยิงธนูกับฟันดาบโดยค่ายทหารแห่งนี้แบ่งสัดส่วนออกเป็นสามส่วนคือส่วนทางด้านปีกซ้ายจะเป็นลานยิ่งธนู ฟันดาบ ส่วนทางด้านปีกขวาจะเป็นลาน หอกกับฝึกการต่อสู้และฝึกฝนร่างกาย และตรงกลางของทั้งสองปีกนั้นจะเป็นที่พักของนายทหารตั้งแต่ชั้นผู้น้อยไปจนถึงกระโจมแม่ทัพที่ตั้งอยู่ด้านในสุดของค่ายทหารในตอนนี้อวี้หลันเลือกที่จะเดินมาดูทางด้านปีกซ้ายที่ภายในสนามฝึกยิ่งธนูนั้นกำลังมีการฝึกยิงธนูกันอยู่พอดี ดังนั้นหญิงสาวจึงรู้สึกสนใจและอดไม่ได้ที่จะยืนมองดูเหล่าทหารกำลังทำการฝึกแต่พอนางได้เห็นทักษะการยิงธนูของพวกทหารแล้วกลับทำให้หว่างคิ้วของหญิงสาวขมวดเข้าหากันขึ้นมาในทันทีพร้อมกับความสงสัยที่ผุดขึ้นมาภายในหัว‘นี่ใช่การฝึกของทหารจริง ๆ ใช่หรือไม่ทำไมมันถึงได้ดูเหลาะแหละเหมือนเด็ก ๆ เล่นยิงธนูกันเช่นนี้ ทั้งการวางท่าทางของมือ การลงน้ำหนักและการเล็งเป้าล้วนแล้วแต่ใช้ไม่ได้ทำให้หญิงสาวรู้สึกขัดใจกับพวกนายทหารพวกนี้เสียจริง ๆ’‘นี่ถ้าไปออกรบในโลกก่อนของนางมีหวังตายตั้งแต่ยังไม่ได้หยิบคั
จากนั้นนายท่านซ่งกับหลานสาวก็ขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปยังค่ายทหารที่บุตรชายคนโตเป็นผู้ดูแลอยู่ในตอนนี้ในทันที ค่ายทหารแห่งนี้นั้นตั้งอยู่ทิศใต้ของเมืองหลวงห่างจากประตูเมืองออกไปพอสมควรดังนั้นจึงใช้เวลาในการเดินทางราว ๆ หนึ่งชั่วยามสองตาหลานจึงได้มาถึงยังหน้าประตูของค่ายทหารเมื่อมาถึงแล้วตามกฎของค่ายนั้นไม่สารถให้นำรถม้าเข้าไปได้สองตาหลานกับผู้ติดตามคือเสี่ยวอิง หวังอู่และผู้ติดตามของนายท่านซ่งอีกสองคนจึงได้เดินตรงไปยังประตูก่อนที่จะได้ยินเสียงเอ่ยถามจากทหารยามเฝ้าหน้าประตู“คารวะนายท่านซ่ง ไม่ทราบว่ามาพบใครหรือขอรับ”“ข้ามาพบท่านแม่ทัพฉือตงรบกวนเจ้าไปแจ้งให้ข้าที”ชายชราเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งอย่างที่เคย“ขอรับ นายท่านซ่งโปรดรอสักครู่”เอ่ยจบนายทหารคนนั้นก็วิ่งไปยังประตูพร้อมกันเอ่ยบางอย่างกับทหารหนุ่มอีกนายจากนั้นทหารคนนั้นก็วิ่งเข้าไปด้านในทันที ใช้เวลาราว ๆ หนึ่ง เค่อ ทหารคนนั้นก็วิ่งกลับออกมาพร้อมกับเอ่ยบอกสองตาหลานที่ยืนรออยู่ด้านหน้าค่ายทหาร“เชิญนายท่านกับคุณหนูด้านในได้เลยขอรับท่านแม่ทัพกำลังรออยู่”“อืม เจ้านำทางไปเถิด”จบคำของชายชราคนทั้งหมดก็เดินตามหลังนายทหารคนนั้นเข้าไปยั
จากความทรงจำในเนื้อเรื่องของนิยายดูเหมือนว่าในอีกสองเดือนข้างหน้าจะมีคณะทูตจากต่างแคว้นเดินทางมายังแคว้นชิงของนางเพื่อร่วมฉลองวันพระราชสมภพครบ 50 ชันษาของฮ่องเต้ ไท่เฟยฮุ่ย และครั้งนี้ผู้ที่รับหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยของคณะทูตก็คือแม่ทัพซ่งฉือตงกับบุตรชายหรือก็คือรองแม่ทัพซ่งฉือลู่โดยทั้งสองก็คือท่านลุงใหญ่กับพี่ชายของอวี้หลัน ท่านลุงใหญ่นั้นเป็นชายวัยกลางคนอายุ 45 ปี มีรูปร่างสูงใหญ่ดูภูมิฐานและน่าเกรงขามใบหน้ายังได้ท่านตาไปถึงแปดส่วนส่วนพี่ฉือลู่เองก็เป็นชายหนุ่มอายุ 25 ปีรูปร่างองอาจสมชายชาติทหารมีใบหน้าหล่อเหลาเป็นที่หมายปองของสตรีเกือบทั่วทั้งเมืองหลวงเพียงแต่ว่าพี่ชายของนางนั้นส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในค่ายทหารจึงไม่ได้มีเวลามองหาสะใภ้ให้กับท่านป้าใหญ่หรือก็คือ ฮูหยินเหยาอิน ปีนี้อายุ 40 ปี แต่ว่าท่านป้าใหญ่ในความทรงจำของนางนั้นคล้ายจะดูเลือนรางไปมากแต่ในวันนั้นฉากสำคัญที่จะเกิดขึ้นก็คือองค์รัชทายาทจะทูลขอสมรสพระราชทานระหว่างชายหนุ่มกับคุณหนูใหญ่ของท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายหวังซูเซียนแต่ถูกองค์ชายสามจากแคว้นโจวเอ่ยขอสมรสระหว่างตนเองกับคุณหนูใหญ่ซูเซียนเช่นกันจึงทำให้ยิ่งสร้างความ
ช่วงสายของวันอวี้หลันในวันนี้มีนัดพูดคุยรายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างจวนกับหัวหน้าช่างที่ท่านตาเป็นผู้เลือกหามาให้ก็กำลังนั่งจิบชาอยู่ตรงข้ามกับชายวัยกลางคนอีกสามคน ชายวัยกลางคนทั้งสามนั้นคือ ห่าวอู๋ นายช่างใหญ่เจ้าของกิจการก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง อายุ 57 ปี ห่าวซวน บุตรชายคนรองของนายช่าง อายุ 39 ปี หลี่จิ้ง ผู้ช่วยคนสนิทของนายช่าง อายุ 45 ปีตอนนี้บุรุษทั้งสามกำลังก้มลงมองแบบจวนที่หญิงสาวต้องการให้พวกตนเองสร้างขึ้น แบบจวนที่อวี้หลันต้องการนั้นจะเป็นจวนที่มีบ้านทั้งหมดสามหลังซึ่งจะสร้างเอาไว้เรียงกันตรงด้านหน้า ส่วนด้านหลังนั้นนางจะสร้างเป็นบ้านสองชั้นแบบสมัยใหม่ที่ชั้นล่างจะมีห้องนอนสองห้อง ห้องนั่งเล่นหนึ่งห้องและห้องน้ำอีกหนึ่งห้อง ส่วนด้านบนนั้นนางต้องการห้องนอนหนึ่งห้องพร้อมห้องน้ำในตัว ห้องทำงานหนึ่งห้องก่อนจะเป็นห้องเก็บสมบัติอีกห้องโดยอวี้หลันต้องการสร้างจากอิฐมุงด้วยกระเบื้องทั้งหมดพร้อมกันนั้นก็ฉาบด้วยปูนสีขาวเพื่อให้ดูสบายตา ส่วนเรือนทั้งสามหลังด้านหน้าก็จะประกอบไปด้วยสองเรือนแรกจะเป็นเรือนรับรองแขกที่มีห้องนอนอยู่หลังละสามห้อง เรือนที่สามจะเป็นเรือนเอาไว้สำหรับต้
ท่ามกลางความมืดมิดค่ำคืนที่ผู้คนต่างก็พากันนอนหลับไปแล้ว แต่กับมีเงาร่างของคนกลุ่มหนึ่งที่สวมชุดสีดำทั้งชุดปกปิดใบหน้ากำลังใช้วิชาตัวเบากระโดนผ่านหลังคาบ้านเรือนของผู้คนไปอย่างแผ่วเบาจุดหมายของคนชุดดำกลุ่มนี้ก็คือจวนขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ติดกับจวนร้างคนชุดดำกลุ่มนั้นก็ยังคงเร้นกายไปในความมืดและใช้วิชาตัวเบาได้อย่างชำนาญจำคิดว่าคนธรรมดาคงไม่มีทางรู้สึกถึงพวกเขาได้ และหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นก็ยังมีบุรุษที่น่าจะเป็นผู้นำของพวกเขาวิ่งนำหน้าจนมาถึงเรือนร้างที่อยู่ติดกับจวนเป้าหมายด้วยความคิดว่าที่จวนแห่งนี้เป็นเพียงจวนที่ไม่มีใครอาศัยอยู่คนชุดดำกลุ่มนั้นจึงได้วิ่งผ่านหลังคาจวนไปแต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นกับคนกลุ่มนั้นเมื่อในขณะที่พวกเขากำลังวิ่งอยู่บนหลังคาก็ถูกก้อนหินปริศนาปาเข้าใส่อย่างรวดเร็วและแม่นยำแต่ด้วยความที่พวกเขาเองก็ถูกฝึกมาอย่างหนักจึงทำให้สามารถหลบการโจมตีที่มาในความมืดได้อย่างรวดเร็วก่อนที่คนกลุ่มนั้นจะหยุดนิ่งลงเพื่อเฝ้าระวัง“ขออภัยแขกทุกท่าน ไม่ทราบว่าดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้พวกท่านยังมีเวลามาเดินชมนกชมไม้บนหลังคาบ้านของผู้อื่นอยู่อีกหรือ”เสียงใสกังวานดังขึ้น
"แก!.....นักสารเลววันนี้ถ้าข้าคนนี้ไม่ได้ตบเอาเลือดปากของแกมาล้างเท้าเพื่อขอขมาแล้วละก็อย่าหวังเลยว่าแกจะได้กลับไป!" เสียงแหลมปี๊ดของไป๋ลี่หลินแผดดังไปทั่วก่อนที่หญิงสาวจะปรี่เข้าไปหาร่างของอวี้หลันเพื่อหมายจะตบไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายให้สาแกใจหวือ หมับ เพี้ยะ! ตุบแต่มีหรือที่อวี้หลันจะยืนเฉย ๆ ให้ใครมาทำร้ายตนเองได้ตามใจชอบหญิงสาวเพียงแค่เอี้ยวตัวหลบฝ่ามือที่ฟาดลงมาพร้อมกับจับเข้าไปที่ข้อมือเล็กของอีกฝ่ายกันจะออกแรงบีบแล้วตวัดฝ่ามืออีกข้างฟาดลงไปบนใบหน้างามอีกอีกฝ่ายเต็มแรงจนเกิดเสียงดังไปทั่วบริเวณ ก่อนที่ทุกอย่างจะตกอยู่ในความเงียบพร้อมกับเสียงเหยียบเย็นจากร่างบางที่เอ่ยกับหญิงสาวที่ล้มลงไปนังแหมะอยู่ที่พื้น"แต่ก่อนเจ้าสู้ข้าไม่ได้ยังไงในตอนนี้ก็ยิ่งสู้ไม่ได้มากขึ้นไปอีก ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้สักนิดนะไป๋ลี่หลิน อย่าให้ข้าคนนี้หมดความอดทนกับเจ้ามิเช่นนั้นเจ้าอาจจะไม่มีโอกาสได้ลืมตามาดูพระอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้ก็เป็นได้""กะ..แก..""อ้อแล้วก็อีกอย่างหนึ่งอย่าคิดว่าข้าจะกลัวท่านเสนาบดีไป๋เพราะเจ้าจงพึงระลึกเอาไว้บ้างว่านอกจากข้าจะเคยเป็นใคร แต่ข้าก็ยังเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวของตระกูลซ่งเช