เพียงแต่นั้นยังไม่ทำให้ทั้งสองตกตะลึงได้เท่ากับใบหน้าของหลานสาวที่คนทั้งคู่ได้เห็นอย่างชัดเจน ซ่งฮูหยินถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจที่หลานสาวของตนนั้น
ช่างมีใบหน้าที่เหมือนกับบุตรสาวของตนราวกับแฝดยิ่งดวงตาเรียวหงส์สีเหลืองอำพันเปล่งประกายของอีกฝ่ายนั้นก็ยิ่งตอกย้ำว่าหญิงสาวตรงหน้าของพวกเขานี้ก็คือหลานสาวเพียงคนเดียวของตระกูลซ่ง
ที่เป็นดั่งดวงใจของบุตรสาวที่ฝากฝังให้พวกเขาช่วยดูแลและปกป้องให้ ทางด้านของนายท่านซ่งเองก็มีความรู้สึกไม่แตกต่างจากผู้เป็นฮูหยินของตนแม้แต่น้อย
เขาทั้งตื่นเต้น ดีใจ ยินดีเป็นอย่างมากที่ในที่สุดหลานสาวเพียงคนเดียวของเขาก็มาพบเขาเสียที
“หลานคารวะท่านตาท่านยายเจ้าค่ะ”
อวี้หลันเอ่ยทำความเคารพทั้งสองพร้อมทั้งย่อกายอย่างงดงามจนสามารถเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากผู้เป็นตาและยายได้เป็นอย่างดี
“ลุกขึ้นเถิดหลานรักของยาย ไหนเข้ามาใกล้ ๆ ให้ยายได้มองใบหน้าของเจ้าใกล้ ๆ หน่อยเร็วเข้า”
ซ่งฮูหยินเอ่ยเรียกหลานสาวตรงหน้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับส่งรอยยิ้มอย่างเอ็นดูให้กับอีกฝ่าย ซึ่งอวี้หลันเองที่เมื่อได้รับความรักและความเอ็นดูจากหญิงสูงวัยตรงหน้าก็ไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายทันทีด้วยรอยยิ้มสดใสอย่างที่นางเองก็ไม่เคยได้ยิ้มเช่นนี้แม้แต่ในชีวิตก่อนก็ยังไม่มีโอกาสได้ยิ้มหรือได้รับรอยยิ้มเช่นนี้เลยสักครั้ง
“เจ้าช่างเหมือนเหมยเอ๋อร์ มารดาของเจ้ายิ่งนัก ใช่หรือไม่เจ้าคะท่านพี่”
ซ่งฮูหยินเอ่ยกับหลานสาวตรงหน้าก่อนจะหันไปเอ่ยกับผู้เป็นสามีอย่างขอความเห็น
“อืม เป็นอย่างที่น้องหญิงว่ามา นางช่างเหมือนมารดาของนางยิ่งนัก”
ซ่งเฉิงป๋อเองก็เอ่ยตอบฮูหยินของตนอย่างเห็นด้วยเมื่อได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายใกล้ ๆ เขาก็ยิ่งเห็นเงาร่างของบุตรสาวซ้อนทับขึ้นมาตรงหน้าราวกับว่าทั้งสองเป็นคนคนเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น
“หลานหน้าเหมือนท่านแม่มากเลยหรือเจ้าคะ?”
อวี้หลันที่สวมบทหลานสาวผู้สดใสเอ่ยถามท่านตาท่านยายด้วยท่าทางน่ารัก จนสองสามีภรรยานั้นรู้สึกคันยุบยิบที่หัวใจเป็นอย่างมาก
“ใช่แล้วหลันเอ๋อร์ เจ้าเหมือนเหมยเอ๋อร์ราวกับแฝด แถมยังดูจะได้นิสัยดื้อรันมาจากมารดาของเจ้าด้วยกระมัง”
ซ่งเฉิงป๋อเอ่ยตอบหลานสาวอย่างอยอกล้อก่อนจะส่งเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“นั้นเป็นการถ่ายถอดทางสายเลือดเลยนะเจ้าคะท่านตา”
“ฮึ แต่ยายว่าคงไม่ได้มาเพียงแค่ความดื้อรั้นหรอก น่าจะได้นิสัยเอาแต่ใจมาด้วยเป็นแน่เชียว”
ซูเม่ยหรือซ่งฮูหยินเอ่ยหยอกล้อหลานสาวของตนบ้าง
“ท่านยายเจ้าคะ หลานหาได้เป็นสตรีเอาแต่ใจเสียหน่อย ข่าวลือพวกนั้นไม่มีสิ่งไหนเป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย”
อวี้หลันเอ่ยบอกท่านตาท่านยายด้วยเกรงว่าทั้งสองจะเชื่อในข่าวลือเสียหายของตนเองด้วยสีหน้ากังวลเล็กน้อย
“หลันเอ๋อร์ ยายกับท่านตาของเจ้าก็เพียงแค่เอ่ยหยอกล้อเจ้าเล่นเพียงเท่านั้น ต่อให้หลานจะเป็นเช่นไร อย่างไรหลานก็ยังเป็นหลานสาวของพวกเราทั้งสองคนเสมอ”
ซ่งฮูหยินเมื่อเห็นว่าใบหน้าของหลานสาวมีแววกังวลใจจึงได้เอ่ยปลอบโยนหลานสาวของตนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ขอบคุณท่านตาท่านยายมากเลยนะเจ้าคะที่ไม่รังเกียจหลานสาวคนนี้” เอ่ยจบอวี้หลันก็ระบายยิ้มเต็มใบหน้าส่งไปให้กับผู้สูงวัยทั้งสองที่กำลังส่งยิ้มอบอุ่นมาให้นางอยู่ในตอนนี้เช่นกัน
=====================================================
งุ้ย พบหลานครั้งแรกก็จะหลงแล้วหรอเนี้ยะ
หลังจากนั้นทั้งสามคนต่างก็พูดคุยกันถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจนมาถึงเรื่องที่อวี้หลันได้ออกจากตระกูลไป๋แล้วพร้อมทั้งยังตัดขาดจากทางนั้นจนถึงขนาดออกหนังสือตัดขาดกันทำให้ผู้สูงวัยทั้งสองนั้นมีสีหน้ามืดครึ้มเป็นอย่างมากที่บุรุษสารเลวผู้นั้นกระทำการเช่นนี้กับบุตรสาวและหลานสาวของตนจนซ่งเฉิงป๋อนั้นอยากจะไปทำลายจวนแห่งนั้นให้ย่อยยับให้สาสมกับสิ่งที่บุรุษสารเลวนั้นได้ทำให้ไว้“ฮึ! ไอ้คนสารเลวนั้นมันสมควรที่จะโดนข้าจับถลกหนังเลาะกระดูกออกเป็นชิ้น ๆ ยิ่งนัก”ชายชราเอ่ยด้วยโทสะที่อัดแน่นอยู่ภายในอกของเขาจนมันแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว“นั่นสิเจ้าคะท่านพี่ น้องเองก็คิดว่าเราคงจะใจดีกับคนสารเลวเช่นนั้นเกินไปจนทำให้มันหลงลืมไปแล้วว่าเหมยเอ๋อร์นั้นคือดวงใจของพวกเราหาใช่สตรีชาวบ้านสามัญไม่!”ซ่งฮูหยินเองก็เอ่ยสำทับกับความคิดของสามีตนเองและยังรู้สึกโกรธแค้นที่อีกฝ่ายทำกับบุตรสาวอันเป็นที่รักของตนถึงเพียงนี้“ท่านตาท่านยายอย่าได้โกรธไปเลยนะเจ้าคะเดี๋ยวจะทำให้ความดันขึ้นเสียเปล่า ๆ อีกอย่างตอนนี้หลานก็ได้หลุดพ้นจากคนผู้นั้นมาอย่างปลอดภัยดีก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการตอบแทนคุณในฐานะบุตรสาวแล้วเจ้าค่ะ”อวี
กลับมาที่ปัจจุบันหลังจากที่ผู้เป็นใหญ่ของจวนทั้งสองเห็นว่าหลานสาวของตนนั้นเงียบลงไปจึงได้เอ่ยถามด้วยความห่วงใยเพราะถึงอย่างไรหญิงสาวก็ยังคงเป็นเพียงสตรีที่เพิ่งจะพ้นวัยปักปิ่นมาได้ไม่นานแต่กับต้องมาเจอเรื่องราวมากมายถึงเพียงนี้ภายในใจก็คงจะรู้สึกเคว้งคว้างอยู่มาก เพียงแค่อีกฝ่ายนั้นเป็นคนที่เก็บซ่อนสีหน้าเก่งจนหน้าตกใจ“หลันเอ๋อร์…เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”น้ำเสียงอันอบอุ่นและอ่อนโยนจากผู้เป็นยายสามารถเรียกสติที่หลุดลอยไปของหญิงสาวได้ในทันทีก่อนที่หญิงสาวจะเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มบางเบา“หลานไม่เป็นอะไรเจ้าคะท่านยาย ท่านยายอย่าได้เป็นกังวลเลย สำหรับเรื่องราวทุกอย่างที่หลานพบเจอมานั้นหลานไม่ได้สนใจนำมาทำให้ตนเองต้องทุกข์ใจหรอกเจ้าค่ะ”“ชีวิตคนเรามีแต่เวลาที่เดินหน้าเท่านั้น เราไม่มีทางย้อนเวลากลับไปได้ดั่งใจปรารถนาหรอกเจ้าค่ะ ดังนั้นเราควรจะสนใจในปัจจุบันมากกว่าจมอยู่กับอดีตที่ผ่านมาแล้ว ท่านยายเห็นด้วยกับหลานหรือไม่เจ้าคะ?”อวี้หลันเพียงมองดูสีหน้าเป็นกังวลของผู้เฒ่าทั้งสองก็รู้ถึงความกังวลในใจของพวกท่านจึงได้เอ่ยบอกถึงความคิดที่ตนเองคิดอยู่ในตอนนี้เพื่อให้ท่านทั้งสองรับรู้ว่านางนั้นไม่เป็นอะไ
หลังจากที่พวกของอวี้หลันได้ออกจากจวนตระกูลซ่งพร้อมกับตำลึงทองที่ท่านตามอบให้แล้วนั้นหญิงสาวก็บอกให้หวังอู่พาไปยังโรงรับฝากเงินทันทีเพราะเกรงว่าการที่ตนเองมีเงินอยู่มากเช่นนี้จะทำให้กลายเป็นเป้าหมายของพวกขโมยก็เป็นได้ ดังนั้นทางที่ปลอดภัยที่สุดก็คือนำเงินพวกนี้ไปฝากไว้ที่โรงรับฝากเงินคงจะเป็นการดีที่สุดซึ่งใช้เวลาเดินทางมาไม่นานพวกของอวี้หลันก็มาถึงยังตลาดกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นแหล่งที่ผู้คนพลุกพล่านมากที่สุด พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นที่ที่นางรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในครั้งแรกเมื่อรถม้ารับจ้างหยุดลงที่หน้าโรงรับฝากเงิน ไห่หลิง ที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นชิงและยังเป็นกิจการของท่านลุงรองไห่หนานของนางอีกด้วยเมื่อก่อนได้ยินเพียงผ่าน ๆ แต่ไม่คิดเลยว่าที่แห่งนี้จะใหญ่โตและหรูหราถึงเพียงนี้ ท่านลุงรองของนางนี้ช่างมีความสามารถยิ่งนัก“พี่หวังอู่ที่นี่เป็นกิจการของท่านลุงรองอีกอย่างใช่หรือไม่?”เพื่อความชัดเจนหญิงสาวจึงได้หันไปเอ่ยถามกับองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างของตนเอง“ใช่แล้วขอรับคุณหนู โรงรับจำนำไห่หลิงแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งกิจการที่สร้างรายได้มากมายให้กับตระกูลซ่งของนายท่าน แถมคุณชายรองเองก็ยังเป็น
“นี่คือป้ายสำหรับคนตระกูลซ่งเท่านั้นเจ้าค่ะมันคือป้ายหยกรัตติกาล นายท่านรองสั่งเอาไว้ว่าให้มอบให้กับเจ้านายตระกูลซ่งทุกคนที่มาใช้บริการ”“หากคุณหนูต้องการแลกเบิกเงิน ฝากเงินก็เพียงแค่แสดงป้ายหยกแผ่นนี้เท่านั้น พนักงานก็จะทำการตามความต้องการของคุณหนูให้โดยเร็วเจ้าค่ะ”“อ้อเช่นนั้นขอบใจพี่สาวมาก ข้าขอตัวก่อน”อวี้หลันเอ่ยบอกอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มก่อนจะหมุดตัวเดินออกจากโรงรับฝากเงินไปหวังอู่ที่ยืนรอนางอยู่ด้านหน้าอาคาร เมื่อหวังอู่เห็นว่าคุณหนูเดินออกมาแล้วจึงได้เดินเข้าไปหาพร้อมกับเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่ขอรับคุณหนู”“อื้ม เรียบร้อยดีพวกเราไปหาทั้งสามคนกันเถิดข้าหิวมากแล้ว”อวี้หลันเอ่ยบอกด้วยสีหน้าอ่อนแรง เนื่องจากนางนั้นเริ่มรู้สึกหิวข้าวขึ้นมาจนไม่มีแรงจะเดินอยู่แล้ว“ขอรับคุณหนู”หวังอู่เอ่ยตอบรับพร้อมกับรอยยิ้มเอ็นดูท่าทางคล้ายแมวตัวเล็กกำลังหิวโหยของอีกฝ่าย ก่อนที่คนทั้งสองจะเดินมุ่งหน้าไปยัง โรงเตี๊ยมหมื่นบุปผาในทันทีโรงเตี๊ยมหมื่นบุปผาแห่งนี้เป็นโรงเตี๊ยมที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองหลวงแห่งนี้เลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นห้องพัก อาหาร หรือการบริการต่าง ๆ ของที
"อย่างนั้นรึ?" เสียงเย็นชาเอ่ยขึ้นหลังจากที่อวี้หลันเอ่ยจบ"!!!" สีหน้าของผู้คนโดยรอบบริเวณต่างก็ตื่นตระหนกกับการปรากฏตัวขึ้นขององค์รัชทายาทที่เดินเคียงคู่มากับหญิงในดวงใจอย่างคุณหนูหวังซูเซียวหญิงสาวผู้งดงามทั้งกริยามารยาทและรูปโฉม"คารวะองค์รัชทายาทเพคะ" อวี้หลันที่เห็นว่าคู่รักทั้งสองคนเดินตรงมายังตนเองก็ไม่ได้รู้สึกหวั่นใจกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งจะเอ่ยออกไปเมื่อสักครู่แม้แต่น้อยแต่หญิงสาวกลับเมินคำถามของร่างสูงแล้วย่อตัวทำความเคารพอีกฝ่ายตามมารยาทที่ควรมีเพียงเท่านั้น"หึ! ทำไม่ถึงได้เงียบไปเสียแล้วละ เมื่อครู่เจ้ายังคงเอ่ยถึงเปิ่นหวางอยู่มิใช่รึ" ไท่เฟยฉีเอ่ยถากถางอดีตคู่หมั้นของตนด้วยสีหน้าเจือโทสะเล็กน้อย"เพคะ? อ้อเรื่องที่หม่อนฉันพูดถึงเมื่อครู่มีสิ่งใดไม่ถูกต้องหรือเพคะ" ร่างบางเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่บุรุษมักมากตรงหน้าถามจริงได้เอ่ยตอบอย่างมึนงง"นี่เจ้า! อย่าลืมว่าเปิ่นหวางคือใครแล้วเจ้าคือใครจะเอ่ยวาจาอันใดก็ควรจะมีขอบเขตเสียบ้างนะคุณหนูไป๋" ไท่เฟยฉีเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเข้มพร้อมกับดวงตาคมเข้มจ้องมองไปยังใบหน้าของหญิงสาวราวกับกำลังเอ่ยเตือนอยู่"เพคะ ถ้าเช่นนั้นคราวห
"แก!.....นักสารเลววันนี้ถ้าข้าคนนี้ไม่ได้ตบเอาเลือดปากของแกมาล้างเท้าเพื่อขอขมาแล้วละก็อย่าหวังเลยว่าแกจะได้กลับไป!" เสียงแหลมปี๊ดของไป๋ลี่หลินแผดดังไปทั่วก่อนที่หญิงสาวจะปรี่เข้าไปหาร่างของอวี้หลันเพื่อหมายจะตบไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายให้สาแกใจหวือ หมับ เพี้ยะ! ตุบแต่มีหรือที่อวี้หลันจะยืนเฉย ๆ ให้ใครมาทำร้ายตนเองได้ตามใจชอบหญิงสาวเพียงแค่เอี้ยวตัวหลบฝ่ามือที่ฟาดลงมาพร้อมกับจับเข้าไปที่ข้อมือเล็กของอีกฝ่ายกันจะออกแรงบีบแล้วตวัดฝ่ามืออีกข้างฟาดลงไปบนใบหน้างามอีกอีกฝ่ายเต็มแรงจนเกิดเสียงดังไปทั่วบริเวณ ก่อนที่ทุกอย่างจะตกอยู่ในความเงียบพร้อมกับเสียงเหยียบเย็นจากร่างบางที่เอ่ยกับหญิงสาวที่ล้มลงไปนังแหมะอยู่ที่พื้น"แต่ก่อนเจ้าสู้ข้าไม่ได้ยังไงในตอนนี้ก็ยิ่งสู้ไม่ได้มากขึ้นไปอีก ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้สักนิดนะไป๋ลี่หลิน อย่าให้ข้าคนนี้หมดความอดทนกับเจ้ามิเช่นนั้นเจ้าอาจจะไม่มีโอกาสได้ลืมตามาดูพระอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้ก็เป็นได้""กะ..แก..""อ้อแล้วก็อีกอย่างหนึ่งอย่าคิดว่าข้าจะกลัวท่านเสนาบดีไป๋เพราะเจ้าจงพึงระลึกเอาไว้บ้างว่านอกจากข้าจะเคยเป็นใคร แต่ข้าก็ยังเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวของตระกูลซ่งเช
ท่ามกลางความมืดมิดค่ำคืนที่ผู้คนต่างก็พากันนอนหลับไปแล้ว แต่กับมีเงาร่างของคนกลุ่มหนึ่งที่สวมชุดสีดำทั้งชุดปกปิดใบหน้ากำลังใช้วิชาตัวเบากระโดนผ่านหลังคาบ้านเรือนของผู้คนไปอย่างแผ่วเบาจุดหมายของคนชุดดำกลุ่มนี้ก็คือจวนขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ติดกับจวนร้างคนชุดดำกลุ่มนั้นก็ยังคงเร้นกายไปในความมืดและใช้วิชาตัวเบาได้อย่างชำนาญจำคิดว่าคนธรรมดาคงไม่มีทางรู้สึกถึงพวกเขาได้ และหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นก็ยังมีบุรุษที่น่าจะเป็นผู้นำของพวกเขาวิ่งนำหน้าจนมาถึงเรือนร้างที่อยู่ติดกับจวนเป้าหมายด้วยความคิดว่าที่จวนแห่งนี้เป็นเพียงจวนที่ไม่มีใครอาศัยอยู่คนชุดดำกลุ่มนั้นจึงได้วิ่งผ่านหลังคาจวนไปแต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นกับคนกลุ่มนั้นเมื่อในขณะที่พวกเขากำลังวิ่งอยู่บนหลังคาก็ถูกก้อนหินปริศนาปาเข้าใส่อย่างรวดเร็วและแม่นยำแต่ด้วยความที่พวกเขาเองก็ถูกฝึกมาอย่างหนักจึงทำให้สามารถหลบการโจมตีที่มาในความมืดได้อย่างรวดเร็วก่อนที่คนกลุ่มนั้นจะหยุดนิ่งลงเพื่อเฝ้าระวัง“ขออภัยแขกทุกท่าน ไม่ทราบว่าดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้พวกท่านยังมีเวลามาเดินชมนกชมไม้บนหลังคาบ้านของผู้อื่นอยู่อีกหรือ”เสียงใสกังวานดังขึ้น
ช่วงสายของวันอวี้หลันในวันนี้มีนัดพูดคุยรายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างจวนกับหัวหน้าช่างที่ท่านตาเป็นผู้เลือกหามาให้ก็กำลังนั่งจิบชาอยู่ตรงข้ามกับชายวัยกลางคนอีกสามคน ชายวัยกลางคนทั้งสามนั้นคือ ห่าวอู๋ นายช่างใหญ่เจ้าของกิจการก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง อายุ 57 ปี ห่าวซวน บุตรชายคนรองของนายช่าง อายุ 39 ปี หลี่จิ้ง ผู้ช่วยคนสนิทของนายช่าง อายุ 45 ปีตอนนี้บุรุษทั้งสามกำลังก้มลงมองแบบจวนที่หญิงสาวต้องการให้พวกตนเองสร้างขึ้น แบบจวนที่อวี้หลันต้องการนั้นจะเป็นจวนที่มีบ้านทั้งหมดสามหลังซึ่งจะสร้างเอาไว้เรียงกันตรงด้านหน้า ส่วนด้านหลังนั้นนางจะสร้างเป็นบ้านสองชั้นแบบสมัยใหม่ที่ชั้นล่างจะมีห้องนอนสองห้อง ห้องนั่งเล่นหนึ่งห้องและห้องน้ำอีกหนึ่งห้อง ส่วนด้านบนนั้นนางต้องการห้องนอนหนึ่งห้องพร้อมห้องน้ำในตัว ห้องทำงานหนึ่งห้องก่อนจะเป็นห้องเก็บสมบัติอีกห้องโดยอวี้หลันต้องการสร้างจากอิฐมุงด้วยกระเบื้องทั้งหมดพร้อมกันนั้นก็ฉาบด้วยปูนสีขาวเพื่อให้ดูสบายตา ส่วนเรือนทั้งสามหลังด้านหน้าก็จะประกอบไปด้วยสองเรือนแรกจะเป็นเรือนรับรองแขกที่มีห้องนอนอยู่หลังละสามห้อง เรือนที่สามจะเป็นเรือนเอาไว้สำหรับต้
แต่มีความสามารถด้านการต่อสู้เป็นอย่างมาก โดยหยางเทียนหนานเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลหยางหรือตระกูลนักรบที่อยู่คู่บ้านเมืองมาอย่างยาวนานพอ ๆ กับตระกูลซ่งและตอนนี้อดีตแม่ทัพใหญ่หยางเหอซานเองก็ได้ส่งคืนอำนาจให้กับฮ่องเต้ก่อนจะใช้ชีวิตกับฮูหยินสุดที่รักอยู่ภายในจวนตระกูลหยางอย่างสงบสุขและส่งหยางเทียนหนานมาทำหน้าที่แทนตนเองหลังจากนั้นทั้งสามคนก็ขี่อาชาเข้าไปด้านในค่ายทหารก่อนจะลงจากหลังม้าเมื่อเข้ามาพ้นประตูของค่ายและส่งม้าให้กับผู้ดูแลนำไปดูแลต่อทางด้านพวกเขาทั้งสามก็เดินตรงไปยังกระโจมของแม่ทัพซ่งทันที แต่เดินไปถึงลานฝึกการต่อสู้กับเห็นว่าเหล่าทหารนั้นกำลังมุงดูอะไรสักอย่างด้วยความสงสัยชินอ๋องจึงได้เปลี่ยนจุดหมายแล้วเดินตรงไปยังลานฝึกเพื่อดูว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นถึงได้ดูวุ่นวายเช่นนี้ด้านแม่ทัพซ่งพร้อมอดีตราชครูเองหลังจากได้รับรายงานว่าชินอ่องเสด็จมาตรวจค่ายพวกเขาทั้งสองต่างก็รีบออกมาต้อนรับที่ด้านหน้ากระโจมแต่รอแล้วรอเล่าอีกฝ่ายก็ยังไม่มาจึงเกิดความสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ทั้งสองจึงได้รุดหน้าไปยังด้านหน้าทางเข้าทันทีเช่นกันลานฝึกในตอนนี้สถานการณ์ก็กำลังจะเริ่มการต่อสู้ อวี
ความเงียบยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างต่อเนื่องแต่ว่าคนที่เอ่ยถึงเมื่อครู่นั้นจะได้สติคืนกลับมาหลังจากที่ตกใจกับสิ่งที่หญิงสาวตรงหน้าเอ่ย กับตนเอง ก่อนที่ใบหน้าคมเข้มจะเริ่มแดงขึ้นตามแรงโทสะที่มี“ถ้าคุณหนูอวี้หลันอยากจะพิสูจน์ความสามารถของรองแม่ทัพอย่างข้า ถ้าเช่นนั้นก็อย่ามาโวยวายว่าโดนข้ารังแกทีหลังก็แล้วกัน”เผิงซานฉีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาพร้อมกับจ้องมองใบหน้างามอย่างไม่สบอารมณ์“ไม่แน่นอน ข้าเป็นฝ่ายเอ่ยท้าประลองกับท่านเองแล้วจะไปกล่าวโทษท่านรองแม่ทัพเผิงได้อย่างไรกัน”อวี้หลันเอ่ยตอบบุรุษตรงหน้าอย่างไม่ใส่ใจกับท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงออกมา“แล้วท่านต้องการที่จะแข่งกับข้าในด้านใดกันเล่า”เมื่อเห็นว่าสตรีตรงหน้าไม่มีท่าทีร้อนใจรองแม่ทัพเผิงจึงเอ่ยถามว่านางต้องการจะแข่งกับเขาด้านใด“ต่อสู้มือเปล่าก็แล้วกัน”“นี่หลันเอ๋อร์เจ้าเปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังทันอยู่นะ อย่าทำให้เป็นเรื่องเลย”ฉือลู่เองกับเป็นคนไม่เห็นด้วยที่น้องสาวของตนกำลังจะสร้างเรื่องให้ตัวเองต้องเดือดร้อนเช่นนี้“พี่ฉือลู่ไม่ต้องกังวลไปเจ้าค่ะ ข้าไหว”อวี้หลันเอ่ยบอกกับญาติผู้พี่ของตนพร้อมส่งรอยยิ้มบางเบาไปให้อีกฝ่าย“เช่นนั้นก็เอาตาม
ภายใต้สถานการณ์อันน่าหวาดกลัวและกดดันจู่ ๆ เสียงเข้มของใครบางคนก็ดังขึ้นราวกับเป็นเสียงสวรรค์ที่ลงมาโปรดพวกนายทหารทั้งหลาย“ทะ…ท่านรองแม่ทัพซ่ง!”เสียงนายทหารหลายคนเอ่ยเรียกอีกฝ่ายที่เดินมาจากด้านหลังด้วยความสนใจอวี้หลันจึงไห้หันกลับไปมองยังทิศทางของเสียงซ่งฉือลู่เป็นบุรุษที่สูงโปร่งดูองอาจสมชายชาติทหารแถมเขายังมีใบหน้าที่หล่อเหลาที่ถูกส่งต่อมาจากท่านตาและบิดา นิสัยใจเย็น เจ้าระเบียบ รักความถูกต้อง ซื่อตรง ซื่อสัตย์ เข้มงวดในกฎที่พึงปฏิบัติเป็นอย่างมาก นี้คือสิ่งที่บรรยายถึงตัวละครรองแม่ทัพซ่งสำหรับอวี้หลันแล้วพอได้เจอตัวจริงนางก็คิดว่าตรงกับสิ่งที่เพื่อนของตนเขียนเอาไว้ทุกอย่าง ในตอนนี้ชายหนุ่มก็ได้เดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าของนางพร้อมกับมองมาด้วยสายตาสงบนิ่งจนคนถูกมองอย่างอวี้หลันต้องเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายขึ้นก่อน“คารวะพี่ฉือลู่เจ้าค่ะ”หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับย่อตัวทำความเคารพอีกฝ่าย การกระทำนั้นของนางทำให้หว่างคิ้วของรองแม่ทัพหนุ่มขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยถาม“เจ้ารู้จักข้าด้วยรึ?”“ข้าอวี้หลันเองเจ้าค่ะ”เมื่อได้รับคำถามมาหญิงสาวจึงได้เอ่ยแนะนำตัวกับคนตรงหน้า จบคำแนะนำ
หลังจากที่อวี้หลันเดินออกมาจากกระโจมของท่านลุงของนางแล้วหญิงสาวจึงเริ่มเดินสำรวจจากฝั่งด้านซ้ายที่ดูเหมือนจะเป็นลานฝึกสำหรับยิงธนูกับฟันดาบโดยค่ายทหารแห่งนี้แบ่งสัดส่วนออกเป็นสามส่วนคือส่วนทางด้านปีกซ้ายจะเป็นลานยิ่งธนู ฟันดาบ ส่วนทางด้านปีกขวาจะเป็นลาน หอกกับฝึกการต่อสู้และฝึกฝนร่างกาย และตรงกลางของทั้งสองปีกนั้นจะเป็นที่พักของนายทหารตั้งแต่ชั้นผู้น้อยไปจนถึงกระโจมแม่ทัพที่ตั้งอยู่ด้านในสุดของค่ายทหารในตอนนี้อวี้หลันเลือกที่จะเดินมาดูทางด้านปีกซ้ายที่ภายในสนามฝึกยิ่งธนูนั้นกำลังมีการฝึกยิงธนูกันอยู่พอดี ดังนั้นหญิงสาวจึงรู้สึกสนใจและอดไม่ได้ที่จะยืนมองดูเหล่าทหารกำลังทำการฝึกแต่พอนางได้เห็นทักษะการยิงธนูของพวกทหารแล้วกลับทำให้หว่างคิ้วของหญิงสาวขมวดเข้าหากันขึ้นมาในทันทีพร้อมกับความสงสัยที่ผุดขึ้นมาภายในหัว‘นี่ใช่การฝึกของทหารจริง ๆ ใช่หรือไม่ทำไมมันถึงได้ดูเหลาะแหละเหมือนเด็ก ๆ เล่นยิงธนูกันเช่นนี้ ทั้งการวางท่าทางของมือ การลงน้ำหนักและการเล็งเป้าล้วนแล้วแต่ใช้ไม่ได้ทำให้หญิงสาวรู้สึกขัดใจกับพวกนายทหารพวกนี้เสียจริง ๆ’‘นี่ถ้าไปออกรบในโลกก่อนของนางมีหวังตายตั้งแต่ยังไม่ได้หยิบคั
จากนั้นนายท่านซ่งกับหลานสาวก็ขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปยังค่ายทหารที่บุตรชายคนโตเป็นผู้ดูแลอยู่ในตอนนี้ในทันที ค่ายทหารแห่งนี้นั้นตั้งอยู่ทิศใต้ของเมืองหลวงห่างจากประตูเมืองออกไปพอสมควรดังนั้นจึงใช้เวลาในการเดินทางราว ๆ หนึ่งชั่วยามสองตาหลานจึงได้มาถึงยังหน้าประตูของค่ายทหารเมื่อมาถึงแล้วตามกฎของค่ายนั้นไม่สารถให้นำรถม้าเข้าไปได้สองตาหลานกับผู้ติดตามคือเสี่ยวอิง หวังอู่และผู้ติดตามของนายท่านซ่งอีกสองคนจึงได้เดินตรงไปยังประตูก่อนที่จะได้ยินเสียงเอ่ยถามจากทหารยามเฝ้าหน้าประตู“คารวะนายท่านซ่ง ไม่ทราบว่ามาพบใครหรือขอรับ”“ข้ามาพบท่านแม่ทัพฉือตงรบกวนเจ้าไปแจ้งให้ข้าที”ชายชราเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งอย่างที่เคย“ขอรับ นายท่านซ่งโปรดรอสักครู่”เอ่ยจบนายทหารคนนั้นก็วิ่งไปยังประตูพร้อมกันเอ่ยบางอย่างกับทหารหนุ่มอีกนายจากนั้นทหารคนนั้นก็วิ่งเข้าไปด้านในทันที ใช้เวลาราว ๆ หนึ่ง เค่อ ทหารคนนั้นก็วิ่งกลับออกมาพร้อมกับเอ่ยบอกสองตาหลานที่ยืนรออยู่ด้านหน้าค่ายทหาร“เชิญนายท่านกับคุณหนูด้านในได้เลยขอรับท่านแม่ทัพกำลังรออยู่”“อืม เจ้านำทางไปเถิด”จบคำของชายชราคนทั้งหมดก็เดินตามหลังนายทหารคนนั้นเข้าไปยั
จากความทรงจำในเนื้อเรื่องของนิยายดูเหมือนว่าในอีกสองเดือนข้างหน้าจะมีคณะทูตจากต่างแคว้นเดินทางมายังแคว้นชิงของนางเพื่อร่วมฉลองวันพระราชสมภพครบ 50 ชันษาของฮ่องเต้ ไท่เฟยฮุ่ย และครั้งนี้ผู้ที่รับหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยของคณะทูตก็คือแม่ทัพซ่งฉือตงกับบุตรชายหรือก็คือรองแม่ทัพซ่งฉือลู่โดยทั้งสองก็คือท่านลุงใหญ่กับพี่ชายของอวี้หลัน ท่านลุงใหญ่นั้นเป็นชายวัยกลางคนอายุ 45 ปี มีรูปร่างสูงใหญ่ดูภูมิฐานและน่าเกรงขามใบหน้ายังได้ท่านตาไปถึงแปดส่วนส่วนพี่ฉือลู่เองก็เป็นชายหนุ่มอายุ 25 ปีรูปร่างองอาจสมชายชาติทหารมีใบหน้าหล่อเหลาเป็นที่หมายปองของสตรีเกือบทั่วทั้งเมืองหลวงเพียงแต่ว่าพี่ชายของนางนั้นส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในค่ายทหารจึงไม่ได้มีเวลามองหาสะใภ้ให้กับท่านป้าใหญ่หรือก็คือ ฮูหยินเหยาอิน ปีนี้อายุ 40 ปี แต่ว่าท่านป้าใหญ่ในความทรงจำของนางนั้นคล้ายจะดูเลือนรางไปมากแต่ในวันนั้นฉากสำคัญที่จะเกิดขึ้นก็คือองค์รัชทายาทจะทูลขอสมรสพระราชทานระหว่างชายหนุ่มกับคุณหนูใหญ่ของท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายหวังซูเซียนแต่ถูกองค์ชายสามจากแคว้นโจวเอ่ยขอสมรสระหว่างตนเองกับคุณหนูใหญ่ซูเซียนเช่นกันจึงทำให้ยิ่งสร้างความ
ช่วงสายของวันอวี้หลันในวันนี้มีนัดพูดคุยรายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างจวนกับหัวหน้าช่างที่ท่านตาเป็นผู้เลือกหามาให้ก็กำลังนั่งจิบชาอยู่ตรงข้ามกับชายวัยกลางคนอีกสามคน ชายวัยกลางคนทั้งสามนั้นคือ ห่าวอู๋ นายช่างใหญ่เจ้าของกิจการก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง อายุ 57 ปี ห่าวซวน บุตรชายคนรองของนายช่าง อายุ 39 ปี หลี่จิ้ง ผู้ช่วยคนสนิทของนายช่าง อายุ 45 ปีตอนนี้บุรุษทั้งสามกำลังก้มลงมองแบบจวนที่หญิงสาวต้องการให้พวกตนเองสร้างขึ้น แบบจวนที่อวี้หลันต้องการนั้นจะเป็นจวนที่มีบ้านทั้งหมดสามหลังซึ่งจะสร้างเอาไว้เรียงกันตรงด้านหน้า ส่วนด้านหลังนั้นนางจะสร้างเป็นบ้านสองชั้นแบบสมัยใหม่ที่ชั้นล่างจะมีห้องนอนสองห้อง ห้องนั่งเล่นหนึ่งห้องและห้องน้ำอีกหนึ่งห้อง ส่วนด้านบนนั้นนางต้องการห้องนอนหนึ่งห้องพร้อมห้องน้ำในตัว ห้องทำงานหนึ่งห้องก่อนจะเป็นห้องเก็บสมบัติอีกห้องโดยอวี้หลันต้องการสร้างจากอิฐมุงด้วยกระเบื้องทั้งหมดพร้อมกันนั้นก็ฉาบด้วยปูนสีขาวเพื่อให้ดูสบายตา ส่วนเรือนทั้งสามหลังด้านหน้าก็จะประกอบไปด้วยสองเรือนแรกจะเป็นเรือนรับรองแขกที่มีห้องนอนอยู่หลังละสามห้อง เรือนที่สามจะเป็นเรือนเอาไว้สำหรับต้
ท่ามกลางความมืดมิดค่ำคืนที่ผู้คนต่างก็พากันนอนหลับไปแล้ว แต่กับมีเงาร่างของคนกลุ่มหนึ่งที่สวมชุดสีดำทั้งชุดปกปิดใบหน้ากำลังใช้วิชาตัวเบากระโดนผ่านหลังคาบ้านเรือนของผู้คนไปอย่างแผ่วเบาจุดหมายของคนชุดดำกลุ่มนี้ก็คือจวนขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ติดกับจวนร้างคนชุดดำกลุ่มนั้นก็ยังคงเร้นกายไปในความมืดและใช้วิชาตัวเบาได้อย่างชำนาญจำคิดว่าคนธรรมดาคงไม่มีทางรู้สึกถึงพวกเขาได้ และหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นก็ยังมีบุรุษที่น่าจะเป็นผู้นำของพวกเขาวิ่งนำหน้าจนมาถึงเรือนร้างที่อยู่ติดกับจวนเป้าหมายด้วยความคิดว่าที่จวนแห่งนี้เป็นเพียงจวนที่ไม่มีใครอาศัยอยู่คนชุดดำกลุ่มนั้นจึงได้วิ่งผ่านหลังคาจวนไปแต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นกับคนกลุ่มนั้นเมื่อในขณะที่พวกเขากำลังวิ่งอยู่บนหลังคาก็ถูกก้อนหินปริศนาปาเข้าใส่อย่างรวดเร็วและแม่นยำแต่ด้วยความที่พวกเขาเองก็ถูกฝึกมาอย่างหนักจึงทำให้สามารถหลบการโจมตีที่มาในความมืดได้อย่างรวดเร็วก่อนที่คนกลุ่มนั้นจะหยุดนิ่งลงเพื่อเฝ้าระวัง“ขออภัยแขกทุกท่าน ไม่ทราบว่าดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้พวกท่านยังมีเวลามาเดินชมนกชมไม้บนหลังคาบ้านของผู้อื่นอยู่อีกหรือ”เสียงใสกังวานดังขึ้น
"แก!.....นักสารเลววันนี้ถ้าข้าคนนี้ไม่ได้ตบเอาเลือดปากของแกมาล้างเท้าเพื่อขอขมาแล้วละก็อย่าหวังเลยว่าแกจะได้กลับไป!" เสียงแหลมปี๊ดของไป๋ลี่หลินแผดดังไปทั่วก่อนที่หญิงสาวจะปรี่เข้าไปหาร่างของอวี้หลันเพื่อหมายจะตบไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายให้สาแกใจหวือ หมับ เพี้ยะ! ตุบแต่มีหรือที่อวี้หลันจะยืนเฉย ๆ ให้ใครมาทำร้ายตนเองได้ตามใจชอบหญิงสาวเพียงแค่เอี้ยวตัวหลบฝ่ามือที่ฟาดลงมาพร้อมกับจับเข้าไปที่ข้อมือเล็กของอีกฝ่ายกันจะออกแรงบีบแล้วตวัดฝ่ามืออีกข้างฟาดลงไปบนใบหน้างามอีกอีกฝ่ายเต็มแรงจนเกิดเสียงดังไปทั่วบริเวณ ก่อนที่ทุกอย่างจะตกอยู่ในความเงียบพร้อมกับเสียงเหยียบเย็นจากร่างบางที่เอ่ยกับหญิงสาวที่ล้มลงไปนังแหมะอยู่ที่พื้น"แต่ก่อนเจ้าสู้ข้าไม่ได้ยังไงในตอนนี้ก็ยิ่งสู้ไม่ได้มากขึ้นไปอีก ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้สักนิดนะไป๋ลี่หลิน อย่าให้ข้าคนนี้หมดความอดทนกับเจ้ามิเช่นนั้นเจ้าอาจจะไม่มีโอกาสได้ลืมตามาดูพระอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้ก็เป็นได้""กะ..แก..""อ้อแล้วก็อีกอย่างหนึ่งอย่าคิดว่าข้าจะกลัวท่านเสนาบดีไป๋เพราะเจ้าจงพึงระลึกเอาไว้บ้างว่านอกจากข้าจะเคยเป็นใคร แต่ข้าก็ยังเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวของตระกูลซ่งเช