หลังจากที่พวกของอวี้หลันได้ออกจากจวนตระกูลซ่งพร้อมกับตำลึงทองที่ท่านตามอบให้แล้วนั้นหญิงสาวก็บอกให้หวังอู่พาไปยังโรงรับฝากเงินทันที
เพราะเกรงว่าการที่ตนเองมีเงินอยู่มากเช่นนี้จะทำให้กลายเป็นเป้าหมายของพวกขโมยก็เป็นได้ ดังนั้นทางที่ปลอดภัยที่สุดก็คือนำเงินพวกนี้ไปฝากไว้ที่โรงรับฝากเงินคงจะเป็นการดีที่สุด
ซึ่งใช้เวลาเดินทางมาไม่นานพวกของอวี้หลันก็มาถึงยังตลาดกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นแหล่งที่ผู้คนพลุกพล่านมากที่สุด พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นที่ที่นางรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในครั้งแรก
เมื่อรถม้ารับจ้างหยุดลงที่หน้าโรงรับฝากเงิน ไห่หลิง ที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นชิงและยังเป็นกิจการของท่านลุงรองไห่หนานของนางอีกด้วย
เมื่อก่อนได้ยินเพียงผ่าน ๆ แต่ไม่คิดเลยว่าที่แห่งนี้จะใหญ่โตและหรูหราถึงเพียงนี้ ท่านลุงรองของนางนี้ช่างมีความสามารถยิ่งนัก
“พี่หวังอู่ที่นี่เป็นกิจการของท่านลุงรองอีกอย่างใช่หรือไม่?”
เพื่อความชัดเจนหญิงสาวจึงได้หันไปเอ่ยถามกับองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างของตนเอง
“ใช่แล้วขอรับคุณหนู โรงรับจำนำไห่หลิงแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งกิจการที่สร้างรายได้มากมายให้กับตระกูลซ่งของนายท่าน แถมคุณชายรองเองก็ยังเป็นผู้ที่มีความสามารถทางด้านการค้าเป็นอย่างมาก”
“ไม่ว่าท่านจะทำกิจการอะไรก็ล้วนแต่รุ่งเรืองจนในตอนนี้แม้แต่ผู้เป็นใหญ่ที่สุดยังต้องไว้หน้าคุณชายรองอยู่สามส่วนเลยทีเดียวขอรับ”
หวังอู่เองที่เติบโตมาในตระกูลซ่งตั้งแต่ยังเด็กและเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มาจากพ่อบุญธรรมของตนจนเรียกได้ว่าเป็นตำราเคลื่อนที่ได้ก็มิป่านเอ่ยบอกคุณหนูด้วยสีหน้าภาคภูมิใจที่มีต่อนายท่านทุกคน
“อืม...ท่านลุงรองช่างเก่งกาจยิ่งนัก เช่นนั้นเห็นทีข้าคงต้องไปขอคำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องกิจการที่กำลังจะเปิดเสียหน่อยแล้วกระมัง”
อวี้หลันเอ่ยกับตนเองอย่างหมายมาดว่าสักวันนางคงจะต้องหาเวลาไปพบกับท่านลุงรองเพื่อขอคำชี้แนะ
หญิงสาวเดินนำองครักษ์หนุ่มเข้าไปได้ใน ส่วนแม่นมหวัง เสี่ยวอิงกับหวังลู่นั้นนางให้ทุกคนไปรอที่โรงเตี๊ยมเพื่อสั่งอาหารไว้ก่อนแล้ว ส่วนนางก็แยกตัวมาฝากเงินกับหวังอู่เพียงสองคน
เมื่อพนักงานต้อนรับเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใครเขาจึงได้รีบเดินเข้ามาต้อนรับด้วยความนอบน้อมเพราะถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะถูกขับออกจากตระกูลไป๋ไปแล้ว แต่พนักงานของที่นี่ทุกคนต่างก็รู้กันเป็นอย่างดีว่าหญิงสาวนั้นเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวของนายท่านรองเจ้าของที่แห่งนี้
ดังนั้นเขาจึงได้ต้อนรับอย่างดีด้วยเกรงว่าถ้าเกิดอีกฝ่ายไม่พอใจจะทำให้ตัวเขานั้นถูกไล่ออกเอาได้
“ยินดีต้อนรับคุณหนูอวี้หลันขอรับ ไม่ทราบว่าที่มาวันนี้ต้องการจะมาฝากเงินหรือแลกเงินขอรับ”
พนักงานต้อนรับชายอายุสามสิบต้น ๆ เอ่ยถามหญิงสาวตรงหน้าที่มีใบหน้างดงามอย่างขัดเขินเล็กน้อย
“สวัสดีวันนี้ข้าต้องการมาฝากเงินไม่ทราบว่าข้าต้องทำเช่นไรบ้าง” หญิงสาวเอ่ยตอบพนักงานหนุ่มตรงหน้าด้วยท่าทีนิ่งสงบ
“ถ้าเป็นเช่นนั้นเชิญคุณหนูเดินตรงไปที่ช่องที่สามทางด้านขวาเลยขอรับแล้วพนักงานจะแจ้งรายละเอียดให้กับคุณหนูได้รับทราบเอง”
พนักงานชายเอ่ยจบก็เดินนำหญิงสาวไปยังทิศทางที่เขาเอ่ยบอกมาเมื่อครู่ ก่อนจะเดินแยกตัวออกไปหลังจากถึงที่หมายแล้ว
“สวัสดีเจ้าค่ะ เชิญคุณหนูนั่งรอสักครู่”
เมื่ออวี้หลันเดินมาถึงช่องดังกล่าวนางก็ได้ยินเสียงหวายใสของพนักงานสาวเอ่ยบอกก่อนที่หญิงสาวจะหันไปมองยังทิศทางของเสีย จึงพบเข้ากับพนักงานสาวสวยที่ดูจากการแต่งกายอย่างสะอาดสะอ้าน ใบหน้าสวยหมดจดดูมีภูมิฐานกำลังส่งยิ้มบาง ๆ มาให้กับตนเอง
“สวัสดีพี่สาวข้ามาฝากเงินไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไรบ้างหรือ” ปากบางเอ่ยถามเมื่อนางได้นั่งลงตามที่พนักงานสาวเอ่ยบอกแล้ว
“เรียนคุณหนูท่านเพียงแค่แจ้งชื่อแซ่แล้วก็จำนวนเงินที่การฝากเพียงเท่านั้นเจ้าค่ะ” พนักงานสาวยังคงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ข้าปะ…ไม่สิ ข้าอวี้หลันแซ่ซ่ง จะฝากเงินเก้าพันตำลึงทอง”
“!!!”
จบคำของหญิงสาวพนักงานสาวก็คล้ายกับโดนสาปให้กลายเป็นหินอยู่ครู่หนึ่ง เพราะหญิงสาวไม่คิดว่าสตรีตรงหน้าจะเป็นคนของนายท่านซ่งไห่หนานหลานสาวเพียงคนเดียวของตระกูลซ่ง
แต่ด้วยการอบรบมาอย่างเข้มงวดจึงทำให้พนักงานสาวนั้นตั้งสติได้อย่างรวดเร็วพร้อมกับเอ่ยตอบด้วยท่าทีสุภาพเช่นเดิม
“เช่นนั้นคุณหนูซ่งโปรดรอสักครู่นะเจ้าคะ”
เอ่ยจบพนักงานสาวก็รีบดำเนินการต่าง ๆ ให้กับอีกฝ่ายโดยใช้เวลาเพียงไม่นานก็เดินกลับมาหาหญิงสาวพร้อมกับยื่นป้ายหยกสีดำที่มีลวดลายงดงามมอบให้ก่อนจะเอ่ยบอก
“นี่คือป้ายสำหรับคนตระกูลซ่งเท่านั้นเจ้าค่ะมันคือป้ายหยกรัตติกาล นายท่านรองสั่งเอาไว้ว่าให้มอบให้กับเจ้านายตระกูลซ่งทุกคนที่มาใช้บริการ”“หากคุณหนูต้องการแลกเบิกเงิน ฝากเงินก็เพียงแค่แสดงป้ายหยกแผ่นนี้เท่านั้น พนักงานก็จะทำการตามความต้องการของคุณหนูให้โดยเร็วเจ้าค่ะ”“อ้อเช่นนั้นขอบใจพี่สาวมาก ข้าขอตัวก่อน”อวี้หลันเอ่ยบอกอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มก่อนจะหมุดตัวเดินออกจากโรงรับฝากเงินไปหวังอู่ที่ยืนรอนางอยู่ด้านหน้าอาคาร เมื่อหวังอู่เห็นว่าคุณหนูเดินออกมาแล้วจึงได้เดินเข้าไปหาพร้อมกับเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่ขอรับคุณหนู”“อื้ม เรียบร้อยดีพวกเราไปหาทั้งสามคนกันเถิดข้าหิวมากแล้ว”อวี้หลันเอ่ยบอกด้วยสีหน้าอ่อนแรง เนื่องจากนางนั้นเริ่มรู้สึกหิวข้าวขึ้นมาจนไม่มีแรงจะเดินอยู่แล้ว“ขอรับคุณหนู”หวังอู่เอ่ยตอบรับพร้อมกับรอยยิ้มเอ็นดูท่าทางคล้ายแมวตัวเล็กกำลังหิวโหยของอีกฝ่าย ก่อนที่คนทั้งสองจะเดินมุ่งหน้าไปยัง โรงเตี๊ยมหมื่นบุปผาในทันทีโรงเตี๊ยมหมื่นบุปผาแห่งนี้เป็นโรงเตี๊ยมที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองหลวงแห่งนี้เลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นห้องพัก อาหาร หรือการบริการต่าง ๆ ของที
"อย่างนั้นรึ?" เสียงเย็นชาเอ่ยขึ้นหลังจากที่อวี้หลันเอ่ยจบ"!!!" สีหน้าของผู้คนโดยรอบบริเวณต่างก็ตื่นตระหนกกับการปรากฏตัวขึ้นขององค์รัชทายาทที่เดินเคียงคู่มากับหญิงในดวงใจอย่างคุณหนูหวังซูเซียวหญิงสาวผู้งดงามทั้งกริยามารยาทและรูปโฉม"คารวะองค์รัชทายาทเพคะ" อวี้หลันที่เห็นว่าคู่รักทั้งสองคนเดินตรงมายังตนเองก็ไม่ได้รู้สึกหวั่นใจกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งจะเอ่ยออกไปเมื่อสักครู่แม้แต่น้อยแต่หญิงสาวกลับเมินคำถามของร่างสูงแล้วย่อตัวทำความเคารพอีกฝ่ายตามมารยาทที่ควรมีเพียงเท่านั้น"หึ! ทำไม่ถึงได้เงียบไปเสียแล้วละ เมื่อครู่เจ้ายังคงเอ่ยถึงเปิ่นหวางอยู่มิใช่รึ" ไท่เฟยฉีเอ่ยถากถางอดีตคู่หมั้นของตนด้วยสีหน้าเจือโทสะเล็กน้อย"เพคะ? อ้อเรื่องที่หม่อนฉันพูดถึงเมื่อครู่มีสิ่งใดไม่ถูกต้องหรือเพคะ" ร่างบางเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่บุรุษมักมากตรงหน้าถามจริงได้เอ่ยตอบอย่างมึนงง"นี่เจ้า! อย่าลืมว่าเปิ่นหวางคือใครแล้วเจ้าคือใครจะเอ่ยวาจาอันใดก็ควรจะมีขอบเขตเสียบ้างนะคุณหนูไป๋" ไท่เฟยฉีเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเข้มพร้อมกับดวงตาคมเข้มจ้องมองไปยังใบหน้าของหญิงสาวราวกับกำลังเอ่ยเตือนอยู่"เพคะ ถ้าเช่นนั้นคราวห
"แก!.....นักสารเลววันนี้ถ้าข้าคนนี้ไม่ได้ตบเอาเลือดปากของแกมาล้างเท้าเพื่อขอขมาแล้วละก็อย่าหวังเลยว่าแกจะได้กลับไป!" เสียงแหลมปี๊ดของไป๋ลี่หลินแผดดังไปทั่วก่อนที่หญิงสาวจะปรี่เข้าไปหาร่างของอวี้หลันเพื่อหมายจะตบไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายให้สาแกใจหวือ หมับ เพี้ยะ! ตุบแต่มีหรือที่อวี้หลันจะยืนเฉย ๆ ให้ใครมาทำร้ายตนเองได้ตามใจชอบหญิงสาวเพียงแค่เอี้ยวตัวหลบฝ่ามือที่ฟาดลงมาพร้อมกับจับเข้าไปที่ข้อมือเล็กของอีกฝ่ายกันจะออกแรงบีบแล้วตวัดฝ่ามืออีกข้างฟาดลงไปบนใบหน้างามอีกอีกฝ่ายเต็มแรงจนเกิดเสียงดังไปทั่วบริเวณ ก่อนที่ทุกอย่างจะตกอยู่ในความเงียบพร้อมกับเสียงเหยียบเย็นจากร่างบางที่เอ่ยกับหญิงสาวที่ล้มลงไปนังแหมะอยู่ที่พื้น"แต่ก่อนเจ้าสู้ข้าไม่ได้ยังไงในตอนนี้ก็ยิ่งสู้ไม่ได้มากขึ้นไปอีก ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้สักนิดนะไป๋ลี่หลิน อย่าให้ข้าคนนี้หมดความอดทนกับเจ้ามิเช่นนั้นเจ้าอาจจะไม่มีโอกาสได้ลืมตามาดูพระอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้ก็เป็นได้""กะ..แก..""อ้อแล้วก็อีกอย่างหนึ่งอย่าคิดว่าข้าจะกลัวท่านเสนาบดีไป๋เพราะเจ้าจงพึงระลึกเอาไว้บ้างว่านอกจากข้าจะเคยเป็นใคร แต่ข้าก็ยังเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวของตระกูลซ่งเช
ท่ามกลางความมืดมิดค่ำคืนที่ผู้คนต่างก็พากันนอนหลับไปแล้ว แต่กับมีเงาร่างของคนกลุ่มหนึ่งที่สวมชุดสีดำทั้งชุดปกปิดใบหน้ากำลังใช้วิชาตัวเบากระโดนผ่านหลังคาบ้านเรือนของผู้คนไปอย่างแผ่วเบาจุดหมายของคนชุดดำกลุ่มนี้ก็คือจวนขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ติดกับจวนร้างคนชุดดำกลุ่มนั้นก็ยังคงเร้นกายไปในความมืดและใช้วิชาตัวเบาได้อย่างชำนาญจำคิดว่าคนธรรมดาคงไม่มีทางรู้สึกถึงพวกเขาได้ และหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นก็ยังมีบุรุษที่น่าจะเป็นผู้นำของพวกเขาวิ่งนำหน้าจนมาถึงเรือนร้างที่อยู่ติดกับจวนเป้าหมายด้วยความคิดว่าที่จวนแห่งนี้เป็นเพียงจวนที่ไม่มีใครอาศัยอยู่คนชุดดำกลุ่มนั้นจึงได้วิ่งผ่านหลังคาจวนไปแต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นกับคนกลุ่มนั้นเมื่อในขณะที่พวกเขากำลังวิ่งอยู่บนหลังคาก็ถูกก้อนหินปริศนาปาเข้าใส่อย่างรวดเร็วและแม่นยำแต่ด้วยความที่พวกเขาเองก็ถูกฝึกมาอย่างหนักจึงทำให้สามารถหลบการโจมตีที่มาในความมืดได้อย่างรวดเร็วก่อนที่คนกลุ่มนั้นจะหยุดนิ่งลงเพื่อเฝ้าระวัง“ขออภัยแขกทุกท่าน ไม่ทราบว่าดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้พวกท่านยังมีเวลามาเดินชมนกชมไม้บนหลังคาบ้านของผู้อื่นอยู่อีกหรือ”เสียงใสกังวานดังขึ้น
ช่วงสายของวันอวี้หลันในวันนี้มีนัดพูดคุยรายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างจวนกับหัวหน้าช่างที่ท่านตาเป็นผู้เลือกหามาให้ก็กำลังนั่งจิบชาอยู่ตรงข้ามกับชายวัยกลางคนอีกสามคน ชายวัยกลางคนทั้งสามนั้นคือ ห่าวอู๋ นายช่างใหญ่เจ้าของกิจการก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง อายุ 57 ปี ห่าวซวน บุตรชายคนรองของนายช่าง อายุ 39 ปี หลี่จิ้ง ผู้ช่วยคนสนิทของนายช่าง อายุ 45 ปีตอนนี้บุรุษทั้งสามกำลังก้มลงมองแบบจวนที่หญิงสาวต้องการให้พวกตนเองสร้างขึ้น แบบจวนที่อวี้หลันต้องการนั้นจะเป็นจวนที่มีบ้านทั้งหมดสามหลังซึ่งจะสร้างเอาไว้เรียงกันตรงด้านหน้า ส่วนด้านหลังนั้นนางจะสร้างเป็นบ้านสองชั้นแบบสมัยใหม่ที่ชั้นล่างจะมีห้องนอนสองห้อง ห้องนั่งเล่นหนึ่งห้องและห้องน้ำอีกหนึ่งห้อง ส่วนด้านบนนั้นนางต้องการห้องนอนหนึ่งห้องพร้อมห้องน้ำในตัว ห้องทำงานหนึ่งห้องก่อนจะเป็นห้องเก็บสมบัติอีกห้องโดยอวี้หลันต้องการสร้างจากอิฐมุงด้วยกระเบื้องทั้งหมดพร้อมกันนั้นก็ฉาบด้วยปูนสีขาวเพื่อให้ดูสบายตา ส่วนเรือนทั้งสามหลังด้านหน้าก็จะประกอบไปด้วยสองเรือนแรกจะเป็นเรือนรับรองแขกที่มีห้องนอนอยู่หลังละสามห้อง เรือนที่สามจะเป็นเรือนเอาไว้สำหรับต้
จากความทรงจำในเนื้อเรื่องของนิยายดูเหมือนว่าในอีกสองเดือนข้างหน้าจะมีคณะทูตจากต่างแคว้นเดินทางมายังแคว้นชิงของนางเพื่อร่วมฉลองวันพระราชสมภพครบ 50 ชันษาของฮ่องเต้ ไท่เฟยฮุ่ย และครั้งนี้ผู้ที่รับหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยของคณะทูตก็คือแม่ทัพซ่งฉือตงกับบุตรชายหรือก็คือรองแม่ทัพซ่งฉือลู่โดยทั้งสองก็คือท่านลุงใหญ่กับพี่ชายของอวี้หลัน ท่านลุงใหญ่นั้นเป็นชายวัยกลางคนอายุ 45 ปี มีรูปร่างสูงใหญ่ดูภูมิฐานและน่าเกรงขามใบหน้ายังได้ท่านตาไปถึงแปดส่วนส่วนพี่ฉือลู่เองก็เป็นชายหนุ่มอายุ 25 ปีรูปร่างองอาจสมชายชาติทหารมีใบหน้าหล่อเหลาเป็นที่หมายปองของสตรีเกือบทั่วทั้งเมืองหลวงเพียงแต่ว่าพี่ชายของนางนั้นส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในค่ายทหารจึงไม่ได้มีเวลามองหาสะใภ้ให้กับท่านป้าใหญ่หรือก็คือ ฮูหยินเหยาอิน ปีนี้อายุ 40 ปี แต่ว่าท่านป้าใหญ่ในความทรงจำของนางนั้นคล้ายจะดูเลือนรางไปมากแต่ในวันนั้นฉากสำคัญที่จะเกิดขึ้นก็คือองค์รัชทายาทจะทูลขอสมรสพระราชทานระหว่างชายหนุ่มกับคุณหนูใหญ่ของท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายหวังซูเซียนแต่ถูกองค์ชายสามจากแคว้นโจวเอ่ยขอสมรสระหว่างตนเองกับคุณหนูใหญ่ซูเซียนเช่นกันจึงทำให้ยิ่งสร้างความ
จากนั้นนายท่านซ่งกับหลานสาวก็ขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปยังค่ายทหารที่บุตรชายคนโตเป็นผู้ดูแลอยู่ในตอนนี้ในทันที ค่ายทหารแห่งนี้นั้นตั้งอยู่ทิศใต้ของเมืองหลวงห่างจากประตูเมืองออกไปพอสมควรดังนั้นจึงใช้เวลาในการเดินทางราว ๆ หนึ่งชั่วยามสองตาหลานจึงได้มาถึงยังหน้าประตูของค่ายทหารเมื่อมาถึงแล้วตามกฎของค่ายนั้นไม่สารถให้นำรถม้าเข้าไปได้สองตาหลานกับผู้ติดตามคือเสี่ยวอิง หวังอู่และผู้ติดตามของนายท่านซ่งอีกสองคนจึงได้เดินตรงไปยังประตูก่อนที่จะได้ยินเสียงเอ่ยถามจากทหารยามเฝ้าหน้าประตู“คารวะนายท่านซ่ง ไม่ทราบว่ามาพบใครหรือขอรับ”“ข้ามาพบท่านแม่ทัพฉือตงรบกวนเจ้าไปแจ้งให้ข้าที”ชายชราเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งอย่างที่เคย“ขอรับ นายท่านซ่งโปรดรอสักครู่”เอ่ยจบนายทหารคนนั้นก็วิ่งไปยังประตูพร้อมกันเอ่ยบางอย่างกับทหารหนุ่มอีกนายจากนั้นทหารคนนั้นก็วิ่งเข้าไปด้านในทันที ใช้เวลาราว ๆ หนึ่ง เค่อ ทหารคนนั้นก็วิ่งกลับออกมาพร้อมกับเอ่ยบอกสองตาหลานที่ยืนรออยู่ด้านหน้าค่ายทหาร“เชิญนายท่านกับคุณหนูด้านในได้เลยขอรับท่านแม่ทัพกำลังรออยู่”“อืม เจ้านำทางไปเถิด”จบคำของชายชราคนทั้งหมดก็เดินตามหลังนายทหารคนนั้นเข้าไปยั
หลังจากที่อวี้หลันเดินออกมาจากกระโจมของท่านลุงของนางแล้วหญิงสาวจึงเริ่มเดินสำรวจจากฝั่งด้านซ้ายที่ดูเหมือนจะเป็นลานฝึกสำหรับยิงธนูกับฟันดาบโดยค่ายทหารแห่งนี้แบ่งสัดส่วนออกเป็นสามส่วนคือส่วนทางด้านปีกซ้ายจะเป็นลานยิ่งธนู ฟันดาบ ส่วนทางด้านปีกขวาจะเป็นลาน หอกกับฝึกการต่อสู้และฝึกฝนร่างกาย และตรงกลางของทั้งสองปีกนั้นจะเป็นที่พักของนายทหารตั้งแต่ชั้นผู้น้อยไปจนถึงกระโจมแม่ทัพที่ตั้งอยู่ด้านในสุดของค่ายทหารในตอนนี้อวี้หลันเลือกที่จะเดินมาดูทางด้านปีกซ้ายที่ภายในสนามฝึกยิ่งธนูนั้นกำลังมีการฝึกยิงธนูกันอยู่พอดี ดังนั้นหญิงสาวจึงรู้สึกสนใจและอดไม่ได้ที่จะยืนมองดูเหล่าทหารกำลังทำการฝึกแต่พอนางได้เห็นทักษะการยิงธนูของพวกทหารแล้วกลับทำให้หว่างคิ้วของหญิงสาวขมวดเข้าหากันขึ้นมาในทันทีพร้อมกับความสงสัยที่ผุดขึ้นมาภายในหัว‘นี่ใช่การฝึกของทหารจริง ๆ ใช่หรือไม่ทำไมมันถึงได้ดูเหลาะแหละเหมือนเด็ก ๆ เล่นยิงธนูกันเช่นนี้ ทั้งการวางท่าทางของมือ การลงน้ำหนักและการเล็งเป้าล้วนแล้วแต่ใช้ไม่ได้ทำให้หญิงสาวรู้สึกขัดใจกับพวกนายทหารพวกนี้เสียจริง ๆ’‘นี่ถ้าไปออกรบในโลกก่อนของนางมีหวังตายตั้งแต่ยังไม่ได้หยิบคั
แต่มีความสามารถด้านการต่อสู้เป็นอย่างมาก โดยหยางเทียนหนานเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลหยางหรือตระกูลนักรบที่อยู่คู่บ้านเมืองมาอย่างยาวนานพอ ๆ กับตระกูลซ่งและตอนนี้อดีตแม่ทัพใหญ่หยางเหอซานเองก็ได้ส่งคืนอำนาจให้กับฮ่องเต้ก่อนจะใช้ชีวิตกับฮูหยินสุดที่รักอยู่ภายในจวนตระกูลหยางอย่างสงบสุขและส่งหยางเทียนหนานมาทำหน้าที่แทนตนเองหลังจากนั้นทั้งสามคนก็ขี่อาชาเข้าไปด้านในค่ายทหารก่อนจะลงจากหลังม้าเมื่อเข้ามาพ้นประตูของค่ายและส่งม้าให้กับผู้ดูแลนำไปดูแลต่อทางด้านพวกเขาทั้งสามก็เดินตรงไปยังกระโจมของแม่ทัพซ่งทันที แต่เดินไปถึงลานฝึกการต่อสู้กับเห็นว่าเหล่าทหารนั้นกำลังมุงดูอะไรสักอย่างด้วยความสงสัยชินอ๋องจึงได้เปลี่ยนจุดหมายแล้วเดินตรงไปยังลานฝึกเพื่อดูว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นถึงได้ดูวุ่นวายเช่นนี้ด้านแม่ทัพซ่งพร้อมอดีตราชครูเองหลังจากได้รับรายงานว่าชินอ่องเสด็จมาตรวจค่ายพวกเขาทั้งสองต่างก็รีบออกมาต้อนรับที่ด้านหน้ากระโจมแต่รอแล้วรอเล่าอีกฝ่ายก็ยังไม่มาจึงเกิดความสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ทั้งสองจึงได้รุดหน้าไปยังด้านหน้าทางเข้าทันทีเช่นกันลานฝึกในตอนนี้สถานการณ์ก็กำลังจะเริ่มการต่อสู้ อวี
ความเงียบยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างต่อเนื่องแต่ว่าคนที่เอ่ยถึงเมื่อครู่นั้นจะได้สติคืนกลับมาหลังจากที่ตกใจกับสิ่งที่หญิงสาวตรงหน้าเอ่ย กับตนเอง ก่อนที่ใบหน้าคมเข้มจะเริ่มแดงขึ้นตามแรงโทสะที่มี“ถ้าคุณหนูอวี้หลันอยากจะพิสูจน์ความสามารถของรองแม่ทัพอย่างข้า ถ้าเช่นนั้นก็อย่ามาโวยวายว่าโดนข้ารังแกทีหลังก็แล้วกัน”เผิงซานฉีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาพร้อมกับจ้องมองใบหน้างามอย่างไม่สบอารมณ์“ไม่แน่นอน ข้าเป็นฝ่ายเอ่ยท้าประลองกับท่านเองแล้วจะไปกล่าวโทษท่านรองแม่ทัพเผิงได้อย่างไรกัน”อวี้หลันเอ่ยตอบบุรุษตรงหน้าอย่างไม่ใส่ใจกับท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงออกมา“แล้วท่านต้องการที่จะแข่งกับข้าในด้านใดกันเล่า”เมื่อเห็นว่าสตรีตรงหน้าไม่มีท่าทีร้อนใจรองแม่ทัพเผิงจึงเอ่ยถามว่านางต้องการจะแข่งกับเขาด้านใด“ต่อสู้มือเปล่าก็แล้วกัน”“นี่หลันเอ๋อร์เจ้าเปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังทันอยู่นะ อย่าทำให้เป็นเรื่องเลย”ฉือลู่เองกับเป็นคนไม่เห็นด้วยที่น้องสาวของตนกำลังจะสร้างเรื่องให้ตัวเองต้องเดือดร้อนเช่นนี้“พี่ฉือลู่ไม่ต้องกังวลไปเจ้าค่ะ ข้าไหว”อวี้หลันเอ่ยบอกกับญาติผู้พี่ของตนพร้อมส่งรอยยิ้มบางเบาไปให้อีกฝ่าย“เช่นนั้นก็เอาตาม
ภายใต้สถานการณ์อันน่าหวาดกลัวและกดดันจู่ ๆ เสียงเข้มของใครบางคนก็ดังขึ้นราวกับเป็นเสียงสวรรค์ที่ลงมาโปรดพวกนายทหารทั้งหลาย“ทะ…ท่านรองแม่ทัพซ่ง!”เสียงนายทหารหลายคนเอ่ยเรียกอีกฝ่ายที่เดินมาจากด้านหลังด้วยความสนใจอวี้หลันจึงไห้หันกลับไปมองยังทิศทางของเสียงซ่งฉือลู่เป็นบุรุษที่สูงโปร่งดูองอาจสมชายชาติทหารแถมเขายังมีใบหน้าที่หล่อเหลาที่ถูกส่งต่อมาจากท่านตาและบิดา นิสัยใจเย็น เจ้าระเบียบ รักความถูกต้อง ซื่อตรง ซื่อสัตย์ เข้มงวดในกฎที่พึงปฏิบัติเป็นอย่างมาก นี้คือสิ่งที่บรรยายถึงตัวละครรองแม่ทัพซ่งสำหรับอวี้หลันแล้วพอได้เจอตัวจริงนางก็คิดว่าตรงกับสิ่งที่เพื่อนของตนเขียนเอาไว้ทุกอย่าง ในตอนนี้ชายหนุ่มก็ได้เดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าของนางพร้อมกับมองมาด้วยสายตาสงบนิ่งจนคนถูกมองอย่างอวี้หลันต้องเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายขึ้นก่อน“คารวะพี่ฉือลู่เจ้าค่ะ”หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับย่อตัวทำความเคารพอีกฝ่าย การกระทำนั้นของนางทำให้หว่างคิ้วของรองแม่ทัพหนุ่มขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยถาม“เจ้ารู้จักข้าด้วยรึ?”“ข้าอวี้หลันเองเจ้าค่ะ”เมื่อได้รับคำถามมาหญิงสาวจึงได้เอ่ยแนะนำตัวกับคนตรงหน้า จบคำแนะนำ
หลังจากที่อวี้หลันเดินออกมาจากกระโจมของท่านลุงของนางแล้วหญิงสาวจึงเริ่มเดินสำรวจจากฝั่งด้านซ้ายที่ดูเหมือนจะเป็นลานฝึกสำหรับยิงธนูกับฟันดาบโดยค่ายทหารแห่งนี้แบ่งสัดส่วนออกเป็นสามส่วนคือส่วนทางด้านปีกซ้ายจะเป็นลานยิ่งธนู ฟันดาบ ส่วนทางด้านปีกขวาจะเป็นลาน หอกกับฝึกการต่อสู้และฝึกฝนร่างกาย และตรงกลางของทั้งสองปีกนั้นจะเป็นที่พักของนายทหารตั้งแต่ชั้นผู้น้อยไปจนถึงกระโจมแม่ทัพที่ตั้งอยู่ด้านในสุดของค่ายทหารในตอนนี้อวี้หลันเลือกที่จะเดินมาดูทางด้านปีกซ้ายที่ภายในสนามฝึกยิ่งธนูนั้นกำลังมีการฝึกยิงธนูกันอยู่พอดี ดังนั้นหญิงสาวจึงรู้สึกสนใจและอดไม่ได้ที่จะยืนมองดูเหล่าทหารกำลังทำการฝึกแต่พอนางได้เห็นทักษะการยิงธนูของพวกทหารแล้วกลับทำให้หว่างคิ้วของหญิงสาวขมวดเข้าหากันขึ้นมาในทันทีพร้อมกับความสงสัยที่ผุดขึ้นมาภายในหัว‘นี่ใช่การฝึกของทหารจริง ๆ ใช่หรือไม่ทำไมมันถึงได้ดูเหลาะแหละเหมือนเด็ก ๆ เล่นยิงธนูกันเช่นนี้ ทั้งการวางท่าทางของมือ การลงน้ำหนักและการเล็งเป้าล้วนแล้วแต่ใช้ไม่ได้ทำให้หญิงสาวรู้สึกขัดใจกับพวกนายทหารพวกนี้เสียจริง ๆ’‘นี่ถ้าไปออกรบในโลกก่อนของนางมีหวังตายตั้งแต่ยังไม่ได้หยิบคั
จากนั้นนายท่านซ่งกับหลานสาวก็ขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปยังค่ายทหารที่บุตรชายคนโตเป็นผู้ดูแลอยู่ในตอนนี้ในทันที ค่ายทหารแห่งนี้นั้นตั้งอยู่ทิศใต้ของเมืองหลวงห่างจากประตูเมืองออกไปพอสมควรดังนั้นจึงใช้เวลาในการเดินทางราว ๆ หนึ่งชั่วยามสองตาหลานจึงได้มาถึงยังหน้าประตูของค่ายทหารเมื่อมาถึงแล้วตามกฎของค่ายนั้นไม่สารถให้นำรถม้าเข้าไปได้สองตาหลานกับผู้ติดตามคือเสี่ยวอิง หวังอู่และผู้ติดตามของนายท่านซ่งอีกสองคนจึงได้เดินตรงไปยังประตูก่อนที่จะได้ยินเสียงเอ่ยถามจากทหารยามเฝ้าหน้าประตู“คารวะนายท่านซ่ง ไม่ทราบว่ามาพบใครหรือขอรับ”“ข้ามาพบท่านแม่ทัพฉือตงรบกวนเจ้าไปแจ้งให้ข้าที”ชายชราเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งอย่างที่เคย“ขอรับ นายท่านซ่งโปรดรอสักครู่”เอ่ยจบนายทหารคนนั้นก็วิ่งไปยังประตูพร้อมกันเอ่ยบางอย่างกับทหารหนุ่มอีกนายจากนั้นทหารคนนั้นก็วิ่งเข้าไปด้านในทันที ใช้เวลาราว ๆ หนึ่ง เค่อ ทหารคนนั้นก็วิ่งกลับออกมาพร้อมกับเอ่ยบอกสองตาหลานที่ยืนรออยู่ด้านหน้าค่ายทหาร“เชิญนายท่านกับคุณหนูด้านในได้เลยขอรับท่านแม่ทัพกำลังรออยู่”“อืม เจ้านำทางไปเถิด”จบคำของชายชราคนทั้งหมดก็เดินตามหลังนายทหารคนนั้นเข้าไปยั
จากความทรงจำในเนื้อเรื่องของนิยายดูเหมือนว่าในอีกสองเดือนข้างหน้าจะมีคณะทูตจากต่างแคว้นเดินทางมายังแคว้นชิงของนางเพื่อร่วมฉลองวันพระราชสมภพครบ 50 ชันษาของฮ่องเต้ ไท่เฟยฮุ่ย และครั้งนี้ผู้ที่รับหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยของคณะทูตก็คือแม่ทัพซ่งฉือตงกับบุตรชายหรือก็คือรองแม่ทัพซ่งฉือลู่โดยทั้งสองก็คือท่านลุงใหญ่กับพี่ชายของอวี้หลัน ท่านลุงใหญ่นั้นเป็นชายวัยกลางคนอายุ 45 ปี มีรูปร่างสูงใหญ่ดูภูมิฐานและน่าเกรงขามใบหน้ายังได้ท่านตาไปถึงแปดส่วนส่วนพี่ฉือลู่เองก็เป็นชายหนุ่มอายุ 25 ปีรูปร่างองอาจสมชายชาติทหารมีใบหน้าหล่อเหลาเป็นที่หมายปองของสตรีเกือบทั่วทั้งเมืองหลวงเพียงแต่ว่าพี่ชายของนางนั้นส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในค่ายทหารจึงไม่ได้มีเวลามองหาสะใภ้ให้กับท่านป้าใหญ่หรือก็คือ ฮูหยินเหยาอิน ปีนี้อายุ 40 ปี แต่ว่าท่านป้าใหญ่ในความทรงจำของนางนั้นคล้ายจะดูเลือนรางไปมากแต่ในวันนั้นฉากสำคัญที่จะเกิดขึ้นก็คือองค์รัชทายาทจะทูลขอสมรสพระราชทานระหว่างชายหนุ่มกับคุณหนูใหญ่ของท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายหวังซูเซียนแต่ถูกองค์ชายสามจากแคว้นโจวเอ่ยขอสมรสระหว่างตนเองกับคุณหนูใหญ่ซูเซียนเช่นกันจึงทำให้ยิ่งสร้างความ
ช่วงสายของวันอวี้หลันในวันนี้มีนัดพูดคุยรายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างจวนกับหัวหน้าช่างที่ท่านตาเป็นผู้เลือกหามาให้ก็กำลังนั่งจิบชาอยู่ตรงข้ามกับชายวัยกลางคนอีกสามคน ชายวัยกลางคนทั้งสามนั้นคือ ห่าวอู๋ นายช่างใหญ่เจ้าของกิจการก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง อายุ 57 ปี ห่าวซวน บุตรชายคนรองของนายช่าง อายุ 39 ปี หลี่จิ้ง ผู้ช่วยคนสนิทของนายช่าง อายุ 45 ปีตอนนี้บุรุษทั้งสามกำลังก้มลงมองแบบจวนที่หญิงสาวต้องการให้พวกตนเองสร้างขึ้น แบบจวนที่อวี้หลันต้องการนั้นจะเป็นจวนที่มีบ้านทั้งหมดสามหลังซึ่งจะสร้างเอาไว้เรียงกันตรงด้านหน้า ส่วนด้านหลังนั้นนางจะสร้างเป็นบ้านสองชั้นแบบสมัยใหม่ที่ชั้นล่างจะมีห้องนอนสองห้อง ห้องนั่งเล่นหนึ่งห้องและห้องน้ำอีกหนึ่งห้อง ส่วนด้านบนนั้นนางต้องการห้องนอนหนึ่งห้องพร้อมห้องน้ำในตัว ห้องทำงานหนึ่งห้องก่อนจะเป็นห้องเก็บสมบัติอีกห้องโดยอวี้หลันต้องการสร้างจากอิฐมุงด้วยกระเบื้องทั้งหมดพร้อมกันนั้นก็ฉาบด้วยปูนสีขาวเพื่อให้ดูสบายตา ส่วนเรือนทั้งสามหลังด้านหน้าก็จะประกอบไปด้วยสองเรือนแรกจะเป็นเรือนรับรองแขกที่มีห้องนอนอยู่หลังละสามห้อง เรือนที่สามจะเป็นเรือนเอาไว้สำหรับต้
ท่ามกลางความมืดมิดค่ำคืนที่ผู้คนต่างก็พากันนอนหลับไปแล้ว แต่กับมีเงาร่างของคนกลุ่มหนึ่งที่สวมชุดสีดำทั้งชุดปกปิดใบหน้ากำลังใช้วิชาตัวเบากระโดนผ่านหลังคาบ้านเรือนของผู้คนไปอย่างแผ่วเบาจุดหมายของคนชุดดำกลุ่มนี้ก็คือจวนขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ติดกับจวนร้างคนชุดดำกลุ่มนั้นก็ยังคงเร้นกายไปในความมืดและใช้วิชาตัวเบาได้อย่างชำนาญจำคิดว่าคนธรรมดาคงไม่มีทางรู้สึกถึงพวกเขาได้ และหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นก็ยังมีบุรุษที่น่าจะเป็นผู้นำของพวกเขาวิ่งนำหน้าจนมาถึงเรือนร้างที่อยู่ติดกับจวนเป้าหมายด้วยความคิดว่าที่จวนแห่งนี้เป็นเพียงจวนที่ไม่มีใครอาศัยอยู่คนชุดดำกลุ่มนั้นจึงได้วิ่งผ่านหลังคาจวนไปแต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นกับคนกลุ่มนั้นเมื่อในขณะที่พวกเขากำลังวิ่งอยู่บนหลังคาก็ถูกก้อนหินปริศนาปาเข้าใส่อย่างรวดเร็วและแม่นยำแต่ด้วยความที่พวกเขาเองก็ถูกฝึกมาอย่างหนักจึงทำให้สามารถหลบการโจมตีที่มาในความมืดได้อย่างรวดเร็วก่อนที่คนกลุ่มนั้นจะหยุดนิ่งลงเพื่อเฝ้าระวัง“ขออภัยแขกทุกท่าน ไม่ทราบว่าดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้พวกท่านยังมีเวลามาเดินชมนกชมไม้บนหลังคาบ้านของผู้อื่นอยู่อีกหรือ”เสียงใสกังวานดังขึ้น
"แก!.....นักสารเลววันนี้ถ้าข้าคนนี้ไม่ได้ตบเอาเลือดปากของแกมาล้างเท้าเพื่อขอขมาแล้วละก็อย่าหวังเลยว่าแกจะได้กลับไป!" เสียงแหลมปี๊ดของไป๋ลี่หลินแผดดังไปทั่วก่อนที่หญิงสาวจะปรี่เข้าไปหาร่างของอวี้หลันเพื่อหมายจะตบไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายให้สาแกใจหวือ หมับ เพี้ยะ! ตุบแต่มีหรือที่อวี้หลันจะยืนเฉย ๆ ให้ใครมาทำร้ายตนเองได้ตามใจชอบหญิงสาวเพียงแค่เอี้ยวตัวหลบฝ่ามือที่ฟาดลงมาพร้อมกับจับเข้าไปที่ข้อมือเล็กของอีกฝ่ายกันจะออกแรงบีบแล้วตวัดฝ่ามืออีกข้างฟาดลงไปบนใบหน้างามอีกอีกฝ่ายเต็มแรงจนเกิดเสียงดังไปทั่วบริเวณ ก่อนที่ทุกอย่างจะตกอยู่ในความเงียบพร้อมกับเสียงเหยียบเย็นจากร่างบางที่เอ่ยกับหญิงสาวที่ล้มลงไปนังแหมะอยู่ที่พื้น"แต่ก่อนเจ้าสู้ข้าไม่ได้ยังไงในตอนนี้ก็ยิ่งสู้ไม่ได้มากขึ้นไปอีก ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้สักนิดนะไป๋ลี่หลิน อย่าให้ข้าคนนี้หมดความอดทนกับเจ้ามิเช่นนั้นเจ้าอาจจะไม่มีโอกาสได้ลืมตามาดูพระอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้ก็เป็นได้""กะ..แก..""อ้อแล้วก็อีกอย่างหนึ่งอย่าคิดว่าข้าจะกลัวท่านเสนาบดีไป๋เพราะเจ้าจงพึงระลึกเอาไว้บ้างว่านอกจากข้าจะเคยเป็นใคร แต่ข้าก็ยังเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวของตระกูลซ่งเช