ชาวบ้านสองสามคนที่ได้ยินเสียงของหยวนปิงกับลูกสาวพากันวิ่งไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่ร่างอวบ ๆ ของพวกนางจะทำได้ กระทั่งไปถึงหน้าประตูบ้านผู้ใหญ่บ้าน หญิงร่างท้วมทั้งสามรีบตะโกนเรียกหาเขาเสียงดัง
“พวกเจ้าเอะอะอะไรกันอีกเล่า ข้ากำลังจะออกไปดูแปลงผักอยู่พอดี”
“จะอะไรเสียอีกเล่าผู้ใหญ่บ้าน ข้าได้ยินหยวนปิงกับลูกสาวบอกว่าซูซูน่าจะตายแล้ว ข้าเลยรีบวิ่งมาหาท่านเพื่อให้ไปดูว่าความจริงเป็นอย่างไรนี่แหละ พวกข้าไม่เห็นแม่หนูซูซูมาสามวันแล้วนะผู้ใหญ่ ท่านช่วยไปดูหน่อยเถอะ”
“จริงเหรอ? แล้วทำไมพวกเจ้าไม่มาบอกข้าตั้งแต่วันแรก ๆ เล่า ป่านนี้แล้วไม่รู้ว่าแม่หนูซูซูตัวน้อยจะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ไป ไป รีบไปบ้านโจวกัน”
ทั้งสี่คนกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่บ้านหยวนปิง ชาวบ้านที่ผ่านไปมาเห็นพวกเขาดูท่าทางผิดปกติจึงพากันตามไปดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในหมู่บ้านกันแน่ ไม่นานนักผู้ใหญ่บ้านก็มาถึงบ้านโจว
“หยวนปิง เปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้!!! ข้าจะเข้าไปดูแม่หนูซูซู เร็วเข้า!!!”
“มาแล้ว ๆ ท่านเป็นอะไรจึงได้เร่งรีบเช่นนี้ผู้ใหญ่บ้าน”
“ถ้าข้าไม่รีบแล้วซูซูเป็นอะไรไปล่ะก็ ข้าจะแจ้งทางการว่าเจ้าทรมานเด็กจนตาย ถอยไป ข้าจะไปหานาง”
หยวนปิงต้องรีบถอยทันทีเพื่อให้ผู้ใหญ่บ้านกับชาวบ้านคนอื่น ๆ เข้ามาในบ้านของนางอย่างทำอะไรไม่ถูก ยิ่งได้ยินคำว่าทางการนางก็นึกกลัวว่าเรื่องราวจะบานปลายไปจนทำให้ลูกชายทั้งสามที่กำลังเรียนอยู่ของนางเดือดร้อนได้
เมื่อตั้งสติของตนเองได้แล้ว หยวนปิงก็เดินตามชาวบ้านไปยังหน้าห้องเก็บฟืนซึ่งเป็นที่หลับนอนของนังซูซู หยวนปิงไม่กล้าออกหน้าพูดอะไรจึงได้แต่หลบอยู่ด้านหลังชาวบ้านคนอื่น ด้วยกลัวว่าหากนังซูซูตายไปจริง ๆ นางจะได้รีบหนีไปหาสามีที่ออกไปถางหญ้าในนาเพื่อขอความช่วยเหลือเสียก่อน
ผู้ใหญ่บ้านรู้ดีว่าซูซูต้องนอนในห้องเก็บฟืนก็ได้แต่สงสาร เพียงแต่เขาในปีนั้นยังไม่มีความมั่นคงพอที่จะรับซูซูไปเลี้ยงดูด้วยตัวเอง เขาจึงได้แต่ฝากให้หยวนปิงที่เพิ่งคลอดลูกสาวและมีน้ำนมช่วยให้นมซูซูด้วย ชายที่ฝากเงินกับหยกพกเพื่อให้ช่วยเลี้ยงดูซูซูนั้นไม่ได้พูดสิ่งใดมากนอกจากฝากเลี้ยงไม่นาน แต่นี่ก็เจ็ดปีเข้าไปแล้ว เขายังไม่เห็นใครมาตามหานางเลยแม้แต่ครั้งเดียว คราวนี้หากซูซูไม่เป็นอะไร เขาจะให้บ้านโจวคืนเงินและหยกพกกลับมาให้ซูซูและนำนางไปเลี้ยงดูด้วยตัวเอง ไม่ให้อดอยากและถูกใช้งานเยี่ยงทาสอยู่ที่นี่อีก
ผู้ใหญ่บ้านเปิดประตูห้องเก็บฟืนออกจนสุด เขามองเห็นร่างเล็ก ๆ ของซูซูนอนขดตัวอยู่อย่างน่าสงสาร ในห้องเก็บฟืนมีกลิ่นเน่าเหม็นไปหมด ยังดีที่ซูซูไม่ได้ไปนอนอยู่ตรงนั้น ผู้ใหญ่บ้านรีบเดินเข้าไปดูนางว่าเป็นอย่างไรบ้าง พร้อมกับเรียกนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ซูซู เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง อย่าทำให้ปู่ผู้ใหญ่บ้านเป็นห่วงแบบนี้ เจ้าลืมตาขึ้นหน่อยสิซูซู”
ผู้ใหญ่บ้านเรียกไปน้ำตาก็เกือบจะไหลรินไปด้วยความสงสาร เขาที่จับแขนท่อนเล็ก ๆ ของซูซูได้แต่นึกเวทนาที่นางดูเหมือนเด็กขาดสารอาหารเช่นนี้ ผู้ใหญ่บ้านกลั้นน้ำตาเอาไว้แล้วเรียกซูซูอีกครั้งอย่างหวั่นใจว่านางจะเป็นอะไรไปจริง ๆ กระทั่งเขาเห็นนางขยับตัวเบา ๆ ด้วยความตื่นเต้นเขารีบเรียกให้ซูซูลืมตาเสียงดังอย่างลืมตัว
“อืม...ท่านปู่ผู้ใหญ่บ้าน ท่านมาทำอะไรที่นี่เจ้าคะ”
ซูซูขยี้ตาก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นมาตามการประคองของปู่ผู้ใหญ่บ้าน นางได้แต่งงงันเมื่อหันไปเห็นชาวบ้านมากมายออกันอยู่ที่หน้าประตูห้องเก็บฟืนที่เป็นห้องนอนของนาง
“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่? ปู่จะมาช่วยเจ้าออกจากขุมนรกแห่งนี้อย่างไรเล่า ซูซูเต็มใจไปอยู่กับปู่หรือเปล่า?”
“ข้าเต็มใจเจ้าค่ะ แต่ว่า...แล้วท่านแม่เล่าเจ้าคะท่านปู่?”
“นางกับคนตระกูลโจวไม่ใช่พี่น้องของเจ้า เจ้าถูกพวกเขารับมาเลี้ยงเพื่อเงินทองเท่านั้น ตอนนี้ปู่ไม่ไว้ใจให้คนพวกนี้ดูแลเจ้าอีกแล้ว ไป เจ้าลุกไหวหรือไม่ ปู่จะทวงของที่เป็นของเจ้ากลับมาให้เอง”
“ไหวเจ้าค่ะท่านปู่ ว่าแต่ของอะไรกันหรือเจ้าคะ?”
“เงินที่เหลือจากการดูแลอย่างทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ เจ้ามาเจ็ดปี กับหยกพกที่ญาติของเจ้านำติดตัวเจ้ามาเมื่อเจ็ดปีก่อน ปู่ให้พวกเขาเก็บเอาไว้ให้เจ้าและสั่งให้เลี้ยงดูเจ้าอย่างดี แต่เจ้าดูว่าพวกเขาทำอย่างไรกับเจ้า ตอนนี้ปู่ไม่มีภาระเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ลูก ๆ ของปู่ต่างมีครอบครัวเป็นของตัวเองกันหมดและแยกตัวออกไปแล้ว ต่อไปปู่กับย่าจะดูแลเจ้าเองนะซูซูเด็กดี”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านปู่ ข้าดีใจที่ท่านปู่จะพาข้าออกไปจากนรกแห่งนี้เสียทีนะเจ้าคะ”
“เอาล่ะ ๆ อย่าพูดมากนักเลย เจ้ายังเจ็บแผลอยู่หรือไม่ เดี๋ยวรอปู่นำของของเจ้ากลับมาก่อนแล้วปู่จะให้หมอในหมู่บ้านมารักษาบาดแผลให้เจ้านะ ปู่กลัวว่าแผลจะอักเสบเอาได้หากทิ้งไว้นานกว่านี้”
“เจ้าค่ะท่านปู่” ผู้ใหญ่บ้านประคองซูซูฝ่ากลุ่มชาวบ้านออกมาเพื่อหานางหยวนปิง เขาจะทวงคืนทุกสิ่งที่เป็นของซูซูกลับมาให้หมด ไม่อย่างนั้นอย่ามาเรียกเขาว่าผู้ใหญ่บ้านเลยหากเขาช่วยเด็กตัวแค่นี้ไม่ได้
“นางหยวนปิง!!! ออกมาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะพาซูซูไปแจ้งทางการข้อหาทำร้ายร่างกายและทารุณกรรมเด็ก”
“อะไรกันท่านผู้ใหญ่บ้าน ข้าก็เห็นว่านังซูซูไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย นางแค่ขี้เกียจลุกขึ้นมาทำงานให้บ้านข้าแค่นั้นเอง”
“เพ้ย!!! เจ้ากล้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร ซูซูทำงานให้ครอบครัวเจ้ามาตั้งแต่จำความได้ แต่พวกเจ้าให้สิ่งใดนางกินบ้างนอกจากน้ำซาวข้าว เป็นพวกข้ากับเหล่าชาวบ้านที่คอยแอบให้ของกินกับซูซูจนนางอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ ไม่อย่างนั้นนางคงถูกอดอาหารตายไปนานแล้ว ต่อจากนี้ไปข้าจะดูแลซูซูเอง เจ้ารีบนำเงินกับหยกพกของนางออกมาคืนให้นางเดี๋ยวนี้!!!”
“เงินกับหยกอะไร ข้าไม่รู้ไม่เห็นทั้งนั้น!!!”
“ได้ ในเมื่อเจ้าอยากลองดีกับข้า ฮุ่ยหลาง ไปเรียกเจ้าหน้าที่ทางการมาที่หมู่บ้าน ข้าจะทำให้บ้านโจวต้องเข้าคุกเสียทีหลังจากที่ปล่อยปละละเลยจนพวกเขาเหิมเกริมถึงขนาดกล้ายึดสิ่งของของซูซูไปอย่างหน้าด้าน ๆ”
“อ๊าย!!! หยุดนะฮุ่ยหลาง ข้ายอมแล้วท่านผู้ใหญ่บ้าน อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่จะได้หรือไม่ เงินนั่นหมดไปนานแล้ว ท่านก็รู้ว่าลูก ๆ ข้าเรียนอยู่ในเมืองมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แล้วเงินจะมีอยู่ที่ข้าได้อย่างไร ส่วนหยกพกท่านรอเดี๋ยว ข้าจะไปเอามาให้”
“ฮึ! เจ้าอย่าเล่นตุกติกอีกก็แล้วกันนางหยวนปิง ไม่อย่างนั้นข้าจะลากเจ้าไปที่ว่าการอำเภอด้วยตัวเอง รีบไปเอามาให้ข้าเสีย”
“ได้ ได้ ข้ากำลังไป ฮึ่ย!!!”
ซูซูตัวน้อยได้แต่แหงนหน้ามองปู่ผู้ใหญ่ที นางหยวนปิงที นางประทับใจในความเด็ดขาดของปู่ผู้ใหญ่ไม่น้อย ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาเขาทำได้เพียงหยิบยื่นของกินเล็กๆ น้อย ๆ ให้กับนางเท่านั้น แต่ร่างเดิมก็ยังคงกตัญญูกับทุกคนที่เคยหยิบยื่นความเมตตามาให้นาง โดยเมื่อใดที่นางขึ้นเขาแล้วได้ของดี ๆ มา นางจะแบ่งให้ท่านป้า ท่านลุงและท่านปู่ผู้ใหญ่บ้านอยู่เป็นประจำ นางไม่เคยนำสิ่งอื่นนอกจากสิ่งที่หยวนปิงสั่งให้ไปหามาจากบนเขากลับมาที่บ้านโจวเลย ทุกคนเองก็ช่วยกันปิดบังเพื่อไม่ให้ซูซูถูกทุบตีมาตลอดเช่นเดียวกัน
ผู้ใหญ่บ้านเห็นท่าทางน่ารักของซูซูก็นึกเอ็นดู นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เลี้ยงเด็กตัวเล็ก ๆ แบบนี้ ผู้ใหญ่บ้านลูบหัวซูซูอย่างเบามือ เขากลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บที่หัวด้วยจึงไม่กล้าลูบหัวนางแรงเกินไป ซูซูที่รู้สึกถึงความอบอุ่นบนหัวน้อย ๆ ของนาง ซูซูจึงเงยหน้าขึ้นยิ้มหวานให้กับปู่ผู้ใหญ่บ้านที่ดูเหมือนกำลังปลอบโยนเด็กตัวน้อย ๆ อย่างนางอยู่ ทั้งที่จริงแล้ววิญญาณของนางอายุ 25 ปีในโลกแห่งลมปราณก่อนจากมาอยู่ที่นี่ แต่ในเมื่อร่างเดิมยังเด็กอยู่ ซูซูจึงยินดีทำตัวเป็นเด็กให้ทุกคนหลงเอ็นดูนางดีกว่าจะทำตัวเข้มแข็งจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้นาง รอกันไม่นานนัก นางหยวนปิงก็โยนหยกพกเนื้อดีสีขาวราวกับหิมะซึ่งมีลวดลายบนหยกสลักอยู่อย่างปราณีต อีกด้านมีตัวอักษรฟางสลักอยู่ด้วยอย่างสวยงามเช่นเดียวกัน ผู้ใหญ่บ้านตรวจสอบหยกแล้วเห็นว่าเป็นอันเดิมที่เขาเคยเห็นเมื่อหลายปีก่อนจึงพยักหน้าแล้วส่งหยกให้กับซูซูถือเอาไว้“นี่คือสิ่งของแทนตัวของเจ้านะซูซู หากในอนาคตเจ้าต้องการตามหาพ่อแม่ก็ลองใช้หยกนี้เป็นเครื่องนำทางตามหาพวกเขาดู ข้าคิดว่าเจ้าเก็บเอาไว้เองจะดีที่สุด อ้อ! ข้าขอเตือนเจ้านะหยวนปิง ห
ซวงหยวนเอ๋อหลังจากอาบน้ำให้ซูซูและนำชุดเก่าของลูกชายสมัยเด็กมาให้นางเปลี่ยนแล้วก็จูงมือซูซูไปที่โต๊ะอาหารทันที นางแทบจะป้อนข้าวซูซูหากว่าไม่ได้ยินเสียงเล็ก ๆ กล่าวว่านางกินเองได้ล่ะก็ ซวงหยวนเอ๋อคงคิดว่าซูซูยังคงเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ อยู่กระมัง ผู้ใหญ่บ้านที่นั่งมองอยู่ก็ได้แต่หัวเราะภรรยาที่อยากดูแลซูซูมากเกินไป เขายังล้อเลียนภรรยาด้วยว่าซูซูนั้นอายุ 7 ขวบปีแล้ว จะทำเหมือนนางยังเป็นเด็กเล็ก ๆ ได้อย่างไรเล่า ซวงหยวนเอ๋อเห็นสามีล้อเลียนนาง นางก็ได้แต่ถลึงตาใส่ตาเฒ่าคนนี้ อย่าคิดว่านางไม่รู้ว่าเขาเองก็เอ็นดูแม่หนูซูซูไม่ต่างจากนางเช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นเขาไม่หนีงานดูแลแปลงผักแล้วคอยอยู่ทายาให้ซูซูเช่นนี้แต่แรกหรอก ส่วนซูซูตัวน้อยที่กำลังเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ อย่างหิวโหย นางพยายามไม่ให้มูมมามมากเกินไปถึงแม้นางจะหิวมากแค่ไหนก็ตาม อย่างน้อยมารยาทในการกินของนางจะต้องดีเหมือนในโลกก่อนเพื่อไม่ให้ใครมาดูถูกได้ ยิ่งนางเห็นสองปู่ย่าวัยชราที่รับเลี้ยงนางหยอกล้อกันเหมือนเด็ก ๆ นางก็ได้แต่อมยิ้มให้กับความน่ารักของทั้งสองผู้เฒ่าที่รับนางเข้ามาอยู่ในครอบครัวโดยไม่กลัวว่าตนเ
ซูซูที่กำลังเดินจะไปที่ภูเขาด้านหลังหมู่บ้านพบเห็นเหล่าลุงป้าน้าอาทั้งหลายก็ยิ้มทักทายทุกคนไปตลอดทาง กระทั่งนางเดินไปถึงตีนเขาและมองขึ้นไปยังภูเขาลูกใหญ่เบื้องหน้า ซูซูมองเห็นว่ามีชาวบ้านสิบกว่าคนที่กำลังหาผักป่าและตัดหญ้าหมูกันอยู่ตรงตีนเขา นางรีบเดินเข้าไปทักทายพวกเขาก่อนจะเดินลึกเข้าไปในภูเขาเพื่อหาสมุนไพรและหน่อไม้ป่าที่ร่างเดิมเคยขุดไปฝากชาวบ้านเมื่อนานมาแล้ว หลังจากมองชาวบ้านที่อยู่ไกลออกไป นางเห็นว่าพวกเขาไม่ได้สนใจนางแล้ว ซูซูจึงใช้วิชาตัวเบาเข้าป่าลึกไปขุดหน่อไม้ให้ได้เยอะ ๆ เสียก่อนที่จะเริ่มตามหาสมุนไพร อย่างไรนางก็สามารถใช้วิชาตัวเบาค้นหาสมุนไพรดี ๆ ได้ไม่ยากนักภายในเวลาก่อนอาหารเย็น ด้วยความคล่องแคล่วของร่างกายเล็ก ๆ ของนาง ทำให้ซูซูมองเห็นป่าไผ่อยู่ไม่ไกลแล้ว เมื่อถึงป่าไผ่ ซูซูก็ก้มหาหน่อไม้ป่าที่ขึ้นอยู่เต็มไปหมด นางยิ้มน้อย ๆ แล้วเริ่มขุดหน่อไม้ด้วยมีดสั้นที่ท่านปู่ท่านย่าให้นางมาป้องกันตัว ด้วยพลังปราณของซูซู ทำให้นางใช้เวลาไม่นานก็ได้หน่อไม้เกือบเต็มตะกร้าสะพายหลังแล้ว แน่นอนว่าสิ่งของแค่นี้ไม่ทำให้นางลำบากแม้แต่น้อย หลังจากมองดูรอบ ๆ แ
หลังทานอาหารเย็นแล้วซูซูก็นำถ้วยชามไปล้างตามปกติ นางมักจะช่วยเหลืองานท่านปู่ท่านย่าตั้งแต่อาการบาดเจ็บเริ่มหายดีมาตลอด ช่วงหลังมานี้ทั้งสองเฒ่าชราเองก็ปล่อยให้นางทำงานได้ตามใจชอบ พวกเขาไม่อยากเลี้ยงนางเหมือนไข่ในหินมากนัก แค่นี้พวกเขาก็ต่างให้ความรักความอบอุ่นกับนางมากพอแล้ว พวกเขากลัวว่าหากดูแลนางมากเกินไป ซูซูคงรู้สึกว่าตนเองเป็นภาระให้กับพวกเขา ซูซูล้างจานเสร็จก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่ท่านย่านำเสื้อผ้าเก่า ๆ ของลูกชายนางมาเย็บเป็นเสื้อผ้าให้ซูซูตั้งแต่หลายเดือนก่อนแล้ว ทำให้ตอนนี้ซูซูมีเสื้อผ้าเปลี่ยนถึงห้าชุดเลยทีเดียว ก่อนนอนซูซูก็ยังเข้าไปบอกฝันดีกับท่านปู่ท่านย่าตามที่นางทำมาตลอดตั้งแต่หายจากอาการบาดเจ็บ เฒ่าชราทั้งสองต่างยิ้มพร้อมตอบกลับให้นางหลับฝันดีเช่นเดียวกัน พวกเขาไม่เหงาเลยตั้งแต่มีเด็กน้อยซูซูมาอยู่ร่วมชายคา อีกทั้งซูซูยังคอยช่วยงานพวกเขาไม่น้อยทั้งที่ตัวเล็กเพียงแค่นี้ นับวันยิ่งทำให้ทั้งสองเฒ่านั้นทั้งรักทั้งหลงหลานสาวตัวน้อยคนนี้มากขึ้นทุกวัน หลังอาหารเช้าวันต่อมา ซูซูเตรียมตะกร้าสะพายหลังเพื่อขึ้นเขาอีกครั้ง นางบอกท่านปู่กับท่านย่าแล้วว่
ซูซูที่เห็นว่าท่านปู่ท่านย่าไม่ได้ว่าอันใดที่นางจะไปบ้านปู่หมอ นางจึงเดินเร็ว ๆ ออกจากบ้านไปเพื่อจะได้รีบกลับมาช่วยท่านปู่ท่านย่าทำอาหารด้วย ซูซูใช้เวลาเดินไปบ้านหมอไม่ถึงหนึ่งเค่อ จากนั้นนางก็ตะโกนเรียกท่านปู่หมอเหมือนเมื่อวานไม่มีผิดเพี้ยน หมอรีบเดินออกมาเปิดประตูรั้วให้ซูซูเข้าไปในบ้านเช่นเคย เขาพานางมานั่งที่แคร่ก่อนจะเอ่ยถามว่าวันนี้นางมีเรื่องอันใดอีกจึงได้มาหาเขา ซูซูไม่ตอบแต่กลับยิ้มหวานให้ท่านปู่หมอพร้อมกับค่อย ๆ หยิบโสมอีกต้นออกมาจากอกเสื้อแล้วส่งให้กับปู่หมอที่ดูจะตกตะลึงไปเสียแล้ว“นี่ข้าเก็บมาให้ท่านปู่หมอเจ้าค่ะ ท่านรีบรับไปสิเจ้าคะ อย่าให้ใครเห็นนะเจ้าคะ เร็วๆ เข้าท่านปู่หมอ” เมื่อหมอได้ยินเสียงเล็ก ๆ เร่งเร้าเขาก็กลับมาได้สติและรีบสำรวจโสมในมือซึ่งพบว่าซูซูนั้นขุดมาได้อย่างสมบูรณ์มาก ไม่มีรากเล็ก ๆ ขาดแม้แต่เส้นเดียว“เจ้าไปได้มาอย่างไรกันซูซู ชาวบ้านขึ้นเขากันทุกวันกลับไม่เคยพบโสมแม้แต่ต้นเดียวมานานหลายปีแล้ว อีกอย่างเจ้าขุดมาได้สมบูรณ์มากอย่างไม่น่าเชื่อ นี่เจ้ามีความรู้เรื่องสมุนไพรด้วยหรืออย่างไร”“ชู่ว ท่านปู่หมอพูดเบา ๆ สิเ
สองปู่หลานรอกันไม่นานนักก็ได้ยินเสียงเปิดประตู ทั้งสองคนหันหลังกลับไปดูก็พบว่ามีชายชราเครายาวคนหนึ่งเดินนำเข้าห้องมา ส่วนพนักงานร้านก็ถือถาดน้ำชามาวางให้กับพวกเขาก่อนจะออกจากห้องพร้อมกับปิดประตู“คนของข้าบอกว่าพวกท่านมาขายโสมใช่หรือไม่?”“อ่า ใช่แล้วขอรับ พวกเรามาขายโสมขอรับ เชิญเถ้าแก่ดูโสมต้นนี้ให้พวกข้าปู่หลานด้วยนะขอรับว่าน่าจะขายได้ราคาเท่าไหร่”“อืม เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว” เถ้าแก่ร้านหมอตรวจสอบความสมบูรณ์ของต้นโสมก็พบว่าคนขุดขุดได้อย่างดีจนแม้แต่รากแก้วเล็ก ๆ ก็ไม่มีความเสียหายเลยแม้แต่น้อย ไม่นานนักหลังจากตรวจสอบอายุของโสมแล้วพบว่าโสมต้นนี้มีอายุ 70 ปีซึ่งหาไม่ได้ง่าย ๆ ในพื้นที่แถวนี้ เถ้าแก่ร้านเงยหน้าขึ้นจากการดูโสมแล้วตีราคาให้สองปู่หลานตรงหน้าเขา“ข้ารับซื้อโสมต้นนี้ที่ 700 ตำลึง เจ้าคิดว่าอย่างไร?”“เอ่อ โสมต้นนี้สมบูรณ์มากเลยนะขอรับ ไม่ทราบว่าเถ้าแก่พอจะเพิ่มราคาให้พวกเราอีกหน่อยจะได้หรือไม่ขอรับ” ซูซูตัวน้อยหรี่ตามองเถ้าแก่ที่ให้ราคาโสมอายุ 70 ปีของนางเพียงแค่ 700 ตำลึง ต้องรู้ว่าแถบนี้ไม่มีใครเคยหาโสมมาขายที่ร้านหมอแม้แต่น้อย อีกอย่างโ
เมื่อสองปู่หลานมาถึงตลาดสดแล้ว เหอหยางเปาก็พาหลานสาวไปที่ร้านขายเนื้อหมูตามที่นางต้องการ ซูซูชี้ ๆ เอาทั้งเนื้อหมูและกระดูกเพื่อนำไปต้มซุปให้กับท่านปู่ท่านย่ากินบำรุงร่างกาย ส่วนผักนั้นนางซื้อไม่มากนักเพราะท่านปู่บอกว่าที่สวนมีผักอีกมากนัก เหอหยางเปาถือเนื้อหนัก ๆ แทนหลานสาว ส่วนซูซูนั้นถือเพียงผักไม่กี่ต้นเท่านั้น ขณะที่กำลังเดินออกจากตลาด ซูซูก็เงยหน้าหันไปหาท่านปู่เพื่อขอให้ท่านพาไปที่ร้านขายเสื้อผ้าต่อ“เหตุใดเจ้าต้องไปร้านขายเสื้อผ้าด้วยเล่า ท่านย่าเจ้าเย็บเอาไว้ให้หลายตัวแล้วนี่นา”“โธ่ ท่านปู่เจ้าคะ ข้าใช่ว่าอยากได้เสื้อผ้าของตัวเองอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่เล่า ข้าอยากซื้อให้ท่านปู่กับท่านย่าต่างหากเล่าเจ้าคะ ส่วนของข้าที่ต้องซื้อเพิ่มเพราะท่านย่าอายุมากแล้ว หากปล่อยให้นั่งเย็บนาน ๆ สายตาท่านย่าจะเสียเอาได้”“อ้อ เช่นนั้นปู่ก็จะพาเจ้าไป ปู่คิดน้อยไปจริง ๆ ขอบใจเจ้ามากนะซูซูที่ช่วยปู่ดูแลย่าของเจ้าน่ะ”“แน่นอนว่าต้องเป็นหน้าที่ของหลานสาวที่น่ารักคนนี้ของท่านปู่อยู่แล้วเจ้าค่ะ ฮิ ฮิ ท่านปู่ใยจะต้องขอบคุณข้าอีกเล่าเจ้าคะ”“เฮ้อ เจ้านี่นะ นับว่าข้าคิดไม่ผิดที่พาเจ้ามาอยู่ด้
ท่านย่าที่ออกมาดูหน้าบ้านว่าเสียงใครมาเอะอะกันก็ได้แต่มองรถเข็นพร้อมกับสิ่งของมากมายในรถอย่างตกตะลึง นางได้แต่กระซิบถามสามีว่านี่มันอะไรกัน เหอหยางเปาได้แต่บอกให้ภรรยาช่วยกันขนของเข้าบ้านเสียก่อนค่อยคุยกันก็ยังไม่สาย ซวงหยวนเอ๋อกับซูซูที่ปิดประตูเรียบร้อยแล้วก็เข้ามาช่วยยกของเข้าไปในบ้านด้วยเช่นเดียวกัน หลังจากทุกคนช่วยกันขนสิ่งของเข้าบ้านเรียบร้อยแล้ว เหอหยางเปาก็นำรถเข็นไปเก็บไว้ที่ด้านข้างของบ้าน จากนั้นเขาก็เดินกลับเข้าบ้านเพื่อพูดคุยกับภรรยา ส่วนซูซูก็รีบออดอ้อนท่านย่าอย่างรู้งาน นางรู้ดีว่าท่านย่าจะต้องบ่นว่าซื้อของมาเยอะเกินไปเป็นแน่ แต่นี่เป็นความกตัญญูของนางที่อยากจะทำให้กับท่านปู่ท่านย่านี่นา“ว่าอย่างไรตาเฒ่า เหตุใดเจ้าจึงซื้อของมาเสียมากมายขนาดนี้ เจ้าไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะกัน”“เพ้ย!!! เจ้าไม่ถามหลานสาวสุดที่รักเจ้าดูเล่า ข้าหรือจะมีเงินมากมาย เป็นนางที่ไปขายโสมได้เงินมาแล้วจึงอยากซื้อสิ่งของเหล่านี้เข้าบ้านต่างหากเล่า”“จริงหรือซูซู?”“เจ้าค่ะท่านย่า ข้าไม่อยากให้ท่านปู่ ท่านย่าลำบากมากนัก เมื่อมีเงินเหลือกินเหลือใช้แล้ว ข้าก็อยากนำสิ่งดี ๆ มาให้พวก
อ๋องเฉิงที่เดินถือถุงผ้าใส่เครื่องประดับนำหน้าซูซูกับแม่ของนางกำลังจะก้าวออกจากประตูร้าน แต่เขากลับถูกเสียงถวายพระพรเสียงดังหยุดเอาไว้ก่อน“ถวายพระพรท่านอ๋องพะย่ะค่ะ กระหม่อมหลานเหอเสนาบดีคลัง ขอพระราชทานอภัยแทนบุตรสาวผู้โง่เขลาที่กล้ามาทำให้พระองค์ต้องทรงกริ้ว นี่เป็นของมีค่าประจำตระกูลของกระหม่อม กระหม่อมขอมอบให้ท่านอ๋องแทนคำขอโทษ ท่านอ๋องทรงโปรดรับเอาไว้ด้วยพะย่ะค่ะ” อ๋องเฉิงชายตามองคนที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่ซูซูที่ได้ยินคำพูดของเสนาบดีคลังกลับอยากรู้อยากเห็นว่าเขานำสิ่งใดมามอบให้กับว่าที่สามีของนางกัน นางจึงปล่อยมือออกจากแขนของท่านแม่แล้วเดินไปอยู่ด้านข้างท่านอ๋องพร้อมกับมองดูการกระทำของเสนาบดีคลังที่ยังคงคุกเข่ายกกล่องของขวัญขึ้นเหนือหัวเพื่อถวายท่านอ๋อง“นี่ เจ้าน่ะ เปิดออกมาดูสิว่าของมีค่าของตระกูลเจ้าเป็นอะไร หากเป็นสิ่งของทั่วไปท่านอ๋องของข้าคงไม่คิดจะรับมาให้รกจ
ไม่ถึงหนึ่งเค่อทั้งสามคนก็มาถึงหน้าร้านเครื่องประดับตระกูลฟาง ผู้จัดการร้านรีบออกมาต้อนรับเจ้านายใหญ่ทั้งสามอย่างตื่นเต้น เขารู้ดีว่าหากฮูหยินมาร้านเมื่อไหร่ ที่ร้านมักจะขายเครื่องประดับชุดใหญ่ ๆ ได้เสมอ ถึงแม้รายได้ทั้งหมดจะกลับไปยังตระกูลฟางก็เถอะ แต่ก็ทำให้เขามีผลงานไม่น้อยเช่นเดียวกับผู้จัดการร้านคนอื่น“เจ้าพาพวกข้าไปที่ห้องรับรองก่อน แล้วค่อยนำชุดเครื่องประดับใหม่ ๆ ออกมาให้ข้ากับลูกเลือกสักหลายชุด ของพวกนี้จะถูกนำไปเป็นสินเดิมให้กับลูกสาวข้า”“ขอรับนายหญิง เชิญด้านในเลยขอรับ” ผู้จัดการร้านสั่งให้คนงานรีบไปนำของว่างกับน้ำชาตามไปที่ห้องรับรองทันที ส่วนเขาก็ทำหน้าที่เดินนำทั้งสามคนไปยังห้องบนชั้นสองซึ่งเป็นห้องประจำที่ฮูหยินมักจะมาตรวจสอบบัญชีที่ร้านทุก ๆ สามเดือน เมื่อเข้าไปในห้องรับรองแล้ว ผู้จัดการร้านก็ขอให้พวกเขารอสัก
ซูซูได้แต่ส่งสายตาไม่พอใจกลับไปให้อ๋องเฉิงที่ยืนอยู่หน้าประตูร้าน นางล่ะเบื่อจริง ๆ ที่มีคนคอยมาหาเรื่องนางเพราะเขาเนี่ย แต่ทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อนางเองก็กำลังจะแต่งงานกับเขาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้ว ซูซูจึงทำได้เพียงพยักหน้าและปล่อยให้เขาจัดการเรื่องราวอย่างที่เขาต้องการ“เจ้าเป็นใครจึงได้คิดจะมาพูดสุ่มสี่สุ่มห้าต่อหน้าว่าที่พระชายาของข้า” เสียงเย็น ๆ ของอ๋องเฉิงทำเอาบุตรสาวเสนาบดีคลังถึงกับตัวสั่นอย่างหวาดกลัว นางไม่คิดว่าท่านอ๋องจะเสด็จมาที่นี่ ความจริงนางเห็นซูซูในงานเมื่อคืนนี้แล้วจึงได้อิจฉาที่นางได้ท่านอ๋องไปครอง หลานเสี่ยวชิงจึงได้หาเรื่องพวกนางสองแม่ลูกเช่นนี้ อีกอย่างวันนี้นางพาองครักษ์ประจำตัวมาถึงสี่คน นางจึงไม่กลัวว่าซูซูจะรอดพ้นจากคนของนางได้ หลานเสี่ยวชิงได้แต่รีบหันหลังกลับไปถวายพระพรอ๋องเฉิงอย่างเต็มพิธีการพร้อมกับก้มหน้าลง บรรดาบ่าวรับใช้และอง
ฟางเซียนหลงที่ประคองภรรยาเดินกลับห้องอยู่ หันหลังไปบอกพ่อบ้านให้นำน้ำมาให้พวกเขาล้างหน้าล้างตาก่อนเข้านอน พ่อบ้านรีบรับคำแล้วเดินไปสั่งบ่าวให้นำน้ำมาให้ในเวลาไม่นานนัก จากนั้นฟางเซียนหลงก็บอกให้พวกเขาไปพักผ่อน พรุ่งนี้ค่อยมานำอ่างน้ำออกไป พ่อบ้านกับบ่าวทั้งสองจึงจากไปตามคำสั่งของฟางเซียนหลง สองสามีภรรยาต่างล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนเป็นชุดนอนก่อนที่จะพากันขึ้นไปนอนบนเตียง ฟางเซียนหลงที่รักลูกสาวมากนอนไม่หลับเพราะไม่อยากให้นางออกเรือนเร็วเช่นนี้ มู่อิงเอ๋อเห็นสามีเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจ“ท่านพี่อย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะ ถึงแม้ซูซูจะออกเรือนไปแล้ว เราก็ยังสามารถไปเยี่ยมลูกได้ตลอด ไม่เหมือนกับก่อนที่พวกเราจะพบนาง ที่เราพ่อแม่ไม่รู้แม้กระทั่งว่าลูกของเรานั้นอยู่ที่ไหน”“อืม… พี่แค่เป็นห่วงลูกน่ะน้องหญิง”“ท่านพี่ก็เห็นในงานเลี้ยงแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ ว่าท
หลังการแสดงของกรมพิธีการ ขันทีก็ขานเรียกเหล่าบุตรสาวขุนนางทั้งหลายที่เตรียมการแสดงมาแต่แรกให้ขึ้นมาแสดงทีละคน ซึ่งการแสดงของพวกนางไม่ร่ายรำก็เล่นพิณหรือไม่ก็วาดภาพเขียนอักษรเท่านั้น การแสดงที่ซ้ำซากทำให้หลายคนเบื่อหน่ายไม่น้อย รวมทั้งฮ่องเต้กับฮองเฮาที่ไม่ได้แปลกใจนัก พวกเขาชมการแสดงและมอบรางวัลเพียงเล็กน้อยเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้พวกนางเท่านั้น เพราะพวกเขาประทับใจการแสดงของซูซูมากกว่า จึงมองไม่เห็นถึงความสามารถเดิม ๆ ของเหล่าบุตรสาวขุนนางเหล่านี้ อ๋องเฉิงเองก็ไม่ปรายตามองการแสดงของพวกนางแม้แต่น้อย พระองค์เอาแต่ดูแลอาหารการกินให้กับซูซูเท่านั้น ซูซูเองก็ไม่ชอบการแสดงที่ชวนง่วงเช่นนี้ นางจึงเอาแต่กินอาหารที่อ๋องเฉิงให้คนนำมาเพิ่ม ไหนจะขนมต่าง ๆ ที่อร่อยมากอย่างที่นางไม่เคยกินมาก่อน กระทั่งการแสดงทั้งหมดจบลง ฮ่องเต้เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วจึงสั่งเลิกงานเลี้ยง พระองค์กับฮองเฮาเสด็จกลับก่อนเหมือนเช่นทุกครั้ง ส่
อ๋องเฉิงที่ถูกเรียกชื่อได้แต่ต้องยืนขึ้นคำนับฮ่องเต้ผู้เป็นลุงพร้อมกับตอบคำถามที่เสด็จลุงของเขาสอบถามมา“ขอบพระทัยเสด็จลุงพะย่ะค่ะ หลานอยากได้เพียงพระราชโองการไม่รับหญิงอื่นเข้าจวนนอกจากว่าที่พระชายาฟางซูซูพะย่ะค่ะ ควรมิควรแล้วแต่เสด็จลุงจะทรงโปรดพะย่ะค่ะ”“หืม… เจ้าแน่ใจหรือ?”“แน่ใจพะย่ะค่ะเสด็จลุง” ขุนนางที่หวังจะให้บุตรสาวเข้าจวนอ๋องได้แต่รีบลุกขึ้นไปคุกเข่ากราบทูลฮ่องเต้ว่าเรื่องนี้จะเป็นการผิดธรรมเนียมของราชวงศ์ที่มักจะต้องมีทายาทให้มากเข้าไว้มาแต่ไหนแต่ไร“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าท่านอ๋องขอเช่นนี้ไม่ค่อยจะเหมาะสมนักพะย่ะค่ะ ตั้งแต่โบราณมา ราชวงศ์ต่างต้องมีพระชายาเอก พระชายารอง รวมทั้งอนุทั้งหลายเพื่อให้มีทายาทมาสานต่อหน้าที่ให้มากไว้นะพะย่ะค่ะ” &nb
รถม้าสองคันใช้เวลาไม่นานก็เดินทางมาถึงหน้าพระราชวัง งานในวันนี้จัดขึ้นที่ลานด้านหน้าท้องพระโรงซึ่งมีพื้นที่กว้างขวาง เหล่าครอบครัวรองแม่ทัพ และนายกองเองก็ได้รับเชิญให้มาเป็นครั้งแรกด้วย ไหนจะบรรดาครอบครัวขุนนางที่ชอบนักกับงานเลี้ยงในวังเช่นนี้อีกไม่ใช่น้อย สถานที่การจัดงานจึงต้องใช้บริเวณที่กว้างขวางที่สุดในวัง อ๋องเฉิงลงจากรถม้าก่อนที่จะยื่นมือไปรับมือเล็ก ๆ ของซูซูที่ค่อย ๆ ยื่นออกมาจากรถม้าของพระองค์ เหล่าขุนนางที่เดินทางมาไล่เลี่ยกันต่างมองกันตาค้างด้วยไม่คิดว่าท่านอ๋องจะไปรับคู่หมั้นมางานด้วยพระองค์เองเช่นนี้ ส่วนครอบครัวฟางก็ลงจากรถม้าแล้วเช่นเดียวกัน พวกเขารู้แล้วว่าท่านอ๋องจะนั่งกับซูซู จึงไม่มีใครแปลกใจอะไรที่เห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง ซูซูยิ้มหวานให้กับอ๋องเฉิงที่พระองค์จับมือนางเอาไว้แน่นเหมือนกลัวหายอย่างไรอย่างนั้น ฟางฉือห่าวได้แต่มองบรรยากาศของทั้งสองคนที่ทำเหมือนในโลกนี้มีเพียงพวกเขาสอ
ก่อนที่ซูซูจะแต่งตัวเสร็จ อ๋องเฉิงก็มาที่จวนตระกูลฟางเพื่อมารอรับคู่หมั้นของพระองค์ไปร่วมงานพร้อมกัน ทำเอาฟางเซียนหลงกับมู่อิงเอ๋อรีบออกมาต้อนรับท่านอ๋องแทบไม่ทัน“พวกท่านตามสบาย ข้าแค่มารอซูซูเพื่อไปที่งานพร้อมกันเท่านั้น พวกท่านไปแต่งตัวให้เสร็จเสียก่อนเถอะ ข้าไม่ได้รีบร้อนอันใด”“พะย่ะค่ะ/เพคะ ท่านอ๋อง” ฟางเซียนหลงสั่งพ่อบ้านให้ดูแลท่านอ๋องอย่างดี ตอนนี้พวกเขายังแต่งตัวกันไม่เสร็จดีเลย ทั้งสองจึงได้แต่ต้องรีบกลับเข้าไปแต่งกายให้เหมาะสมกับงานในวันนี้โดยเร็ว ด้วยพวกเขาไม่อยากให้ท่านอ๋องต้องรอนาน ด้านมู่อิงเอ๋อก็ให้คนไปดูว่าบุตรสาวนางแต่งตัวเสร็จหรือยัง เพราะตอนนี้ท่านอ๋องมารอนางแล้ว ซูซูที่วันนี้ใส่ชุดสีม่วงอ่อนประดับด้วยดิ้นเงินลายดอกโบตั๋นก็พอใจกับชุดนี้ไม่น้อย นางไม่คิดว่าท่านแม่จะหาชุดสวย ๆ เช่นนี้มาให้นางได้ในเวลาเพียงไม
ก่อนเข้าไปยังโถงรับแขกของเรือนหลัก ฟางฉือห่าวสั่งให้บ่าวเก็บของฝากลงมาให้กับท่านพ่อ ท่านแม่ แล้วเดินตามหลังทุกคนเข้าไปนั่งตามตำแหน่งเดิม“ซูซู ลูกเป็นยังไงบ้าง เหตุใดจึงได้ดำคล้ำเช่นนี้เล่า”“แฮะ ๆ ลูกขี่ม้าตากแดดเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านแม่อย่ากังวลเลย อีกไม่กี่วันข้าก็กลับมาขาวเหมือนเดิมแล้วนะเจ้าคะ”“เฮ้อ เจ้านี่นะ เช่นนั้นช่วงนี้แม่จะให้แม่นมกับคนของแม่ไปดูแลช่วยบำรุงผิวให้เจ้าจนกว่าจะหายก็แล้วกัน เจ้ายิ่งดูแลตัวเองไม่เป็นอยู่ด้วย”“ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ ลูกเข้าใจแล้ว”“ท่านพ่อ ท่านแม่ขอรับ ของพวกนี้เป็นของฝากจากแคว้นจ้านที่ข้ากับน้องซื้อมาฝากพวกท่าน ลองดูก่อนว่าชอบหรือไม่นะขอรับ” ฟางฉือห่าวเห็นบ่าวยกสิ่งของต่าง ๆ เข้ามามากมายจึงรีบออกหน้าให้พ่อกับแม่ของเขาก่อนที่จะบ่นน้องส