ซูซูที่เห็นว่าท่านปู่ท่านย่าไม่ได้ว่าอันใดที่นางจะไปบ้านปู่หมอ นางจึงเดินเร็ว ๆ ออกจากบ้านไปเพื่อจะได้รีบกลับมาช่วยท่านปู่ท่านย่าทำอาหารด้วย ซูซูใช้เวลาเดินไปบ้านหมอไม่ถึงหนึ่งเค่อ จากนั้นนางก็ตะโกนเรียกท่านปู่หมอเหมือนเมื่อวานไม่มีผิดเพี้ยน
หมอรีบเดินออกมาเปิดประตูรั้วให้ซูซูเข้าไปในบ้านเช่นเคย เขาพานางมานั่งที่แคร่ก่อนจะเอ่ยถามว่าวันนี้นางมีเรื่องอันใดอีกจึงได้มาหาเขา
ซูซูไม่ตอบแต่กลับยิ้มหวานให้ท่านปู่หมอพร้อมกับค่อย ๆ หยิบโสมอีกต้นออกมาจากอกเสื้อแล้วส่งให้กับปู่หมอที่ดูจะตกตะลึงไปเสียแล้ว
“นี่ข้าเก็บมาให้ท่านปู่หมอเจ้าค่ะ ท่านรีบรับไปสิเจ้าคะ อย่าให้ใครเห็นนะเจ้าคะ เร็วๆ เข้าท่านปู่หมอ”
เมื่อหมอได้ยินเสียงเล็ก ๆ เร่งเร้าเขาก็กลับมาได้สติและรีบสำรวจโสมในมือซึ่งพบว่าซูซูนั้นขุดมาได้อย่างสมบูรณ์มาก ไม่มีรากเล็ก ๆ ขาดแม้แต่เส้นเดียว
“เจ้าไปได้มาอย่างไรกันซูซู ชาวบ้านขึ้นเขากันทุกวันกลับไม่เคยพบโสมแม้แต่ต้นเดียวมานานหลายปีแล้ว อีกอย่างเจ้าขุดมาได้สมบูรณ์มากอย่างไม่น่าเชื่อ นี่เจ้ามีความรู้เรื่องสมุนไพรด้วยหรืออย่างไร”
“ชู่ว ท่านปู่หมอพูดเบา ๆ สิเจ้าคะ เดี๋ยวใครได้ยินเข้าแล้วมาปล้นท่านจะทำอย่างไร ท่านรีบเก็บโสมก่อนเร็วเข้าเจ้าค่ะ ส่วนข้านั้นก็เก็บมาจากบนเขานั่นแหละเจ้าค่ะ ข้าพอรู้เรื่องสมุนไพรอยู่บ้างจากที่เคยฟังพวกพี่ชายโจวคุยกันเมื่อนานมาแล้วว่าสมุนไพรใดได้ราคาดีและสามารถดูลักษณะอย่างไร ข้าจึงจำได้ว่าใบมันน่าจะเป็นอย่างที่พวกเขาเคยพูดเอาไว้ แล้วจึงลองขุดดูเจ้าค่ะ พอเห็นว่าเป็นโสมจริง ๆ ข้าก็รีบขุดออกมาให้ท่านปู่หมอ ท่านปู่กับท่านย่าของข้าก็มีหนึ่งต้นเอาไว้ต้มกินบำรุงร่างกายด้วยนะเจ้าคะ ต้นนี้ข้าก็อยากนำมาให้ท่านปู่หมอนำไปต้มกินบำรุงกำลังเช่นเดียวกัน”
“เพ้ย!!! ของแพงขนาดนี้ข้าจะนำมาต้มกินเล่น ๆ ได้อย่างไรกันเล่า นี่เป็นตัวยาสำคัญสำหรับปรุงยาอื่น ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเลยเชียวนะ เจ้าเด็กนี่ไม่รู้อะไรเอาเสียเลย”
“โธ่ ท่านปู่หมออย่าเพิ่งโกรธสิเจ้าคะ ก็ข้าอยากให้ท่านแข็งแรงแบบนี้ไปนาน ๆ นี่นา ข้าเลยอยากให้ท่านปู่หมอนำไปต้มกินบำรุงร่างกายมากกว่า โสมนี้จะมีค่าเท่ากับสุขภาพของพวกท่านที่ข้าทั้งเคารพรักได้อย่างไรกันเล่าเจ้าคะ”
“เอาล่ะ ๆ ปู่สัญญาว่าจะใช้โสมของเจ้าบำรุงร่างกายกับทำยาดี ๆ เอาไว้เผื่อป่วยไข้ ตกลงหรือไม่เล่า”
“เย้ ตกลงเจ้าค่ะท่านปู่ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ นี่ข้าคิดว่าจะมาครู่เดียว ป่านนี้ท่านปู่ท่านย่าคงทำอาหารเสร็จแล้วเป็นแน่ ข้าขอตัวกลับบ้านก่อนนะเจ้าคะ”
ซูซูไม่รอคำตอบของปู่หมอของนาง นางย่อกายคารวะเขาแล้วรีบวิ่งตื๋อออกจากบ้านท่านหมอไปอย่างไว ด้วยกลัวว่าปู่หมอจะถามอะไรนางเพิ่มอีก นางไม่อยากโกหกบ่อยนักหรอก ไม่เช่นนั้นนางคงรู้สึกผิดมากแน่ ๆ ถึงแม้การโกหกของนางก็เพื่อความสบายใจของทุกคน แต่การโกหกบ่อย ๆ ก็ไม่ใช่นิสัยของนาง
ซูซูเข้าบ้านไปพร้อมกับได้กลิ่นอาหารโชยมาจนท้องนางร้องจ๊อก ๆ เนื่องจากไม่ได้กินข้าวเที่ยงเป็นวันที่สองแล้ว ซูซูรีบเดินเข้าไปพร้อมส่งรอยยิ้มหวานให้กับท่านปู่ท่านย่าของนางซึ่งกำลังตั้งโต๊ะอาหารรอนางอยู่
“รีบมากินข้าวเร็วเข้า เจ้านี่ลืมเอาข้าวกลางวันไปกินบนเขาอีกแล้วรู้หรือไม่ กว่าที่ปู่กับย่าเจ้าจะดูแลจนเจ้าหายจากการขาดสารอาหารได้ไม่ใช่เรื่องง่าย วันหลังให้นำข้าวเที่ยงไปด้วยรู้หรือไม่”
“เจ้าค่ะ ท่านปู่ท่านย่า วันหลังข้าจะไม่ลืมอีกแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่าพรุ่งนี้ท่านปู่ต้องพาข้าไปขายโสมอีกหนึ่งต้นที่เหลือในเมืองด้วยนะเจ้าคะ ข้าไม่รู้ว่าต้องไปขายที่ไหน”
“ตกลง ๆ เจ้ารีบนั่งลงกินข้าวเร็ว ๆ พรุ่งนี้ปู่จะพาเจ้าเข้าเมืองแต่เช้า เอ้านี่ กินแกงหน่อไม้ที่ย่าเจ้าทำให้เสียหน่อย อร่อยมากเลยรู้หรือไม่”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านปู่ ท่านย่าที่ทำอาหารอร่อย ๆ ให้ข้ากินทุกวันเลย อื้ม อร่อยมากจริง ๆ เจ้าค่ะ พวกท่านก็กินเยอะ ๆ นะเจ้าคะ”
ซูซูตักแกงหน่อไม้ใส่ถ้วยให้พวกเขาเช่นเดียวกัน บรรยากาศในการกินอาหารในวันนี้จึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความอบอุ่นมากกว่าทุกวัน โดยเฉพาะเหอหยางเปากับภรรยาที่ต้มโสมส่วนหนึ่งเอาไว้ทานก่อนนอนด้วยแล้ว พวกเขายิ่งหลงรักเด็กน้อยร่างบางตรงหน้ามากขึ้นไปอีก
หลังทานอาหารและล้างถ้วยชามเสร็จแล้ว ซูซูสอบถามท่านปู่ท่านย่าเรื่องต้มโสมก่อนที่นางจะไปอาบน้ำแล้วเข้านอนเหมือนทุกวัน พอรู้ว่าพวกท่านต้มและดื่มกันเสร็จเมื่อสักครู่แล้วนางจึงวางใจแล้วขอตัวไปอาบน้ำพักผ่อนก่อน เพราะพรุ่งนี้นางต้องเดินทางเข้าเมืองพร้อมกับท่านปู่อีก ที่บ้านท่านปู่นั้นไม่มีเกวียนลาเหมือนกับผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านอื่น เนื่องจากระยะทางจากหมู่บ้านนางเข้าไปในเมืองนั้นใกล้กว่า ท่านปู่จึงไม่คิดที่จะเสียเงินซื้อเกวียนให้สิ้นเปลืองนั่นเอง
รุ่งเช้าหลังอาหารวันต่อมา สองปู่หลานต่างเดินตามกันไปเพื่อเข้าเมืองตั้งแต่ก่อนที่แดดจะแรงไปมากกว่านี้ ดีที่พวกเขาเป็นคนตื่นเช้ากันทั้งบ้านแต่แรก จึงทำให้ออกจากบ้านกันเร็วกว่าชาวบ้านคนอื่นที่มักจะหาของป่าไปขายในเมืองเช่นเดียวกัน
ระหว่างทางซูซูก็สอบถามเรื่องราวในเมืองหลายอย่าง นางไม่เคยเข้าไปในเมืองมาก่อนจึงไม่รู้ว่าร้านรวงอะไรอยู่ตรงไหน ซึ่งผู้ใหญ่บ้านก็เล่าให้นางฟังอย่างไม่ปิดบัง หากในอนาคตซูซูโตพอที่จะเข้าไปในเมืองด้วยตนเองได้ พวกเขาก็จะได้ปล่อยให้นางเข้าไปขายของป่าด้วยตัวเอง
ทั้งสองคนเดินทางไม่เร็วไม่ช้าโดยใช้เวลาประมาณสองเค่อก็มาถึงประตูเมืองแล้ว เหอหยางเปากลัวว่าหลานสาวจะหลงทาง เขาจึงจับมือเล็ก ๆ ของนางแล้วพาเดินไปยังร้านหมอที่มีอยู่แห่งเดียวในเมืองอู่หลงที่อยู่ไม่ไกลจากที่ว่าการอำเภอมากนัก
ซูซูเห็นว่าท่านปู่เป็นห่วงนางมาก นางจึงปล่อยให้ท่านปู่จับจูงไปตามทาง โดยระหว่างที่เดินไปนั้น ซูซูก็มองดูร้านรวงต่าง ๆ เพื่อเก็บเอาไว้ในความทรงจำ วันหลังหากนางเข้าเมืองมาคนเดียวจะได้ไม่หลงทางและยังสามารถซื้อสิ่งของกลับไปฝากท่านปู่ท่านย่าได้ด้วย
เหอหยางเปาพาซูซูเดินเลี้ยวไปทางขวาเมื่อถึงทางแยกใหญ่ เดินกันไปอีกไม่ถึงหนึ่งเค่อพวกเขาก็มาถึงร้านหมอแล้ว เหอหยางเปาเป็นคนพาซูซูเดินเข้าไปพูดคุยกับพนักงานร้าน
“ข้านำสมุนไพรมาขาย ไม่ทราบว่าที่นี่รับซื้อหรือไม่”
“รับซื้อขอรับ ไม่ทราบว่าท่านนำสมุนไพรอะไรมาขายหรือขอรับ หากเป็นสมุนไพรทั่วไปข้าสามารถรับซื้อให้ท่านได้เลย แต่ถ้าเป็นสมุนไพรหายากข้าจะได้ไปเรียกเถ้าแก่ให้มาตีราคาขอรับ”
“พวกข้ามาขายโสมป่าน่ะ”
“โอ้ว เช่นนั้นเชิญท่านกับหลานสาวไปนั่งรอที่ห้องรับรองก่อนขอรับ ข้าจะรีบไปตามเถ้าแก่มาตีราคาให้นะขอรับ เชิญตามข้ามาทางนี้เลยขอรับ”
สองปู่หลานเดินตามพนักงานร้านไปยังห้องรับรองที่เขาว่า เมื่อพนักงานเปิดประตูเชิญพวกเขาเข้าไปนั่งรอก่อน ทั้งสองคนต่างพูดขอบคุณก่อนจะเดินเข้าไปนั่งรอที่เก้าอี้หน้าโต๊ะใหญ่ที่อยู่ภายในห้องตามที่พนักงานร้านชี้บอกพวกเขา เหอหยางเปาได้แต่กระซิบกับหลานสาวว่าโสมที่นำมานั้นนางเก็บไว้ที่ไหน ซูซูพอได้ยินท่านปู่ถามหาโสม นางจึงได้หยิบโสมที่ใหญ่กว่าให้พวกเขาเมื่อวานนิดหน่อยยื่นออกไปให้ท่านปู่ทันที นางยังกระซิบบอกท่านปู่ว่าให้ท่านปู่ต่อรองราคาให้นางด้วย เหอหยางเปาได้แต่ลูบหัวซูซูพร้อมพยักหน้ารับปากว่าเขาจะต่อรองราคาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แน่นอน ซูซูที่ได้ฟังจึงได้แต่ยิ้มหวานขอบคุณปู่ของนาง
สองปู่หลานรอกันไม่นานนักก็ได้ยินเสียงเปิดประตู ทั้งสองคนหันหลังกลับไปดูก็พบว่ามีชายชราเครายาวคนหนึ่งเดินนำเข้าห้องมา ส่วนพนักงานร้านก็ถือถาดน้ำชามาวางให้กับพวกเขาก่อนจะออกจากห้องพร้อมกับปิดประตู“คนของข้าบอกว่าพวกท่านมาขายโสมใช่หรือไม่?”“อ่า ใช่แล้วขอรับ พวกเรามาขายโสมขอรับ เชิญเถ้าแก่ดูโสมต้นนี้ให้พวกข้าปู่หลานด้วยนะขอรับว่าน่าจะขายได้ราคาเท่าไหร่”“อืม เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว” เถ้าแก่ร้านหมอตรวจสอบความสมบูรณ์ของต้นโสมก็พบว่าคนขุดขุดได้อย่างดีจนแม้แต่รากแก้วเล็ก ๆ ก็ไม่มีความเสียหายเลยแม้แต่น้อย ไม่นานนักหลังจากตรวจสอบอายุของโสมแล้วพบว่าโสมต้นนี้มีอายุ 70 ปีซึ่งหาไม่ได้ง่าย ๆ ในพื้นที่แถวนี้ เถ้าแก่ร้านเงยหน้าขึ้นจากการดูโสมแล้วตีราคาให้สองปู่หลานตรงหน้าเขา“ข้ารับซื้อโสมต้นนี้ที่ 700 ตำลึง เจ้าคิดว่าอย่างไร?”“เอ่อ โสมต้นนี้สมบูรณ์มากเลยนะขอรับ ไม่ทราบว่าเถ้าแก่พอจะเพิ่มราคาให้พวกเราอีกหน่อยจะได้หรือไม่ขอรับ” ซูซูตัวน้อยหรี่ตามองเถ้าแก่ที่ให้ราคาโสมอายุ 70 ปีของนางเพียงแค่ 700 ตำลึง ต้องรู้ว่าแถบนี้ไม่มีใครเคยหาโสมมาขายที่ร้านหมอแม้แต่น้อย อีกอย่างโ
เมื่อสองปู่หลานมาถึงตลาดสดแล้ว เหอหยางเปาก็พาหลานสาวไปที่ร้านขายเนื้อหมูตามที่นางต้องการ ซูซูชี้ ๆ เอาทั้งเนื้อหมูและกระดูกเพื่อนำไปต้มซุปให้กับท่านปู่ท่านย่ากินบำรุงร่างกาย ส่วนผักนั้นนางซื้อไม่มากนักเพราะท่านปู่บอกว่าที่สวนมีผักอีกมากนัก เหอหยางเปาถือเนื้อหนัก ๆ แทนหลานสาว ส่วนซูซูนั้นถือเพียงผักไม่กี่ต้นเท่านั้น ขณะที่กำลังเดินออกจากตลาด ซูซูก็เงยหน้าหันไปหาท่านปู่เพื่อขอให้ท่านพาไปที่ร้านขายเสื้อผ้าต่อ“เหตุใดเจ้าต้องไปร้านขายเสื้อผ้าด้วยเล่า ท่านย่าเจ้าเย็บเอาไว้ให้หลายตัวแล้วนี่นา”“โธ่ ท่านปู่เจ้าคะ ข้าใช่ว่าอยากได้เสื้อผ้าของตัวเองอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่เล่า ข้าอยากซื้อให้ท่านปู่กับท่านย่าต่างหากเล่าเจ้าคะ ส่วนของข้าที่ต้องซื้อเพิ่มเพราะท่านย่าอายุมากแล้ว หากปล่อยให้นั่งเย็บนาน ๆ สายตาท่านย่าจะเสียเอาได้”“อ้อ เช่นนั้นปู่ก็จะพาเจ้าไป ปู่คิดน้อยไปจริง ๆ ขอบใจเจ้ามากนะซูซูที่ช่วยปู่ดูแลย่าของเจ้าน่ะ”“แน่นอนว่าต้องเป็นหน้าที่ของหลานสาวที่น่ารักคนนี้ของท่านปู่อยู่แล้วเจ้าค่ะ ฮิ ฮิ ท่านปู่ใยจะต้องขอบคุณข้าอีกเล่าเจ้าคะ”“เฮ้อ เจ้านี่นะ นับว่าข้าคิดไม่ผิดที่พาเจ้ามาอยู่ด้
ท่านย่าที่ออกมาดูหน้าบ้านว่าเสียงใครมาเอะอะกันก็ได้แต่มองรถเข็นพร้อมกับสิ่งของมากมายในรถอย่างตกตะลึง นางได้แต่กระซิบถามสามีว่านี่มันอะไรกัน เหอหยางเปาได้แต่บอกให้ภรรยาช่วยกันขนของเข้าบ้านเสียก่อนค่อยคุยกันก็ยังไม่สาย ซวงหยวนเอ๋อกับซูซูที่ปิดประตูเรียบร้อยแล้วก็เข้ามาช่วยยกของเข้าไปในบ้านด้วยเช่นเดียวกัน หลังจากทุกคนช่วยกันขนสิ่งของเข้าบ้านเรียบร้อยแล้ว เหอหยางเปาก็นำรถเข็นไปเก็บไว้ที่ด้านข้างของบ้าน จากนั้นเขาก็เดินกลับเข้าบ้านเพื่อพูดคุยกับภรรยา ส่วนซูซูก็รีบออดอ้อนท่านย่าอย่างรู้งาน นางรู้ดีว่าท่านย่าจะต้องบ่นว่าซื้อของมาเยอะเกินไปเป็นแน่ แต่นี่เป็นความกตัญญูของนางที่อยากจะทำให้กับท่านปู่ท่านย่านี่นา“ว่าอย่างไรตาเฒ่า เหตุใดเจ้าจึงซื้อของมาเสียมากมายขนาดนี้ เจ้าไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะกัน”“เพ้ย!!! เจ้าไม่ถามหลานสาวสุดที่รักเจ้าดูเล่า ข้าหรือจะมีเงินมากมาย เป็นนางที่ไปขายโสมได้เงินมาแล้วจึงอยากซื้อสิ่งของเหล่านี้เข้าบ้านต่างหากเล่า”“จริงหรือซูซู?”“เจ้าค่ะท่านย่า ข้าไม่อยากให้ท่านปู่ ท่านย่าลำบากมากนัก เมื่อมีเงินเหลือกินเหลือใช้แล้ว ข้าก็อยากนำสิ่งดี ๆ มาให้พวก
ซูซูที่ไม่รู้ว่าอีกไม่นานจะมีคนมาแย่งเห็ดของนางก็ได้แต่ต่อสู้กับงูสายรุ้งตัวใหญ่อย่างเต็มกำลัง ขณะที่งูชูคอขึ้นมาเพื่อจะเลื้อยมาทำร้ายนาง ซูซูก็บังคับกระบี่บินไปยังจุดตายของงูสายรุ้งที่อยู่ใต้ลำคอของมันจนกระบี่เสียบทะลุเข้าไปจนมิดด้าม ซูซูมองไปยังงูสายรุ้งที่นางต่อสู้ด้วยอย่างยากลำบาก ในที่สุดนางก็ปราบมันลงได้เสียที จากนั้นซูซูบังคับกระบี่บินให้ออกมาจากตัวงูแล้วเก็บกระบี่เข้าไปในกำไลเก็บของของนาง ซูซูใช้วิชาตัวเบาข้ามผ่านร่างของงูสายรุ้งตัวใหญ่ยักษ์ไปยังเห็ดสีรุ้งที่นางต้องการและรีบใช้มีดสั้นแซะเห็ดออกมาจากตอไม้ทันที ขณะที่นางกำลังจะเก็บเห็ดเข้าไปไว้ในกำไลเก็บของ ซูซูได้ยินเสียงเกือกม้ากลุ่มหนึ่งใกล้เข้ามาเต็มที นางหันไปมองทางเสียงที่ได้ยิน พอเห็นว่ามีคนสวมหน้ากากและคนอีกนับสิบขี่ม้ามาหยุดห่างจากจุดที่งูสายรุ้งตายไม่ไกลนัก อ๋องเฉิงที่เห็นซูซูถือเห็ดสีรุ้งเอาไว้ในมือก็ได้แต่ขมวดคิ้ว คราวนี้พระองค์มีภารกิจตามหาเห็ดสีรุ้งเพื่อนำไปใช้เป็นตัวยาหลักในการแก้พิษขององค์รัชทายาท แต่ตอนนี้กลับมีแม่นางน้อยที่ได้ไปเสียก่อน“เจ้าเป็นคนฆ่างูสายรุ้งเองเหรอแม่นาง?”“ใช่แล
ซูซูที่เก็บซากงูเสร็จแล้วก็ลืมเรื่องของเจ้าหน้ากากไปในทันที นางสำรวจดูในตะกร้าก็พบว่าไม่ค่อยมีอะไรนอกจากสมุนไพรเล็กน้อยที่จะนำไปฝากท่านปู่หมอเท่านั้น ซูซูเห็นว่าใกล้จะเย็นแล้วจึงได้ใช้วิชาตัวเบาไปที่ป่าไผ่เพื่อนำหน่อไม้สักสองสามหน่อกลับไปให้ท่านย่าทำอาหารให้นางกับท่านปู่กิน ซูซูไม่ได้เก็บหน่อไม้ให้กับท่านย่านานแล้ว หลังจากนางออกล่าสัตว์ก่อนหน้านี้ ไหน ๆ วันนี้นางก็อยู่ที่เขาลูกนี้แล้ว ซูซูจึงคิดอยากกินขึ้นมาเสียอย่างนั้น หลังจากซูซูเก็บหน่อไม้ได้ตามที่ต้องการแล้ว นางก็เก็บตั๋วแลกเงินเข้าไปในกำไลเก็บของของนางพร้อมรอยยิ้ม อย่างน้อย ๆ นางก็มีเงินสำหรับการออกเดินทางท่องโลกกว้างเพื่อตามหาครอบครัวของร่างเดิมแล้ว ซูซูไม่คิดมากที่นางต้องเสียเห็ดสีรุ้งไป ถึงอย่างไรวิชาสะสมลมปราณของนางก็ช่วยนางได้มากอยู่แล้ว ยิ่งหากนางได้กินดีงูที่มีสรรพคุณป้องกันพิษได้แทบทุกชนิดแล้วล่ะก็ ซูซูยิ่งคิดว่าน่าจะถึงเวลาที่นางจะต้องออกเดินทางเสียที ตอนนี้นางอายุ 14 ย่าง 15 ปีแล้วด้วย หากยังคงรอไปนานกว่านี้ ซูซูกลัวว่านางจะไม่อยากจากท่านปู่ ท่านย่าไปแน่ ๆ ช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมา บรรดาลูกชายขอ
ซูซูเดินกลับบ้านในเวลาไม่นานนัก นางเข้าบ้านไปอย่างเคยชิน แน่นอนว่าตอนนี้อาหารหลายอย่างท่านปู่กับท่านย่าตั้งโต๊ะรอนางอยู่ก่อนแล้วพร้อมรอยยิ้ม“รีบมานั่งกินข้าวเร็วเข้า เจ้านี่นะ อาหารที่ย่าห่อไว้ให้ก็ไม่ยอมกิน มารีบกินข้าวก่อนแล้วค่อยมาคุยกันทีหลัง”“เจ้าค่ะท่านย่า ขอโทษด้วยที่หลานลืมกินเพราะมัวแต่หาสมุนไพรมาฝากท่านปู่หมออยู่น่ะเจ้าค่ะ” ซูซูพูดพร้อมกับนั่งลงยังตำแหน่งประจำของตนเอง นางคีบอาหารให้กับปู่และย่าของนางอย่างคุ้นเคย ทั้งสองคนเองก็ต่างพากันคีบอาหารใส่ถ้วยให้ซูซูเช่นเดียวกัน พวกเขาต่างกินอาหารอย่างไม่เร่งรีบ กระทั่งทุกคนกินข้าวเสร็จ ซูซูลุกขึ้นเก็บจานชามไปล้างตามปกติ ส่วนสองเฒ่าชราก็พากันมานั่งดื่มน้ำอุ่นรอซูซูที่พวกเขาดูเหมือนว่านางมีเรื่องจะพูดด้วย รอกันไม่นาน ซูซูก็มานั่งข้าง ๆ ท่านย่าของนางพร้อมกับกอดแขนและซบลงที่ไหล่ของซวงหยวนเอ๋อ ซวงหยวนเอ๋อหันมองหน้าสามีและลูบหัวให้กำลังใจซูซูเพื่อพูดสิ่งที่ต้องการออกมา“ท่านย่า ท่านปู่ ตอนนี้ข้าก็โตขึ้นมากแล้ว ข้าอยากออกไปตามหาครอบครัวข้าเจ้าค่ะ” เหอหยางเปากับซวงหยวนเอ๋อถึงกับใจหายแว๊บไปหลังจบประโยค
“เพ้ย!!! เรื่องดีบ้านเจ้าน่ะสิ ข้าไม่ยอมให้พวกเจ้าพาหลานสาวข้าไปทรมานอีกหรอกนะ แล้วอีกอย่างมีใครไม่รู้บ้างว่าลูกชายคนที่สามของเจ้าสอบขุนนางสามครั้งไม่เคยผ่านแม้แต่ครั้งเดียว แถมข้ายังได้ข่าวมาอีกว่าลูกชายคนที่สามของเจ้าสำมะเลเทเมากับเหล่าบัณฑิตสอบตกอยู่ในเมืองบ่อย ๆ น่ะ รู้อย่างนี้แล้วเจ้ายังกล้าหาแม่สื่อมาสู่ขอหลานสาวคนดีของข้าอีกหรืออย่างไร”“โธ่ ท่านผู้ใหญ่บ้านเจ้าคะ ก็เพราะลูกชายข้าสอบไม่ผ่านเลยกลับมาอยู่ที่บ้านกับข้าอย่างไรเล่าเจ้าคะ ตอนนี้ลูกใหญ่กับลูกรองก็สอบผ่านหมดแล้ว ค่าใช้จ่ายในบ้านก็เป็นพวกเขาส่งมาให้กับข้าทุกเดือน ข้าเองก็สั่งสอนลูกสามไปแล้วว่าหากให้เขาแต่งงานเขาจะต้องตั้งใจทำมาหากินเลี้ยงดูครอบครัวนะเจ้าคะ ท่านผู้ใหญ่บ้านจะไม่ให้โอกาสลูกชายข้าหน่อยหรือเจ้าคะ อีกอย่างซูซูก็ถึงวัยออกเรือนแล้วด้วย หากครอบครัวข้าไม่มาสู่ขอ จะมีใครกล้าขอเด็กกำพร้าอย่างนางเล่าเจ้าคะ”“เพ้ย!!! เจ้าคิดว่าพวกข้าสองคนโง่กันหรืออย่างไร เจ้ารีบไสหัวออกจากบ้านข้าไปซะ อีกอย่างหลานสาวข้าไม่ใช่เด็กกำพร้า นางยังมีครอบครัวที่รออยู่เสมอ พวกเขาอาจมีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถกลับมาตามหาซูซูได้ก็ได้ เจ้าไม่ต้องมาท
ซูซูที่เข็นรถเข็นไม่รู้สึกเหนื่อยแรงเลยแม้แต่น้อย จนนางคิดว่าท่านปู่ของนางผอมเกินไปแล้ว แบบนี้นางคงต้องซื้อของบำรุงร่างกายพวกท่านเพิ่มเติมเสียหน่อย ส่วนเหอหยางเปาก็รู้สึกดีที่หลานสาวดูแลเขาเช่นนี้ก่อนที่จะจากกันไป ถึงแม้เขากับภรรยาจะอยากรั้งนางเอาไว้ แต่ก็ไม่อยากทำให้นางเสียใจที่ไม่ได้ออกไปตามหาครอบครัวของนาง พวกเขาจึงได้แต่ตัดใจและรักษาร่างกายเพื่อรอวันหนึ่งที่ซูซูจะกลับมาหาพวกเขา ด้วยพลังลมปราณและการใช้วิชาตัวเบาร่วมด้วยนิดหน่อย ทำให้ซูซูใช้เวลาไม่ถึงสองเค่อเหมือนทุกครั้งก็มาถึงประตูเมืองแล้ว นางกลัวว่าหากมาถึงเร็วเกินไปท่านปู่ของนางจะสงสัยเอาได้ นางจึงได้ยั้งเท้าของตนเองเอาไว้บ้าง“ถึงเมืองแล้วเจ้าค่ะท่านปู่ วันนี้ท่านอยากได้อะไรบอกข้ามาเลยนะเจ้าคะ หลานสาวของท่านรวยมากนะเจ้าคะ ฮิ ฮิ”“ฮ่า ฮ่า ตกลง ๆ ปู่จะซื้อของจนเจ้าหมดตัวเลยทีเดียวเชียวล่ะ” ทั้งคู่ต่างหยอกล้อกันไปตามทาง สถานที่แรกที่ซูซูพาท่านปู่ไปคือที่ตลาดสด นางจะได้ซื้อเนื้อ ซื้อซี่โครงหมูกลับไปทำอาหารบำรุงร่างกายท่านปู่ท่านย่าของนาง เหอหยางเปาพอสังเกตทิศทางแล้วก็รู้ว่าหลานสาวจะไปที่ไหน เขาได้แต่อ
สี่ปีผ่านไป อ๋องน้อยและท่านหญิงที่ได้รับอนุญาตให้เข้าวังบ่อย ๆ วันนี้พวกเขาก็มาเล่นกับเสด็จปู่ เสด็จย่าที่ตำหนักเฟิ่งหวงพร้อมกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ โดยที่ฮ่องเต้ทรงงดเว้นธรรมเนียมให้กับหลานทั้งสองที่ร่าเริงสดใสของพระองค์“เจ้าดูสิ นับวันอ๋องน้อยยิ่งตัวสูงใหญ่กว่าเด็กทั่วไปมากนัก ช่างเหมือนจ้าวหลงตอนเด็ก ๆ ไม่มีผิด”“จริงด้วยเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันเองก็คิดว่าอ๋องน้อยน่าจะเติบโตขึ้นมาตัวสูงใหญ่เหมือนพ่อของเขาเป็นแน่” ฮ่องเต้กับฮองเฮาคุยกันพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า พวกเขาได้แต่นึกถึงตอนที่นำอ๋องเฉิงมาเลี้ยงในวัยเด็กแล้วก็ยิ่งอยากเลี้ยงอ๋องน้อยกับท่านหญิงอีกครั้ง เพียงแต่ตอนนี้ทั้งสองพระองค์พระชนมายุมากแล้ว ไม่สามารถวิ่งเล่นกับหลาน ๆ ได้เหมือนเมื่อก่อนตอนเลี้ยงอ๋องเฉิง เพียงแค่ได้นั่งมองพวกเขาเล่นกัน ทั้งสองพระองค์ก็มีความสุขไม่น้อยแล้ว
เมื่ออ๋องน้อยมาถึงหน้าห้องคลอด พระองค์ทรงเห็นเสด็จพ่อนั่งรออยู่อย่างกระวนกระวาย อ๋องน้อยจึงเดินเข้าไปหาแล้วปีนขึ้นไปนั่งบนตักเสด็จพ่อ อ๋องเฉิงไม่คิดว่าลูกชายจะมาเร็วขนาดนี้ ปกติอ๋องน้อยจะตื่นตอนสาย ๆ แต่วันนี้เขากลับมาที่นี่เพื่อเป็นกำลังใจให้พระองค์กับพระชายาที่กำลังจะคลอด“เด็จพ่อรอน้องกับข้านะขอรับ” เสียงเล็ก ๆ แสนรู้ความเอ่ยออกมาพร้อมอ้อมกอดน้อย ๆ ที่เอื้อมไปกอดคอพ่อของตนเอง“อืม… เจ้าเป็นพี่ที่ดี มานั่งดี ๆ รอน้องกันเถอะ ขอบใจเจ้ามากที่มาให้กำลังใจเสด็จแม่ของเจ้า” อ๋องเฉิงลูบหัวบุตรชายแล้วปรับท่านั่งให้เขาได้นั่งบนตักอย่างสบาย ๆ ในห้องคลอด ซูซูปวดท้องมากจนนางอยากกรีดร้องออกมา แต่ด้วยนิสัยที่มักจะเก็บงำความเจ็บปวดเอาไว้ นางจึงทำเพียงกัดฟันอดทนแล้วหายใจตามจังหวะที่หมอตำแยกับแม่นมฉู่ช่วยกันบอกนางเท่านั้น“พระชายาอดทนอีกสักนิดนะเพคะ อีกไม่นานก็น่า
วันต่อมามีขบวนของขวัญจากวังหลวงและจวนตระกูลฟางยาวนับหลายลี้มาจอดอยู่เต็มหน้าจวนอ๋อง ทำเอาชาวบ้านชาวเมืองต่างอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นอีกแล้วกับจวนอ๋อง ขันทีที่ได้รับพระราชโองการแสดงความยินดีกับจวนอ๋องรีบประกาศราชโองการพร้อมกับพระราชเสาวนีย์ของฮองเฮาที่ร่วมแสดงความยินดีกับจวนอ๋องเช่นเดียวกัน“ข้าขอแสดงความยินดีกับจวนอ๋องที่กำลังจะมีทายาทอีกหนึ่งคน สิ่งของเหล่านี้เป็นของรับขวัญหลานคนที่สองของข้า หวังว่าการตั้งครรภ์ของพระชายาจะดำเนินไปอย่างราบรื่นปลอดภัยจนกว่าจะถึงวันประสูติ จบราชโองการ” ชาวเมืองที่พากันมามุงเมื่อได้ยินขันทีประกาศราชโองการเสียงดัง พวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจึงได้มีขบวนของขวัญมากมายถึงเพียงนี้ สมแล้วที่จวนอ๋องได้รับพระเมตตาจากฮ่องเต้กับฮองเฮามาอย่างยาวนาน ไหนจะบ้านเดิมของพระชายาที่เป็นถึงคหบดีที่ร่ำรวยของแคว้นอีกเล่า ไม่แปลกที่เพียงแค่การตั้งครรภ์
สองสัปดาห์ต่อมา ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ซูซูรู้สึกหิวมากกว่าปกติอย่างไรก็ไม่ทราบ แถมนางยังชอบกินขนมหวานแทบทั้งวันอีกด้วย กระทั่งหลังอาหารเช้าวันนี้ ขณะที่นางกำลังอุ้มบุตรชายพาเดินเล่นอยู่นั้นนางก็เกือบจะล้มลงบนพื้นทั้งแม่และลูก ด้วยเพราะซูซูจู่ๆ ก็หน้ามืดไปเสียเฉย ๆ โชคดีที่อ๋องเฉิงวันนี้อยู่กับพวกนางด้วย พระองค์รีบรับร่างภรรยากับบุตรชายแล้วอุ้มทั้งคู่เข้าไปยังห้องนอนในเรือนเล็กของซูซูที่อยู่ใกล้ที่สุด อ๋องเฉิงรีบร้องบอกให้องครักษ์ไปตามหมอหลวงมาทันที ตอนนี้พระองค์ทรงเป็นห่วงภรรยาไม่น้อย เพราะตอนนี้นางยังไม่ลืมตาขึ้นมาเลย ส่วนบุตรชายของพระองค์ไม่ได้ตกอกตกใจอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อ๋องน้อยเพียงแต่มองท่านพ่อที่เรียกคนให้นำผ้ากับอ่างน้ำมาเพื่อเช็ดหน้าให้กับท่านแม่ของพระองค์“ซูซู ซูซู เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ลืมตาขึ้นมาให้ข้าเบาใจหน่อยภรรยา อย่าทำให้ข้ากลัวเช่นนี้ ซูซู” อ๋องเฉิงเช็ดห
หนึ่งเดือนต่อมา อ๋องเฉิงที่ส่งทหารออกไปยังแคว้นจ้านเมื่อหลายเดือนก่อนก็ได้รับข่าวตอบกลับจากทหารที่เพิ่งเดินทางกลับมาถึงค่ายทหารนอกเมืองหลวง“ทูลท่านอ๋อง นี่เป็นจดหมายจากองค์ชายสามที่ให้กระหม่อมนำมามอบให้พระองค์เพื่อส่งต่อไปยังฝ่าบาทพะย่ะค่ะ เหตุการณ์ที่แคว้นจ้านนั้นสงบสุขดีพะย่ะค่ะ ตอนนี้องค์ชายสามก็ส่งขุนนางเดินทางออกไปแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้กับประชาชนทั่วแคว้นได้เกือบครึ่งปีแล้วพะย่ะค่ะ อีกทั้งพระชายาก็คลอดองค์ชายน้อยได้สามเดือนแล้ว จึงทำให้องค์ชายสามไม่ค่อยมีเวลาที่จะส่งข่าวกลับมาให้พระองค์พะย่ะค่ะ” อ๋องเฉิงพยักหน้ารับจดหมายจากทหารแล้วเปิดอ่านเนื้อหาด้านในก่อนที่จะเข้าวังและนำไปมอบให้กับเสด็จลุงของพระองค์ ภายในจดหมายนั้นเขียนถึงความสำเร็จในการซื้อใจประชาชนขององค์ชายสามและกองทหารรักษาเมือง ยิ่งเมื่อเหล่าประชาชนในแคว้นจ้านเห็นถึงความเมตตาขององค์ชายสามและขุนนางที่ตั้งใจจะมาพัฒนาแคว้นของ
“อืม… เอาล่ะ เราเลิกคุยเรื่องงานกันเถอะ ข้าอยากเล่นกับหลานแล้ว” อ๋องเฉิงเห็นท่าทางกระปรี้กระเปร่าของสหายที่พอพูดถึงหลานชายเข้าเมื่อไหร่ก็มักจะมีอาการเช่นนี้ พระองค์ได้แต่ยิ้มแล้วพาสหายเดินไปยังห้องโถงรับแขกที่เรือนเล็กของบุตรชายที่พระองค์สั่งคนเตรียมเอาไว้สำหรับอ๋องน้อยเมื่อเขาโตกว่านี้ในอีกไม่กี่ปี ในเรือนของอ๋องน้อยเต็มไปด้วยบ่าวรับใช้ที่คอยดูแลท่านอ๋องน้อยเวลาเล่นของเล่นอยู่ในห้องโถงรับแขกกับพระชายา ท่านตาและท่านยายที่มาเยี่ยมก่อนหน้าที่ลูกชายอย่างฟางฉือห่าวจะมาถึง“อ้าว ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันขอรับ”“พ่อกับแม่มากันตั้งแต่เช้าแล้ว วันนี้พ่อนำของเล่นใหม่มาให้อ๋องน้อยด้วยนะเจ้าดูสิ พ่อสั่งคนทำขึ้นมาเป็นพิเศษให้เขาเลยนะเนี่ย” ฟางเซียนหลงชี้ไปที่ม้าโยกไม้ที่ดูแ
หลังจากงานเลี้ยงฉลองครบรอบร้อยวันของอ๋องน้อย ฮ่องเต้ก็ทราบแล้วว่าใครเป็นคนบงการให้นักฆ่ามาลอบทำร้ายอ๋องน้อยของพระองค์ พระองค์ไม่คิดว่าจะเป็นเสนาบดีหลานอีกครั้ง ครั้งนี้พระองค์ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานใด ๆ นอกจากตั๋วแลกเงินที่อยู่ในตัวคนร้ายซึ่งมีตราประทับของจวนเสนาบดีหลานอย่างชัดเจน ถึงแม้พระองค์จะไม่รู้ว่าเขาใช้ใครไปจ้างคนก็ตาม อย่างน้อยตอนนี้พระองค์ก็มีทั้งพยานที่เป็นนักฆ่าและตั๋วแลกเงินซึ่งสามารถเอาผิดเสนาบดีหลานได้แล้ว ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้ทหารไปล้อมจวนเสนาบดีเอาไว้ตั้งแต่ทราบเรื่อง ก่อนที่พระองค์จะออกพระราชโองการให้ขันทีในวังไปประกาศความผิดที่หน้าจวนเสนาบดีหลานในวันถัดไป เสนาบดีหลานที่รู้ว่างานที่ส่งคนไปจัดการไม่สำเร็จอีกแล้วก็เตรียมตัวหนีออกจากจวน เพียงแต่เหล่าองครักษ์ที่คอยเฝ้าจวนเสนาบดีหลานไม่ปล่อยโอกาสให้เขาได้หนีไปง่าย ๆ พวกเขาส่งคนไปส่งข่าวกับทั้งฮ่องเต้และท่านอ๋อง กระทั่งจวนเสนาบดีหลานนั้นถูกล้อมรอบเอาไว้ทุกด้านจนแม้แต่แมลงสักตัวก็ไม่สามารถที่จะเข้าและออกได
ณ จวนเสนาบดีหลาน วันนี้เขาไม่ยอมไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนอ๋องเพราะรู้ว่าตนเองไม่อาจปั้นหน้ายิ้มแย้มให้กับคนที่สั่งประหารภรรยาและลูกสาวคนเดียวของเขาได้ โดยเขาได้ส่งพ่อบ้านไปส่งของขวัญและขออภัยท่านอ๋องซึ่งใช้ข้ออ้างว่าตนเองไม่สบาย จึงกลัวว่าจะทำให้คนอื่นไม่สบายตามไปด้วย แต่ความจริงแล้ว เสนาบดีหลานได้จ้างนักฆ่าไปจัดการอ๋องน้อยก่อนหน้าวันงานแล้ว โดยเขายังให้นักฆ่าแฝงตัวเป็นบ่าวในจวนที่นำของขวัญไปร่วมแสดงความยินดีแทนตัวเขา ไม่ว่านักฆ่าจะทำสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้ว เพราะทุกครั้งที่เขาสืบทราบว่าจวนอ๋องนั้นมีความสุขเพียงใด ในใจของเขากลับยิ่งแค้นใจมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าความผิดของภรรยากับบุตรสาวที่จากไปของเขานั้นร้ายแรงขนาดไหน ในใจเขาก็ยังคงยอมรับการตัดสินโทษในครั้งนั้นไม่ได้อยู่ดี ที่จวนอ๋องในตอนนี้ เสนาบดีกรมพิธีการกำลังดำเนินพิธีตามราชประเพณีที่ให้ฮ่องเต้ ฮองเฮา ท่านอ๋องและพระชายาร่วมวางสิ่งของแทนเส้นทางในอ
หนึ่งวันก่อนงานฉลองร้อยวัน ตั้งแต่ซูซูคลอดอ๋องน้อยออกมา ตระกูลฟางก็แทบจะมาที่จวนอ๋องวันเว้นวันกันเลยทีเดียว พวกเขารักหลานคนแรกที่อวบอ้วนมากจนอดทนไม่ไหวที่จะห่างจากหลานหลายวัน ท่านอ๋องเองก็เช่นเดียวกัน หากไม่มีงานที่จะต้องออกจากจวน พระองค์ก็จะไม่ออกไปไหนนอกจากการช่วยภรรยาเลี้ยงดูบุตรชาย พระองค์ยังเคยขอลองชิมน้ำนมจากภรรยาแต่กลับถูกนางมองแรงใส่จนพระองค์ไม่กล้าขอชิมอีกเลย ด้วยกลัวว่าพระองค์จะได้ชิมกระบี่บินแทนที่จะได้กินนมเหมือนเจ้าลูกชาย ทำอย่างไรได้ในเมื่อพระองค์ไม่ได้ร่วมรักกับภรรยามาปีกว่าแล้วตั้งแต่นางตั้งครรภ์ พระองค์ใช่ว่าจะเป็นพระอิฐพระปูนเสียที่ไหน แต่ด้วยคำสั่งห้ามของภรรยาว่านางยังเจ็บแผลอยู่ จึงทำให้อ๋องเฉิงต้องอดทนมาจนกระทั่งลูกชายอายุจะครบร้อยวันในวันพรุ่งนี้แล้ว วันนี้ที่จวนอ๋องต่างวุ่นวายจัดเตรียมงานให้กับท่านอ๋องน้อยของพวกเขาอย่างยิ่งใหญ่ เนื่องจากท่านอ๋องแจ้งไว้ก่อนหน้าแล้วว่าฮ่องเต้และฮองเฮาจะเสด็จมาเป็นประธา