หลังทานอาหารเย็นแล้วซูซูก็นำถ้วยชามไปล้างตามปกติ นางมักจะช่วยเหลืองานท่านปู่ท่านย่าตั้งแต่อาการบาดเจ็บเริ่มหายดีมาตลอด ช่วงหลังมานี้ทั้งสองเฒ่าชราเองก็ปล่อยให้นางทำงานได้ตามใจชอบ พวกเขาไม่อยากเลี้ยงนางเหมือนไข่ในหินมากนัก แค่นี้พวกเขาก็ต่างให้ความรักความอบอุ่นกับนางมากพอแล้ว พวกเขากลัวว่าหากดูแลนางมากเกินไป ซูซูคงรู้สึกว่าตนเองเป็นภาระให้กับพวกเขา
ซูซูล้างจานเสร็จก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่ท่านย่านำเสื้อผ้าเก่า ๆ ของลูกชายนางมาเย็บเป็นเสื้อผ้าให้ซูซูตั้งแต่หลายเดือนก่อนแล้ว ทำให้ตอนนี้ซูซูมีเสื้อผ้าเปลี่ยนถึงห้าชุดเลยทีเดียว ก่อนนอนซูซูก็ยังเข้าไปบอกฝันดีกับท่านปู่ท่านย่าตามที่นางทำมาตลอดตั้งแต่หายจากอาการบาดเจ็บ เฒ่าชราทั้งสองต่างยิ้มพร้อมตอบกลับให้นางหลับฝันดีเช่นเดียวกัน พวกเขาไม่เหงาเลยตั้งแต่มีเด็กน้อยซูซูมาอยู่ร่วมชายคา อีกทั้งซูซูยังคอยช่วยงานพวกเขาไม่น้อยทั้งที่ตัวเล็กเพียงแค่นี้ นับวันยิ่งทำให้ทั้งสองเฒ่านั้นทั้งรักทั้งหลงหลานสาวตัวน้อยคนนี้มากขึ้นทุกวัน
หลังอาหารเช้าวันต่อมา ซูซูเตรียมตะกร้าสะพายหลังเพื่อขึ้นเขาอีกครั้ง นางบอกท่านปู่กับท่านย่าแล้วว่าหลังจากนี้จะขึ้นเขาไปหาของป่ามาขายทุกวัน อีกทั้งยังเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่งจะได้ทำให้นางร่างกายแข็งแรงขึ้น สองเฒ่าได้แค่คิดตามแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย เพียงแต่บอกให้นางเดินอย่างระมัดระวัง บนเขานั้นไม่ใช่มีเพียงแต่ของป่า หากเจอสัตว์ป่าตัวใหญ่ก็ให้นางรีบหนีลงเขามาเสียด้วย
ซูซูรับปากกับท่านปู่ท่านย่าพร้อมรอยยิ้ม ก่อนที่จะเดินกระโดดโลดเต้นเหมือนเด็ก ๆ ไปยังหลังเขา เหอหยางเปากับซวงหยวนเอ๋อได้แต่ส่ายหัวพร้อมรอยยิ้มกับหลานสาวผู้ร่าเริงคนนี้ พวกเขาไม่คิดจะต่อว่าหากนางต้องการหาเงินเล็กน้อยด้วยตัวเอง เพียงแต่สั่งให้นางระมัดระวังตนเองให้ดีอย่าให้พวกเขาเป็นห่วงมากนักก็เพียงเท่านั้น พวกเขาเพิ่งจะรับนางเข้ามาดูแลได้เพียงแค่สามเดือน มีหรือที่พวกเขาจะอยากให้นางบาดเจ็บขึ้นมาอีกครั้ง
ซูซูใช้เวลาไม่นานในการขึ้นเขาลึกเข้าไปมากกว่าเมื่อวาน ด้วยวิชาตัวเบาของนางทำให้นางขึ้นไปถึงเกือบยอดเขาแล้ว แต่ด้วยกลัวว่าตัวเองจะพลาดสมุนไพรดี ๆ ซูซูจึงยังไม่ขึ้นไปถึงยอดเขา นางเดินหาของป่าและสมุนไพรเหมือนกับเมื่อวานนี้อย่างไม่เร่งรีบ กระทั่งซูซูพบเข้ากับใบโสมที่นางจำได้ในโลกก่อนของนาง ซูซูรีบเข้าไปนั่งลงดูให้ชัด ๆ เมื่อเห็นว่าเป็นใบโสมแน่แล้ว ซูซูก็ใช้พลังลมปราณพร้อมมีดสั้นค่อย ๆ เซาะดินรอบ ๆ ต้นโสมลงไปอย่างช้า ๆ นางรู้ดีว่าหากรากโสมขาดไปสักเล็กน้อยแล้วล่ะก็ ราคาของโสมก็จะไม่ได้ราคาเต็มอย่างแน่นอน ยิ่งซูซูเหลือบมองทั่วบริเวณ นางก็พบว่ายังมีต้นโสมให้นางเก็บอีกไม่น้อย ซูซูจึงระมัดระวังในการขุดโสมต้นแรกเป็นอย่างมาก
ซูซูขุดดินรอบ ๆ ต้นโสมจนร่วนซุยและลึกมากพอแล้ว นางจึงค่อย ๆ ดึงต้นโสมขึ้นมาอย่างเบามือเพื่อไม่ให้รากโสมขาด หลังจากดึงขึ้นมาตรวจสอบดูแล้วเห็นว่ารากโสมต้นนี้สมบูรณ์ดี ซูซูก็หาใบไม้แห้งมารองที่ก้นตะกร้าสะพายหลังของนางแล้ววางโสมต้นแรกลงไป ซูซูตั้งใจที่จะคัดเลือกโสมที่ดูไม่น่าจะมีราคานักไปให้ท่านปู่หมอกับปู่และย่าของนางต้มกินบำรุงร่างกาย ส่วนโสมที่อายุมากและมีราคาสูง ซูซูจะเก็บใส่กำไลเก็บของของนางเพื่อรอวันนำไปขายในเมืองทีหลัง
เมื่อซูซูมีประสบการณ์การเก็บโสมต้นแรกแล้ว โสมต้นถัด ๆ ไปนางก็ขุดได้เร็วยิ่งขึ้น กระทั่งได้โสมทั้งหมดมาเกือบยี่สิบต้น นางคัดต้นที่อายุน้อยที่สุดออกมาเพียงสามต้นเท่านั้น เพื่อป้องกันความสงสัยของท่านปู่หมอกับท่านปู่และท่านย่าของนาง ส่วนต้นที่อายุมากซึ่งมีถึงสิบกว่าต้นนั้น ซูซูเก็บเอาไว้ในกำไลเก็บของเรียบร้อยแล้ว นางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อดูเวลาก็เห็นว่าตอนนี้น่าจะบ่ายกว่าแล้ว ซูซูจึงเดินหาของป่ารอบ ๆ บริเวณหลังจากขุดโสมเสร็จแล้วเพื่อนำไปให้ท่านปู่ท่านย่าทำอาหารกิน แต่กลับพบว่าบริเวณนี้นอกจากโสมแล้วกลับไม่มีของป่าอื่น ๆ เลย ซูซูจึงได้แต่ใช้วิชาตัวเบากลับไปที่ป่าไผ่ซึ่งยังคงเหลือหน่อไม้อีกไม่น้อยให้นางเก็บกลับบ้านได้
ซูซูมาถึงป่าไผ่แล้วก็ไม่รอช้า นางนำโสมสามต้นมาใส่เอาไว้ในอกเสื้อแทน ก่อนที่จะขุดหน่อไม้ด้วยความรวดเร็วจนกระทั่งเต็มตะกร้าสะพายหลังของนางเหมือนเมื่อวานนี้ จากนั้นซูซูก็รีบลงจากเขาไปเพื่อนำหน่อไม้ไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านและท่านปู่ท่านย่าของนางเหมือนเคย
ซูซูกลับถึงบ้านตรงเวลาที่ท่านปู่กับท่านย่ากำชับเอาไว้ นางยังคงร้องเสียงหวานเรียกท่านปู่ท่านย่าเหมือนเมื่อวานนี้ ทั้งยังบอกเล่าเรื่องการหาหน่อไม้ป่าและแจกจ่ายชาวบ้านให้พวกท่านฟังด้วยรอยยิ้มเช่นเคย เฒ่าชราทั้งสองต่างยิ้มและลูบหัวเล็ก ๆ ของซูซูพร้อมกับชมว่านางช่างเป็นเด็กที่รู้ความนัก
“ท่านปู่ ท่านย่า พวกเรารีบเข้าบ้านกันก่อนเจ้าค่ะ ข้ามีของดีมาให้ท่านด้วยนะเจ้าคะวันนี้ แต่เรื่องนี้พวกท่านต้องเก็บเป็นความลับนะเจ้าคะ”
เหอหยางเปากับซวงหยวนเอ๋อได้แต่หันมองหน้ากันอย่างสงสัยว่าหลานสาวตัวน้อยของพวกเขาซ่อนอะไรเอาไว้ในน้ำเต้าของนางกัน แต่พวกเขาก็ยังเดินตามหลังหลานสาวตัวน้อยเข้าบ้านกันอย่างที่นางต้องการ
ซูซูที่เห็นว่าท่านปู่ท่านย่าเข้าบ้านมาแล้วนางก็รีบปิดประตูแล้วจับมือทั้งสองผู้เฒ่ามานั่งลงดี ๆ ก่อนที่พวกเขาจะตกใจจนเป็นอะไรไปหากเห็นโสมของนาง
“ท่านปู่ ท่านย่า ท่านลองดูก่อนว่านี่คืออะไร ข้าบังเอิญเจอมันอยู่บนเขา จึงได้นำมาให้พวกท่านทั้งสองต้มทานเพื่อบำรุงร่างกายเจ้าค่ะ” ซูซูหยิบโสมหนึ่งต้นออกมาให้ทั้งสองคนดู โดยนางวางโสมเอาไว้ที่โต๊ะต่อหน้าท่านปู่ท่านย่าพร้อมรอยยิ้มอย่างสมใจที่นางสามารถทำตามที่ตนเองเคยสัญญาเอาไว้นานแล้วว่าจะหาโสมมาบำรุงร่างกายพวกท่าน วันนี้นางทำได้แล้ว
“นี่มันโสมนี่นา ซูซูเจ้าไปได้มาจากที่ไหนกัน บนเขายังไม่เคยมีใครหาโสมเจอมาก่อน นี่เจ้าเข้าไปถึงส่วนใดของภูเขากันแน่”
“โธ่ ท่านปู่เจ้าคะ ข้าก็ขึ้นเขาไปปกตินั่นแหละเจ้าค่ะ แต่ข้าคิดว่าชาวบ้านน่าจะไม่รู้จักใบของโสมจึงไม่ได้ขุดไป ส่วนข้าที่พอจะจดจำได้บ้างเพียงแค่ลองขุดดูเท่านั้น พอเห็นว่าเป็นโสมจริง ๆ ข้าจึงขุดขึ้นมาทั้งหมดสามต้นเลยนะเจ้าคะ อีกต้นหนึ่งข้าจะนำไปให้ท่านปู่หมอ และอีกต้นที่เหลือข้าคิดที่จะเอาเข้าไปขายที่ร้านหมอในเมืองวันพรุ่งนี้เจ้าค่ะ”
“เฮ้อ เจ้านี่นะ อย่าทำให้ปู่กับย่าเจ้าเป็นห่วงจะได้หรือไม่ แล้วเจ้าไม่เสียดายหรือที่ต้องนำโสมมาให้ปู่กับย่าต้มกินน่ะ”
“ข้าจะเสียดายไปทำไมกันเล่าเจ้าคะ ข้าอยากให้พวกท่านแข็งแรงและอยู่กับข้าไปนาน ๆ จึงได้นำมาให้พวกท่านอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
“โธ่เอ้ย เจ้าเด็กโง่ เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าโสมมีราคาแพงแค่ไหนน่ะ”
“ข้ารู้เจ้าค่ะ แต่ข้าเป็นห่วงพวกท่านมากกว่าเงินทองนี่เจ้าคะ ไม่รู้แหละ อย่างไรข้าก็จะนำมันมาต้มให้พวกท่านกินบำรุงร่างกายอยู่ดีเจ้าค่ะ”
สองเฒ่าได้แต่ส่ายหัวทั้งรอยยิ้มกับความเป็นห่วงของเจ้าตัวน้อยตรงหน้า แน่นอนว่าพวกเขาดีใจที่เห็นนางกตัญญูเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็ยิ่งต้องบำรุงร่างกายอย่างที่ซูซูบอกเอาไว้ให้ดี เพื่อจะได้อยู่ดูแลนางจนเติบใหญ่ไปอีกหลายปี
เมื่อซูซูเห็นว่าท่านปู่ท่านย่านั้นยอมรับแล้ว นางจึงขออนุญาตนำโสมอีกต้นไปให้ท่านปู่หมอสักพัก ก่อนจะกลับมาทานข้าวเย็นกับพวกท่านทีหลัง เหอหยางเปากับซวงหยวนเอ๋อได้แต่ต้องอนุญาตให้นางรีบไปรีบกลับ พวกเขาเองก็จะได้มีเวลาช่วยกันทำอาหารให้ซูซูเช่นเดียวกัน ไหนพวกเขายังจะต้องต้มโสมบำรุงร่างกายอีก ทั้งสองเฒ่าต่างตกลงกันว่าจะหั่นโสมเป็นชิ้น ๆ แล้วทยอยต้มวันละชิ้นจนกว่าจะหมด แทนที่การต้มกินเพียงครั้งเดียว อย่างไรพวกเขาก็แก่มากแล้ว จึงเกรงว่าหากกินโสมเข้าไปในคราวเดียวแล้วจะทำร้ายร่างกายมากกว่าการบำรุง
ซูซูที่เห็นว่าท่านปู่ท่านย่าไม่ได้ว่าอันใดที่นางจะไปบ้านปู่หมอ นางจึงเดินเร็ว ๆ ออกจากบ้านไปเพื่อจะได้รีบกลับมาช่วยท่านปู่ท่านย่าทำอาหารด้วย ซูซูใช้เวลาเดินไปบ้านหมอไม่ถึงหนึ่งเค่อ จากนั้นนางก็ตะโกนเรียกท่านปู่หมอเหมือนเมื่อวานไม่มีผิดเพี้ยน หมอรีบเดินออกมาเปิดประตูรั้วให้ซูซูเข้าไปในบ้านเช่นเคย เขาพานางมานั่งที่แคร่ก่อนจะเอ่ยถามว่าวันนี้นางมีเรื่องอันใดอีกจึงได้มาหาเขา ซูซูไม่ตอบแต่กลับยิ้มหวานให้ท่านปู่หมอพร้อมกับค่อย ๆ หยิบโสมอีกต้นออกมาจากอกเสื้อแล้วส่งให้กับปู่หมอที่ดูจะตกตะลึงไปเสียแล้ว“นี่ข้าเก็บมาให้ท่านปู่หมอเจ้าค่ะ ท่านรีบรับไปสิเจ้าคะ อย่าให้ใครเห็นนะเจ้าคะ เร็วๆ เข้าท่านปู่หมอ” เมื่อหมอได้ยินเสียงเล็ก ๆ เร่งเร้าเขาก็กลับมาได้สติและรีบสำรวจโสมในมือซึ่งพบว่าซูซูนั้นขุดมาได้อย่างสมบูรณ์มาก ไม่มีรากเล็ก ๆ ขาดแม้แต่เส้นเดียว“เจ้าไปได้มาอย่างไรกันซูซู ชาวบ้านขึ้นเขากันทุกวันกลับไม่เคยพบโสมแม้แต่ต้นเดียวมานานหลายปีแล้ว อีกอย่างเจ้าขุดมาได้สมบูรณ์มากอย่างไม่น่าเชื่อ นี่เจ้ามีความรู้เรื่องสมุนไพรด้วยหรืออย่างไร”“ชู่ว ท่านปู่หมอพูดเบา ๆ สิเ
สองปู่หลานรอกันไม่นานนักก็ได้ยินเสียงเปิดประตู ทั้งสองคนหันหลังกลับไปดูก็พบว่ามีชายชราเครายาวคนหนึ่งเดินนำเข้าห้องมา ส่วนพนักงานร้านก็ถือถาดน้ำชามาวางให้กับพวกเขาก่อนจะออกจากห้องพร้อมกับปิดประตู“คนของข้าบอกว่าพวกท่านมาขายโสมใช่หรือไม่?”“อ่า ใช่แล้วขอรับ พวกเรามาขายโสมขอรับ เชิญเถ้าแก่ดูโสมต้นนี้ให้พวกข้าปู่หลานด้วยนะขอรับว่าน่าจะขายได้ราคาเท่าไหร่”“อืม เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว” เถ้าแก่ร้านหมอตรวจสอบความสมบูรณ์ของต้นโสมก็พบว่าคนขุดขุดได้อย่างดีจนแม้แต่รากแก้วเล็ก ๆ ก็ไม่มีความเสียหายเลยแม้แต่น้อย ไม่นานนักหลังจากตรวจสอบอายุของโสมแล้วพบว่าโสมต้นนี้มีอายุ 70 ปีซึ่งหาไม่ได้ง่าย ๆ ในพื้นที่แถวนี้ เถ้าแก่ร้านเงยหน้าขึ้นจากการดูโสมแล้วตีราคาให้สองปู่หลานตรงหน้าเขา“ข้ารับซื้อโสมต้นนี้ที่ 700 ตำลึง เจ้าคิดว่าอย่างไร?”“เอ่อ โสมต้นนี้สมบูรณ์มากเลยนะขอรับ ไม่ทราบว่าเถ้าแก่พอจะเพิ่มราคาให้พวกเราอีกหน่อยจะได้หรือไม่ขอรับ” ซูซูตัวน้อยหรี่ตามองเถ้าแก่ที่ให้ราคาโสมอายุ 70 ปีของนางเพียงแค่ 700 ตำลึง ต้องรู้ว่าแถบนี้ไม่มีใครเคยหาโสมมาขายที่ร้านหมอแม้แต่น้อย อีกอย่างโ
เมื่อสองปู่หลานมาถึงตลาดสดแล้ว เหอหยางเปาก็พาหลานสาวไปที่ร้านขายเนื้อหมูตามที่นางต้องการ ซูซูชี้ ๆ เอาทั้งเนื้อหมูและกระดูกเพื่อนำไปต้มซุปให้กับท่านปู่ท่านย่ากินบำรุงร่างกาย ส่วนผักนั้นนางซื้อไม่มากนักเพราะท่านปู่บอกว่าที่สวนมีผักอีกมากนัก เหอหยางเปาถือเนื้อหนัก ๆ แทนหลานสาว ส่วนซูซูนั้นถือเพียงผักไม่กี่ต้นเท่านั้น ขณะที่กำลังเดินออกจากตลาด ซูซูก็เงยหน้าหันไปหาท่านปู่เพื่อขอให้ท่านพาไปที่ร้านขายเสื้อผ้าต่อ“เหตุใดเจ้าต้องไปร้านขายเสื้อผ้าด้วยเล่า ท่านย่าเจ้าเย็บเอาไว้ให้หลายตัวแล้วนี่นา”“โธ่ ท่านปู่เจ้าคะ ข้าใช่ว่าอยากได้เสื้อผ้าของตัวเองอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่เล่า ข้าอยากซื้อให้ท่านปู่กับท่านย่าต่างหากเล่าเจ้าคะ ส่วนของข้าที่ต้องซื้อเพิ่มเพราะท่านย่าอายุมากแล้ว หากปล่อยให้นั่งเย็บนาน ๆ สายตาท่านย่าจะเสียเอาได้”“อ้อ เช่นนั้นปู่ก็จะพาเจ้าไป ปู่คิดน้อยไปจริง ๆ ขอบใจเจ้ามากนะซูซูที่ช่วยปู่ดูแลย่าของเจ้าน่ะ”“แน่นอนว่าต้องเป็นหน้าที่ของหลานสาวที่น่ารักคนนี้ของท่านปู่อยู่แล้วเจ้าค่ะ ฮิ ฮิ ท่านปู่ใยจะต้องขอบคุณข้าอีกเล่าเจ้าคะ”“เฮ้อ เจ้านี่นะ นับว่าข้าคิดไม่ผิดที่พาเจ้ามาอยู่ด้
ท่านย่าที่ออกมาดูหน้าบ้านว่าเสียงใครมาเอะอะกันก็ได้แต่มองรถเข็นพร้อมกับสิ่งของมากมายในรถอย่างตกตะลึง นางได้แต่กระซิบถามสามีว่านี่มันอะไรกัน เหอหยางเปาได้แต่บอกให้ภรรยาช่วยกันขนของเข้าบ้านเสียก่อนค่อยคุยกันก็ยังไม่สาย ซวงหยวนเอ๋อกับซูซูที่ปิดประตูเรียบร้อยแล้วก็เข้ามาช่วยยกของเข้าไปในบ้านด้วยเช่นเดียวกัน หลังจากทุกคนช่วยกันขนสิ่งของเข้าบ้านเรียบร้อยแล้ว เหอหยางเปาก็นำรถเข็นไปเก็บไว้ที่ด้านข้างของบ้าน จากนั้นเขาก็เดินกลับเข้าบ้านเพื่อพูดคุยกับภรรยา ส่วนซูซูก็รีบออดอ้อนท่านย่าอย่างรู้งาน นางรู้ดีว่าท่านย่าจะต้องบ่นว่าซื้อของมาเยอะเกินไปเป็นแน่ แต่นี่เป็นความกตัญญูของนางที่อยากจะทำให้กับท่านปู่ท่านย่านี่นา“ว่าอย่างไรตาเฒ่า เหตุใดเจ้าจึงซื้อของมาเสียมากมายขนาดนี้ เจ้าไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะกัน”“เพ้ย!!! เจ้าไม่ถามหลานสาวสุดที่รักเจ้าดูเล่า ข้าหรือจะมีเงินมากมาย เป็นนางที่ไปขายโสมได้เงินมาแล้วจึงอยากซื้อสิ่งของเหล่านี้เข้าบ้านต่างหากเล่า”“จริงหรือซูซู?”“เจ้าค่ะท่านย่า ข้าไม่อยากให้ท่านปู่ ท่านย่าลำบากมากนัก เมื่อมีเงินเหลือกินเหลือใช้แล้ว ข้าก็อยากนำสิ่งดี ๆ มาให้พวก
ซูซูที่ไม่รู้ว่าอีกไม่นานจะมีคนมาแย่งเห็ดของนางก็ได้แต่ต่อสู้กับงูสายรุ้งตัวใหญ่อย่างเต็มกำลัง ขณะที่งูชูคอขึ้นมาเพื่อจะเลื้อยมาทำร้ายนาง ซูซูก็บังคับกระบี่บินไปยังจุดตายของงูสายรุ้งที่อยู่ใต้ลำคอของมันจนกระบี่เสียบทะลุเข้าไปจนมิดด้าม ซูซูมองไปยังงูสายรุ้งที่นางต่อสู้ด้วยอย่างยากลำบาก ในที่สุดนางก็ปราบมันลงได้เสียที จากนั้นซูซูบังคับกระบี่บินให้ออกมาจากตัวงูแล้วเก็บกระบี่เข้าไปในกำไลเก็บของของนาง ซูซูใช้วิชาตัวเบาข้ามผ่านร่างของงูสายรุ้งตัวใหญ่ยักษ์ไปยังเห็ดสีรุ้งที่นางต้องการและรีบใช้มีดสั้นแซะเห็ดออกมาจากตอไม้ทันที ขณะที่นางกำลังจะเก็บเห็ดเข้าไปไว้ในกำไลเก็บของ ซูซูได้ยินเสียงเกือกม้ากลุ่มหนึ่งใกล้เข้ามาเต็มที นางหันไปมองทางเสียงที่ได้ยิน พอเห็นว่ามีคนสวมหน้ากากและคนอีกนับสิบขี่ม้ามาหยุดห่างจากจุดที่งูสายรุ้งตายไม่ไกลนัก อ๋องเฉิงที่เห็นซูซูถือเห็ดสีรุ้งเอาไว้ในมือก็ได้แต่ขมวดคิ้ว คราวนี้พระองค์มีภารกิจตามหาเห็ดสีรุ้งเพื่อนำไปใช้เป็นตัวยาหลักในการแก้พิษขององค์รัชทายาท แต่ตอนนี้กลับมีแม่นางน้อยที่ได้ไปเสียก่อน“เจ้าเป็นคนฆ่างูสายรุ้งเองเหรอแม่นาง?”“ใช่แล
ซูซูที่เก็บซากงูเสร็จแล้วก็ลืมเรื่องของเจ้าหน้ากากไปในทันที นางสำรวจดูในตะกร้าก็พบว่าไม่ค่อยมีอะไรนอกจากสมุนไพรเล็กน้อยที่จะนำไปฝากท่านปู่หมอเท่านั้น ซูซูเห็นว่าใกล้จะเย็นแล้วจึงได้ใช้วิชาตัวเบาไปที่ป่าไผ่เพื่อนำหน่อไม้สักสองสามหน่อกลับไปให้ท่านย่าทำอาหารให้นางกับท่านปู่กิน ซูซูไม่ได้เก็บหน่อไม้ให้กับท่านย่านานแล้ว หลังจากนางออกล่าสัตว์ก่อนหน้านี้ ไหน ๆ วันนี้นางก็อยู่ที่เขาลูกนี้แล้ว ซูซูจึงคิดอยากกินขึ้นมาเสียอย่างนั้น หลังจากซูซูเก็บหน่อไม้ได้ตามที่ต้องการแล้ว นางก็เก็บตั๋วแลกเงินเข้าไปในกำไลเก็บของของนางพร้อมรอยยิ้ม อย่างน้อย ๆ นางก็มีเงินสำหรับการออกเดินทางท่องโลกกว้างเพื่อตามหาครอบครัวของร่างเดิมแล้ว ซูซูไม่คิดมากที่นางต้องเสียเห็ดสีรุ้งไป ถึงอย่างไรวิชาสะสมลมปราณของนางก็ช่วยนางได้มากอยู่แล้ว ยิ่งหากนางได้กินดีงูที่มีสรรพคุณป้องกันพิษได้แทบทุกชนิดแล้วล่ะก็ ซูซูยิ่งคิดว่าน่าจะถึงเวลาที่นางจะต้องออกเดินทางเสียที ตอนนี้นางอายุ 14 ย่าง 15 ปีแล้วด้วย หากยังคงรอไปนานกว่านี้ ซูซูกลัวว่านางจะไม่อยากจากท่านปู่ ท่านย่าไปแน่ ๆ ช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมา บรรดาลูกชายขอ
ซูซูเดินกลับบ้านในเวลาไม่นานนัก นางเข้าบ้านไปอย่างเคยชิน แน่นอนว่าตอนนี้อาหารหลายอย่างท่านปู่กับท่านย่าตั้งโต๊ะรอนางอยู่ก่อนแล้วพร้อมรอยยิ้ม“รีบมานั่งกินข้าวเร็วเข้า เจ้านี่นะ อาหารที่ย่าห่อไว้ให้ก็ไม่ยอมกิน มารีบกินข้าวก่อนแล้วค่อยมาคุยกันทีหลัง”“เจ้าค่ะท่านย่า ขอโทษด้วยที่หลานลืมกินเพราะมัวแต่หาสมุนไพรมาฝากท่านปู่หมออยู่น่ะเจ้าค่ะ” ซูซูพูดพร้อมกับนั่งลงยังตำแหน่งประจำของตนเอง นางคีบอาหารให้กับปู่และย่าของนางอย่างคุ้นเคย ทั้งสองคนเองก็ต่างพากันคีบอาหารใส่ถ้วยให้ซูซูเช่นเดียวกัน พวกเขาต่างกินอาหารอย่างไม่เร่งรีบ กระทั่งทุกคนกินข้าวเสร็จ ซูซูลุกขึ้นเก็บจานชามไปล้างตามปกติ ส่วนสองเฒ่าชราก็พากันมานั่งดื่มน้ำอุ่นรอซูซูที่พวกเขาดูเหมือนว่านางมีเรื่องจะพูดด้วย รอกันไม่นาน ซูซูก็มานั่งข้าง ๆ ท่านย่าของนางพร้อมกับกอดแขนและซบลงที่ไหล่ของซวงหยวนเอ๋อ ซวงหยวนเอ๋อหันมองหน้าสามีและลูบหัวให้กำลังใจซูซูเพื่อพูดสิ่งที่ต้องการออกมา“ท่านย่า ท่านปู่ ตอนนี้ข้าก็โตขึ้นมากแล้ว ข้าอยากออกไปตามหาครอบครัวข้าเจ้าค่ะ” เหอหยางเปากับซวงหยวนเอ๋อถึงกับใจหายแว๊บไปหลังจบประโยค
“เพ้ย!!! เรื่องดีบ้านเจ้าน่ะสิ ข้าไม่ยอมให้พวกเจ้าพาหลานสาวข้าไปทรมานอีกหรอกนะ แล้วอีกอย่างมีใครไม่รู้บ้างว่าลูกชายคนที่สามของเจ้าสอบขุนนางสามครั้งไม่เคยผ่านแม้แต่ครั้งเดียว แถมข้ายังได้ข่าวมาอีกว่าลูกชายคนที่สามของเจ้าสำมะเลเทเมากับเหล่าบัณฑิตสอบตกอยู่ในเมืองบ่อย ๆ น่ะ รู้อย่างนี้แล้วเจ้ายังกล้าหาแม่สื่อมาสู่ขอหลานสาวคนดีของข้าอีกหรืออย่างไร”“โธ่ ท่านผู้ใหญ่บ้านเจ้าคะ ก็เพราะลูกชายข้าสอบไม่ผ่านเลยกลับมาอยู่ที่บ้านกับข้าอย่างไรเล่าเจ้าคะ ตอนนี้ลูกใหญ่กับลูกรองก็สอบผ่านหมดแล้ว ค่าใช้จ่ายในบ้านก็เป็นพวกเขาส่งมาให้กับข้าทุกเดือน ข้าเองก็สั่งสอนลูกสามไปแล้วว่าหากให้เขาแต่งงานเขาจะต้องตั้งใจทำมาหากินเลี้ยงดูครอบครัวนะเจ้าคะ ท่านผู้ใหญ่บ้านจะไม่ให้โอกาสลูกชายข้าหน่อยหรือเจ้าคะ อีกอย่างซูซูก็ถึงวัยออกเรือนแล้วด้วย หากครอบครัวข้าไม่มาสู่ขอ จะมีใครกล้าขอเด็กกำพร้าอย่างนางเล่าเจ้าคะ”“เพ้ย!!! เจ้าคิดว่าพวกข้าสองคนโง่กันหรืออย่างไร เจ้ารีบไสหัวออกจากบ้านข้าไปซะ อีกอย่างหลานสาวข้าไม่ใช่เด็กกำพร้า นางยังมีครอบครัวที่รออยู่เสมอ พวกเขาอาจมีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถกลับมาตามหาซูซูได้ก็ได้ เจ้าไม่ต้องมาท
ด้านแม่ทัพรักษาเมืองที่จัดการเรื่องราวนี้ก็พาคนไปจับกุมชายวัยกลางคนที่เป็นคนติดต่อกับคนของฮูหยินใหญ่จวนเสนาบดีหลาน จากนั้นเสนาบดีกรมอาญาก็สั่งทหารให้นำหมายไปจับกุมฮูหยินใหญ่ องครักษ์คนสนิทของนาง และบุตรสาวที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการจ้างวานฆ่าพระชายาอ๋องเฉิงในคราวนี้ เสนาบดีกรมอาญาได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้โดยขันทีข้างกายพระองค์มาส่งคำสั่งด้วยตนเองหลังจากที่แม่ทัพรักษาเมืองส่งคนไปรายงานสถานการณ์ก่อนหน้านี้แล้ว ทหารนับร้อยคนพร้อมกับเสนาบดีกรมอาญาที่เดินทางไปยังจวนเสนาบดีคลังด้วยตนเองต้องพบกับการขัดขวางของเสนาบดีหลาน“ท่านจะไม่ยอมเปิดทางให้พวกข้าไปจับกุมคนจริง ๆ หรือเสนาบดีหลาน เจ้ารู้ไหมว่าข้าได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทโดยตรงให้มาจับกุมคนไปตัดสินคดีในครั้งนี้”“ข้าคิดว่าฝ่าบาทคงได้ข่าวลวงมากกว่า ฮูหยินและบุตรสาวของข้าจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน อย่างไรข้าก็ไม่เชื่อ ท่านรอให้ข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเส
ซูซูหยุดม้าที่หน้าห้องโถงรับแขกของจวนก่อนจะกระโดดลงไปพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า นางมองเห็นทุกคนกำลังนั่งรอนางอยู่จริง ๆ ยิ่งทำให้ซูซูในตอนนี้ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่บาดแผลแม้แต่นิดเดียว นางสั่งบ่าวให้พาม้าของนางไปพักผ่อนก่อนที่จะวิ่งปรื๋อเข้าไปในห้องโถงรับแขกอย่างรวดเร็ว ซูซูกระโดดเข้าไปกอดท่านแม่พร้อมกับหอมแก้มนางไปมาอย่างซุกซน ทำเอามู่อิงเอ๋อได้แต่หัวเราะบุตรสาวสุดที่รักของนางที่ชอบกลั่นแกล้งนางเช่นนี้ หลังจากที่ซูซูหอมแก้มท่านแม่จนชื่นใจแล้ว นางที่ถูกท่านแม่ตีเข้าที่บาดแผลโดยไม่ได้ตั้งใจถึงกับร้องออกมาโอ้ย!!!“อะไร! ลูกแม่เป็นอะไร แม่ขอโทษลูก ไหนเจ้ามาให้แม่ดูสิว่าเจ้าเป็นอะไร” ความจริงฟางเซียนหลงกับฟางฉือห่าวนั้นเห็นเลือดที่แขนของซูซูตั้งแต่นางวิ่งเข้ามาแล้ว เพียงแต่พวกเขาไม่อยากให้มู่อิงเอ๋อตกใจจึงไม่ได้พูดออกมา ตอนนี้พวกเขาเองก็อยากร
ทหารรายงานอ๋องเฉิงว่าท่านกุนซือมาถึงแล้ว อ๋องเฉิงจึงออกจากกระโจมไปคุยกับฟางฉือห่าวเรื่องที่พระองค์คิดเอาไว้ และแน่นอนว่าฟางฉือห่าวขอวันลากับพระองค์จริง ๆ อ๋องเฉิงอนุญาตให้สหายลาได้หนึ่งวันโดยไม่อิดออด พระองค์รู้ดีว่าสหายตนนั้นคลั่งรักน้องสาวมากขนาดไหน นี่ก็หลายสัปดาห์แล้วที่นางแต่งงานเข้าไปอยู่ในจวนอ๋อง นอกจากวันเยี่ยมบ้านเดิมแล้ว ซูซูก็ยังไม่ได้กลับบ้านเดิมอีกเลย จึงทำให้ฟางฉือห่าวผู้คิดถึงรอยยิ้มซุกซนของน้องสาวอดรนทนไม่ไหวที่จะต้องขอลาไปอยู่เป็นเพื่อนนางสองวันต่อมา ซูซูที่ส่งอ๋องเฉิงออกไปทำงานหลังทานอาหารร่วมกันแล้วก็สั่งคนไปนำม้าของนางมาทันที วันนี้ซูซูแต่งกายด้วยชุดชาวยุทธที่นางไม่ได้ใส่เสียนานตั้งแต่เข้าจวนอ๋องมา แม่นมฉู่ได้แต่บอกให้พระชายาระมัดระวังในการเดินทางเหมือนดังเช่นสามีนางที่กำชับก่อนออกไปทำงาน“ข้ารู้แล้วน่าแม่นมฉู่ ท่านอย่าได้กังวลมากนักเลย ข้าเป็นพระชายาจวนอ๋องนะ ไม่ใช่คุ
อ๋องเฉิงเดินมาถึงหน้าห้องทรงงานแล้วขันทีก็ขานบอกทันที ฮ่องเต้ที่มีขันทีวิ่งมารายงานก่อนหน้านี้จึงบอกให้หลานชายเข้าไปได้ หลังทำความเคารพเสด็จลุงของตนเองแล้ว ฮ่องเต้ก็สั่งให้เขาลุกขึ้นตามสบาย“วันนี้หลานมีเรื่องสำคัญอันใดจึงได้เข้ามาหาลุงได้ในเวลานี้”“กระหม่อมส่งคนติดตามคนของฮูหยินใหญ่จวนเสนาบดีหลานแล้วได้รับข่าวว่าอีกสองวันจะมีนักฆ่าจำนวนมากมายังเมืองหลวงพะย่ะค่ะ หลานจึงอยากให้เสด็จลุงสั่งการกองกำลังรักษาเมืองให้ล้อมจับพวกเขาระหว่างที่พวกเขาลงมือกับพระชายาของหลานพะย่ะค่ะ”“หืม… นี่นางถึงขนาดจ้างนักฆ่าจำนวนมากเลยหรือ? เช่นนั้นลุงจะสั่งการแม่ทัพของกองกำลังรักษาเมืองให้รับคำสั่งจากเจ้าก็แล้วกัน แต่เรื่องนี้เราจะให้ใครรู้ไม่ได้เป็นอันขาด เจ้าให้แม่ทัพรักษาเมืองเปลี่ยนการแต่งกายเป็นชาวเมืองทั่วไปแล้วค่อยซุ่มจับคนเหล่านั้นดีหรือไม่”“ใช่พะย่ะค่ะเสด็จลุง นางต้องการให้ซูซูตายให้
ซูซูแปลกใจไม่น้อยที่สามีกลับมาเร็วถึงขนาดนี้ นางที่กำลังตรวจทรัพย์สินอยู่จึงได้เลิกทำงานแล้วเดินไปช่วยถอดเสื้อตัวนอกออกให้อ๋องเฉิง“เหตุใดจึงได้กลับเร็วนักเล่าเพคะ”“ไม่มีอะไร แค่คิดถึงภรรยาน่ะ”“เฮ้อ… ทำเป็นเล่นอีกแล้วท่านน่ะ บอกมาเลยว่ามีอะไรหรือเปล่า”“ไม่มีจริง ๆ ข้าเพียงแค่อยากพักบ้างเท่านั้นเอง ทำงานมาหลายวันติดต่อกันแล้ว”“อืม… เช่นนั้นท่านก็เข้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะให้คนยกของว่างกับน้ำชาเข้าไปให้ ท่านอยากอาบน้ำก่อนหรือไม่?”“อาบสักหน่อยก็ดี ข้าขี่ม้ามาตัวเลอะฝุ่นไปหมด”“ตกลง เดี๋ยวข้าสั่งบ่าวนำน้ำเข้าไปให้ทีหลัง ท่านไปนั่งพักเสียก่อนเถอะ”“ขอบคุณภรรยา จุ๊บ”
ซูซูที่องครักษ์ของอ๋องเฉิงมารายงานว่าเขาจะกลับค่ำก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก นางยังจัดการเรื่องทรัพย์สินไม่เสร็จเลยเพราะทรัพย์สินเหล่านี้มีมากมายเกินกว่าที่จะจัดการเสร็จได้ภายในสามสี่วัน“แม่นมฉู่ เจียงเหม่ย เจียงฮวาออกไปกินข้าวเถอะ กินเสร็จค่อยมาเก็บสำรับอาหารของข้าก็แล้วกัน วันนี้ข้าอยากพักผ่อนเร็วสักหน่อย ถึงแม้ท่านอ๋องจะกลับค่ำก็ไม่เป็นไร”“เพคะพระชายา” ทั้งสามคนที่สั่งบ่าวนำอาหารมารอท่านอ๋องกับพระชายาแต่แรกจึงได้แต่ชวนกันออกไปกินอาหารเย็นในห้องข้างของพวกนางเหมือนดังทุกวัน ตอนนี้แม่นมฉู่สนิทสนมกับเด็กเจียงเหม่ยและเจียงฮวามากขึ้นไม่น้อย นางชอบที่เด็กสองคนนี้เรียนรู้กฎเกณฑ์ได้ดี และมีมารยาทมากกว่าบ่าวรับใช้ทั่วไปเสียอีก คืนนั้นอ๋องเฉิงหลังทานอาหารกันเสร็จแล้ว ฮ่องเต้ก็ชวนหลานชายดื่มอีกเล็กน้อยก่อนจะส่งหลานชายกลับออกจากห้องทรงงานไปใ
“ขอบใจเจ้ามากที่บอกกล่าวรายละเอียดให้พวกเราทราบ ครอบครัวโจว พวกเจ้ามีอะไรจะแก้ต่างจากที่พยานหูเอ้อบอกออกมาหรือไม่” เสนาบดีหันไปสอบถามครอบครัวโจวที่ยังคงพากันนั่งตัวสั่นอย่างหวาดกลัวความผิด หยวนปิงไม่คิดว่าคนของตระกูลฟางจะมีความสามารถสืบเรื่องราวได้อย่างกับตาเห็น แต่นางไม่คิดที่จะยอมรับความผิดง่าย ๆ ด้วยคิดว่าหากต้องการพยานเป็นชาวบ้านในหมู่บ้านนั้น จะต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าที่พยานเหล่านั้นจะเดินทางมาถึงเมืองหลวง“ข้าไม่ได้ทำเช่นนั้นเจ้าค่ะ เขาพูดโกหก บ้านข้าเลี้ยงดูให้ข้าวให้น้ำนางมาเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ ส่วนที่เขาบอกว่านางหาเงินเองตั้งแต่สิบขวบก็ไม่จริงเจ้าค่ะ เป็นพวกข้าที่ให้เงินนางออกมาตามหาครอบครัวเจ้าค่ะ”ปัง!!!“นี่เจ้ายังกล้าโกหกอีกหรืออย่างไร! เจ้าคิดว่าข้ากับท่านอ๋องจะเชื่อคำพูดของเจ้าได้อีกหรือแม่เฒ่าโจว หูเอ้อ เจ้ามีหลักฐานอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ว่าเรื่องที่เจ้าเพิ่งกล่าวมานั้นเป็นเรื
หลังจากหลานเสี่ยวชิงนิ่งคิดไม่นานนัก นางได้แต่คับแค้นใจที่บ่าวของนางเปิดเผยเรื่องที่นางทำเช่นนี้ ในเมื่อนางโกหกไม่ได้แล้ว หลานเสี่ยวชิงจึงใช้น้ำตาว่ากล่าวต่อหน้าอ๋องเฉิงเพื่อขอความเมตตาแทน“ฮึก… ท่านอ๋องเพคะ ที่หม่อมฉันทำไปทั้งหมดก็เพราะอยากให้ท่านอ๋องเห็นธาตุแท้ของพระชายานะเพคะ นางไม่ใช่คนดีอย่างที่ท่านอ๋องคิด อีกอย่าง ที่ข้าทำไปก็ด้วยความรักที่บริสุทธิ์ที่มีต่อท่านอ๋องนะเพคะ ขอท่านอ๋องได้โปรดเมตตาเสี่ยวชิงด้วยเพคะ ฮือ…” หลานเสี่ยวชิงก้มลงทำทีเป็นร้องไห้คำนับให้กับอ๋องเฉิง แต่อ๋องเฉิงที่เบื่อการเสแสร้งพวกนี้มาแต่ไหนแต่ไรมีหรือจะสงสารนาง ตรงกันข้ามที่เขายิ่งเกลียดนางเข้าไปใหญ่“ฮึ ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับแล้วสินะว่าเป็นคนว่าจ้างคนกลุ่มนี้มาสร้างเรื่องเสื่อมเสียให้กับพระชายาของข้า และเจ้าอย่าได้เอาการกระทำเลว ๆ ของเจ้ามาอ้างว่าทำเพราะรักข้า ข้าฟังแล้วอยากจะอ้วก เสนาบดีกรมอาญา เจ้าจะตัด
ปัง!!! เสียงเสนาบดีกรมอาญาทุบไม้ในมือดังกังวานไปทั่วห้องโถงตัดสินคดี จนทำเอาหลานเสี่ยวชิงถึงกับสะดุ้งอย่างหวาดกลัว“ข้ายังไม่ได้ถามเจ้า เจ้าไม่มีสิทธิแทรกเรื่องราวที่ข้ากำลังสอบสวน หากเจ้ายังทำเช่นนี้อีกครั้ง ข้าจะลงโทษโบยเจ้าที่ขัดขวางการสืบสวน”“ข้าขออภัยท่านเสนาบดี เป็นเพราะข้าถูกกล่าวหา จึงทำให้ข้าต้องแก้ต่างออกมาเจ้าค่ะ ต่อไปข้าจะไม่แทรกการสอบสวนของท่านอีกเจ้าค่ะ”“เอาล่ะ เจ้าเล่าต่อไปสิว่าเหตุใดคุณหนูหลานจึงต้องการจ้างพวกเจ้าทำเรื่องเหล่านี้”“ขอรับ เท่าที่ครอบครัวข้าแอบได้ยินมา นี่เป็นเพราะคุณหนูผู้นี้หลงรักท่านอ๋องและต้องการแทนที่ตำแหน่งพระชายาขอรับ พวกเราที่เป็นเพียงชาวบ้านยากจน พอมีคนมาจ้างด้วยเงินจำนวนมากเช่นนี้ก็จำใจต้องทำตามที่นางสั่งขอรับ อีกทั้งนางยังข่มขู่พวกข้าด้วยว่านางเป็นถึงบุตรสาวเสนาบดีในเมืองหลวง ทำให้ครอบครัวของข้าไม่มีทางเลือ