ซูซูเดินกลับบ้านในเวลาไม่นานนัก นางเข้าบ้านไปอย่างเคยชิน แน่นอนว่าตอนนี้อาหารหลายอย่างท่านปู่กับท่านย่าตั้งโต๊ะรอนางอยู่ก่อนแล้วพร้อมรอยยิ้ม“รีบมานั่งกินข้าวเร็วเข้า เจ้านี่นะ อาหารที่ย่าห่อไว้ให้ก็ไม่ยอมกิน มารีบกินข้าวก่อนแล้วค่อยมาคุยกันทีหลัง”“เจ้าค่ะท่านย่า ขอโทษด้วยที่หลานลืมกินเพราะมัวแต่หาสมุนไพรมาฝากท่านปู่หมออยู่น่ะเจ้าค่ะ” ซูซูพูดพร้อมกับนั่งลงยังตำแหน่งประจำของตนเอง นางคีบอาหารให้กับปู่และย่าของนางอย่างคุ้นเคย ทั้งสองคนเองก็ต่างพากันคีบอาหารใส่ถ้วยให้ซูซูเช่นเดียวกัน พวกเขาต่างกินอาหารอย่างไม่เร่งรีบ กระทั่งทุกคนกินข้าวเสร็จ ซูซูลุกขึ้นเก็บจานชามไปล้างตามปกติ ส่วนสองเฒ่าชราก็พากันมานั่งดื่มน้ำอุ่นรอซูซูที่พวกเขาดูเหมือนว่านางมีเรื่องจะพูดด้วย รอกันไม่นาน ซูซูก็มานั่งข้าง ๆ ท่านย่าของนางพร้อมกับกอดแขนและซบลงที่ไหล่ของซวงหยวนเอ๋อ ซวงหยวนเอ๋อหันมองหน้าสามีและลูบหัวให้กำลังใจซูซูเพื่อพูดสิ่งที่ต้องการออกมา“ท่านย่า ท่านปู่ ตอนนี้ข้าก็โตขึ้นมากแล้ว ข้าอยากออกไปตามหาครอบครัวข้าเจ้าค่ะ” เหอหยางเปากับซวงหยวนเอ๋อถึงกับใจหายแว๊บไปหลังจบประโยค
“เพ้ย!!! เรื่องดีบ้านเจ้าน่ะสิ ข้าไม่ยอมให้พวกเจ้าพาหลานสาวข้าไปทรมานอีกหรอกนะ แล้วอีกอย่างมีใครไม่รู้บ้างว่าลูกชายคนที่สามของเจ้าสอบขุนนางสามครั้งไม่เคยผ่านแม้แต่ครั้งเดียว แถมข้ายังได้ข่าวมาอีกว่าลูกชายคนที่สามของเจ้าสำมะเลเทเมากับเหล่าบัณฑิตสอบตกอยู่ในเมืองบ่อย ๆ น่ะ รู้อย่างนี้แล้วเจ้ายังกล้าหาแม่สื่อมาสู่ขอหลานสาวคนดีของข้าอีกหรืออย่างไร”“โธ่ ท่านผู้ใหญ่บ้านเจ้าคะ ก็เพราะลูกชายข้าสอบไม่ผ่านเลยกลับมาอยู่ที่บ้านกับข้าอย่างไรเล่าเจ้าคะ ตอนนี้ลูกใหญ่กับลูกรองก็สอบผ่านหมดแล้ว ค่าใช้จ่ายในบ้านก็เป็นพวกเขาส่งมาให้กับข้าทุกเดือน ข้าเองก็สั่งสอนลูกสามไปแล้วว่าหากให้เขาแต่งงานเขาจะต้องตั้งใจทำมาหากินเลี้ยงดูครอบครัวนะเจ้าคะ ท่านผู้ใหญ่บ้านจะไม่ให้โอกาสลูกชายข้าหน่อยหรือเจ้าคะ อีกอย่างซูซูก็ถึงวัยออกเรือนแล้วด้วย หากครอบครัวข้าไม่มาสู่ขอ จะมีใครกล้าขอเด็กกำพร้าอย่างนางเล่าเจ้าคะ”“เพ้ย!!! เจ้าคิดว่าพวกข้าสองคนโง่กันหรืออย่างไร เจ้ารีบไสหัวออกจากบ้านข้าไปซะ อีกอย่างหลานสาวข้าไม่ใช่เด็กกำพร้า นางยังมีครอบครัวที่รออยู่เสมอ พวกเขาอาจมีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถกลับมาตามหาซูซูได้ก็ได้ เจ้าไม่ต้องมาท
ซูซูที่เข็นรถเข็นไม่รู้สึกเหนื่อยแรงเลยแม้แต่น้อย จนนางคิดว่าท่านปู่ของนางผอมเกินไปแล้ว แบบนี้นางคงต้องซื้อของบำรุงร่างกายพวกท่านเพิ่มเติมเสียหน่อย ส่วนเหอหยางเปาก็รู้สึกดีที่หลานสาวดูแลเขาเช่นนี้ก่อนที่จะจากกันไป ถึงแม้เขากับภรรยาจะอยากรั้งนางเอาไว้ แต่ก็ไม่อยากทำให้นางเสียใจที่ไม่ได้ออกไปตามหาครอบครัวของนาง พวกเขาจึงได้แต่ตัดใจและรักษาร่างกายเพื่อรอวันหนึ่งที่ซูซูจะกลับมาหาพวกเขา ด้วยพลังลมปราณและการใช้วิชาตัวเบาร่วมด้วยนิดหน่อย ทำให้ซูซูใช้เวลาไม่ถึงสองเค่อเหมือนทุกครั้งก็มาถึงประตูเมืองแล้ว นางกลัวว่าหากมาถึงเร็วเกินไปท่านปู่ของนางจะสงสัยเอาได้ นางจึงได้ยั้งเท้าของตนเองเอาไว้บ้าง“ถึงเมืองแล้วเจ้าค่ะท่านปู่ วันนี้ท่านอยากได้อะไรบอกข้ามาเลยนะเจ้าคะ หลานสาวของท่านรวยมากนะเจ้าคะ ฮิ ฮิ”“ฮ่า ฮ่า ตกลง ๆ ปู่จะซื้อของจนเจ้าหมดตัวเลยทีเดียวเชียวล่ะ” ทั้งคู่ต่างหยอกล้อกันไปตามทาง สถานที่แรกที่ซูซูพาท่านปู่ไปคือที่ตลาดสด นางจะได้ซื้อเนื้อ ซื้อซี่โครงหมูกลับไปทำอาหารบำรุงร่างกายท่านปู่ท่านย่าของนาง เหอหยางเปาพอสังเกตทิศทางแล้วก็รู้ว่าหลานสาวจะไปที่ไหน เขาได้แต่อ
ขากลับนี้ ซูซูไม่ยอมให้ท่านปู่เข็นรถช่วยนาง นางให้เขาเดินข้าง ๆ นางไปเพียงเท่านั้น เพราะสิ่งของทั้งหลายในรถเข็นมีน้ำหนักไม่น้อย ซูซูกลัวว่าท่านปู่จะเหน็ดเหนื่อยจนกินอาหารได้น้อย นางจึงใช้พลังปราณเข็นรถเข็นกลับบ้านด้วยตัวเองอย่างเบามือ กระทั่งสองปู่หลานมาถึงบ้านกันในเวลาอาหารเที่ยงพอดี พวกเขาจึงได้เข้าไปทานอาหารก่อนที่จะมาช่วยกันยกสิ่งของต่าง ๆ ในรถเข็นเข้าไปเก็บในบ้านช่วยกันทีหลัง ซวงหยวนเอ๋อที่ออกมารับพวกเขาได้แต่อ้าปากค้างเมื่อเห็นสิ่งของภายในรถเข็นที่แทบจะล้นออกมา ซูซูต้องรีบเข้าไปกอดแขนออดอ้อนท่านย่าเพื่อไม่ให้นางตกใจเหมือนกับท่านปู่“ท่านย่าเจ้าคะ ซูซูหิวแล้ว เที่ยงนี้ท่านย่าทำอะไรให้ข้ากินบ้างหรือเจ้าคะ”“อ่า เจ้า...เจ้า… เฮ้อ เอาล่ะ ๆ เลิกออดอ้อนย่าเสียที เข้าไปกินข้าวกันเถอะ มื้อนี้มีแต่ของชอบของเจ้าทั้งนั้นแหละ เรื่องอื่นค่อยคุยกันทีหลัง” เหอหยางเปาได้แต่ส่ายหน้าให้กับวิธีการของหลานสาวที่ไม่ทำให้ภรรยาของเขาบ่นเรื่องการซื้อสิ่งของมากมายอย่างกับว่าจะใช้กินกันทั้งปีเลยทีเดียว เขาเองก็ได้แต่ต้องยอมรับสิ่งของพวกนี้มาอย่างจนใจ ในเมื่อหลานสาวพ
เมื่อมาถึงร้านขายม้าแล้ว ซูซูก็เลือกม้าอย่างชำนาญ นางเคยเห็นม้าของกลุ่มเจ้าหน้ากากเมื่อไม่นานมานี้ก็คิดว่าที่ร้านน่าจะพอมีบ้าง แต่กลับต้องผิดหวังเมื่อเดินเลือกดูทั้งร้านแล้วก็ไม่พบม้าที่มีลักษณะดีเหมือนอย่างม้าของเจ้าหน้ากาก ซูซูจึงได้แต่เลือกม้าที่ดีที่สุดในร้านซึ่งราคาของม้าก็มากถึงหนึ่งร้อยตำลึงเลยทีเดียว พ่อค้าบอกว่าม้าตัวนี้แข็งแรงและถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี สามารถวิ่งได้ไม่ต่ำกว่าสองร้อยลี้ภายในวันเดียว ซูซูจึงได้ยอมที่จะซื้อม้าตัวนี้ อย่างน้อยมันก็ช่วยเบาแรงนางแทนการใช้วิชาตัวเบาเดินทางได้ไม่น้อย“ท่านลุง หากข้าจะเดินทางไปเมืองหลวงจะต้องไปทางไหนหรือเจ้าคะ”“โอ้ แม่นางอยากไปเมืองหลวงหรือ? เช่นนั้นเจ้าต้องเดินทางไปยังเมืองเจิ้งกวนเสียก่อน เมืองนั้นเป็นทางผ่านไปยังเมืองหลวง ส่วนต่อไปนั้นข้าก็ไม่ค่อยจะรู้แล้วว่าจะต้องไปเมืองใดอีก เพราะข้าก็ไม่เคยเดินทางไปเมืองหลวงมาก่อน”“ขอบคุณท่านลุงที่บอกข้าเจ้าค่ะ แล้วเมืองเจิ้งกวนนั้นไปทางทิศใดหรือเจ้าคะ”“อ้อ เมืองเจิ้งกวนเดินทางไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เจ้าสามารถขี่ม้าไปตามทางได้เลย เส้นทางนี้จะพาเจ้าไปถึงเมืองเจิ้งกวนได้อย่างแน่นอน”
ซูซูมาถึงโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ในเวลาไม่นาน นางลงจากหลังม้าแล้วบอกกับเสี่ยวเอ้อที่ยืนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมให้นำม้าของนางไปดูแลอย่างดี พร้อมกับส่งเงินให้เสี่ยวเอ้อหนึ่งตำลึงเป็นค่าดูแล ก่อนที่นางจะเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมแล้วสั่งอาหารมากินก่อนที่จะจองห้องพักทีหลัง หลังจากกินอาหารจนอิ่มแล้ว ซูซูก็เรียกเสี่ยวเอ้อมาคิดเงินพร้อมกับสอบถามเรื่องการจองห้องพักสองวัน“ห้องพักที่นี่คืนละเท่าไหร่?”“คืนละห้าร้อยอีแปะขอรับแม่นาง”“เช่นนั้นนี่เงินหนึ่งตำลึง ข้าจะพักสองคืน เดี๋ยวเจ้าคิดเงินค่าอาหารด้วย ข้าจะได้จ่ายครั้งเดียว”“ขอรับแม่นาง ค่าห้องพักกับค่าอาหารมื้อนี้รวมกันหนึ่งตำลึงสี่ร้อยอีแปะขอรับ”“อ่ะ นี่เงินสองตำลึง เจ้าไม่ต้องทอนข้า แค่พาข้าไปห้องพักแล้วนำน้ำเข้ามาให้ข้าอาบก็พอแล้ว”“ขอบคุณขอรับแม่นาง เชิญท่านตามข้ามาทางนี้เลยขอรับ” เสี่ยวเอ้อยิ้มแก้มปริที่ได้เงินทอนเป็นค่าดูแลนาง ในสองวันนี้เขาจะต้องดูแลแม่นางคนนี้ให้ดีที่สุดเผื่อว่าจะได้เงินเพิ่มอีกสักเล็กน้อย ส่วนซูซูที่ไม่รู้ความคิดของเสี่ยวเอ้อก็ไม่ได้คิดมากเรื่องการใช้จ่ายของนาง นางรวยมากนี่นา แค่เงินไม่กี่ตำลึงไม่กี่อี
หลังทานอาหารและจัดของเอาไว้ดีแล้ว ซูซูก็เปิดประตูห้องออกไปเพื่อไปหาซื้อกระเป๋าสัมภาระของม้านางเสียก่อน และซูซูก็คิดที่จะหาร้านที่ทำงานไม้เพื่อซื้อกระบอกน้ำสักหลายอันก่อนออกเดินทาง เสี่ยวเอ้อที่คอยดูแลซูซูเห็นว่านางออกจากโรงเตี๊ยมไปแล้ว เขาก็ขึ้นไปทำความสะอาดและเก็บถ้วยชามอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะของนางออกมาตามคำสั่ง ด้วยประสบการณ์การทำความสะอาดมานาน เสี่ยวเอ้อก็ใช้เวลาไม่นานนักก็ทำความสะอาดอีกทั้งยังเทน้ำที่นางอาบแล้วทิ้งไปพร้อมกับทำความสะอาดถังน้ำเตรียมใส่น้ำอุ่นให้นางหลังจากนางกลับมาอีกครั้งด้วย ซูซูเดินดูร้านรวงข้างทางไปด้วยตามทิศทางที่เสี่ยวเอ้อบอกกับนางก่อนหน้านี้ว่าร้านที่นางต้องการซื้อกระเป๋านั้นอยู่ที่ตรอกทิศตะวันตก ขณะที่นางกำลังจะเลี้ยวไปตามทางเพื่อไปยังจุดหมาย จู่ ๆ ก็มีชายห้าคนมาขวางทางเดินของนาง ซูซูได้แต่ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ“พวกเจ้ามาขวางทางข้าทำไม?”
เมื่อซูซูกลับมาถึงโรงเตี๊ยมแล้ว นางก็สั่งอาหารกับเสี่ยวเอ้อที่คอยดูแลนางทันที รวมทั้งยังบอกให้เขานำน้ำอุ่นมาให้นางอาบหลังกินข้าวด้วย เสี่ยวเอ้อรีบตอบรับคำขอของลูกค้าใจป้ำพร้อมรอยยิ้ม เขาเห็นนางถือห่อผ้าใบใหญ่คงเป็นสิ่งของที่นางไปซื้อมาในช่วงเช้าของวันนี้กระมัง ซูซูเดินขึ้นไปที่ห้องเพื่อนำเสื้อผ้าไปวางเอาไว้ที่โต๊ะข้างเตียงติดกับห่อผ้าใบเก่าของนาง ซูซูรออยู่ไม่นานเสี่ยวเอ้อก็นำอาหารขึ้นมาส่งให้นางที่โต๊ะ“เสี่ยวเอ้อ ร้านของเจ้ามีเนื้อตากแห้งขายบ้างหรือไม่ ข้าจะได้ซื้อเอาไว้เป็นเสบียงมากสักหน่อย”“มีขอรับแม่นาง ท่านต้องการซื้อมากเท่าไหร่หรือขอรับ ข้าจะได้ไปบอกพ่อครัวให้”“ข้าต้องการซื้อสักห้าจิน เจ้าคิดราคารวมกับค่าอาหารมื้อนี้มาได้เลย”“ที่นี่ขายจินละหนึ่งร้อยอีแปะขอรับ ห้าจินก็ห้าร้อยอีแปะ รวมค่าอาหารอีกสี่ร้อยอีแปะ
สี่ปีผ่านไป อ๋องน้อยและท่านหญิงที่ได้รับอนุญาตให้เข้าวังบ่อย ๆ วันนี้พวกเขาก็มาเล่นกับเสด็จปู่ เสด็จย่าที่ตำหนักเฟิ่งหวงพร้อมกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ โดยที่ฮ่องเต้ทรงงดเว้นธรรมเนียมให้กับหลานทั้งสองที่ร่าเริงสดใสของพระองค์“เจ้าดูสิ นับวันอ๋องน้อยยิ่งตัวสูงใหญ่กว่าเด็กทั่วไปมากนัก ช่างเหมือนจ้าวหลงตอนเด็ก ๆ ไม่มีผิด”“จริงด้วยเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันเองก็คิดว่าอ๋องน้อยน่าจะเติบโตขึ้นมาตัวสูงใหญ่เหมือนพ่อของเขาเป็นแน่” ฮ่องเต้กับฮองเฮาคุยกันพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า พวกเขาได้แต่นึกถึงตอนที่นำอ๋องเฉิงมาเลี้ยงในวัยเด็กแล้วก็ยิ่งอยากเลี้ยงอ๋องน้อยกับท่านหญิงอีกครั้ง เพียงแต่ตอนนี้ทั้งสองพระองค์พระชนมายุมากแล้ว ไม่สามารถวิ่งเล่นกับหลาน ๆ ได้เหมือนเมื่อก่อนตอนเลี้ยงอ๋องเฉิง เพียงแค่ได้นั่งมองพวกเขาเล่นกัน ทั้งสองพระองค์ก็มีความสุขไม่น้อยแล้ว
เมื่ออ๋องน้อยมาถึงหน้าห้องคลอด พระองค์ทรงเห็นเสด็จพ่อนั่งรออยู่อย่างกระวนกระวาย อ๋องน้อยจึงเดินเข้าไปหาแล้วปีนขึ้นไปนั่งบนตักเสด็จพ่อ อ๋องเฉิงไม่คิดว่าลูกชายจะมาเร็วขนาดนี้ ปกติอ๋องน้อยจะตื่นตอนสาย ๆ แต่วันนี้เขากลับมาที่นี่เพื่อเป็นกำลังใจให้พระองค์กับพระชายาที่กำลังจะคลอด“เด็จพ่อรอน้องกับข้านะขอรับ” เสียงเล็ก ๆ แสนรู้ความเอ่ยออกมาพร้อมอ้อมกอดน้อย ๆ ที่เอื้อมไปกอดคอพ่อของตนเอง“อืม… เจ้าเป็นพี่ที่ดี มานั่งดี ๆ รอน้องกันเถอะ ขอบใจเจ้ามากที่มาให้กำลังใจเสด็จแม่ของเจ้า” อ๋องเฉิงลูบหัวบุตรชายแล้วปรับท่านั่งให้เขาได้นั่งบนตักอย่างสบาย ๆ ในห้องคลอด ซูซูปวดท้องมากจนนางอยากกรีดร้องออกมา แต่ด้วยนิสัยที่มักจะเก็บงำความเจ็บปวดเอาไว้ นางจึงทำเพียงกัดฟันอดทนแล้วหายใจตามจังหวะที่หมอตำแยกับแม่นมฉู่ช่วยกันบอกนางเท่านั้น“พระชายาอดทนอีกสักนิดนะเพคะ อีกไม่นานก็น่า
วันต่อมามีขบวนของขวัญจากวังหลวงและจวนตระกูลฟางยาวนับหลายลี้มาจอดอยู่เต็มหน้าจวนอ๋อง ทำเอาชาวบ้านชาวเมืองต่างอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นอีกแล้วกับจวนอ๋อง ขันทีที่ได้รับพระราชโองการแสดงความยินดีกับจวนอ๋องรีบประกาศราชโองการพร้อมกับพระราชเสาวนีย์ของฮองเฮาที่ร่วมแสดงความยินดีกับจวนอ๋องเช่นเดียวกัน“ข้าขอแสดงความยินดีกับจวนอ๋องที่กำลังจะมีทายาทอีกหนึ่งคน สิ่งของเหล่านี้เป็นของรับขวัญหลานคนที่สองของข้า หวังว่าการตั้งครรภ์ของพระชายาจะดำเนินไปอย่างราบรื่นปลอดภัยจนกว่าจะถึงวันประสูติ จบราชโองการ” ชาวเมืองที่พากันมามุงเมื่อได้ยินขันทีประกาศราชโองการเสียงดัง พวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจึงได้มีขบวนของขวัญมากมายถึงเพียงนี้ สมแล้วที่จวนอ๋องได้รับพระเมตตาจากฮ่องเต้กับฮองเฮามาอย่างยาวนาน ไหนจะบ้านเดิมของพระชายาที่เป็นถึงคหบดีที่ร่ำรวยของแคว้นอีกเล่า ไม่แปลกที่เพียงแค่การตั้งครรภ์
สองสัปดาห์ต่อมา ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ซูซูรู้สึกหิวมากกว่าปกติอย่างไรก็ไม่ทราบ แถมนางยังชอบกินขนมหวานแทบทั้งวันอีกด้วย กระทั่งหลังอาหารเช้าวันนี้ ขณะที่นางกำลังอุ้มบุตรชายพาเดินเล่นอยู่นั้นนางก็เกือบจะล้มลงบนพื้นทั้งแม่และลูก ด้วยเพราะซูซูจู่ๆ ก็หน้ามืดไปเสียเฉย ๆ โชคดีที่อ๋องเฉิงวันนี้อยู่กับพวกนางด้วย พระองค์รีบรับร่างภรรยากับบุตรชายแล้วอุ้มทั้งคู่เข้าไปยังห้องนอนในเรือนเล็กของซูซูที่อยู่ใกล้ที่สุด อ๋องเฉิงรีบร้องบอกให้องครักษ์ไปตามหมอหลวงมาทันที ตอนนี้พระองค์ทรงเป็นห่วงภรรยาไม่น้อย เพราะตอนนี้นางยังไม่ลืมตาขึ้นมาเลย ส่วนบุตรชายของพระองค์ไม่ได้ตกอกตกใจอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อ๋องน้อยเพียงแต่มองท่านพ่อที่เรียกคนให้นำผ้ากับอ่างน้ำมาเพื่อเช็ดหน้าให้กับท่านแม่ของพระองค์“ซูซู ซูซู เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ลืมตาขึ้นมาให้ข้าเบาใจหน่อยภรรยา อย่าทำให้ข้ากลัวเช่นนี้ ซูซู” อ๋องเฉิงเช็ดห
หนึ่งเดือนต่อมา อ๋องเฉิงที่ส่งทหารออกไปยังแคว้นจ้านเมื่อหลายเดือนก่อนก็ได้รับข่าวตอบกลับจากทหารที่เพิ่งเดินทางกลับมาถึงค่ายทหารนอกเมืองหลวง“ทูลท่านอ๋อง นี่เป็นจดหมายจากองค์ชายสามที่ให้กระหม่อมนำมามอบให้พระองค์เพื่อส่งต่อไปยังฝ่าบาทพะย่ะค่ะ เหตุการณ์ที่แคว้นจ้านนั้นสงบสุขดีพะย่ะค่ะ ตอนนี้องค์ชายสามก็ส่งขุนนางเดินทางออกไปแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้กับประชาชนทั่วแคว้นได้เกือบครึ่งปีแล้วพะย่ะค่ะ อีกทั้งพระชายาก็คลอดองค์ชายน้อยได้สามเดือนแล้ว จึงทำให้องค์ชายสามไม่ค่อยมีเวลาที่จะส่งข่าวกลับมาให้พระองค์พะย่ะค่ะ” อ๋องเฉิงพยักหน้ารับจดหมายจากทหารแล้วเปิดอ่านเนื้อหาด้านในก่อนที่จะเข้าวังและนำไปมอบให้กับเสด็จลุงของพระองค์ ภายในจดหมายนั้นเขียนถึงความสำเร็จในการซื้อใจประชาชนขององค์ชายสามและกองทหารรักษาเมือง ยิ่งเมื่อเหล่าประชาชนในแคว้นจ้านเห็นถึงความเมตตาขององค์ชายสามและขุนนางที่ตั้งใจจะมาพัฒนาแคว้นของ
“อืม… เอาล่ะ เราเลิกคุยเรื่องงานกันเถอะ ข้าอยากเล่นกับหลานแล้ว” อ๋องเฉิงเห็นท่าทางกระปรี้กระเปร่าของสหายที่พอพูดถึงหลานชายเข้าเมื่อไหร่ก็มักจะมีอาการเช่นนี้ พระองค์ได้แต่ยิ้มแล้วพาสหายเดินไปยังห้องโถงรับแขกที่เรือนเล็กของบุตรชายที่พระองค์สั่งคนเตรียมเอาไว้สำหรับอ๋องน้อยเมื่อเขาโตกว่านี้ในอีกไม่กี่ปี ในเรือนของอ๋องน้อยเต็มไปด้วยบ่าวรับใช้ที่คอยดูแลท่านอ๋องน้อยเวลาเล่นของเล่นอยู่ในห้องโถงรับแขกกับพระชายา ท่านตาและท่านยายที่มาเยี่ยมก่อนหน้าที่ลูกชายอย่างฟางฉือห่าวจะมาถึง“อ้าว ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันขอรับ”“พ่อกับแม่มากันตั้งแต่เช้าแล้ว วันนี้พ่อนำของเล่นใหม่มาให้อ๋องน้อยด้วยนะเจ้าดูสิ พ่อสั่งคนทำขึ้นมาเป็นพิเศษให้เขาเลยนะเนี่ย” ฟางเซียนหลงชี้ไปที่ม้าโยกไม้ที่ดูแ
หลังจากงานเลี้ยงฉลองครบรอบร้อยวันของอ๋องน้อย ฮ่องเต้ก็ทราบแล้วว่าใครเป็นคนบงการให้นักฆ่ามาลอบทำร้ายอ๋องน้อยของพระองค์ พระองค์ไม่คิดว่าจะเป็นเสนาบดีหลานอีกครั้ง ครั้งนี้พระองค์ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานใด ๆ นอกจากตั๋วแลกเงินที่อยู่ในตัวคนร้ายซึ่งมีตราประทับของจวนเสนาบดีหลานอย่างชัดเจน ถึงแม้พระองค์จะไม่รู้ว่าเขาใช้ใครไปจ้างคนก็ตาม อย่างน้อยตอนนี้พระองค์ก็มีทั้งพยานที่เป็นนักฆ่าและตั๋วแลกเงินซึ่งสามารถเอาผิดเสนาบดีหลานได้แล้ว ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้ทหารไปล้อมจวนเสนาบดีเอาไว้ตั้งแต่ทราบเรื่อง ก่อนที่พระองค์จะออกพระราชโองการให้ขันทีในวังไปประกาศความผิดที่หน้าจวนเสนาบดีหลานในวันถัดไป เสนาบดีหลานที่รู้ว่างานที่ส่งคนไปจัดการไม่สำเร็จอีกแล้วก็เตรียมตัวหนีออกจากจวน เพียงแต่เหล่าองครักษ์ที่คอยเฝ้าจวนเสนาบดีหลานไม่ปล่อยโอกาสให้เขาได้หนีไปง่าย ๆ พวกเขาส่งคนไปส่งข่าวกับทั้งฮ่องเต้และท่านอ๋อง กระทั่งจวนเสนาบดีหลานนั้นถูกล้อมรอบเอาไว้ทุกด้านจนแม้แต่แมลงสักตัวก็ไม่สามารถที่จะเข้าและออกได
ณ จวนเสนาบดีหลาน วันนี้เขาไม่ยอมไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนอ๋องเพราะรู้ว่าตนเองไม่อาจปั้นหน้ายิ้มแย้มให้กับคนที่สั่งประหารภรรยาและลูกสาวคนเดียวของเขาได้ โดยเขาได้ส่งพ่อบ้านไปส่งของขวัญและขออภัยท่านอ๋องซึ่งใช้ข้ออ้างว่าตนเองไม่สบาย จึงกลัวว่าจะทำให้คนอื่นไม่สบายตามไปด้วย แต่ความจริงแล้ว เสนาบดีหลานได้จ้างนักฆ่าไปจัดการอ๋องน้อยก่อนหน้าวันงานแล้ว โดยเขายังให้นักฆ่าแฝงตัวเป็นบ่าวในจวนที่นำของขวัญไปร่วมแสดงความยินดีแทนตัวเขา ไม่ว่านักฆ่าจะทำสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้ว เพราะทุกครั้งที่เขาสืบทราบว่าจวนอ๋องนั้นมีความสุขเพียงใด ในใจของเขากลับยิ่งแค้นใจมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าความผิดของภรรยากับบุตรสาวที่จากไปของเขานั้นร้ายแรงขนาดไหน ในใจเขาก็ยังคงยอมรับการตัดสินโทษในครั้งนั้นไม่ได้อยู่ดี ที่จวนอ๋องในตอนนี้ เสนาบดีกรมพิธีการกำลังดำเนินพิธีตามราชประเพณีที่ให้ฮ่องเต้ ฮองเฮา ท่านอ๋องและพระชายาร่วมวางสิ่งของแทนเส้นทางในอ
หนึ่งวันก่อนงานฉลองร้อยวัน ตั้งแต่ซูซูคลอดอ๋องน้อยออกมา ตระกูลฟางก็แทบจะมาที่จวนอ๋องวันเว้นวันกันเลยทีเดียว พวกเขารักหลานคนแรกที่อวบอ้วนมากจนอดทนไม่ไหวที่จะห่างจากหลานหลายวัน ท่านอ๋องเองก็เช่นเดียวกัน หากไม่มีงานที่จะต้องออกจากจวน พระองค์ก็จะไม่ออกไปไหนนอกจากการช่วยภรรยาเลี้ยงดูบุตรชาย พระองค์ยังเคยขอลองชิมน้ำนมจากภรรยาแต่กลับถูกนางมองแรงใส่จนพระองค์ไม่กล้าขอชิมอีกเลย ด้วยกลัวว่าพระองค์จะได้ชิมกระบี่บินแทนที่จะได้กินนมเหมือนเจ้าลูกชาย ทำอย่างไรได้ในเมื่อพระองค์ไม่ได้ร่วมรักกับภรรยามาปีกว่าแล้วตั้งแต่นางตั้งครรภ์ พระองค์ใช่ว่าจะเป็นพระอิฐพระปูนเสียที่ไหน แต่ด้วยคำสั่งห้ามของภรรยาว่านางยังเจ็บแผลอยู่ จึงทำให้อ๋องเฉิงต้องอดทนมาจนกระทั่งลูกชายอายุจะครบร้อยวันในวันพรุ่งนี้แล้ว วันนี้ที่จวนอ๋องต่างวุ่นวายจัดเตรียมงานให้กับท่านอ๋องน้อยของพวกเขาอย่างยิ่งใหญ่ เนื่องจากท่านอ๋องแจ้งไว้ก่อนหน้าแล้วว่าฮ่องเต้และฮองเฮาจะเสด็จมาเป็นประธา