ซูซูเดินกลับบ้านในเวลาไม่นานนัก นางเข้าบ้านไปอย่างเคยชิน แน่นอนว่าตอนนี้อาหารหลายอย่างท่านปู่กับท่านย่าตั้งโต๊ะรอนางอยู่ก่อนแล้วพร้อมรอยยิ้ม“รีบมานั่งกินข้าวเร็วเข้า เจ้านี่นะ อาหารที่ย่าห่อไว้ให้ก็ไม่ยอมกิน มารีบกินข้าวก่อนแล้วค่อยมาคุยกันทีหลัง”“เจ้าค่ะท่านย่า ขอโทษด้วยที่หลานลืมกินเพราะมัวแต่หาสมุนไพรมาฝากท่านปู่หมออยู่น่ะเจ้าค่ะ” ซูซูพูดพร้อมกับนั่งลงยังตำแหน่งประจำของตนเอง นางคีบอาหารให้กับปู่และย่าของนางอย่างคุ้นเคย ทั้งสองคนเองก็ต่างพากันคีบอาหารใส่ถ้วยให้ซูซูเช่นเดียวกัน พวกเขาต่างกินอาหารอย่างไม่เร่งรีบ กระทั่งทุกคนกินข้าวเสร็จ ซูซูลุกขึ้นเก็บจานชามไปล้างตามปกติ ส่วนสองเฒ่าชราก็พากันมานั่งดื่มน้ำอุ่นรอซูซูที่พวกเขาดูเหมือนว่านางมีเรื่องจะพูดด้วย รอกันไม่นาน ซูซูก็มานั่งข้าง ๆ ท่านย่าของนางพร้อมกับกอดแขนและซบลงที่ไหล่ของซวงหยวนเอ๋อ ซวงหยวนเอ๋อหันมองหน้าสามีและลูบหัวให้กำลังใจซูซูเพื่อพูดสิ่งที่ต้องการออกมา“ท่านย่า ท่านปู่ ตอนนี้ข้าก็โตขึ้นมากแล้ว ข้าอยากออกไปตามหาครอบครัวข้าเจ้าค่ะ” เหอหยางเปากับซวงหยวนเอ๋อถึงกับใจหายแว๊บไปหลังจบประโยค
“เพ้ย!!! เรื่องดีบ้านเจ้าน่ะสิ ข้าไม่ยอมให้พวกเจ้าพาหลานสาวข้าไปทรมานอีกหรอกนะ แล้วอีกอย่างมีใครไม่รู้บ้างว่าลูกชายคนที่สามของเจ้าสอบขุนนางสามครั้งไม่เคยผ่านแม้แต่ครั้งเดียว แถมข้ายังได้ข่าวมาอีกว่าลูกชายคนที่สามของเจ้าสำมะเลเทเมากับเหล่าบัณฑิตสอบตกอยู่ในเมืองบ่อย ๆ น่ะ รู้อย่างนี้แล้วเจ้ายังกล้าหาแม่สื่อมาสู่ขอหลานสาวคนดีของข้าอีกหรืออย่างไร”“โธ่ ท่านผู้ใหญ่บ้านเจ้าคะ ก็เพราะลูกชายข้าสอบไม่ผ่านเลยกลับมาอยู่ที่บ้านกับข้าอย่างไรเล่าเจ้าคะ ตอนนี้ลูกใหญ่กับลูกรองก็สอบผ่านหมดแล้ว ค่าใช้จ่ายในบ้านก็เป็นพวกเขาส่งมาให้กับข้าทุกเดือน ข้าเองก็สั่งสอนลูกสามไปแล้วว่าหากให้เขาแต่งงานเขาจะต้องตั้งใจทำมาหากินเลี้ยงดูครอบครัวนะเจ้าคะ ท่านผู้ใหญ่บ้านจะไม่ให้โอกาสลูกชายข้าหน่อยหรือเจ้าคะ อีกอย่างซูซูก็ถึงวัยออกเรือนแล้วด้วย หากครอบครัวข้าไม่มาสู่ขอ จะมีใครกล้าขอเด็กกำพร้าอย่างนางเล่าเจ้าคะ”“เพ้ย!!! เจ้าคิดว่าพวกข้าสองคนโง่กันหรืออย่างไร เจ้ารีบไสหัวออกจากบ้านข้าไปซะ อีกอย่างหลานสาวข้าไม่ใช่เด็กกำพร้า นางยังมีครอบครัวที่รออยู่เสมอ พวกเขาอาจมีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถกลับมาตามหาซูซูได้ก็ได้ เจ้าไม่ต้องมาท
ซูซูที่เข็นรถเข็นไม่รู้สึกเหนื่อยแรงเลยแม้แต่น้อย จนนางคิดว่าท่านปู่ของนางผอมเกินไปแล้ว แบบนี้นางคงต้องซื้อของบำรุงร่างกายพวกท่านเพิ่มเติมเสียหน่อย ส่วนเหอหยางเปาก็รู้สึกดีที่หลานสาวดูแลเขาเช่นนี้ก่อนที่จะจากกันไป ถึงแม้เขากับภรรยาจะอยากรั้งนางเอาไว้ แต่ก็ไม่อยากทำให้นางเสียใจที่ไม่ได้ออกไปตามหาครอบครัวของนาง พวกเขาจึงได้แต่ตัดใจและรักษาร่างกายเพื่อรอวันหนึ่งที่ซูซูจะกลับมาหาพวกเขา ด้วยพลังลมปราณและการใช้วิชาตัวเบาร่วมด้วยนิดหน่อย ทำให้ซูซูใช้เวลาไม่ถึงสองเค่อเหมือนทุกครั้งก็มาถึงประตูเมืองแล้ว นางกลัวว่าหากมาถึงเร็วเกินไปท่านปู่ของนางจะสงสัยเอาได้ นางจึงได้ยั้งเท้าของตนเองเอาไว้บ้าง“ถึงเมืองแล้วเจ้าค่ะท่านปู่ วันนี้ท่านอยากได้อะไรบอกข้ามาเลยนะเจ้าคะ หลานสาวของท่านรวยมากนะเจ้าคะ ฮิ ฮิ”“ฮ่า ฮ่า ตกลง ๆ ปู่จะซื้อของจนเจ้าหมดตัวเลยทีเดียวเชียวล่ะ” ทั้งคู่ต่างหยอกล้อกันไปตามทาง สถานที่แรกที่ซูซูพาท่านปู่ไปคือที่ตลาดสด นางจะได้ซื้อเนื้อ ซื้อซี่โครงหมูกลับไปทำอาหารบำรุงร่างกายท่านปู่ท่านย่าของนาง เหอหยางเปาพอสังเกตทิศทางแล้วก็รู้ว่าหลานสาวจะไปที่ไหน เขาได้แต่อ
ขากลับนี้ ซูซูไม่ยอมให้ท่านปู่เข็นรถช่วยนาง นางให้เขาเดินข้าง ๆ นางไปเพียงเท่านั้น เพราะสิ่งของทั้งหลายในรถเข็นมีน้ำหนักไม่น้อย ซูซูกลัวว่าท่านปู่จะเหน็ดเหนื่อยจนกินอาหารได้น้อย นางจึงใช้พลังปราณเข็นรถเข็นกลับบ้านด้วยตัวเองอย่างเบามือ กระทั่งสองปู่หลานมาถึงบ้านกันในเวลาอาหารเที่ยงพอดี พวกเขาจึงได้เข้าไปทานอาหารก่อนที่จะมาช่วยกันยกสิ่งของต่าง ๆ ในรถเข็นเข้าไปเก็บในบ้านช่วยกันทีหลัง ซวงหยวนเอ๋อที่ออกมารับพวกเขาได้แต่อ้าปากค้างเมื่อเห็นสิ่งของภายในรถเข็นที่แทบจะล้นออกมา ซูซูต้องรีบเข้าไปกอดแขนออดอ้อนท่านย่าเพื่อไม่ให้นางตกใจเหมือนกับท่านปู่“ท่านย่าเจ้าคะ ซูซูหิวแล้ว เที่ยงนี้ท่านย่าทำอะไรให้ข้ากินบ้างหรือเจ้าคะ”“อ่า เจ้า...เจ้า… เฮ้อ เอาล่ะ ๆ เลิกออดอ้อนย่าเสียที เข้าไปกินข้าวกันเถอะ มื้อนี้มีแต่ของชอบของเจ้าทั้งนั้นแหละ เรื่องอื่นค่อยคุยกันทีหลัง” เหอหยางเปาได้แต่ส่ายหน้าให้กับวิธีการของหลานสาวที่ไม่ทำให้ภรรยาของเขาบ่นเรื่องการซื้อสิ่งของมากมายอย่างกับว่าจะใช้กินกันทั้งปีเลยทีเดียว เขาเองก็ได้แต่ต้องยอมรับสิ่งของพวกนี้มาอย่างจนใจ ในเมื่อหลานสาวพ
เมื่อมาถึงร้านขายม้าแล้ว ซูซูก็เลือกม้าอย่างชำนาญ นางเคยเห็นม้าของกลุ่มเจ้าหน้ากากเมื่อไม่นานมานี้ก็คิดว่าที่ร้านน่าจะพอมีบ้าง แต่กลับต้องผิดหวังเมื่อเดินเลือกดูทั้งร้านแล้วก็ไม่พบม้าที่มีลักษณะดีเหมือนอย่างม้าของเจ้าหน้ากาก ซูซูจึงได้แต่เลือกม้าที่ดีที่สุดในร้านซึ่งราคาของม้าก็มากถึงหนึ่งร้อยตำลึงเลยทีเดียว พ่อค้าบอกว่าม้าตัวนี้แข็งแรงและถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี สามารถวิ่งได้ไม่ต่ำกว่าสองร้อยลี้ภายในวันเดียว ซูซูจึงได้ยอมที่จะซื้อม้าตัวนี้ อย่างน้อยมันก็ช่วยเบาแรงนางแทนการใช้วิชาตัวเบาเดินทางได้ไม่น้อย“ท่านลุง หากข้าจะเดินทางไปเมืองหลวงจะต้องไปทางไหนหรือเจ้าคะ”“โอ้ แม่นางอยากไปเมืองหลวงหรือ? เช่นนั้นเจ้าต้องเดินทางไปยังเมืองเจิ้งกวนเสียก่อน เมืองนั้นเป็นทางผ่านไปยังเมืองหลวง ส่วนต่อไปนั้นข้าก็ไม่ค่อยจะรู้แล้วว่าจะต้องไปเมืองใดอีก เพราะข้าก็ไม่เคยเดินทางไปเมืองหลวงมาก่อน”“ขอบคุณท่านลุงที่บอกข้าเจ้าค่ะ แล้วเมืองเจิ้งกวนนั้นไปทางทิศใดหรือเจ้าคะ”“อ้อ เมืองเจิ้งกวนเดินทางไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เจ้าสามารถขี่ม้าไปตามทางได้เลย เส้นทางนี้จะพาเจ้าไปถึงเมืองเจิ้งกวนได้อย่างแน่นอน”
ซูซูมาถึงโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ในเวลาไม่นาน นางลงจากหลังม้าแล้วบอกกับเสี่ยวเอ้อที่ยืนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมให้นำม้าของนางไปดูแลอย่างดี พร้อมกับส่งเงินให้เสี่ยวเอ้อหนึ่งตำลึงเป็นค่าดูแล ก่อนที่นางจะเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมแล้วสั่งอาหารมากินก่อนที่จะจองห้องพักทีหลัง หลังจากกินอาหารจนอิ่มแล้ว ซูซูก็เรียกเสี่ยวเอ้อมาคิดเงินพร้อมกับสอบถามเรื่องการจองห้องพักสองวัน“ห้องพักที่นี่คืนละเท่าไหร่?”“คืนละห้าร้อยอีแปะขอรับแม่นาง”“เช่นนั้นนี่เงินหนึ่งตำลึง ข้าจะพักสองคืน เดี๋ยวเจ้าคิดเงินค่าอาหารด้วย ข้าจะได้จ่ายครั้งเดียว”“ขอรับแม่นาง ค่าห้องพักกับค่าอาหารมื้อนี้รวมกันหนึ่งตำลึงสี่ร้อยอีแปะขอรับ”“อ่ะ นี่เงินสองตำลึง เจ้าไม่ต้องทอนข้า แค่พาข้าไปห้องพักแล้วนำน้ำเข้ามาให้ข้าอาบก็พอแล้ว”“ขอบคุณขอรับแม่นาง เชิญท่านตามข้ามาทางนี้เลยขอรับ” เสี่ยวเอ้อยิ้มแก้มปริที่ได้เงินทอนเป็นค่าดูแลนาง ในสองวันนี้เขาจะต้องดูแลแม่นางคนนี้ให้ดีที่สุดเผื่อว่าจะได้เงินเพิ่มอีกสักเล็กน้อย ส่วนซูซูที่ไม่รู้ความคิดของเสี่ยวเอ้อก็ไม่ได้คิดมากเรื่องการใช้จ่ายของนาง นางรวยมากนี่นา แค่เงินไม่กี่ตำลึงไม่กี่อี
หลังทานอาหารและจัดของเอาไว้ดีแล้ว ซูซูก็เปิดประตูห้องออกไปเพื่อไปหาซื้อกระเป๋าสัมภาระของม้านางเสียก่อน และซูซูก็คิดที่จะหาร้านที่ทำงานไม้เพื่อซื้อกระบอกน้ำสักหลายอันก่อนออกเดินทาง เสี่ยวเอ้อที่คอยดูแลซูซูเห็นว่านางออกจากโรงเตี๊ยมไปแล้ว เขาก็ขึ้นไปทำความสะอาดและเก็บถ้วยชามอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะของนางออกมาตามคำสั่ง ด้วยประสบการณ์การทำความสะอาดมานาน เสี่ยวเอ้อก็ใช้เวลาไม่นานนักก็ทำความสะอาดอีกทั้งยังเทน้ำที่นางอาบแล้วทิ้งไปพร้อมกับทำความสะอาดถังน้ำเตรียมใส่น้ำอุ่นให้นางหลังจากนางกลับมาอีกครั้งด้วย ซูซูเดินดูร้านรวงข้างทางไปด้วยตามทิศทางที่เสี่ยวเอ้อบอกกับนางก่อนหน้านี้ว่าร้านที่นางต้องการซื้อกระเป๋านั้นอยู่ที่ตรอกทิศตะวันตก ขณะที่นางกำลังจะเลี้ยวไปตามทางเพื่อไปยังจุดหมาย จู่ ๆ ก็มีชายห้าคนมาขวางทางเดินของนาง ซูซูได้แต่ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ“พวกเจ้ามาขวางทางข้าทำไม?”
เมื่อซูซูกลับมาถึงโรงเตี๊ยมแล้ว นางก็สั่งอาหารกับเสี่ยวเอ้อที่คอยดูแลนางทันที รวมทั้งยังบอกให้เขานำน้ำอุ่นมาให้นางอาบหลังกินข้าวด้วย เสี่ยวเอ้อรีบตอบรับคำขอของลูกค้าใจป้ำพร้อมรอยยิ้ม เขาเห็นนางถือห่อผ้าใบใหญ่คงเป็นสิ่งของที่นางไปซื้อมาในช่วงเช้าของวันนี้กระมัง ซูซูเดินขึ้นไปที่ห้องเพื่อนำเสื้อผ้าไปวางเอาไว้ที่โต๊ะข้างเตียงติดกับห่อผ้าใบเก่าของนาง ซูซูรออยู่ไม่นานเสี่ยวเอ้อก็นำอาหารขึ้นมาส่งให้นางที่โต๊ะ“เสี่ยวเอ้อ ร้านของเจ้ามีเนื้อตากแห้งขายบ้างหรือไม่ ข้าจะได้ซื้อเอาไว้เป็นเสบียงมากสักหน่อย”“มีขอรับแม่นาง ท่านต้องการซื้อมากเท่าไหร่หรือขอรับ ข้าจะได้ไปบอกพ่อครัวให้”“ข้าต้องการซื้อสักห้าจิน เจ้าคิดราคารวมกับค่าอาหารมื้อนี้มาได้เลย”“ที่นี่ขายจินละหนึ่งร้อยอีแปะขอรับ ห้าจินก็ห้าร้อยอีแปะ รวมค่าอาหารอีกสี่ร้อยอีแปะ
อ๋องเฉิงที่เดินถือถุงผ้าใส่เครื่องประดับนำหน้าซูซูกับแม่ของนางกำลังจะก้าวออกจากประตูร้าน แต่เขากลับถูกเสียงถวายพระพรเสียงดังหยุดเอาไว้ก่อน“ถวายพระพรท่านอ๋องพะย่ะค่ะ กระหม่อมหลานเหอเสนาบดีคลัง ขอพระราชทานอภัยแทนบุตรสาวผู้โง่เขลาที่กล้ามาทำให้พระองค์ต้องทรงกริ้ว นี่เป็นของมีค่าประจำตระกูลของกระหม่อม กระหม่อมขอมอบให้ท่านอ๋องแทนคำขอโทษ ท่านอ๋องทรงโปรดรับเอาไว้ด้วยพะย่ะค่ะ” อ๋องเฉิงชายตามองคนที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่ซูซูที่ได้ยินคำพูดของเสนาบดีคลังกลับอยากรู้อยากเห็นว่าเขานำสิ่งใดมามอบให้กับว่าที่สามีของนางกัน นางจึงปล่อยมือออกจากแขนของท่านแม่แล้วเดินไปอยู่ด้านข้างท่านอ๋องพร้อมกับมองดูการกระทำของเสนาบดีคลังที่ยังคงคุกเข่ายกกล่องของขวัญขึ้นเหนือหัวเพื่อถวายท่านอ๋อง“นี่ เจ้าน่ะ เปิดออกมาดูสิว่าของมีค่าของตระกูลเจ้าเป็นอะไร หากเป็นสิ่งของทั่วไปท่านอ๋องของข้าคงไม่คิดจะรับมาให้รกจ
ไม่ถึงหนึ่งเค่อทั้งสามคนก็มาถึงหน้าร้านเครื่องประดับตระกูลฟาง ผู้จัดการร้านรีบออกมาต้อนรับเจ้านายใหญ่ทั้งสามอย่างตื่นเต้น เขารู้ดีว่าหากฮูหยินมาร้านเมื่อไหร่ ที่ร้านมักจะขายเครื่องประดับชุดใหญ่ ๆ ได้เสมอ ถึงแม้รายได้ทั้งหมดจะกลับไปยังตระกูลฟางก็เถอะ แต่ก็ทำให้เขามีผลงานไม่น้อยเช่นเดียวกับผู้จัดการร้านคนอื่น“เจ้าพาพวกข้าไปที่ห้องรับรองก่อน แล้วค่อยนำชุดเครื่องประดับใหม่ ๆ ออกมาให้ข้ากับลูกเลือกสักหลายชุด ของพวกนี้จะถูกนำไปเป็นสินเดิมให้กับลูกสาวข้า”“ขอรับนายหญิง เชิญด้านในเลยขอรับ” ผู้จัดการร้านสั่งให้คนงานรีบไปนำของว่างกับน้ำชาตามไปที่ห้องรับรองทันที ส่วนเขาก็ทำหน้าที่เดินนำทั้งสามคนไปยังห้องบนชั้นสองซึ่งเป็นห้องประจำที่ฮูหยินมักจะมาตรวจสอบบัญชีที่ร้านทุก ๆ สามเดือน เมื่อเข้าไปในห้องรับรองแล้ว ผู้จัดการร้านก็ขอให้พวกเขารอสัก
ซูซูได้แต่ส่งสายตาไม่พอใจกลับไปให้อ๋องเฉิงที่ยืนอยู่หน้าประตูร้าน นางล่ะเบื่อจริง ๆ ที่มีคนคอยมาหาเรื่องนางเพราะเขาเนี่ย แต่ทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อนางเองก็กำลังจะแต่งงานกับเขาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้ว ซูซูจึงทำได้เพียงพยักหน้าและปล่อยให้เขาจัดการเรื่องราวอย่างที่เขาต้องการ“เจ้าเป็นใครจึงได้คิดจะมาพูดสุ่มสี่สุ่มห้าต่อหน้าว่าที่พระชายาของข้า” เสียงเย็น ๆ ของอ๋องเฉิงทำเอาบุตรสาวเสนาบดีคลังถึงกับตัวสั่นอย่างหวาดกลัว นางไม่คิดว่าท่านอ๋องจะเสด็จมาที่นี่ ความจริงนางเห็นซูซูในงานเมื่อคืนนี้แล้วจึงได้อิจฉาที่นางได้ท่านอ๋องไปครอง หลานเสี่ยวชิงจึงได้หาเรื่องพวกนางสองแม่ลูกเช่นนี้ อีกอย่างวันนี้นางพาองครักษ์ประจำตัวมาถึงสี่คน นางจึงไม่กลัวว่าซูซูจะรอดพ้นจากคนของนางได้ หลานเสี่ยวชิงได้แต่รีบหันหลังกลับไปถวายพระพรอ๋องเฉิงอย่างเต็มพิธีการพร้อมกับก้มหน้าลง บรรดาบ่าวรับใช้และอง
ฟางเซียนหลงที่ประคองภรรยาเดินกลับห้องอยู่ หันหลังไปบอกพ่อบ้านให้นำน้ำมาให้พวกเขาล้างหน้าล้างตาก่อนเข้านอน พ่อบ้านรีบรับคำแล้วเดินไปสั่งบ่าวให้นำน้ำมาให้ในเวลาไม่นานนัก จากนั้นฟางเซียนหลงก็บอกให้พวกเขาไปพักผ่อน พรุ่งนี้ค่อยมานำอ่างน้ำออกไป พ่อบ้านกับบ่าวทั้งสองจึงจากไปตามคำสั่งของฟางเซียนหลง สองสามีภรรยาต่างล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนเป็นชุดนอนก่อนที่จะพากันขึ้นไปนอนบนเตียง ฟางเซียนหลงที่รักลูกสาวมากนอนไม่หลับเพราะไม่อยากให้นางออกเรือนเร็วเช่นนี้ มู่อิงเอ๋อเห็นสามีเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจ“ท่านพี่อย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะ ถึงแม้ซูซูจะออกเรือนไปแล้ว เราก็ยังสามารถไปเยี่ยมลูกได้ตลอด ไม่เหมือนกับก่อนที่พวกเราจะพบนาง ที่เราพ่อแม่ไม่รู้แม้กระทั่งว่าลูกของเรานั้นอยู่ที่ไหน”“อืม… พี่แค่เป็นห่วงลูกน่ะน้องหญิง”“ท่านพี่ก็เห็นในงานเลี้ยงแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ ว่าท
หลังการแสดงของกรมพิธีการ ขันทีก็ขานเรียกเหล่าบุตรสาวขุนนางทั้งหลายที่เตรียมการแสดงมาแต่แรกให้ขึ้นมาแสดงทีละคน ซึ่งการแสดงของพวกนางไม่ร่ายรำก็เล่นพิณหรือไม่ก็วาดภาพเขียนอักษรเท่านั้น การแสดงที่ซ้ำซากทำให้หลายคนเบื่อหน่ายไม่น้อย รวมทั้งฮ่องเต้กับฮองเฮาที่ไม่ได้แปลกใจนัก พวกเขาชมการแสดงและมอบรางวัลเพียงเล็กน้อยเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้พวกนางเท่านั้น เพราะพวกเขาประทับใจการแสดงของซูซูมากกว่า จึงมองไม่เห็นถึงความสามารถเดิม ๆ ของเหล่าบุตรสาวขุนนางเหล่านี้ อ๋องเฉิงเองก็ไม่ปรายตามองการแสดงของพวกนางแม้แต่น้อย พระองค์เอาแต่ดูแลอาหารการกินให้กับซูซูเท่านั้น ซูซูเองก็ไม่ชอบการแสดงที่ชวนง่วงเช่นนี้ นางจึงเอาแต่กินอาหารที่อ๋องเฉิงให้คนนำมาเพิ่ม ไหนจะขนมต่าง ๆ ที่อร่อยมากอย่างที่นางไม่เคยกินมาก่อน กระทั่งการแสดงทั้งหมดจบลง ฮ่องเต้เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วจึงสั่งเลิกงานเลี้ยง พระองค์กับฮองเฮาเสด็จกลับก่อนเหมือนเช่นทุกครั้ง ส่
อ๋องเฉิงที่ถูกเรียกชื่อได้แต่ต้องยืนขึ้นคำนับฮ่องเต้ผู้เป็นลุงพร้อมกับตอบคำถามที่เสด็จลุงของเขาสอบถามมา“ขอบพระทัยเสด็จลุงพะย่ะค่ะ หลานอยากได้เพียงพระราชโองการไม่รับหญิงอื่นเข้าจวนนอกจากว่าที่พระชายาฟางซูซูพะย่ะค่ะ ควรมิควรแล้วแต่เสด็จลุงจะทรงโปรดพะย่ะค่ะ”“หืม… เจ้าแน่ใจหรือ?”“แน่ใจพะย่ะค่ะเสด็จลุง” ขุนนางที่หวังจะให้บุตรสาวเข้าจวนอ๋องได้แต่รีบลุกขึ้นไปคุกเข่ากราบทูลฮ่องเต้ว่าเรื่องนี้จะเป็นการผิดธรรมเนียมของราชวงศ์ที่มักจะต้องมีทายาทให้มากเข้าไว้มาแต่ไหนแต่ไร“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าท่านอ๋องขอเช่นนี้ไม่ค่อยจะเหมาะสมนักพะย่ะค่ะ ตั้งแต่โบราณมา ราชวงศ์ต่างต้องมีพระชายาเอก พระชายารอง รวมทั้งอนุทั้งหลายเพื่อให้มีทายาทมาสานต่อหน้าที่ให้มากไว้นะพะย่ะค่ะ” &nb
รถม้าสองคันใช้เวลาไม่นานก็เดินทางมาถึงหน้าพระราชวัง งานในวันนี้จัดขึ้นที่ลานด้านหน้าท้องพระโรงซึ่งมีพื้นที่กว้างขวาง เหล่าครอบครัวรองแม่ทัพ และนายกองเองก็ได้รับเชิญให้มาเป็นครั้งแรกด้วย ไหนจะบรรดาครอบครัวขุนนางที่ชอบนักกับงานเลี้ยงในวังเช่นนี้อีกไม่ใช่น้อย สถานที่การจัดงานจึงต้องใช้บริเวณที่กว้างขวางที่สุดในวัง อ๋องเฉิงลงจากรถม้าก่อนที่จะยื่นมือไปรับมือเล็ก ๆ ของซูซูที่ค่อย ๆ ยื่นออกมาจากรถม้าของพระองค์ เหล่าขุนนางที่เดินทางมาไล่เลี่ยกันต่างมองกันตาค้างด้วยไม่คิดว่าท่านอ๋องจะไปรับคู่หมั้นมางานด้วยพระองค์เองเช่นนี้ ส่วนครอบครัวฟางก็ลงจากรถม้าแล้วเช่นเดียวกัน พวกเขารู้แล้วว่าท่านอ๋องจะนั่งกับซูซู จึงไม่มีใครแปลกใจอะไรที่เห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง ซูซูยิ้มหวานให้กับอ๋องเฉิงที่พระองค์จับมือนางเอาไว้แน่นเหมือนกลัวหายอย่างไรอย่างนั้น ฟางฉือห่าวได้แต่มองบรรยากาศของทั้งสองคนที่ทำเหมือนในโลกนี้มีเพียงพวกเขาสอ
ก่อนที่ซูซูจะแต่งตัวเสร็จ อ๋องเฉิงก็มาที่จวนตระกูลฟางเพื่อมารอรับคู่หมั้นของพระองค์ไปร่วมงานพร้อมกัน ทำเอาฟางเซียนหลงกับมู่อิงเอ๋อรีบออกมาต้อนรับท่านอ๋องแทบไม่ทัน“พวกท่านตามสบาย ข้าแค่มารอซูซูเพื่อไปที่งานพร้อมกันเท่านั้น พวกท่านไปแต่งตัวให้เสร็จเสียก่อนเถอะ ข้าไม่ได้รีบร้อนอันใด”“พะย่ะค่ะ/เพคะ ท่านอ๋อง” ฟางเซียนหลงสั่งพ่อบ้านให้ดูแลท่านอ๋องอย่างดี ตอนนี้พวกเขายังแต่งตัวกันไม่เสร็จดีเลย ทั้งสองจึงได้แต่ต้องรีบกลับเข้าไปแต่งกายให้เหมาะสมกับงานในวันนี้โดยเร็ว ด้วยพวกเขาไม่อยากให้ท่านอ๋องต้องรอนาน ด้านมู่อิงเอ๋อก็ให้คนไปดูว่าบุตรสาวนางแต่งตัวเสร็จหรือยัง เพราะตอนนี้ท่านอ๋องมารอนางแล้ว ซูซูที่วันนี้ใส่ชุดสีม่วงอ่อนประดับด้วยดิ้นเงินลายดอกโบตั๋นก็พอใจกับชุดนี้ไม่น้อย นางไม่คิดว่าท่านแม่จะหาชุดสวย ๆ เช่นนี้มาให้นางได้ในเวลาเพียงไม
ก่อนเข้าไปยังโถงรับแขกของเรือนหลัก ฟางฉือห่าวสั่งให้บ่าวเก็บของฝากลงมาให้กับท่านพ่อ ท่านแม่ แล้วเดินตามหลังทุกคนเข้าไปนั่งตามตำแหน่งเดิม“ซูซู ลูกเป็นยังไงบ้าง เหตุใดจึงได้ดำคล้ำเช่นนี้เล่า”“แฮะ ๆ ลูกขี่ม้าตากแดดเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านแม่อย่ากังวลเลย อีกไม่กี่วันข้าก็กลับมาขาวเหมือนเดิมแล้วนะเจ้าคะ”“เฮ้อ เจ้านี่นะ เช่นนั้นช่วงนี้แม่จะให้แม่นมกับคนของแม่ไปดูแลช่วยบำรุงผิวให้เจ้าจนกว่าจะหายก็แล้วกัน เจ้ายิ่งดูแลตัวเองไม่เป็นอยู่ด้วย”“ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ ลูกเข้าใจแล้ว”“ท่านพ่อ ท่านแม่ขอรับ ของพวกนี้เป็นของฝากจากแคว้นจ้านที่ข้ากับน้องซื้อมาฝากพวกท่าน ลองดูก่อนว่าชอบหรือไม่นะขอรับ” ฟางฉือห่าวเห็นบ่าวยกสิ่งของต่าง ๆ เข้ามามากมายจึงรีบออกหน้าให้พ่อกับแม่ของเขาก่อนที่จะบ่นน้องส