เมื่อสองปู่หลานมาถึงตลาดสดแล้ว เหอหยางเปาก็พาหลานสาวไปที่ร้านขายเนื้อหมูตามที่นางต้องการ ซูซูชี้ ๆ เอาทั้งเนื้อหมูและกระดูกเพื่อนำไปต้มซุปให้กับท่านปู่ท่านย่ากินบำรุงร่างกาย ส่วนผักนั้นนางซื้อไม่มากนักเพราะท่านปู่บอกว่าที่สวนมีผักอีกมากนัก เหอหยางเปาถือเนื้อหนัก ๆ แทนหลานสาว ส่วนซูซูนั้นถือเพียงผักไม่กี่ต้นเท่านั้น ขณะที่กำลังเดินออกจากตลาด ซูซูก็เงยหน้าหันไปหาท่านปู่เพื่อขอให้ท่านพาไปที่ร้านขายเสื้อผ้าต่อ“เหตุใดเจ้าต้องไปร้านขายเสื้อผ้าด้วยเล่า ท่านย่าเจ้าเย็บเอาไว้ให้หลายตัวแล้วนี่นา”“โธ่ ท่านปู่เจ้าคะ ข้าใช่ว่าอยากได้เสื้อผ้าของตัวเองอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่เล่า ข้าอยากซื้อให้ท่านปู่กับท่านย่าต่างหากเล่าเจ้าคะ ส่วนของข้าที่ต้องซื้อเพิ่มเพราะท่านย่าอายุมากแล้ว หากปล่อยให้นั่งเย็บนาน ๆ สายตาท่านย่าจะเสียเอาได้”“อ้อ เช่นนั้นปู่ก็จะพาเจ้าไป ปู่คิดน้อยไปจริง ๆ ขอบใจเจ้ามากนะซูซูที่ช่วยปู่ดูแลย่าของเจ้าน่ะ”“แน่นอนว่าต้องเป็นหน้าที่ของหลานสาวที่น่ารักคนนี้ของท่านปู่อยู่แล้วเจ้าค่ะ ฮิ ฮิ ท่านปู่ใยจะต้องขอบคุณข้าอีกเล่าเจ้าคะ”“เฮ้อ เจ้านี่นะ นับว่าข้าคิดไม่ผิดที่พาเจ้ามาอยู่ด้
ท่านย่าที่ออกมาดูหน้าบ้านว่าเสียงใครมาเอะอะกันก็ได้แต่มองรถเข็นพร้อมกับสิ่งของมากมายในรถอย่างตกตะลึง นางได้แต่กระซิบถามสามีว่านี่มันอะไรกัน เหอหยางเปาได้แต่บอกให้ภรรยาช่วยกันขนของเข้าบ้านเสียก่อนค่อยคุยกันก็ยังไม่สาย ซวงหยวนเอ๋อกับซูซูที่ปิดประตูเรียบร้อยแล้วก็เข้ามาช่วยยกของเข้าไปในบ้านด้วยเช่นเดียวกัน หลังจากทุกคนช่วยกันขนสิ่งของเข้าบ้านเรียบร้อยแล้ว เหอหยางเปาก็นำรถเข็นไปเก็บไว้ที่ด้านข้างของบ้าน จากนั้นเขาก็เดินกลับเข้าบ้านเพื่อพูดคุยกับภรรยา ส่วนซูซูก็รีบออดอ้อนท่านย่าอย่างรู้งาน นางรู้ดีว่าท่านย่าจะต้องบ่นว่าซื้อของมาเยอะเกินไปเป็นแน่ แต่นี่เป็นความกตัญญูของนางที่อยากจะทำให้กับท่านปู่ท่านย่านี่นา“ว่าอย่างไรตาเฒ่า เหตุใดเจ้าจึงซื้อของมาเสียมากมายขนาดนี้ เจ้าไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะกัน”“เพ้ย!!! เจ้าไม่ถามหลานสาวสุดที่รักเจ้าดูเล่า ข้าหรือจะมีเงินมากมาย เป็นนางที่ไปขายโสมได้เงินมาแล้วจึงอยากซื้อสิ่งของเหล่านี้เข้าบ้านต่างหากเล่า”“จริงหรือซูซู?”“เจ้าค่ะท่านย่า ข้าไม่อยากให้ท่านปู่ ท่านย่าลำบากมากนัก เมื่อมีเงินเหลือกินเหลือใช้แล้ว ข้าก็อยากนำสิ่งดี ๆ มาให้พวก
ซูซูที่ไม่รู้ว่าอีกไม่นานจะมีคนมาแย่งเห็ดของนางก็ได้แต่ต่อสู้กับงูสายรุ้งตัวใหญ่อย่างเต็มกำลัง ขณะที่งูชูคอขึ้นมาเพื่อจะเลื้อยมาทำร้ายนาง ซูซูก็บังคับกระบี่บินไปยังจุดตายของงูสายรุ้งที่อยู่ใต้ลำคอของมันจนกระบี่เสียบทะลุเข้าไปจนมิดด้าม ซูซูมองไปยังงูสายรุ้งที่นางต่อสู้ด้วยอย่างยากลำบาก ในที่สุดนางก็ปราบมันลงได้เสียที จากนั้นซูซูบังคับกระบี่บินให้ออกมาจากตัวงูแล้วเก็บกระบี่เข้าไปในกำไลเก็บของของนาง ซูซูใช้วิชาตัวเบาข้ามผ่านร่างของงูสายรุ้งตัวใหญ่ยักษ์ไปยังเห็ดสีรุ้งที่นางต้องการและรีบใช้มีดสั้นแซะเห็ดออกมาจากตอไม้ทันที ขณะที่นางกำลังจะเก็บเห็ดเข้าไปไว้ในกำไลเก็บของ ซูซูได้ยินเสียงเกือกม้ากลุ่มหนึ่งใกล้เข้ามาเต็มที นางหันไปมองทางเสียงที่ได้ยิน พอเห็นว่ามีคนสวมหน้ากากและคนอีกนับสิบขี่ม้ามาหยุดห่างจากจุดที่งูสายรุ้งตายไม่ไกลนัก อ๋องเฉิงที่เห็นซูซูถือเห็ดสีรุ้งเอาไว้ในมือก็ได้แต่ขมวดคิ้ว คราวนี้พระองค์มีภารกิจตามหาเห็ดสีรุ้งเพื่อนำไปใช้เป็นตัวยาหลักในการแก้พิษขององค์รัชทายาท แต่ตอนนี้กลับมีแม่นางน้อยที่ได้ไปเสียก่อน“เจ้าเป็นคนฆ่างูสายรุ้งเองเหรอแม่นาง?”“ใช่แล
ซูซูที่เก็บซากงูเสร็จแล้วก็ลืมเรื่องของเจ้าหน้ากากไปในทันที นางสำรวจดูในตะกร้าก็พบว่าไม่ค่อยมีอะไรนอกจากสมุนไพรเล็กน้อยที่จะนำไปฝากท่านปู่หมอเท่านั้น ซูซูเห็นว่าใกล้จะเย็นแล้วจึงได้ใช้วิชาตัวเบาไปที่ป่าไผ่เพื่อนำหน่อไม้สักสองสามหน่อกลับไปให้ท่านย่าทำอาหารให้นางกับท่านปู่กิน ซูซูไม่ได้เก็บหน่อไม้ให้กับท่านย่านานแล้ว หลังจากนางออกล่าสัตว์ก่อนหน้านี้ ไหน ๆ วันนี้นางก็อยู่ที่เขาลูกนี้แล้ว ซูซูจึงคิดอยากกินขึ้นมาเสียอย่างนั้น หลังจากซูซูเก็บหน่อไม้ได้ตามที่ต้องการแล้ว นางก็เก็บตั๋วแลกเงินเข้าไปในกำไลเก็บของของนางพร้อมรอยยิ้ม อย่างน้อย ๆ นางก็มีเงินสำหรับการออกเดินทางท่องโลกกว้างเพื่อตามหาครอบครัวของร่างเดิมแล้ว ซูซูไม่คิดมากที่นางต้องเสียเห็ดสีรุ้งไป ถึงอย่างไรวิชาสะสมลมปราณของนางก็ช่วยนางได้มากอยู่แล้ว ยิ่งหากนางได้กินดีงูที่มีสรรพคุณป้องกันพิษได้แทบทุกชนิดแล้วล่ะก็ ซูซูยิ่งคิดว่าน่าจะถึงเวลาที่นางจะต้องออกเดินทางเสียที ตอนนี้นางอายุ 14 ย่าง 15 ปีแล้วด้วย หากยังคงรอไปนานกว่านี้ ซูซูกลัวว่านางจะไม่อยากจากท่านปู่ ท่านย่าไปแน่ ๆ ช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมา บรรดาลูกชายขอ
ซูซูเดินกลับบ้านในเวลาไม่นานนัก นางเข้าบ้านไปอย่างเคยชิน แน่นอนว่าตอนนี้อาหารหลายอย่างท่านปู่กับท่านย่าตั้งโต๊ะรอนางอยู่ก่อนแล้วพร้อมรอยยิ้ม“รีบมานั่งกินข้าวเร็วเข้า เจ้านี่นะ อาหารที่ย่าห่อไว้ให้ก็ไม่ยอมกิน มารีบกินข้าวก่อนแล้วค่อยมาคุยกันทีหลัง”“เจ้าค่ะท่านย่า ขอโทษด้วยที่หลานลืมกินเพราะมัวแต่หาสมุนไพรมาฝากท่านปู่หมออยู่น่ะเจ้าค่ะ” ซูซูพูดพร้อมกับนั่งลงยังตำแหน่งประจำของตนเอง นางคีบอาหารให้กับปู่และย่าของนางอย่างคุ้นเคย ทั้งสองคนเองก็ต่างพากันคีบอาหารใส่ถ้วยให้ซูซูเช่นเดียวกัน พวกเขาต่างกินอาหารอย่างไม่เร่งรีบ กระทั่งทุกคนกินข้าวเสร็จ ซูซูลุกขึ้นเก็บจานชามไปล้างตามปกติ ส่วนสองเฒ่าชราก็พากันมานั่งดื่มน้ำอุ่นรอซูซูที่พวกเขาดูเหมือนว่านางมีเรื่องจะพูดด้วย รอกันไม่นาน ซูซูก็มานั่งข้าง ๆ ท่านย่าของนางพร้อมกับกอดแขนและซบลงที่ไหล่ของซวงหยวนเอ๋อ ซวงหยวนเอ๋อหันมองหน้าสามีและลูบหัวให้กำลังใจซูซูเพื่อพูดสิ่งที่ต้องการออกมา“ท่านย่า ท่านปู่ ตอนนี้ข้าก็โตขึ้นมากแล้ว ข้าอยากออกไปตามหาครอบครัวข้าเจ้าค่ะ” เหอหยางเปากับซวงหยวนเอ๋อถึงกับใจหายแว๊บไปหลังจบประโยค
“เพ้ย!!! เรื่องดีบ้านเจ้าน่ะสิ ข้าไม่ยอมให้พวกเจ้าพาหลานสาวข้าไปทรมานอีกหรอกนะ แล้วอีกอย่างมีใครไม่รู้บ้างว่าลูกชายคนที่สามของเจ้าสอบขุนนางสามครั้งไม่เคยผ่านแม้แต่ครั้งเดียว แถมข้ายังได้ข่าวมาอีกว่าลูกชายคนที่สามของเจ้าสำมะเลเทเมากับเหล่าบัณฑิตสอบตกอยู่ในเมืองบ่อย ๆ น่ะ รู้อย่างนี้แล้วเจ้ายังกล้าหาแม่สื่อมาสู่ขอหลานสาวคนดีของข้าอีกหรืออย่างไร”“โธ่ ท่านผู้ใหญ่บ้านเจ้าคะ ก็เพราะลูกชายข้าสอบไม่ผ่านเลยกลับมาอยู่ที่บ้านกับข้าอย่างไรเล่าเจ้าคะ ตอนนี้ลูกใหญ่กับลูกรองก็สอบผ่านหมดแล้ว ค่าใช้จ่ายในบ้านก็เป็นพวกเขาส่งมาให้กับข้าทุกเดือน ข้าเองก็สั่งสอนลูกสามไปแล้วว่าหากให้เขาแต่งงานเขาจะต้องตั้งใจทำมาหากินเลี้ยงดูครอบครัวนะเจ้าคะ ท่านผู้ใหญ่บ้านจะไม่ให้โอกาสลูกชายข้าหน่อยหรือเจ้าคะ อีกอย่างซูซูก็ถึงวัยออกเรือนแล้วด้วย หากครอบครัวข้าไม่มาสู่ขอ จะมีใครกล้าขอเด็กกำพร้าอย่างนางเล่าเจ้าคะ”“เพ้ย!!! เจ้าคิดว่าพวกข้าสองคนโง่กันหรืออย่างไร เจ้ารีบไสหัวออกจากบ้านข้าไปซะ อีกอย่างหลานสาวข้าไม่ใช่เด็กกำพร้า นางยังมีครอบครัวที่รออยู่เสมอ พวกเขาอาจมีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถกลับมาตามหาซูซูได้ก็ได้ เจ้าไม่ต้องมาท
ซูซูที่เข็นรถเข็นไม่รู้สึกเหนื่อยแรงเลยแม้แต่น้อย จนนางคิดว่าท่านปู่ของนางผอมเกินไปแล้ว แบบนี้นางคงต้องซื้อของบำรุงร่างกายพวกท่านเพิ่มเติมเสียหน่อย ส่วนเหอหยางเปาก็รู้สึกดีที่หลานสาวดูแลเขาเช่นนี้ก่อนที่จะจากกันไป ถึงแม้เขากับภรรยาจะอยากรั้งนางเอาไว้ แต่ก็ไม่อยากทำให้นางเสียใจที่ไม่ได้ออกไปตามหาครอบครัวของนาง พวกเขาจึงได้แต่ตัดใจและรักษาร่างกายเพื่อรอวันหนึ่งที่ซูซูจะกลับมาหาพวกเขา ด้วยพลังลมปราณและการใช้วิชาตัวเบาร่วมด้วยนิดหน่อย ทำให้ซูซูใช้เวลาไม่ถึงสองเค่อเหมือนทุกครั้งก็มาถึงประตูเมืองแล้ว นางกลัวว่าหากมาถึงเร็วเกินไปท่านปู่ของนางจะสงสัยเอาได้ นางจึงได้ยั้งเท้าของตนเองเอาไว้บ้าง“ถึงเมืองแล้วเจ้าค่ะท่านปู่ วันนี้ท่านอยากได้อะไรบอกข้ามาเลยนะเจ้าคะ หลานสาวของท่านรวยมากนะเจ้าคะ ฮิ ฮิ”“ฮ่า ฮ่า ตกลง ๆ ปู่จะซื้อของจนเจ้าหมดตัวเลยทีเดียวเชียวล่ะ” ทั้งคู่ต่างหยอกล้อกันไปตามทาง สถานที่แรกที่ซูซูพาท่านปู่ไปคือที่ตลาดสด นางจะได้ซื้อเนื้อ ซื้อซี่โครงหมูกลับไปทำอาหารบำรุงร่างกายท่านปู่ท่านย่าของนาง เหอหยางเปาพอสังเกตทิศทางแล้วก็รู้ว่าหลานสาวจะไปที่ไหน เขาได้แต่อ
ขากลับนี้ ซูซูไม่ยอมให้ท่านปู่เข็นรถช่วยนาง นางให้เขาเดินข้าง ๆ นางไปเพียงเท่านั้น เพราะสิ่งของทั้งหลายในรถเข็นมีน้ำหนักไม่น้อย ซูซูกลัวว่าท่านปู่จะเหน็ดเหนื่อยจนกินอาหารได้น้อย นางจึงใช้พลังปราณเข็นรถเข็นกลับบ้านด้วยตัวเองอย่างเบามือ กระทั่งสองปู่หลานมาถึงบ้านกันในเวลาอาหารเที่ยงพอดี พวกเขาจึงได้เข้าไปทานอาหารก่อนที่จะมาช่วยกันยกสิ่งของต่าง ๆ ในรถเข็นเข้าไปเก็บในบ้านช่วยกันทีหลัง ซวงหยวนเอ๋อที่ออกมารับพวกเขาได้แต่อ้าปากค้างเมื่อเห็นสิ่งของภายในรถเข็นที่แทบจะล้นออกมา ซูซูต้องรีบเข้าไปกอดแขนออดอ้อนท่านย่าเพื่อไม่ให้นางตกใจเหมือนกับท่านปู่“ท่านย่าเจ้าคะ ซูซูหิวแล้ว เที่ยงนี้ท่านย่าทำอะไรให้ข้ากินบ้างหรือเจ้าคะ”“อ่า เจ้า...เจ้า… เฮ้อ เอาล่ะ ๆ เลิกออดอ้อนย่าเสียที เข้าไปกินข้าวกันเถอะ มื้อนี้มีแต่ของชอบของเจ้าทั้งนั้นแหละ เรื่องอื่นค่อยคุยกันทีหลัง” เหอหยางเปาได้แต่ส่ายหน้าให้กับวิธีการของหลานสาวที่ไม่ทำให้ภรรยาของเขาบ่นเรื่องการซื้อสิ่งของมากมายอย่างกับว่าจะใช้กินกันทั้งปีเลยทีเดียว เขาเองก็ได้แต่ต้องยอมรับสิ่งของพวกนี้มาอย่างจนใจ ในเมื่อหลานสาวพ
“เข้ามาได้” ซูซูส่งเสียงตอบกลับให้นิ่งเรียบที่สุด นางไม่อยากแสดงออกมากนักว่านางรู้สึกอย่างไร หากนางผิดหวังในตัวพวกเขา นางก็แค่จากไปก็เท่านั้น เสียงเดินเข้ามาด้านในห้องโดยมีเสี่ยวเอ้อเปิดประตูให้คนทั้งสามซึ่งดูท่าทางร่ำรวยและดูภูมิฐานไม่น้อย ซูซูกระพริบตาอย่างตกตะลึงกับคนทั้งสามที่กำลังเดินมาหานางพร้อมกับน้ำตาปริ่มใบหน้าของหญิงสาวที่ดูจะอายุยังไม่แก่มากนัก นางไม่นึกว่าทั้งสามคนจะหน้าตาละม้ายคล้ายนางมากถึงเพียงนี้“พวกท่านเชิญนั่งลงก่อน”“ฮึก...ลูกแม่” มู่อิงเอ๋อทนเก็บอารมณ์ความรักความคิดถึงไม่ไหวแล้ว นางสลัดอ้อมแขนของสามีออกแล้วรีบเดินเร็ว ๆ เข้าไปกอดซูซูอย่างแสนรัก ซููซูที่จู่ ๆ ก็ได้รับความอบอุ่นจากคนที่เรียกนางว่าลูกก็ทำตัวไม่ถูกสักเท่าไหร่นัก นางไม่คิดว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้กับนาง ฟางเซียนหลงเห็นว่าลูกสาวถึงกับอึ้งไปที่ภรรยาของเขาเข้าไปกอดน
ฟางเซียนหลงที่รีบเดินกลับเรือนทำให้ฟางฉือห่าวที่กำลังจะออกไปทำงานเกิดสงสัยว่าท่านพ่อมีเรื่องอะไรเร่งด่วนตั้งแต่เช้ากัน เขาจึงเปลี่ยนทิศทางที่กำลังจะออกจากจวนเป็นเดินไปที่เรือนท่านพ่อท่านแม่แทน เมื่อไปถึงเรือน ฟางเซียนหลงที่ยังเห็นภรรยานั่งหน้าอมทุกข์อยู่ก็รีบเดินเข้าไปหานางพร้อมกับยื่นกระดาษประกาศให้นางอ่านด้วยตัวเอง ไม่นานนักหลังอ่านรายละเอียดจบแล้ว มู่อิงเอ๋อรีบเงยหน้ามองสามีพร้อมน้ำตา“นี่...นี่จริงเหรอเจ้าคะท่านพี่ เราจะได้เจอลูกแล้วเหรอเจ้าคะ ฮึก…” ฟางเซียนหลงโอบภรรยาเอาไว้ในอ้อมแขน ตัวเขาเองก็น้ำตารื้นขึ้นมาเช่นเดียวกัน ก่อนที่จะบอกกับภรรยาว่าจะไปหานางในวันพรุ่งนี้เลย“ประกาศใบนี้เป็นของจริงแน่นอนน้องหญิง อีกอย่างลวดลายบนกระดาษก็เป็นหยกของตระกูลเราที่เคยมัดติดกับแขนของลูกเอาไว้ในคราวนั้นด้วย ตอนนี้น้องหญิงต้องทำใจให้สบา
ซูซูเมื่อเห็นว่าเสี่ยวเอ้อออกไปแล้ว นางนำหยกออกมาจากกำไลเก็บของ ก่อนจะนำมีดสั้นมาตัดกระดาษแผ่นใหญ่ออกเป็นสี่ส่วน เสร็จแล้วซูซูก็นำกระดาษไปทาบกับหยกด้านที่มีตัวอักษรฟางแล้วใช้ก้อนถ่านค่อย ๆ ถูเพื่อให้ขึ้นลวดลายตามหยกที่นางมีอยู่ ซูซูทำอย่างระมัดระวัง ด้วยกลัวว่าลวดลายจะผิดแปลกออกไปจนทำให้คนที่มาอ่านประกาศเห็นได้ไม่ชัดเจน หลังจากได้ลวดลายตามที่ต้องการแล้ว ซูซูใช้พู่กันแตะหมึกที่นางฝนเอาไว้ไม่นานนักแล้วเขียนในใบประกาศว่า“ข้ามีหยกชิ้นนี้มาตั้งแต่จำความได้ หากใครรู้จักคนที่ให้หยกนี้แก่ข้า ได้โปรดมาพบข้าที่โรงเตี๊ยมไฉ่หลงภายในสามวัน ที่ห้องพักชั้นสองห้องด้านในสุด ก่อนที่ข้าจะออกเดินทางตามหาเจ้าของหยกต่อไปยังเมืองอื่น ลงชื่อซูซู” ซูซูอ่านทวนว่ามีตรงไหนผิดพลาดหรือไม่ เมื่อเห็นว่าไม่มีตรงไหนผิดพลาด ซูซูก็นำกระดาษอีกสามแผ่นมาทำเช่นเดิม นางจะนำกระดาษทั้งสี่แผ่นติดที่ป้ายประกาศทั้งหมด เผื่อว่ามีคนรู้จักหยกชิ้นนี้แล้วนำแผ่นกระดาษที่นางติดเ
หลังจากเสี่ยวเอ้อวางอาหารเรียบร้อยแล้ว ซูซูก็บอกเขาว่าหากนางกินเสร็จจะนำถ้วยชามวางไว้ที่หน้าห้อง เขาค่อยมาเก็บทีหลังก็แล้วกัน และห้ามไม่ให้ใครมารบกวนนางพักผ่อนด้วย เสี่ยวเอ้อพยักหน้ารับคำแขกที่ดูจะร่ำรวยไม่น้อยจนถึงขนาดได้เข้าพักในห้องใหญ่ที่สุดของโรงเตี๊ยม แถมอาหารของนางยังมีแต่อาหารขึ้นชื่อของที่นี่อีกด้วย เมื่อซูซูสั่งเสี่ยวเอ้อเสร็จนางก็บอกให้เขาออกไปได้ นางจะกินข้าวแล้วจะได้รีบพักผ่อน เสี่ยวเอ้อรีบขอตัวออกไปจากห้องของนางในทันใด เขามัวแต่ตกตะลึงกับความงามของนางจนลืมไปว่านางสั่งงานเขาเสร็จแล้ว โชคดีที่แม่นางน้อยไม่คิดว่าเขาทำกิริยาไม่เหมาะสม ไม่เช่นนั้นเขาคงถูกเถ้าแก่ไล่ออกเป็นแน่ ซูซูที่เข้าใจดีว่าตนเองสวยสดงดงามมากเพียงใดก็ไม่ได้ถือสาเสี่ยวเอ้อที่มัวแต่ตะลึงในความงามของนาง ซูซูนั่งกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย นับว่าที่นี่สมแล้วกับที่มีคนแนะนำน
องครักษ์ที่ติดตามอ๋องเฉิงในครั้งนี้ต่างพากันไม่เชื่อว่าท่านอ๋องจะยอมซื้อหมูป่าในราคาสูงถึงหนึ่งพันตำลึงจริง ๆ พวกเขาไม่กล้าสอบถามว่าเหตุใดท่านอ๋องจึงได้ทำเช่นนี้ องครักษ์ชุดนี้เป็นคนละชุดกับที่ออกเดินทางไปนอกเมืองหลวงกับอ๋องเฉิง พวกเขาจึงไม่เคยพบซูซูมาก่อน เพราะพวกเขาเป็นองครักษ์คนสนิทที่คอยทำงานในเมืองหลวงให้กับท่านอ๋องเวลาพระองค์ไม่อยู่ จึงทำให้พวกเขาไม่ทราบที่มาของแม่นางคนงามที่ท่านอ๋องขอซื้อหมูป่าก่อนหน้านี้ พวกเขาได้แต่คิดในใจว่ารอให้ไปถึงค่ายทหารเสียก่อน เขาจะสอบถามองครักษ์ที่ติดตามท่านอ๋องออกนอกเมืองว่าแม่นางน้อยคนนี้เป็นใคร ภายในเมืองหลวงก็วุ่นวายกันไม่น้อย ด้วยข่าวลือที่แพร่ออกไปอย่างรวดเร็วว่าอ๋องเฉิงนั้นพูดคุยอย่างสนิทสนมกับแม่นางน้อยรูปร่างหน้าตางดงามราวกับนางฟ้า แถมยังแข็งแกร่งกว่าหญิงสาวทั่วไปอีกต่างหาก ข่าวลือที่ผิดเพี้ยนไปเพราะกระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงกลายเป็นว่า ท่านอ๋องมีไมตรีกับสตรีแปลกหน้าท่ามกลางชาวบ้านที่สามารถเป็นพยานได้หลายคน
หลังจากพักผ่อนจนมีเรี่ยวแรงกลับมาเต็มที่อีกครั้งแล้ว ซูซูก็เดินนำหน้าม้าของนางต่อไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเช่นเดิม เดินกันอยู่ไม่นานก็พบกับไก่ป่าอีกครั้ง ซูซูใช้กระบี่บินจัดการไก่ป่าอย่างรวดเร็ว นางทำเพียงโยนไก่เข้าไปในกำไลเก็บของเท่านั้น เพื่อที่จะล่าสัตว์ต่อไปได้อย่างสะดวก เดินต่อไปอีกเกือบสามชั่วยาม ซูซูก็มองเห็นหมูป่าตัวใหญ่กำลังกินพืชอะไรสักอย่างอยู่ไม่ไกลนัก นางยิ้มน้อย ๆ แล้วบังคับกระบี่บินไปเสียบเข้าที่คอของหมูป่าทันที มันดิ้นรนอยู่สักพักก็สิ้นลมไป ซูซูใช้วิชาตัวเบาวิ่งไปถึงที่ที่หมูนอนตายอยู่อย่างรวดเร็ว เมื่อตรวจสอบดูอีกครั้งจนแน่ใจว่าหมูป่าตายแล้ว ซูซูที่คิดจะโยนหมูป่าเข้ากำไลเก็บของก็ได้แต่ต้องเปลี่ยนใจเมื่อนางมองในกำไลของตนเองแล้วเห็นเสื้อผ้าที่เพิ่งซักไว้ นางกลัวว่าเลือดหมูจะทำให้เสื้อผ้านางมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ซูซูจึงใช้พลังลมปราณแบกหมูป่าไปยังทิศทางเดิมของนาง ซูซูมองแผนที่ก่อนหน้านี้แล้วว่านางจะออกจากภูเขานี้ได้ในอีกไม่นานและไปถึงถนนใหญ่ แน่นอนว่าอีกไม่
หลังออกจากค่ายโจรแล้ว ซูซูก็มองหาม้าของนางจนพบ คราวนี้ซูซูขึ้นม้าขี่กลับไปทางที่นางมาเพื่อไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือต่อในยามค่ำคืน ซูซูในคืนนี้ไม่ได้จุดคบไฟ เพราะคืนนี้แสงจันทร์ช่างส่องสว่างนัก ทำให้การเดินทางในคืนนี้ไม่ลำบากทั้งนางและม้าเลยแม้แต่น้อย กระทั่งเช้า ซูซูให้ม้าหยุดพักและกินน้ำกินหญ้าก่อนจะออกเดินทางอีกครั้ง ส่วนนางนั้นนั่งกินเนื้อตากแห้งไปพลาง ๆ และคิดว่าจะออกจากเส้นทางภูเขาลองดูว่านางจะสามารถวิ่งบนเส้นทางปกติได้หรือยัง จะได้ช่วยลดเวลาการเดินทางลงได้บ้าง เพราะตอนนี้ซูซูอยู่ในภูเขาได้หนึ่งเดือนแล้ว นางจึงอยากลองออกไปเดินทางปกติเผื่อว่าจะเจอผู้คนให้ถามทางได้บ้าง หลังจากหนึ่งคนหนึ่งม้าอิ่มท้องแล้ว ซูซูยังคงให้ม้าออกไปยังทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จนกระทั่งสามวันต่อมา นางและม้าก็เข้าสู่เส้นทางถนนปกติเสียที ซูซูเห็นว่าม้าเหนื่อยไม่น้อยแล้ว อีกอย่างนางไม่ค่อยได้หยุดพักบ่อยนักและน้ำในกระบอกไม้ไผ่ของนา
หลังจากซูซูแยกออกมาอีกทาง นางก็ยังคงมองหาสมุนไพรอย่างไม่เร่งรีบเช่นเคย กระทั่งเดินทางมาได้อีกหนึ่งสัปดาห์แล้วและนางไม่พบกลุ่มของเจ้าหน้ากากอีก นางจึงคิดว่าพวกเขาคงออกจากหุบเขาไปแล้วเป็นแน่ ซูซูเหงาไม่น้อยที่นางไม่ได้ต่อปากต่อคำกับเขาจึงได้แต่เดินทางต่อไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือกับม้าของนางต่อ แต่ขณะที่นางกำลังจะหาที่พักในคืนนี้ จู่ ๆ ก็มีกลุ่มคนถือดาบเข้ามาทางนางเสียก่อน“โอ้ แม่นางน้อยช่างสวยจริง ๆ ถ้าเราจับนางไปให้เจ้านายล่ะก็ รางวัลใหญ่ต้องเป็นของเราแน่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”“นั่นสิ ๆ ไม่คิดเลยว่าหลังจากออกปล้นแล้วกำลังจะกลับ พวกเรายังจะได้ของดีไปฝากเจ้านายอีก ฮ่า ฮ่า” ซูซูได้แต่มองกลุ่มคนกักขฬะนับสิบที่ถือดาบอยู่อย่างเหยียดหยาม นางไม่คิดจริง ๆ ว่าในภูเขาลึกแห่งนี้จะมีรังโจรซ่อนอยู่ แต่ในเมื่อตอนนี้นางรู้แล้วว่าพวกมันเป็นโจร แน่นอนว่าหญิงสาวที่ทั้งสวยทั้งมีคุณธรรมอย่างนางจะต้องจัดการคนเหล่านี้ใ
เช้าตรู่วันต่อมา ซูซูลุกขึ้นมาจากกิ่งไม้และกระโดดลงไปล้างหน้าล้างตาที่ริมลำธาร นางยังหาปลากับกุ้งมาย่างไฟกินก่อนที่จะออกเดินทางหาสมุนไพรต่อในวันนี้ เจ้าม้าของซูซูเองก็ลุกขึ้นเดินกินหญ้าโดยที่ซูซูไม่ต้องบอกเลยแม้แต่น้อย นางยิ้มให้กับม้าที่นับวันยิ่งเชื่องมากขึ้นของนาง ซูซูหาปลากับกุ้งไม่นานนักก็ได้เพียงพอที่นางจะกินคนเดียวหมด ซูซูนำปลาไปทำความสะอาดพร้อมเสียบไม้ย่างไว้ กุ้งนางก็ล้าง ๆ และเสียบไม้ไว้เช่นเดียวกัน จากนั้นซูซูก็หาไม้ฟืนมาโยนใส่กองไฟให้มันลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง นางย่างปลากับกุ้งไปพร้อมกับร้องเพลงของนางอย่างอารมณ์ดี“ข้าทั้งสวยทั้งเก่ง ไม่ว่าใครมาเพ่งเล็งหาเรื่อง ข้าก็ไม่คิดจะกลัว หากใครกล้ามาก่อกวน ปั่นป่วนให้ข้าโมโห กระบี่บินด้ามโตของข้า จะแสดงอานุภาพให้พวกเจ้าเห็นเอง ลา ล้า ลา” ซูซูฮัมเพลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งปลากับกุ้งสุก นางเป่ามันก่อนจะค่อย ๆ กินเพราะกลัวว่าอาหารจะลวกปากน้อย ๆ ของนางเสียก่อน กระทั่งหนึ่งคนหนึ่งม้าต่