ณ โลกมิติที่สาม โจวซูซูที่ถูกทำร้ายร่างกายและใช้งานหนักเยี่ยงทาสมาตลอดตั้งแต่จำความได้จนตอนนี้ร่างกายนางทนทรมานไม่ไหวแล้ว นางได้แต่ก่นด่าสวรรค์ว่าไร้ปราณี นางเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเท่านั้น เหตุใดท่านแม่จึงได้ทำร้ายนางเหมือนกับนางไม่ใช่ลูกเหมือนพี่สาวพี่ชายคนอื่น ๆ ด้วยความที่โจวซูซูนั้นขาดสารอาหารจากการที่ได้กินเพียงน้ำซาวข้าวมาตลอด ทำให้ตอนนี้นางอดทนต่อความเจ็บปวดไม่ไหวจนลมหายใจค่อย ๆ อ่อนล้าลงไปทุกที ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายของนางจะหมดไป เด็กน้อยได้แต่ขอร้องสวรรค์ว่าชาติหน้านางขอมีครอบครัวที่รักและดูแลนางบ้างเพื่อชดเชยกับชาตินี้ที่นางมีครอบครัวไม่ดี
บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เหล่าเทพได้แต่มองเด็กน้อยซูซูอย่างเวทนา พวกเขาจึงตัดสินใจส่งซูซูที่มีความสามารถด้านการต่อสู้และพรสวรรค์สูงส่งไปเข้าร่างของเด็กน้อยแทน เพื่อให้ซูซูมีโอกาสใช้ชีวิตอีกครั้งและยังส่งกำไลเก็บของของนางติดร่างวิญญาณของซูซูไปด้วยเพื่อให้นางใช้ประโยชน์ได้บ้างในโลกมิติที่สามนี้
ส่วนเด็กน้อยซูซูผู้อาภัพ เหล่าทวยเทพตอบแทนคำขอของนางโดยส่งนางไปยังโลกมิติที่หนึ่งตั้งแต่แรกเกิด คราวนี้ครอบครัวที่นางไปอยู่เป็นครอบครัวที่ดีและรักนางมาก ถือว่าพวกเขาเหล่าทวยเทพได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้วเพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณของเด็กน้อยในชาติก่อน พวกเขาได้แต่หวังว่าวิญญาณทั้งสองดวงที่สลับสับเปลี่ยนไปนั้นจะมีความสุขในชีวิตบ้างหลังจากผ่านวิบากกรรมมานานในชาติภพก่อน
ซูซูที่เข้าร่างของเด็กน้อยโจวซูซูได้สติในเวลาไม่นานจากความเจ็บปวดทางร่างกาย นางได้แต่มองรอบด้านอย่างแปลกใจ ด้วยไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ไหน กระทั่งมีความทรงจำของเด็กน้อยผ่านเข้ามาในหัวของซูซูตั้งแต่จำความได้จนกระทั่งวันที่เด็กน้อยนั้นสิ้นลมหายใจไป ตอนนี้ซูซูเข้าใจแล้วว่าสวรรค์เมตตาส่งนางมาอยู่ในร่างเด็กคนนี้เพื่อช่วยชีวิตของนางเอาไว้ ซูซูตรวจสอบลมปราณในร่างกายก็ไม่พบว่าเด็กคนนี้เคยฝึกฝนลมปราณมาก่อน แต่ร่างเดิมนี้อยู่ได้ด้วยความอดทนของร่างกายมาตลอดเท่านั้นเอง ซูซูคิดถึงคัมภีร์ที่อาจารย์เคยให้นางเอาไว้โดยบอกว่าหากต้องการฝึกฝนหนทางสะสมลมปราณในคัมภีร์ นางจะต้องทำลายวรยุทธตัวเองเสียก่อน ซึ่งในโลกเก่านั้นซูซูไม่คิดที่จะเริ่มฝึกใหม่จึงไม่ได้สนใจคัมภีร์เล่มนั้นมากนัก แต่ในเมื่อเป็นคัมภีร์ที่อาจารย์บอกว่าดีที่สุดในโลกแห่งลมปราณของนาง ครั้งนี้ที่นางมาอยู่ในร่างที่ไร้ซึ่งลมปราณ นางก็จะฝึกฝนตามคัมภีร์วิเศษที่อาจารย์ให้นางมาลองดู
หลังตัดสินใจได้แล้ว ซูซูก็นึกขึ้นได้ว่านางนำคัมภีร์เก็บเอาไว้ในกำไลเก็บของของนาง ซูซูใช้มืออีกข้างลูบคลำไปที่ข้อมือเล็ก ๆ ก็พบกับกำไลอันเดิมของนาง ซูซูยิ้มอย่างดีใจ นางได้แต่กล่าวขอบคุณสวรรค์ที่ยังส่งกำไลมาพร้อมกับนางด้วย ไม่เช่นนั้นนางคงไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดในโลกใหม่ใบนี้ได้เป็นแน่
ซูซูตั้งสมาธิและดึงเอาคัมภีร์ออกมาท่องจำ จนกระทั่งเวลาผ่านไปค่อนคืนแล้วนางจึงเข้าใจวิธีการสะสมลมปราณอันแสนสะดวกสบายภายในคัมภีร์ วิธีการนี้นางสามารถสะสมลมปราณได้ตลอดเวลาแม้กระทั่งเวลานอน ซึ่งจะทำให้ซูซูตัดผ่านขั้นลมปราณได้เร็วกว่าชาติก่อนถึงสองเท่าเลยทีเดียว เมื่อตัดสินใจว่าจะใช้วิชาในคัมภีร์นี้แล้ว ซูซูจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งสมาธิเพื่อเปิดเส้นลมปราณด้วยตัวเอง แน่นอนว่าที่นางกล้าทำเช่นนี้ก็เพราะมั่นใจในร่างกายอันถึกทนของร่างเดิมด้วยที่น่าจะสามารถอดทนต่อความเจ็บปวดจากการเปิดเส้นลมปราณได้
ซูซูอดทนต่อความเจ็บปวดเปิดเส้นลมปราณทั้งหมดในร่างกายภายในเวลาชั่วข้ามคืน นี่เป็นเพราะพรสวรรค์ดั้งเดิมของนางซึ่งรวมกับร่างกายที่แสนจะอดทนของร่างเดิมจึงทำให้ซูซูสามารถทำได้เช่นนี้ แต่ผลจากการเปิดเส้นลมปราณภายในครั้งเดียวคือตอนนี้ร่างกายนางเต็มไปด้วยคราบสกปรกมากมายที่ร่างเดิมขับออกมา ซูซูเห็นว่าตอนนี้นางอยู่ในห้องเก็บฟืนอยู่แล้วจึงไม่สนใจที่จะทำความสะอาดคราบสกปรกเหล่านี้ แต่นางแอบออกจากห้องเก็บฟืนขณะที่ฟ้ายังไม่สว่างดีนักเพื่อไปอาบน้ำในแม่น้ำที่อยู่ไม่ไกลตามความทรงจำเดิมที่ได้รับมา แน่นอนว่าตอนนี้ร่างกายของนางที่เปิดเส้นลมปราณแล้วแข็งแรงกว่าเดิมมาก จึงทำให้ใช้เวลาไม่นานนักซูซูก็กลับมานอนที่ห้องเก็บฟืนอีกครั้ง
ขณะนอนหลับ ซูซูก็ใช้วิชาในคัมภีร์สะสมลมปราณไปเรื่อย ๆ ร่างเดิมที่เพิ่งถูกทำร้ายจนตายไม่น่าที่จะตื่นขึ้นได้ในวันสองวัน ซูซูจึงไม่คิดจะออกไปพบกับคนชั่วด้านนอกจนกว่าที่นางจะสะสมลมปราณจนข้ามขั้นหนึ่งไปได้เสียก่อน
ด้านหยวนปิงกับโจวฮุ่ยเหมยก็ไม่คิดที่จะเอะอะให้ใครรู้ว่าพวกนางทำร้ายนังเด็กซูซูอีกแล้วจนล้มหมอนนอนเสื่อ ทุกครั้งที่ทำร้ายซูซูอย่างหนักพวกนางจะปล่อยให้ซูซูได้นอนพักสักสองสามวันค่อยใช้งานนาง อย่างไรคนอย่างพวกนางก็ไม่คิดที่จะตามหมอมาดูอาการเด็กที่เก็บมาเลี้ยงแต่แรก ไม่ว่านังเด็กนั่นจะเป็นหรือตายพวกนางก็ไม่คิดจะสนใจ นอกจากต้องการใช้งานนางไปเก็บหญ้าหมูเท่านั้นที่พวกนางสองแม่ลูกจะไปจิกหัวใช้ซูซูขึ้นเขาไปเก็บหญ้า แต่ตอนนี้ยังพอมีหญ้าหมูเหลืออยู่ คนขี้เกียจอย่างพวกนางสองแม่ลูกจึงทำอาหารกินกันโดยไม่สนใจคนที่นอนหลับอยู่ในห้องเก็บฟืนเลยแม้แต่น้อย
ส่วนชาวบ้านที่คอยสังเกตบ้านโจวก็ได้แต่สงสัยว่าทำไมเด็กน้อยซูซูไม่ออกมาข้างนอก ปกติซูซูจะออกมาตักน้ำหรือขึ้นเขาหาหญ้าหมูเป็นประจำจนคนในหมู่บ้านต่างเวทนาสงสารเด็กตัวเล็ก ๆ คนนี้ไม่น้อย พวกเขามักจะแอบให้ของกินกับซูซูอยู่บ่อย ๆ ด้วยรู้ดีว่านางไม่ได้กินข้าวนอกจากน้ำซาวข้าวในทุกมื้อเพียงเท่านั้น พวกเขาไม่อยากยุ่งกับนางหยวนปิงกันนักหรอก ด้วยรู้ดีว่าหยวนปิงนั้นเป็นคนที่ชอบใช้กำลังและฝีปากของนางก็ใช่ย่อย เหล่าชาวบ้านจึงไม่อยากมีเรื่องกับคนอย่างนางกันนัก พวกเขาจึงได้แต่เฝ้ามองหาซูซูอย่างเป็นห่วง แต่ในเมื่อไม่ได้ยินเสียงก่นด่าของหยวนปิง พวกนางจึงแยกย้ายกันไปทำงานของตนเอง
ซูซูตัดผ่านขั้นปราณขั้นที่สองได้ภายในเวลาสองวัน นับว่าเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ของนางเลยก็ว่าได้ ซูซูยังคงแอบไปล้างคราบสกปรกอยู่เหมือนสองวันที่ผ่านมา นางคิดว่าอย่างน้อย ๆ ให้เสื้อผ้านางสะอาดสักหน่อยก็ยังดี ถึงแม้ซูซูจะไม่ได้กินอาหารมาสองวันแล้ว แต่นางยังกินน้ำในลำธารประทังชีวิตได้อยู่ อีกอย่างการฝึกฝนของนางที่ก้าวหน้าไปมากก็ยิ่งทำให้ร่างกายแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
“นังซูซู แกตายแล้วหรือ? ทำไมไม่ออกมาทำงานทำการอีก นี่ก็สามวันเข้าไปแล้วนะ นังนี่ถ้าไม่ตีก็ไม่หลาบจำใช่ไหมฮะ ข้าบอกให้เจ้าออกมา!!!”
เสียงแหลมสูงของหยวนปิงทำเอาซูซูถึงกับต้องเอามืออุดหู นางไม่คิดจะออกไปแต่แรกแล้ว นางจะปล่อยให้สองแม่ลูกนี่คิดว่านางตายไปแล้ว และนางจะดูสิว่าสองแม่ลูกนี่จะทำเช่นไร
“นี่นังซูซู ได้ยินเสียงท่านแม่แล้วทำไมเจ้ายังไม่รีบออกมาอีก? หรือว่าเจ้าตายไปแล้วจริง ๆ ท่านแม่ ถ้านางตายแล้วเล่า เราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
“เพ้ย!!! นังนี่มันตายยากจะตายไป เจ้าคิดหรือว่าแค่ข้าตีมันไม่กี่ทีเมื่อสามวันก่อนนางจะถึงกับตายได้น่ะ ข้าคิดว่านังนี่แค่ขี้เกียจเท่านั้นแหละ”
“แต่ข้าว่าท่านน่าจะเข้าไปดูหน่อยนะเจ้าคะท่านแม่ เกิดนางตายไปจริง ๆ นี่ก็หลายวันแล้ว ศพจะไม่เหม็นเน่าหรือเจ้าคะ พูดแล้วข้าก็ว่าได้กลิ่นเหม็น ๆ จากในห้องเก็บฟืนด้วยนะเจ้าคะท่านแม่ ท่านลองดมดูสิ”
“อืม ข้าเองก็ได้กลิ่นตุตุเช่นกัน ไม่ใช่ว่ากลิ่นนังซูซูที่มันไม่ได้อาบน้ำหรอกนะ เดี๋ยวเจ้าเข้าไปดูสิว่านางตายแล้วหรือยังแล้วค่อยมาบอกข้า ถ้าผู้ใหญ่บ้านรู้เข้าว่าข้าตีนางจนตายไปล่ะก็ ข้าคงตกที่นั่งลำบากแน่”
“อ้าว ทำไมท่านแม่จะให้ข้าเข้าไปเล่าเจ้าคะ ข้ากลัวผีนะเจ้าคะท่านแม่ ท่านอยากดูว่านางตายแล้วหรือยังก็เข้าไปเองเถอะเจ้าค่ะ ข้าไปดีกว่า”
โจวฮุ่ยเหมยได้แต่เดินหนีกลับเข้าบ้านด้วยกลัวผีนังเด็กนั่นจริง ๆ ส่วนหยวนปิงก็ได้แต่ยืนก่นด่าทั้งลูกสาวตัวเองที่ใจเสาะกับนังซูซูที่ยังไม่ลุกออกมาอีก
ชาวบ้านที่อยู่ติดกันพอได้ยินว่าซูซูน่าจะตายไปแล้วก็รีบวิ่งไปบอกผู้ใหญ่บ้านให้มาดูทันที พวกนางก็คิดอยู่ว่าทำไมเด็กน้อยซูซูไม่ออกมาข้างนอกบ้าง ที่ไหนได้นางกลับถูกทำร้ายจนล้มหมอนนอนเสื่ออีกแล้ว และครั้งนี้คงรุนแรงมากจนกระทั่งสามวันแล้วนางก็ยังไม่ออกมาข้างนอกเลย
ชาวบ้านสองสามคนที่ได้ยินเสียงของหยวนปิงกับลูกสาวพากันวิ่งไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่ร่างอวบ ๆ ของพวกนางจะทำได้ กระทั่งไปถึงหน้าประตูบ้านผู้ใหญ่บ้าน หญิงร่างท้วมทั้งสามรีบตะโกนเรียกหาเขาเสียงดัง“พวกเจ้าเอะอะอะไรกันอีกเล่า ข้ากำลังจะออกไปดูแปลงผักอยู่พอดี”“จะอะไรเสียอีกเล่าผู้ใหญ่บ้าน ข้าได้ยินหยวนปิงกับลูกสาวบอกว่าซูซูน่าจะตายแล้ว ข้าเลยรีบวิ่งมาหาท่านเพื่อให้ไปดูว่าความจริงเป็นอย่างไรนี่แหละ พวกข้าไม่เห็นแม่หนูซูซูมาสามวันแล้วนะผู้ใหญ่ ท่านช่วยไปดูหน่อยเถอะ”“จริงเหรอ? แล้วทำไมพวกเจ้าไม่มาบอกข้าตั้งแต่วันแรก ๆ เล่า ป่านนี้แล้วไม่รู้ว่าแม่หนูซูซูตัวน้อยจะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ไป ไป รีบไปบ้านโจวกัน” ทั้งสี่คนกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่บ้านหยวนปิง ชาวบ้านที่ผ่านไปมาเห็นพวกเขาดูท่าทางผิดปกติจึงพากันตามไปดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในหมู่บ้านกันแน่ ไม่นานนักผู้ใหญ่บ้านก็มาถึงบ้านโจว“หยวนปิง เปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้!!! ข้าจะเข้าไปดูแม่หนูซูซู เร็วเข้า!!!”“มาแล้ว ๆ ท่านเป็นอะไรจึงได้เร่งรีบเช่นนี้ผู้ใหญ่บ้าน”“ถ้าข้าไม่รีบแล้วซูซูเป็นอะไรไปล่ะก็ ข้าจะแจ้งทางการว่าเจ้า
ผู้ใหญ่บ้านเห็นท่าทางน่ารักของซูซูก็นึกเอ็นดู นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เลี้ยงเด็กตัวเล็ก ๆ แบบนี้ ผู้ใหญ่บ้านลูบหัวซูซูอย่างเบามือ เขากลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บที่หัวด้วยจึงไม่กล้าลูบหัวนางแรงเกินไป ซูซูที่รู้สึกถึงความอบอุ่นบนหัวน้อย ๆ ของนาง ซูซูจึงเงยหน้าขึ้นยิ้มหวานให้กับปู่ผู้ใหญ่บ้านที่ดูเหมือนกำลังปลอบโยนเด็กตัวน้อย ๆ อย่างนางอยู่ ทั้งที่จริงแล้ววิญญาณของนางอายุ 25 ปีในโลกแห่งลมปราณก่อนจากมาอยู่ที่นี่ แต่ในเมื่อร่างเดิมยังเด็กอยู่ ซูซูจึงยินดีทำตัวเป็นเด็กให้ทุกคนหลงเอ็นดูนางดีกว่าจะทำตัวเข้มแข็งจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้นาง รอกันไม่นานนัก นางหยวนปิงก็โยนหยกพกเนื้อดีสีขาวราวกับหิมะซึ่งมีลวดลายบนหยกสลักอยู่อย่างปราณีต อีกด้านมีตัวอักษรฟางสลักอยู่ด้วยอย่างสวยงามเช่นเดียวกัน ผู้ใหญ่บ้านตรวจสอบหยกแล้วเห็นว่าเป็นอันเดิมที่เขาเคยเห็นเมื่อหลายปีก่อนจึงพยักหน้าแล้วส่งหยกให้กับซูซูถือเอาไว้“นี่คือสิ่งของแทนตัวของเจ้านะซูซู หากในอนาคตเจ้าต้องการตามหาพ่อแม่ก็ลองใช้หยกนี้เป็นเครื่องนำทางตามหาพวกเขาดู ข้าคิดว่าเจ้าเก็บเอาไว้เองจะดีที่สุด อ้อ! ข้าขอเตือนเจ้านะหยวนปิง ห
ซวงหยวนเอ๋อหลังจากอาบน้ำให้ซูซูและนำชุดเก่าของลูกชายสมัยเด็กมาให้นางเปลี่ยนแล้วก็จูงมือซูซูไปที่โต๊ะอาหารทันที นางแทบจะป้อนข้าวซูซูหากว่าไม่ได้ยินเสียงเล็ก ๆ กล่าวว่านางกินเองได้ล่ะก็ ซวงหยวนเอ๋อคงคิดว่าซูซูยังคงเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ อยู่กระมัง ผู้ใหญ่บ้านที่นั่งมองอยู่ก็ได้แต่หัวเราะภรรยาที่อยากดูแลซูซูมากเกินไป เขายังล้อเลียนภรรยาด้วยว่าซูซูนั้นอายุ 7 ขวบปีแล้ว จะทำเหมือนนางยังเป็นเด็กเล็ก ๆ ได้อย่างไรเล่า ซวงหยวนเอ๋อเห็นสามีล้อเลียนนาง นางก็ได้แต่ถลึงตาใส่ตาเฒ่าคนนี้ อย่าคิดว่านางไม่รู้ว่าเขาเองก็เอ็นดูแม่หนูซูซูไม่ต่างจากนางเช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นเขาไม่หนีงานดูแลแปลงผักแล้วคอยอยู่ทายาให้ซูซูเช่นนี้แต่แรกหรอก ส่วนซูซูตัวน้อยที่กำลังเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ อย่างหิวโหย นางพยายามไม่ให้มูมมามมากเกินไปถึงแม้นางจะหิวมากแค่ไหนก็ตาม อย่างน้อยมารยาทในการกินของนางจะต้องดีเหมือนในโลกก่อนเพื่อไม่ให้ใครมาดูถูกได้ ยิ่งนางเห็นสองปู่ย่าวัยชราที่รับเลี้ยงนางหยอกล้อกันเหมือนเด็ก ๆ นางก็ได้แต่อมยิ้มให้กับความน่ารักของทั้งสองผู้เฒ่าที่รับนางเข้ามาอยู่ในครอบครัวโดยไม่กลัวว่าตนเ
ซูซูที่กำลังเดินจะไปที่ภูเขาด้านหลังหมู่บ้านพบเห็นเหล่าลุงป้าน้าอาทั้งหลายก็ยิ้มทักทายทุกคนไปตลอดทาง กระทั่งนางเดินไปถึงตีนเขาและมองขึ้นไปยังภูเขาลูกใหญ่เบื้องหน้า ซูซูมองเห็นว่ามีชาวบ้านสิบกว่าคนที่กำลังหาผักป่าและตัดหญ้าหมูกันอยู่ตรงตีนเขา นางรีบเดินเข้าไปทักทายพวกเขาก่อนจะเดินลึกเข้าไปในภูเขาเพื่อหาสมุนไพรและหน่อไม้ป่าที่ร่างเดิมเคยขุดไปฝากชาวบ้านเมื่อนานมาแล้ว หลังจากมองชาวบ้านที่อยู่ไกลออกไป นางเห็นว่าพวกเขาไม่ได้สนใจนางแล้ว ซูซูจึงใช้วิชาตัวเบาเข้าป่าลึกไปขุดหน่อไม้ให้ได้เยอะ ๆ เสียก่อนที่จะเริ่มตามหาสมุนไพร อย่างไรนางก็สามารถใช้วิชาตัวเบาค้นหาสมุนไพรดี ๆ ได้ไม่ยากนักภายในเวลาก่อนอาหารเย็น ด้วยความคล่องแคล่วของร่างกายเล็ก ๆ ของนาง ทำให้ซูซูมองเห็นป่าไผ่อยู่ไม่ไกลแล้ว เมื่อถึงป่าไผ่ ซูซูก็ก้มหาหน่อไม้ป่าที่ขึ้นอยู่เต็มไปหมด นางยิ้มน้อย ๆ แล้วเริ่มขุดหน่อไม้ด้วยมีดสั้นที่ท่านปู่ท่านย่าให้นางมาป้องกันตัว ด้วยพลังปราณของซูซู ทำให้นางใช้เวลาไม่นานก็ได้หน่อไม้เกือบเต็มตะกร้าสะพายหลังแล้ว แน่นอนว่าสิ่งของแค่นี้ไม่ทำให้นางลำบากแม้แต่น้อย หลังจากมองดูรอบ ๆ แ
หลังทานอาหารเย็นแล้วซูซูก็นำถ้วยชามไปล้างตามปกติ นางมักจะช่วยเหลืองานท่านปู่ท่านย่าตั้งแต่อาการบาดเจ็บเริ่มหายดีมาตลอด ช่วงหลังมานี้ทั้งสองเฒ่าชราเองก็ปล่อยให้นางทำงานได้ตามใจชอบ พวกเขาไม่อยากเลี้ยงนางเหมือนไข่ในหินมากนัก แค่นี้พวกเขาก็ต่างให้ความรักความอบอุ่นกับนางมากพอแล้ว พวกเขากลัวว่าหากดูแลนางมากเกินไป ซูซูคงรู้สึกว่าตนเองเป็นภาระให้กับพวกเขา ซูซูล้างจานเสร็จก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่ท่านย่านำเสื้อผ้าเก่า ๆ ของลูกชายนางมาเย็บเป็นเสื้อผ้าให้ซูซูตั้งแต่หลายเดือนก่อนแล้ว ทำให้ตอนนี้ซูซูมีเสื้อผ้าเปลี่ยนถึงห้าชุดเลยทีเดียว ก่อนนอนซูซูก็ยังเข้าไปบอกฝันดีกับท่านปู่ท่านย่าตามที่นางทำมาตลอดตั้งแต่หายจากอาการบาดเจ็บ เฒ่าชราทั้งสองต่างยิ้มพร้อมตอบกลับให้นางหลับฝันดีเช่นเดียวกัน พวกเขาไม่เหงาเลยตั้งแต่มีเด็กน้อยซูซูมาอยู่ร่วมชายคา อีกทั้งซูซูยังคอยช่วยงานพวกเขาไม่น้อยทั้งที่ตัวเล็กเพียงแค่นี้ นับวันยิ่งทำให้ทั้งสองเฒ่านั้นทั้งรักทั้งหลงหลานสาวตัวน้อยคนนี้มากขึ้นทุกวัน หลังอาหารเช้าวันต่อมา ซูซูเตรียมตะกร้าสะพายหลังเพื่อขึ้นเขาอีกครั้ง นางบอกท่านปู่กับท่านย่าแล้วว่
ซูซูที่เห็นว่าท่านปู่ท่านย่าไม่ได้ว่าอันใดที่นางจะไปบ้านปู่หมอ นางจึงเดินเร็ว ๆ ออกจากบ้านไปเพื่อจะได้รีบกลับมาช่วยท่านปู่ท่านย่าทำอาหารด้วย ซูซูใช้เวลาเดินไปบ้านหมอไม่ถึงหนึ่งเค่อ จากนั้นนางก็ตะโกนเรียกท่านปู่หมอเหมือนเมื่อวานไม่มีผิดเพี้ยน หมอรีบเดินออกมาเปิดประตูรั้วให้ซูซูเข้าไปในบ้านเช่นเคย เขาพานางมานั่งที่แคร่ก่อนจะเอ่ยถามว่าวันนี้นางมีเรื่องอันใดอีกจึงได้มาหาเขา ซูซูไม่ตอบแต่กลับยิ้มหวานให้ท่านปู่หมอพร้อมกับค่อย ๆ หยิบโสมอีกต้นออกมาจากอกเสื้อแล้วส่งให้กับปู่หมอที่ดูจะตกตะลึงไปเสียแล้ว“นี่ข้าเก็บมาให้ท่านปู่หมอเจ้าค่ะ ท่านรีบรับไปสิเจ้าคะ อย่าให้ใครเห็นนะเจ้าคะ เร็วๆ เข้าท่านปู่หมอ” เมื่อหมอได้ยินเสียงเล็ก ๆ เร่งเร้าเขาก็กลับมาได้สติและรีบสำรวจโสมในมือซึ่งพบว่าซูซูนั้นขุดมาได้อย่างสมบูรณ์มาก ไม่มีรากเล็ก ๆ ขาดแม้แต่เส้นเดียว“เจ้าไปได้มาอย่างไรกันซูซู ชาวบ้านขึ้นเขากันทุกวันกลับไม่เคยพบโสมแม้แต่ต้นเดียวมานานหลายปีแล้ว อีกอย่างเจ้าขุดมาได้สมบูรณ์มากอย่างไม่น่าเชื่อ นี่เจ้ามีความรู้เรื่องสมุนไพรด้วยหรืออย่างไร”“ชู่ว ท่านปู่หมอพูดเบา ๆ สิเ
สองปู่หลานรอกันไม่นานนักก็ได้ยินเสียงเปิดประตู ทั้งสองคนหันหลังกลับไปดูก็พบว่ามีชายชราเครายาวคนหนึ่งเดินนำเข้าห้องมา ส่วนพนักงานร้านก็ถือถาดน้ำชามาวางให้กับพวกเขาก่อนจะออกจากห้องพร้อมกับปิดประตู“คนของข้าบอกว่าพวกท่านมาขายโสมใช่หรือไม่?”“อ่า ใช่แล้วขอรับ พวกเรามาขายโสมขอรับ เชิญเถ้าแก่ดูโสมต้นนี้ให้พวกข้าปู่หลานด้วยนะขอรับว่าน่าจะขายได้ราคาเท่าไหร่”“อืม เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว” เถ้าแก่ร้านหมอตรวจสอบความสมบูรณ์ของต้นโสมก็พบว่าคนขุดขุดได้อย่างดีจนแม้แต่รากแก้วเล็ก ๆ ก็ไม่มีความเสียหายเลยแม้แต่น้อย ไม่นานนักหลังจากตรวจสอบอายุของโสมแล้วพบว่าโสมต้นนี้มีอายุ 70 ปีซึ่งหาไม่ได้ง่าย ๆ ในพื้นที่แถวนี้ เถ้าแก่ร้านเงยหน้าขึ้นจากการดูโสมแล้วตีราคาให้สองปู่หลานตรงหน้าเขา“ข้ารับซื้อโสมต้นนี้ที่ 700 ตำลึง เจ้าคิดว่าอย่างไร?”“เอ่อ โสมต้นนี้สมบูรณ์มากเลยนะขอรับ ไม่ทราบว่าเถ้าแก่พอจะเพิ่มราคาให้พวกเราอีกหน่อยจะได้หรือไม่ขอรับ” ซูซูตัวน้อยหรี่ตามองเถ้าแก่ที่ให้ราคาโสมอายุ 70 ปีของนางเพียงแค่ 700 ตำลึง ต้องรู้ว่าแถบนี้ไม่มีใครเคยหาโสมมาขายที่ร้านหมอแม้แต่น้อย อีกอย่างโ
เมื่อสองปู่หลานมาถึงตลาดสดแล้ว เหอหยางเปาก็พาหลานสาวไปที่ร้านขายเนื้อหมูตามที่นางต้องการ ซูซูชี้ ๆ เอาทั้งเนื้อหมูและกระดูกเพื่อนำไปต้มซุปให้กับท่านปู่ท่านย่ากินบำรุงร่างกาย ส่วนผักนั้นนางซื้อไม่มากนักเพราะท่านปู่บอกว่าที่สวนมีผักอีกมากนัก เหอหยางเปาถือเนื้อหนัก ๆ แทนหลานสาว ส่วนซูซูนั้นถือเพียงผักไม่กี่ต้นเท่านั้น ขณะที่กำลังเดินออกจากตลาด ซูซูก็เงยหน้าหันไปหาท่านปู่เพื่อขอให้ท่านพาไปที่ร้านขายเสื้อผ้าต่อ“เหตุใดเจ้าต้องไปร้านขายเสื้อผ้าด้วยเล่า ท่านย่าเจ้าเย็บเอาไว้ให้หลายตัวแล้วนี่นา”“โธ่ ท่านปู่เจ้าคะ ข้าใช่ว่าอยากได้เสื้อผ้าของตัวเองอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่เล่า ข้าอยากซื้อให้ท่านปู่กับท่านย่าต่างหากเล่าเจ้าคะ ส่วนของข้าที่ต้องซื้อเพิ่มเพราะท่านย่าอายุมากแล้ว หากปล่อยให้นั่งเย็บนาน ๆ สายตาท่านย่าจะเสียเอาได้”“อ้อ เช่นนั้นปู่ก็จะพาเจ้าไป ปู่คิดน้อยไปจริง ๆ ขอบใจเจ้ามากนะซูซูที่ช่วยปู่ดูแลย่าของเจ้าน่ะ”“แน่นอนว่าต้องเป็นหน้าที่ของหลานสาวที่น่ารักคนนี้ของท่านปู่อยู่แล้วเจ้าค่ะ ฮิ ฮิ ท่านปู่ใยจะต้องขอบคุณข้าอีกเล่าเจ้าคะ”“เฮ้อ เจ้านี่นะ นับว่าข้าคิดไม่ผิดที่พาเจ้ามาอยู่ด้
ด้านแม่ทัพรักษาเมืองที่จัดการเรื่องราวนี้ก็พาคนไปจับกุมชายวัยกลางคนที่เป็นคนติดต่อกับคนของฮูหยินใหญ่จวนเสนาบดีหลาน จากนั้นเสนาบดีกรมอาญาก็สั่งทหารให้นำหมายไปจับกุมฮูหยินใหญ่ องครักษ์คนสนิทของนาง และบุตรสาวที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการจ้างวานฆ่าพระชายาอ๋องเฉิงในคราวนี้ เสนาบดีกรมอาญาได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้โดยขันทีข้างกายพระองค์มาส่งคำสั่งด้วยตนเองหลังจากที่แม่ทัพรักษาเมืองส่งคนไปรายงานสถานการณ์ก่อนหน้านี้แล้ว ทหารนับร้อยคนพร้อมกับเสนาบดีกรมอาญาที่เดินทางไปยังจวนเสนาบดีคลังด้วยตนเองต้องพบกับการขัดขวางของเสนาบดีหลาน“ท่านจะไม่ยอมเปิดทางให้พวกข้าไปจับกุมคนจริง ๆ หรือเสนาบดีหลาน เจ้ารู้ไหมว่าข้าได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทโดยตรงให้มาจับกุมคนไปตัดสินคดีในครั้งนี้”“ข้าคิดว่าฝ่าบาทคงได้ข่าวลวงมากกว่า ฮูหยินและบุตรสาวของข้าจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน อย่างไรข้าก็ไม่เชื่อ ท่านรอให้ข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเส
ซูซูหยุดม้าที่หน้าห้องโถงรับแขกของจวนก่อนจะกระโดดลงไปพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า นางมองเห็นทุกคนกำลังนั่งรอนางอยู่จริง ๆ ยิ่งทำให้ซูซูในตอนนี้ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่บาดแผลแม้แต่นิดเดียว นางสั่งบ่าวให้พาม้าของนางไปพักผ่อนก่อนที่จะวิ่งปรื๋อเข้าไปในห้องโถงรับแขกอย่างรวดเร็ว ซูซูกระโดดเข้าไปกอดท่านแม่พร้อมกับหอมแก้มนางไปมาอย่างซุกซน ทำเอามู่อิงเอ๋อได้แต่หัวเราะบุตรสาวสุดที่รักของนางที่ชอบกลั่นแกล้งนางเช่นนี้ หลังจากที่ซูซูหอมแก้มท่านแม่จนชื่นใจแล้ว นางที่ถูกท่านแม่ตีเข้าที่บาดแผลโดยไม่ได้ตั้งใจถึงกับร้องออกมาโอ้ย!!!“อะไร! ลูกแม่เป็นอะไร แม่ขอโทษลูก ไหนเจ้ามาให้แม่ดูสิว่าเจ้าเป็นอะไร” ความจริงฟางเซียนหลงกับฟางฉือห่าวนั้นเห็นเลือดที่แขนของซูซูตั้งแต่นางวิ่งเข้ามาแล้ว เพียงแต่พวกเขาไม่อยากให้มู่อิงเอ๋อตกใจจึงไม่ได้พูดออกมา ตอนนี้พวกเขาเองก็อยากร
ทหารรายงานอ๋องเฉิงว่าท่านกุนซือมาถึงแล้ว อ๋องเฉิงจึงออกจากกระโจมไปคุยกับฟางฉือห่าวเรื่องที่พระองค์คิดเอาไว้ และแน่นอนว่าฟางฉือห่าวขอวันลากับพระองค์จริง ๆ อ๋องเฉิงอนุญาตให้สหายลาได้หนึ่งวันโดยไม่อิดออด พระองค์รู้ดีว่าสหายตนนั้นคลั่งรักน้องสาวมากขนาดไหน นี่ก็หลายสัปดาห์แล้วที่นางแต่งงานเข้าไปอยู่ในจวนอ๋อง นอกจากวันเยี่ยมบ้านเดิมแล้ว ซูซูก็ยังไม่ได้กลับบ้านเดิมอีกเลย จึงทำให้ฟางฉือห่าวผู้คิดถึงรอยยิ้มซุกซนของน้องสาวอดรนทนไม่ไหวที่จะต้องขอลาไปอยู่เป็นเพื่อนนางสองวันต่อมา ซูซูที่ส่งอ๋องเฉิงออกไปทำงานหลังทานอาหารร่วมกันแล้วก็สั่งคนไปนำม้าของนางมาทันที วันนี้ซูซูแต่งกายด้วยชุดชาวยุทธที่นางไม่ได้ใส่เสียนานตั้งแต่เข้าจวนอ๋องมา แม่นมฉู่ได้แต่บอกให้พระชายาระมัดระวังในการเดินทางเหมือนดังเช่นสามีนางที่กำชับก่อนออกไปทำงาน“ข้ารู้แล้วน่าแม่นมฉู่ ท่านอย่าได้กังวลมากนักเลย ข้าเป็นพระชายาจวนอ๋องนะ ไม่ใช่คุ
อ๋องเฉิงเดินมาถึงหน้าห้องทรงงานแล้วขันทีก็ขานบอกทันที ฮ่องเต้ที่มีขันทีวิ่งมารายงานก่อนหน้านี้จึงบอกให้หลานชายเข้าไปได้ หลังทำความเคารพเสด็จลุงของตนเองแล้ว ฮ่องเต้ก็สั่งให้เขาลุกขึ้นตามสบาย“วันนี้หลานมีเรื่องสำคัญอันใดจึงได้เข้ามาหาลุงได้ในเวลานี้”“กระหม่อมส่งคนติดตามคนของฮูหยินใหญ่จวนเสนาบดีหลานแล้วได้รับข่าวว่าอีกสองวันจะมีนักฆ่าจำนวนมากมายังเมืองหลวงพะย่ะค่ะ หลานจึงอยากให้เสด็จลุงสั่งการกองกำลังรักษาเมืองให้ล้อมจับพวกเขาระหว่างที่พวกเขาลงมือกับพระชายาของหลานพะย่ะค่ะ”“หืม… นี่นางถึงขนาดจ้างนักฆ่าจำนวนมากเลยหรือ? เช่นนั้นลุงจะสั่งการแม่ทัพของกองกำลังรักษาเมืองให้รับคำสั่งจากเจ้าก็แล้วกัน แต่เรื่องนี้เราจะให้ใครรู้ไม่ได้เป็นอันขาด เจ้าให้แม่ทัพรักษาเมืองเปลี่ยนการแต่งกายเป็นชาวเมืองทั่วไปแล้วค่อยซุ่มจับคนเหล่านั้นดีหรือไม่”“ใช่พะย่ะค่ะเสด็จลุง นางต้องการให้ซูซูตายให้
ซูซูแปลกใจไม่น้อยที่สามีกลับมาเร็วถึงขนาดนี้ นางที่กำลังตรวจทรัพย์สินอยู่จึงได้เลิกทำงานแล้วเดินไปช่วยถอดเสื้อตัวนอกออกให้อ๋องเฉิง“เหตุใดจึงได้กลับเร็วนักเล่าเพคะ”“ไม่มีอะไร แค่คิดถึงภรรยาน่ะ”“เฮ้อ… ทำเป็นเล่นอีกแล้วท่านน่ะ บอกมาเลยว่ามีอะไรหรือเปล่า”“ไม่มีจริง ๆ ข้าเพียงแค่อยากพักบ้างเท่านั้นเอง ทำงานมาหลายวันติดต่อกันแล้ว”“อืม… เช่นนั้นท่านก็เข้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะให้คนยกของว่างกับน้ำชาเข้าไปให้ ท่านอยากอาบน้ำก่อนหรือไม่?”“อาบสักหน่อยก็ดี ข้าขี่ม้ามาตัวเลอะฝุ่นไปหมด”“ตกลง เดี๋ยวข้าสั่งบ่าวนำน้ำเข้าไปให้ทีหลัง ท่านไปนั่งพักเสียก่อนเถอะ”“ขอบคุณภรรยา จุ๊บ”
ซูซูที่องครักษ์ของอ๋องเฉิงมารายงานว่าเขาจะกลับค่ำก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก นางยังจัดการเรื่องทรัพย์สินไม่เสร็จเลยเพราะทรัพย์สินเหล่านี้มีมากมายเกินกว่าที่จะจัดการเสร็จได้ภายในสามสี่วัน“แม่นมฉู่ เจียงเหม่ย เจียงฮวาออกไปกินข้าวเถอะ กินเสร็จค่อยมาเก็บสำรับอาหารของข้าก็แล้วกัน วันนี้ข้าอยากพักผ่อนเร็วสักหน่อย ถึงแม้ท่านอ๋องจะกลับค่ำก็ไม่เป็นไร”“เพคะพระชายา” ทั้งสามคนที่สั่งบ่าวนำอาหารมารอท่านอ๋องกับพระชายาแต่แรกจึงได้แต่ชวนกันออกไปกินอาหารเย็นในห้องข้างของพวกนางเหมือนดังทุกวัน ตอนนี้แม่นมฉู่สนิทสนมกับเด็กเจียงเหม่ยและเจียงฮวามากขึ้นไม่น้อย นางชอบที่เด็กสองคนนี้เรียนรู้กฎเกณฑ์ได้ดี และมีมารยาทมากกว่าบ่าวรับใช้ทั่วไปเสียอีก คืนนั้นอ๋องเฉิงหลังทานอาหารกันเสร็จแล้ว ฮ่องเต้ก็ชวนหลานชายดื่มอีกเล็กน้อยก่อนจะส่งหลานชายกลับออกจากห้องทรงงานไปใ
“ขอบใจเจ้ามากที่บอกกล่าวรายละเอียดให้พวกเราทราบ ครอบครัวโจว พวกเจ้ามีอะไรจะแก้ต่างจากที่พยานหูเอ้อบอกออกมาหรือไม่” เสนาบดีหันไปสอบถามครอบครัวโจวที่ยังคงพากันนั่งตัวสั่นอย่างหวาดกลัวความผิด หยวนปิงไม่คิดว่าคนของตระกูลฟางจะมีความสามารถสืบเรื่องราวได้อย่างกับตาเห็น แต่นางไม่คิดที่จะยอมรับความผิดง่าย ๆ ด้วยคิดว่าหากต้องการพยานเป็นชาวบ้านในหมู่บ้านนั้น จะต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าที่พยานเหล่านั้นจะเดินทางมาถึงเมืองหลวง“ข้าไม่ได้ทำเช่นนั้นเจ้าค่ะ เขาพูดโกหก บ้านข้าเลี้ยงดูให้ข้าวให้น้ำนางมาเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ ส่วนที่เขาบอกว่านางหาเงินเองตั้งแต่สิบขวบก็ไม่จริงเจ้าค่ะ เป็นพวกข้าที่ให้เงินนางออกมาตามหาครอบครัวเจ้าค่ะ”ปัง!!!“นี่เจ้ายังกล้าโกหกอีกหรืออย่างไร! เจ้าคิดว่าข้ากับท่านอ๋องจะเชื่อคำพูดของเจ้าได้อีกหรือแม่เฒ่าโจว หูเอ้อ เจ้ามีหลักฐานอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ว่าเรื่องที่เจ้าเพิ่งกล่าวมานั้นเป็นเรื
หลังจากหลานเสี่ยวชิงนิ่งคิดไม่นานนัก นางได้แต่คับแค้นใจที่บ่าวของนางเปิดเผยเรื่องที่นางทำเช่นนี้ ในเมื่อนางโกหกไม่ได้แล้ว หลานเสี่ยวชิงจึงใช้น้ำตาว่ากล่าวต่อหน้าอ๋องเฉิงเพื่อขอความเมตตาแทน“ฮึก… ท่านอ๋องเพคะ ที่หม่อมฉันทำไปทั้งหมดก็เพราะอยากให้ท่านอ๋องเห็นธาตุแท้ของพระชายานะเพคะ นางไม่ใช่คนดีอย่างที่ท่านอ๋องคิด อีกอย่าง ที่ข้าทำไปก็ด้วยความรักที่บริสุทธิ์ที่มีต่อท่านอ๋องนะเพคะ ขอท่านอ๋องได้โปรดเมตตาเสี่ยวชิงด้วยเพคะ ฮือ…” หลานเสี่ยวชิงก้มลงทำทีเป็นร้องไห้คำนับให้กับอ๋องเฉิง แต่อ๋องเฉิงที่เบื่อการเสแสร้งพวกนี้มาแต่ไหนแต่ไรมีหรือจะสงสารนาง ตรงกันข้ามที่เขายิ่งเกลียดนางเข้าไปใหญ่“ฮึ ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับแล้วสินะว่าเป็นคนว่าจ้างคนกลุ่มนี้มาสร้างเรื่องเสื่อมเสียให้กับพระชายาของข้า และเจ้าอย่าได้เอาการกระทำเลว ๆ ของเจ้ามาอ้างว่าทำเพราะรักข้า ข้าฟังแล้วอยากจะอ้วก เสนาบดีกรมอาญา เจ้าจะตัด
ปัง!!! เสียงเสนาบดีกรมอาญาทุบไม้ในมือดังกังวานไปทั่วห้องโถงตัดสินคดี จนทำเอาหลานเสี่ยวชิงถึงกับสะดุ้งอย่างหวาดกลัว“ข้ายังไม่ได้ถามเจ้า เจ้าไม่มีสิทธิแทรกเรื่องราวที่ข้ากำลังสอบสวน หากเจ้ายังทำเช่นนี้อีกครั้ง ข้าจะลงโทษโบยเจ้าที่ขัดขวางการสืบสวน”“ข้าขออภัยท่านเสนาบดี เป็นเพราะข้าถูกกล่าวหา จึงทำให้ข้าต้องแก้ต่างออกมาเจ้าค่ะ ต่อไปข้าจะไม่แทรกการสอบสวนของท่านอีกเจ้าค่ะ”“เอาล่ะ เจ้าเล่าต่อไปสิว่าเหตุใดคุณหนูหลานจึงต้องการจ้างพวกเจ้าทำเรื่องเหล่านี้”“ขอรับ เท่าที่ครอบครัวข้าแอบได้ยินมา นี่เป็นเพราะคุณหนูผู้นี้หลงรักท่านอ๋องและต้องการแทนที่ตำแหน่งพระชายาขอรับ พวกเราที่เป็นเพียงชาวบ้านยากจน พอมีคนมาจ้างด้วยเงินจำนวนมากเช่นนี้ก็จำใจต้องทำตามที่นางสั่งขอรับ อีกทั้งนางยังข่มขู่พวกข้าด้วยว่านางเป็นถึงบุตรสาวเสนาบดีในเมืองหลวง ทำให้ครอบครัวของข้าไม่มีทางเลือ