ซวงหยวนเอ๋อหลังจากอาบน้ำให้ซูซูและนำชุดเก่าของลูกชายสมัยเด็กมาให้นางเปลี่ยนแล้วก็จูงมือซูซูไปที่โต๊ะอาหารทันที นางแทบจะป้อนข้าวซูซูหากว่าไม่ได้ยินเสียงเล็ก ๆ กล่าวว่านางกินเองได้ล่ะก็ ซวงหยวนเอ๋อคงคิดว่าซูซูยังคงเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ อยู่กระมัง
ผู้ใหญ่บ้านที่นั่งมองอยู่ก็ได้แต่หัวเราะภรรยาที่อยากดูแลซูซูมากเกินไป เขายังล้อเลียนภรรยาด้วยว่าซูซูนั้นอายุ 7 ขวบปีแล้ว จะทำเหมือนนางยังเป็นเด็กเล็ก ๆ ได้อย่างไรเล่า ซวงหยวนเอ๋อเห็นสามีล้อเลียนนาง นางก็ได้แต่ถลึงตาใส่ตาเฒ่าคนนี้ อย่าคิดว่านางไม่รู้ว่าเขาเองก็เอ็นดูแม่หนูซูซูไม่ต่างจากนางเช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นเขาไม่หนีงานดูแลแปลงผักแล้วคอยอยู่ทายาให้ซูซูเช่นนี้แต่แรกหรอก
ส่วนซูซูตัวน้อยที่กำลังเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ อย่างหิวโหย นางพยายามไม่ให้มูมมามมากเกินไปถึงแม้นางจะหิวมากแค่ไหนก็ตาม อย่างน้อยมารยาทในการกินของนางจะต้องดีเหมือนในโลกก่อนเพื่อไม่ให้ใครมาดูถูกได้ ยิ่งนางเห็นสองปู่ย่าวัยชราที่รับเลี้ยงนางหยอกล้อกันเหมือนเด็ก ๆ นางก็ได้แต่อมยิ้มให้กับความน่ารักของทั้งสองผู้เฒ่าที่รับนางเข้ามาอยู่ในครอบครัวโดยไม่กลัวว่าตนเองจะลำบากเลยแม้แต่น้อย รอให้นางร่างกายหายดีเสียก่อน นางจะขึ้นเขาไปหาโสมมาบำรุงพวกท่านให้ร่างกายแข็งแรงเพื่อที่พวกท่านจะได้อยู่กับนางนาน ๆ ก่อนที่นางจะต้องจากไปตามหาครอบครัวตนเองในอนาคต
หลังจากทานอาหารอิ่มแล้ว ซวงหยวนเอ๋อก็พาซูซูไปที่ห้องนอนเก่าของลูกชายนางที่นางมักทำความสะอาดเอาไว้อยู่เสมอทันที
“เจ้าไปนอนพักเสียหน่อย รอถึงเวลาทานอาหารแล้วย่าจะมาเรียกเจ้าไปกินข้าว ตกลงหรือไม่?”
“เจ้าค่ะท่านย่า ขอบคุณท่านมากนะเจ้าคะที่คอยดูแลข้าเป็นอย่างดี”
“โธ่ เด็กเอ๋ย เจ้าช่างน่ารักนัก ข้ากับสามีจะใจร้ายกับเจ้าลงคอเหมือนนางหยวนปิงได้อย่างไรกันเล่า เอาล่ะ ๆ รีบนอนพักผ่อนเสีย ย่าจะไปช่วยปู่ดูแปลงผักสักหน่อย”
ซูซูได้แต่พยักหน้ารับคำซวงหยวนเอ๋อแล้วหลับตาลงไปอย่างเชื่อฟัง ความจริงนางยังไม่ง่วง แต่ในเมื่อเป็นความหวังดีของท่านย่านางก็จะทำตาม อีกอย่างนางยังคงสามารถสะสมลมปราณขณะหลับได้อยู่ดี ไม่ว่าหลับหรือตื่นนางก็ยังคงสะสมลมปราณไปเรื่อย ๆ เหมือนที่ทำมาก่อนหน้านี้ ตอนนี้นางอยู่ที่ขั้นสองของลมปราณระดับปฐพีเท่านั้น อีกนานกว่าที่นางจะข้ามระดับไปถึงระดับเงิน ทอง และระดับปราณฟ้าซึ่งเป็นระดับในโลกเดิมของนางนั่นเอง
เมื่อได้เวลาอาหาร ซวงหยวนเอ๋อมาเรียกซูซูให้ไปกินข้าวพร้อมกัน ซูซูจึงงัวเงียลุกขึ้นมาเพื่อเดินตามเสียงของท่านย่าไปยังโต๊ะอาหารที่นางกินเมื่อตอนเที่ยงทันที ทั้งเหอหยางเปาและซวงหยวนเอ๋อต่างพากันตักอาหารใส่ลงถ้วยข้าวของซูซูจนแทบจะล้นออกมา นางได้แต่ยิ้มให้พร้อมทั้งขอบคุณท่านปู่ท่านย่าอย่างน่ารัก ก่อนที่จะค่อย ๆ ตักอาหารกินเหมือนเมื่อตอนเที่ยงเช่นเคย เหอหยางเปากับซวงหยวนเอ๋อแทบอยากจะตักอาหารให้นางเพิ่มอีก เพียงแต่ตอนนี้ถ้วยข้าวของซูซูนั้นแทบจะล้นออกมาแล้ว พวกเขาจึงได้แต่ต่างคนต่างตักอาหารกินกันเอง ไม่นานนักมือเล็ก ๆ ของซูซูก็ตักอาหารหลายอย่างใส่ในถ้วยให้ท่านปู่ท่านย่าเหมือนที่พวกท่านทำให้กับนาง ต่างกันเพียงแค่ซูซูต้องลุกขึ้นยืนเพื่อตักอาหารเพราะนางแขนสั้นจนไม่สามารถนั่งตักอาหารได้นั่นเอง
สองเฒ่าชราต่างหันมองกันพร้อมรอยยิ้มกว้าง ไม่เสียแรงที่พวกเขานำซูซูมาเลี้ยงเอง เด็กคนนี้มีความกตัญญูมากจริง ๆ ตั้งแต่ตัวเล็กเพียงเท่านี้ เมื่อเห็นว่าซูซูตักอาหารเสร็จและนั่งลงแล้ว ทั้งสองผู้เฒ่าจึงตักอาหารใส่ถ้วยที่พร่องไปของซูซูเช่นเดียวกัน บรรยากาศในการทานอาหารมื้อนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่แสนอบอุ่น ซึ่งซูซูชอบมาก นางให้สัญญากับตัวเองว่าจะกตัญญูท่านปู่ท่านย่าให้มากเพื่อตอบแทนพวกท่านที่ทำเพื่อนางโดยไม่คิดว่านางเป็นคนอื่นเลยแม้แต่น้อย
หลังมื้ออาหาร ซูซูรีบบอกว่านางจะล้างจานเอง แต่กลับถูกท่านย่าดุพร้อมกับบอกว่ารอให้นางหายดีเสียก่อน หากอยากช่วยงานท่านย่าก็จะไม่ห้าม แต่ตอนนี้นางยังไม่หายดี พวกท่านอยากให้นางพักผ่อนมากกว่า เรื่องเหล่านี้ซูซูจึงต้องจำใจพยักหน้ารับปากพวกเขา ทั้งที่ความจริงแล้วอาการของนางดีขึ้นมากหลังจากค่อย ๆ สะสมพลังปราณ
สามเดือนผ่านไป
ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ซูซูช่วยเหลืองานบ้านทุกอย่างของซวงหยวนเอ๋อหลังจากบาดแผลนางหายดีแล้ว เฒ่าชราทั้งสองเองก็ไม่ได้ห้ามนางอีกต่อไปในเมื่อนางอยากแบ่งเบาภาระพวกเขาที่ต้องออกไปดูแลแปลงผักทุกวัน ไหนจะหน้าที่ผู้ใหญ่บ้านที่เหอหยางเปาต้องทำอีกไม่น้อย ซูซูจึงเป็นทั้งเด็กเฝ้าบ้านและผู้ช่วยเหลืองานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามแต่ความสามารถของนางจะทำได้
สามเดือนที่ผ่านมานี้ ระดับปราณของนางไปถึงระดับเงินขั้นสองแล้ว นับว่ารวดเร็วยิ่งกว่าตอนนางอยู่ในโลกเดิมหลายเท่านัก อาจเป็นเพราะที่นี่ไม่ค่อยมีผู้ฝึกฝนวรยุทธด้วยกระมัง นางจึงได้รับพลังลมปราณบริสุทธิ์เป็นจำนวนมากในทุก ๆ วัน จนทำให้ตอนนี้ร่างกายของนางเริ่มสูงขึ้นเหมือนเด็กปกติอีกด้วย ไหนจะสารอาหารจากอาหารต่าง ๆ ที่ท่านย่ากับท่านปู่ทำให้นางกินทุกมื้อด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ตัวของซูซูเองนั้นหายดีจากโรคขาดสารอาหารในเวลาเพียงสามเดือน
ตอนนี้นางอยากขึ้นเขาไปหาของดีมาให้ท่านปู่ ท่านย่าและเหล่าลุงป้าน้าอาที่เคยช่วยเหลือนางออกมาจากบ้านโจว เพียงแต่นางยังไม่กล้าขอท่านปู่กับท่านย่าด้วยกลัวว่าท่านจะไม่อนุญาตให้นางไปคนเดียวนั่นเอง ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ซูซูสามารถใช้วิชาตัวเบาและกระบี่บินขั้นพื้นฐานได้แล้ว นางสามารถต่อสู้กับสัตว์ร้ายได้ไม่ยากนักหากต้องพบเจอกับอันตรายบนภูเขาจริง ๆ
ระหว่างทานข้าวเช้าวันต่อมา ซูซูตัดสินใจขออนุญาตท่านปู่กับท่านย่าขึ้นเขาไปเก็บของป่ามาไว้ขายเป็นรายได้เสริมเพื่อตอบแทนท่านทั้งสอง รวมทั้งนางยังอ้างว่าในอนาคตนางจะต้องออกไปค้นหาครอบครัวจึงจำเป็นต้องหาเงินเก็บเอาไว้เสียก่อน ด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้สองเฒ่าชราไม่อาจห้ามซูซูขึ้นเขาได้อีกต่อไป พวกเขาเพียงแต่มอบตะกร้าสะพายหลังพร้อมกับมีดเล่มเล็กให้นางเอาไว้ป้องกันตัว
ก่อนที่ซูซูจะบอกลาท่านปู่ท่านย่าทั้งสองขึ้นเขาไปหลังจากเก็บล้างจานชามให้พวกท่านแล้ว เหอหยางเปากับซวงหยวนเอ๋อบอกให้ซูซูระมัดระวังตัวเองให้ดี ๆ พวกเขาจะรอนางกลับมา
ซูซูที่เห็นท่านย่าน้ำตารื้นด้วยความเป็นห่วงก็ได้แต่เดินกลับไปกอดเอวท่านย่าแล้วสัญญาว่านางจะรีบกลับก่อนพระอาทิตย์ตกดินและนางจะไม่เป็นอะไรไปแน่นอน ซวงหยวนเอ๋อเองก็กอดตอบซูซูแน่นด้วยความเป็นห่วง กระทั่งเหอหยางเปาต้องบอกให้นางรีบปล่อยให้ซูซูไปเสียก่อนที่จะแดดแรงมากกว่านี้
เมื่อซวงหยวนเอ๋อปล่อยซูซูแล้ว นางก็หันหลังเดินไปพร้อมกับโบกมือลาท่านปู่กับท่านย่าพร้อมรอยยิ้ม เฒ่าชราทั้งสองเห็นว่าซูซูเดินเร็วราวกับวิ่งก็นึกว่าตนเองตาฝาด พวกเขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้ซูซูใช้วิชาตัวเบาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถึงแม้นางจะหายจากโรคขาดสารอาหารแล้ว แต่คงต้องรออีกสักพักใหญ่กว่าที่ร่างกายนางจะเจริญเติบโตเทียบเท่ากับคนในวัยเดียวกัน
ความจริงในกำไลเก็บของของนางนั้นมีเงินไม่น้อย เพียงแต่เงินที่โลกเก่าใช้ไม่ได้กับที่โลกแห่งนี้ ซูซูจึงจำเป็นต้องหารายได้ทางอื่นสำหรับอนาคตที่นางจะต้องออกเดินทางไกลโดยไม่รู้ว่าจะไปตามหาครอบครัวที่ไหนดี แต่อย่างน้อย ๆ นางก็จะได้ออกไปท่องโลกกว้างใบนี้ให้สาสมใจเสียที นางอยากรู้ว่าโลกใบนี้เป็นอย่างไรบ้าง นอกจากความทรงจำของร่างเดิมแล้ว เรื่องอื่น ๆ ในโลกใบนี้ซูซูก็ไม่เคยรู้เลยว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไร เพราะนางเองก็พอจะรู้ว่าท่านปู่ ท่านย่าเองก็ไม่ค่อยออกจากหมู่บ้านมาแต่ไหนแต่ไรจึงไม่ได้สอบถามพวกท่าน
ซูซูที่กำลังเดินจะไปที่ภูเขาด้านหลังหมู่บ้านพบเห็นเหล่าลุงป้าน้าอาทั้งหลายก็ยิ้มทักทายทุกคนไปตลอดทาง กระทั่งนางเดินไปถึงตีนเขาและมองขึ้นไปยังภูเขาลูกใหญ่เบื้องหน้า ซูซูมองเห็นว่ามีชาวบ้านสิบกว่าคนที่กำลังหาผักป่าและตัดหญ้าหมูกันอยู่ตรงตีนเขา นางรีบเดินเข้าไปทักทายพวกเขาก่อนจะเดินลึกเข้าไปในภูเขาเพื่อหาสมุนไพรและหน่อไม้ป่าที่ร่างเดิมเคยขุดไปฝากชาวบ้านเมื่อนานมาแล้ว หลังจากมองชาวบ้านที่อยู่ไกลออกไป นางเห็นว่าพวกเขาไม่ได้สนใจนางแล้ว ซูซูจึงใช้วิชาตัวเบาเข้าป่าลึกไปขุดหน่อไม้ให้ได้เยอะ ๆ เสียก่อนที่จะเริ่มตามหาสมุนไพร อย่างไรนางก็สามารถใช้วิชาตัวเบาค้นหาสมุนไพรดี ๆ ได้ไม่ยากนักภายในเวลาก่อนอาหารเย็น ด้วยความคล่องแคล่วของร่างกายเล็ก ๆ ของนาง ทำให้ซูซูมองเห็นป่าไผ่อยู่ไม่ไกลแล้ว เมื่อถึงป่าไผ่ ซูซูก็ก้มหาหน่อไม้ป่าที่ขึ้นอยู่เต็มไปหมด นางยิ้มน้อย ๆ แล้วเริ่มขุดหน่อไม้ด้วยมีดสั้นที่ท่านปู่ท่านย่าให้นางมาป้องกันตัว ด้วยพลังปราณของซูซู ทำให้นางใช้เวลาไม่นานก็ได้หน่อไม้เกือบเต็มตะกร้าสะพายหลังแล้ว แน่นอนว่าสิ่งของแค่นี้ไม่ทำให้นางลำบากแม้แต่น้อย หลังจากมองดูรอบ ๆ แ
หลังทานอาหารเย็นแล้วซูซูก็นำถ้วยชามไปล้างตามปกติ นางมักจะช่วยเหลืองานท่านปู่ท่านย่าตั้งแต่อาการบาดเจ็บเริ่มหายดีมาตลอด ช่วงหลังมานี้ทั้งสองเฒ่าชราเองก็ปล่อยให้นางทำงานได้ตามใจชอบ พวกเขาไม่อยากเลี้ยงนางเหมือนไข่ในหินมากนัก แค่นี้พวกเขาก็ต่างให้ความรักความอบอุ่นกับนางมากพอแล้ว พวกเขากลัวว่าหากดูแลนางมากเกินไป ซูซูคงรู้สึกว่าตนเองเป็นภาระให้กับพวกเขา ซูซูล้างจานเสร็จก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่ท่านย่านำเสื้อผ้าเก่า ๆ ของลูกชายนางมาเย็บเป็นเสื้อผ้าให้ซูซูตั้งแต่หลายเดือนก่อนแล้ว ทำให้ตอนนี้ซูซูมีเสื้อผ้าเปลี่ยนถึงห้าชุดเลยทีเดียว ก่อนนอนซูซูก็ยังเข้าไปบอกฝันดีกับท่านปู่ท่านย่าตามที่นางทำมาตลอดตั้งแต่หายจากอาการบาดเจ็บ เฒ่าชราทั้งสองต่างยิ้มพร้อมตอบกลับให้นางหลับฝันดีเช่นเดียวกัน พวกเขาไม่เหงาเลยตั้งแต่มีเด็กน้อยซูซูมาอยู่ร่วมชายคา อีกทั้งซูซูยังคอยช่วยงานพวกเขาไม่น้อยทั้งที่ตัวเล็กเพียงแค่นี้ นับวันยิ่งทำให้ทั้งสองเฒ่านั้นทั้งรักทั้งหลงหลานสาวตัวน้อยคนนี้มากขึ้นทุกวัน หลังอาหารเช้าวันต่อมา ซูซูเตรียมตะกร้าสะพายหลังเพื่อขึ้นเขาอีกครั้ง นางบอกท่านปู่กับท่านย่าแล้วว่
ซูซูที่เห็นว่าท่านปู่ท่านย่าไม่ได้ว่าอันใดที่นางจะไปบ้านปู่หมอ นางจึงเดินเร็ว ๆ ออกจากบ้านไปเพื่อจะได้รีบกลับมาช่วยท่านปู่ท่านย่าทำอาหารด้วย ซูซูใช้เวลาเดินไปบ้านหมอไม่ถึงหนึ่งเค่อ จากนั้นนางก็ตะโกนเรียกท่านปู่หมอเหมือนเมื่อวานไม่มีผิดเพี้ยน หมอรีบเดินออกมาเปิดประตูรั้วให้ซูซูเข้าไปในบ้านเช่นเคย เขาพานางมานั่งที่แคร่ก่อนจะเอ่ยถามว่าวันนี้นางมีเรื่องอันใดอีกจึงได้มาหาเขา ซูซูไม่ตอบแต่กลับยิ้มหวานให้ท่านปู่หมอพร้อมกับค่อย ๆ หยิบโสมอีกต้นออกมาจากอกเสื้อแล้วส่งให้กับปู่หมอที่ดูจะตกตะลึงไปเสียแล้ว“นี่ข้าเก็บมาให้ท่านปู่หมอเจ้าค่ะ ท่านรีบรับไปสิเจ้าคะ อย่าให้ใครเห็นนะเจ้าคะ เร็วๆ เข้าท่านปู่หมอ” เมื่อหมอได้ยินเสียงเล็ก ๆ เร่งเร้าเขาก็กลับมาได้สติและรีบสำรวจโสมในมือซึ่งพบว่าซูซูนั้นขุดมาได้อย่างสมบูรณ์มาก ไม่มีรากเล็ก ๆ ขาดแม้แต่เส้นเดียว“เจ้าไปได้มาอย่างไรกันซูซู ชาวบ้านขึ้นเขากันทุกวันกลับไม่เคยพบโสมแม้แต่ต้นเดียวมานานหลายปีแล้ว อีกอย่างเจ้าขุดมาได้สมบูรณ์มากอย่างไม่น่าเชื่อ นี่เจ้ามีความรู้เรื่องสมุนไพรด้วยหรืออย่างไร”“ชู่ว ท่านปู่หมอพูดเบา ๆ สิเ
สองปู่หลานรอกันไม่นานนักก็ได้ยินเสียงเปิดประตู ทั้งสองคนหันหลังกลับไปดูก็พบว่ามีชายชราเครายาวคนหนึ่งเดินนำเข้าห้องมา ส่วนพนักงานร้านก็ถือถาดน้ำชามาวางให้กับพวกเขาก่อนจะออกจากห้องพร้อมกับปิดประตู“คนของข้าบอกว่าพวกท่านมาขายโสมใช่หรือไม่?”“อ่า ใช่แล้วขอรับ พวกเรามาขายโสมขอรับ เชิญเถ้าแก่ดูโสมต้นนี้ให้พวกข้าปู่หลานด้วยนะขอรับว่าน่าจะขายได้ราคาเท่าไหร่”“อืม เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว” เถ้าแก่ร้านหมอตรวจสอบความสมบูรณ์ของต้นโสมก็พบว่าคนขุดขุดได้อย่างดีจนแม้แต่รากแก้วเล็ก ๆ ก็ไม่มีความเสียหายเลยแม้แต่น้อย ไม่นานนักหลังจากตรวจสอบอายุของโสมแล้วพบว่าโสมต้นนี้มีอายุ 70 ปีซึ่งหาไม่ได้ง่าย ๆ ในพื้นที่แถวนี้ เถ้าแก่ร้านเงยหน้าขึ้นจากการดูโสมแล้วตีราคาให้สองปู่หลานตรงหน้าเขา“ข้ารับซื้อโสมต้นนี้ที่ 700 ตำลึง เจ้าคิดว่าอย่างไร?”“เอ่อ โสมต้นนี้สมบูรณ์มากเลยนะขอรับ ไม่ทราบว่าเถ้าแก่พอจะเพิ่มราคาให้พวกเราอีกหน่อยจะได้หรือไม่ขอรับ” ซูซูตัวน้อยหรี่ตามองเถ้าแก่ที่ให้ราคาโสมอายุ 70 ปีของนางเพียงแค่ 700 ตำลึง ต้องรู้ว่าแถบนี้ไม่มีใครเคยหาโสมมาขายที่ร้านหมอแม้แต่น้อย อีกอย่างโ
เมื่อสองปู่หลานมาถึงตลาดสดแล้ว เหอหยางเปาก็พาหลานสาวไปที่ร้านขายเนื้อหมูตามที่นางต้องการ ซูซูชี้ ๆ เอาทั้งเนื้อหมูและกระดูกเพื่อนำไปต้มซุปให้กับท่านปู่ท่านย่ากินบำรุงร่างกาย ส่วนผักนั้นนางซื้อไม่มากนักเพราะท่านปู่บอกว่าที่สวนมีผักอีกมากนัก เหอหยางเปาถือเนื้อหนัก ๆ แทนหลานสาว ส่วนซูซูนั้นถือเพียงผักไม่กี่ต้นเท่านั้น ขณะที่กำลังเดินออกจากตลาด ซูซูก็เงยหน้าหันไปหาท่านปู่เพื่อขอให้ท่านพาไปที่ร้านขายเสื้อผ้าต่อ“เหตุใดเจ้าต้องไปร้านขายเสื้อผ้าด้วยเล่า ท่านย่าเจ้าเย็บเอาไว้ให้หลายตัวแล้วนี่นา”“โธ่ ท่านปู่เจ้าคะ ข้าใช่ว่าอยากได้เสื้อผ้าของตัวเองอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่เล่า ข้าอยากซื้อให้ท่านปู่กับท่านย่าต่างหากเล่าเจ้าคะ ส่วนของข้าที่ต้องซื้อเพิ่มเพราะท่านย่าอายุมากแล้ว หากปล่อยให้นั่งเย็บนาน ๆ สายตาท่านย่าจะเสียเอาได้”“อ้อ เช่นนั้นปู่ก็จะพาเจ้าไป ปู่คิดน้อยไปจริง ๆ ขอบใจเจ้ามากนะซูซูที่ช่วยปู่ดูแลย่าของเจ้าน่ะ”“แน่นอนว่าต้องเป็นหน้าที่ของหลานสาวที่น่ารักคนนี้ของท่านปู่อยู่แล้วเจ้าค่ะ ฮิ ฮิ ท่านปู่ใยจะต้องขอบคุณข้าอีกเล่าเจ้าคะ”“เฮ้อ เจ้านี่นะ นับว่าข้าคิดไม่ผิดที่พาเจ้ามาอยู่ด้
ท่านย่าที่ออกมาดูหน้าบ้านว่าเสียงใครมาเอะอะกันก็ได้แต่มองรถเข็นพร้อมกับสิ่งของมากมายในรถอย่างตกตะลึง นางได้แต่กระซิบถามสามีว่านี่มันอะไรกัน เหอหยางเปาได้แต่บอกให้ภรรยาช่วยกันขนของเข้าบ้านเสียก่อนค่อยคุยกันก็ยังไม่สาย ซวงหยวนเอ๋อกับซูซูที่ปิดประตูเรียบร้อยแล้วก็เข้ามาช่วยยกของเข้าไปในบ้านด้วยเช่นเดียวกัน หลังจากทุกคนช่วยกันขนสิ่งของเข้าบ้านเรียบร้อยแล้ว เหอหยางเปาก็นำรถเข็นไปเก็บไว้ที่ด้านข้างของบ้าน จากนั้นเขาก็เดินกลับเข้าบ้านเพื่อพูดคุยกับภรรยา ส่วนซูซูก็รีบออดอ้อนท่านย่าอย่างรู้งาน นางรู้ดีว่าท่านย่าจะต้องบ่นว่าซื้อของมาเยอะเกินไปเป็นแน่ แต่นี่เป็นความกตัญญูของนางที่อยากจะทำให้กับท่านปู่ท่านย่านี่นา“ว่าอย่างไรตาเฒ่า เหตุใดเจ้าจึงซื้อของมาเสียมากมายขนาดนี้ เจ้าไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะกัน”“เพ้ย!!! เจ้าไม่ถามหลานสาวสุดที่รักเจ้าดูเล่า ข้าหรือจะมีเงินมากมาย เป็นนางที่ไปขายโสมได้เงินมาแล้วจึงอยากซื้อสิ่งของเหล่านี้เข้าบ้านต่างหากเล่า”“จริงหรือซูซู?”“เจ้าค่ะท่านย่า ข้าไม่อยากให้ท่านปู่ ท่านย่าลำบากมากนัก เมื่อมีเงินเหลือกินเหลือใช้แล้ว ข้าก็อยากนำสิ่งดี ๆ มาให้พวก
ซูซูที่ไม่รู้ว่าอีกไม่นานจะมีคนมาแย่งเห็ดของนางก็ได้แต่ต่อสู้กับงูสายรุ้งตัวใหญ่อย่างเต็มกำลัง ขณะที่งูชูคอขึ้นมาเพื่อจะเลื้อยมาทำร้ายนาง ซูซูก็บังคับกระบี่บินไปยังจุดตายของงูสายรุ้งที่อยู่ใต้ลำคอของมันจนกระบี่เสียบทะลุเข้าไปจนมิดด้าม ซูซูมองไปยังงูสายรุ้งที่นางต่อสู้ด้วยอย่างยากลำบาก ในที่สุดนางก็ปราบมันลงได้เสียที จากนั้นซูซูบังคับกระบี่บินให้ออกมาจากตัวงูแล้วเก็บกระบี่เข้าไปในกำไลเก็บของของนาง ซูซูใช้วิชาตัวเบาข้ามผ่านร่างของงูสายรุ้งตัวใหญ่ยักษ์ไปยังเห็ดสีรุ้งที่นางต้องการและรีบใช้มีดสั้นแซะเห็ดออกมาจากตอไม้ทันที ขณะที่นางกำลังจะเก็บเห็ดเข้าไปไว้ในกำไลเก็บของ ซูซูได้ยินเสียงเกือกม้ากลุ่มหนึ่งใกล้เข้ามาเต็มที นางหันไปมองทางเสียงที่ได้ยิน พอเห็นว่ามีคนสวมหน้ากากและคนอีกนับสิบขี่ม้ามาหยุดห่างจากจุดที่งูสายรุ้งตายไม่ไกลนัก อ๋องเฉิงที่เห็นซูซูถือเห็ดสีรุ้งเอาไว้ในมือก็ได้แต่ขมวดคิ้ว คราวนี้พระองค์มีภารกิจตามหาเห็ดสีรุ้งเพื่อนำไปใช้เป็นตัวยาหลักในการแก้พิษขององค์รัชทายาท แต่ตอนนี้กลับมีแม่นางน้อยที่ได้ไปเสียก่อน“เจ้าเป็นคนฆ่างูสายรุ้งเองเหรอแม่นาง?”“ใช่แล
ซูซูที่เก็บซากงูเสร็จแล้วก็ลืมเรื่องของเจ้าหน้ากากไปในทันที นางสำรวจดูในตะกร้าก็พบว่าไม่ค่อยมีอะไรนอกจากสมุนไพรเล็กน้อยที่จะนำไปฝากท่านปู่หมอเท่านั้น ซูซูเห็นว่าใกล้จะเย็นแล้วจึงได้ใช้วิชาตัวเบาไปที่ป่าไผ่เพื่อนำหน่อไม้สักสองสามหน่อกลับไปให้ท่านย่าทำอาหารให้นางกับท่านปู่กิน ซูซูไม่ได้เก็บหน่อไม้ให้กับท่านย่านานแล้ว หลังจากนางออกล่าสัตว์ก่อนหน้านี้ ไหน ๆ วันนี้นางก็อยู่ที่เขาลูกนี้แล้ว ซูซูจึงคิดอยากกินขึ้นมาเสียอย่างนั้น หลังจากซูซูเก็บหน่อไม้ได้ตามที่ต้องการแล้ว นางก็เก็บตั๋วแลกเงินเข้าไปในกำไลเก็บของของนางพร้อมรอยยิ้ม อย่างน้อย ๆ นางก็มีเงินสำหรับการออกเดินทางท่องโลกกว้างเพื่อตามหาครอบครัวของร่างเดิมแล้ว ซูซูไม่คิดมากที่นางต้องเสียเห็ดสีรุ้งไป ถึงอย่างไรวิชาสะสมลมปราณของนางก็ช่วยนางได้มากอยู่แล้ว ยิ่งหากนางได้กินดีงูที่มีสรรพคุณป้องกันพิษได้แทบทุกชนิดแล้วล่ะก็ ซูซูยิ่งคิดว่าน่าจะถึงเวลาที่นางจะต้องออกเดินทางเสียที ตอนนี้นางอายุ 14 ย่าง 15 ปีแล้วด้วย หากยังคงรอไปนานกว่านี้ ซูซูกลัวว่านางจะไม่อยากจากท่านปู่ ท่านย่าไปแน่ ๆ ช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมา บรรดาลูกชายขอ
สี่ปีผ่านไป อ๋องน้อยและท่านหญิงที่ได้รับอนุญาตให้เข้าวังบ่อย ๆ วันนี้พวกเขาก็มาเล่นกับเสด็จปู่ เสด็จย่าที่ตำหนักเฟิ่งหวงพร้อมกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ โดยที่ฮ่องเต้ทรงงดเว้นธรรมเนียมให้กับหลานทั้งสองที่ร่าเริงสดใสของพระองค์“เจ้าดูสิ นับวันอ๋องน้อยยิ่งตัวสูงใหญ่กว่าเด็กทั่วไปมากนัก ช่างเหมือนจ้าวหลงตอนเด็ก ๆ ไม่มีผิด”“จริงด้วยเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันเองก็คิดว่าอ๋องน้อยน่าจะเติบโตขึ้นมาตัวสูงใหญ่เหมือนพ่อของเขาเป็นแน่” ฮ่องเต้กับฮองเฮาคุยกันพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า พวกเขาได้แต่นึกถึงตอนที่นำอ๋องเฉิงมาเลี้ยงในวัยเด็กแล้วก็ยิ่งอยากเลี้ยงอ๋องน้อยกับท่านหญิงอีกครั้ง เพียงแต่ตอนนี้ทั้งสองพระองค์พระชนมายุมากแล้ว ไม่สามารถวิ่งเล่นกับหลาน ๆ ได้เหมือนเมื่อก่อนตอนเลี้ยงอ๋องเฉิง เพียงแค่ได้นั่งมองพวกเขาเล่นกัน ทั้งสองพระองค์ก็มีความสุขไม่น้อยแล้ว
เมื่ออ๋องน้อยมาถึงหน้าห้องคลอด พระองค์ทรงเห็นเสด็จพ่อนั่งรออยู่อย่างกระวนกระวาย อ๋องน้อยจึงเดินเข้าไปหาแล้วปีนขึ้นไปนั่งบนตักเสด็จพ่อ อ๋องเฉิงไม่คิดว่าลูกชายจะมาเร็วขนาดนี้ ปกติอ๋องน้อยจะตื่นตอนสาย ๆ แต่วันนี้เขากลับมาที่นี่เพื่อเป็นกำลังใจให้พระองค์กับพระชายาที่กำลังจะคลอด“เด็จพ่อรอน้องกับข้านะขอรับ” เสียงเล็ก ๆ แสนรู้ความเอ่ยออกมาพร้อมอ้อมกอดน้อย ๆ ที่เอื้อมไปกอดคอพ่อของตนเอง“อืม… เจ้าเป็นพี่ที่ดี มานั่งดี ๆ รอน้องกันเถอะ ขอบใจเจ้ามากที่มาให้กำลังใจเสด็จแม่ของเจ้า” อ๋องเฉิงลูบหัวบุตรชายแล้วปรับท่านั่งให้เขาได้นั่งบนตักอย่างสบาย ๆ ในห้องคลอด ซูซูปวดท้องมากจนนางอยากกรีดร้องออกมา แต่ด้วยนิสัยที่มักจะเก็บงำความเจ็บปวดเอาไว้ นางจึงทำเพียงกัดฟันอดทนแล้วหายใจตามจังหวะที่หมอตำแยกับแม่นมฉู่ช่วยกันบอกนางเท่านั้น“พระชายาอดทนอีกสักนิดนะเพคะ อีกไม่นานก็น่า
วันต่อมามีขบวนของขวัญจากวังหลวงและจวนตระกูลฟางยาวนับหลายลี้มาจอดอยู่เต็มหน้าจวนอ๋อง ทำเอาชาวบ้านชาวเมืองต่างอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นอีกแล้วกับจวนอ๋อง ขันทีที่ได้รับพระราชโองการแสดงความยินดีกับจวนอ๋องรีบประกาศราชโองการพร้อมกับพระราชเสาวนีย์ของฮองเฮาที่ร่วมแสดงความยินดีกับจวนอ๋องเช่นเดียวกัน“ข้าขอแสดงความยินดีกับจวนอ๋องที่กำลังจะมีทายาทอีกหนึ่งคน สิ่งของเหล่านี้เป็นของรับขวัญหลานคนที่สองของข้า หวังว่าการตั้งครรภ์ของพระชายาจะดำเนินไปอย่างราบรื่นปลอดภัยจนกว่าจะถึงวันประสูติ จบราชโองการ” ชาวเมืองที่พากันมามุงเมื่อได้ยินขันทีประกาศราชโองการเสียงดัง พวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจึงได้มีขบวนของขวัญมากมายถึงเพียงนี้ สมแล้วที่จวนอ๋องได้รับพระเมตตาจากฮ่องเต้กับฮองเฮามาอย่างยาวนาน ไหนจะบ้านเดิมของพระชายาที่เป็นถึงคหบดีที่ร่ำรวยของแคว้นอีกเล่า ไม่แปลกที่เพียงแค่การตั้งครรภ์
สองสัปดาห์ต่อมา ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ซูซูรู้สึกหิวมากกว่าปกติอย่างไรก็ไม่ทราบ แถมนางยังชอบกินขนมหวานแทบทั้งวันอีกด้วย กระทั่งหลังอาหารเช้าวันนี้ ขณะที่นางกำลังอุ้มบุตรชายพาเดินเล่นอยู่นั้นนางก็เกือบจะล้มลงบนพื้นทั้งแม่และลูก ด้วยเพราะซูซูจู่ๆ ก็หน้ามืดไปเสียเฉย ๆ โชคดีที่อ๋องเฉิงวันนี้อยู่กับพวกนางด้วย พระองค์รีบรับร่างภรรยากับบุตรชายแล้วอุ้มทั้งคู่เข้าไปยังห้องนอนในเรือนเล็กของซูซูที่อยู่ใกล้ที่สุด อ๋องเฉิงรีบร้องบอกให้องครักษ์ไปตามหมอหลวงมาทันที ตอนนี้พระองค์ทรงเป็นห่วงภรรยาไม่น้อย เพราะตอนนี้นางยังไม่ลืมตาขึ้นมาเลย ส่วนบุตรชายของพระองค์ไม่ได้ตกอกตกใจอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อ๋องน้อยเพียงแต่มองท่านพ่อที่เรียกคนให้นำผ้ากับอ่างน้ำมาเพื่อเช็ดหน้าให้กับท่านแม่ของพระองค์“ซูซู ซูซู เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ลืมตาขึ้นมาให้ข้าเบาใจหน่อยภรรยา อย่าทำให้ข้ากลัวเช่นนี้ ซูซู” อ๋องเฉิงเช็ดห
หนึ่งเดือนต่อมา อ๋องเฉิงที่ส่งทหารออกไปยังแคว้นจ้านเมื่อหลายเดือนก่อนก็ได้รับข่าวตอบกลับจากทหารที่เพิ่งเดินทางกลับมาถึงค่ายทหารนอกเมืองหลวง“ทูลท่านอ๋อง นี่เป็นจดหมายจากองค์ชายสามที่ให้กระหม่อมนำมามอบให้พระองค์เพื่อส่งต่อไปยังฝ่าบาทพะย่ะค่ะ เหตุการณ์ที่แคว้นจ้านนั้นสงบสุขดีพะย่ะค่ะ ตอนนี้องค์ชายสามก็ส่งขุนนางเดินทางออกไปแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้กับประชาชนทั่วแคว้นได้เกือบครึ่งปีแล้วพะย่ะค่ะ อีกทั้งพระชายาก็คลอดองค์ชายน้อยได้สามเดือนแล้ว จึงทำให้องค์ชายสามไม่ค่อยมีเวลาที่จะส่งข่าวกลับมาให้พระองค์พะย่ะค่ะ” อ๋องเฉิงพยักหน้ารับจดหมายจากทหารแล้วเปิดอ่านเนื้อหาด้านในก่อนที่จะเข้าวังและนำไปมอบให้กับเสด็จลุงของพระองค์ ภายในจดหมายนั้นเขียนถึงความสำเร็จในการซื้อใจประชาชนขององค์ชายสามและกองทหารรักษาเมือง ยิ่งเมื่อเหล่าประชาชนในแคว้นจ้านเห็นถึงความเมตตาขององค์ชายสามและขุนนางที่ตั้งใจจะมาพัฒนาแคว้นของ
“อืม… เอาล่ะ เราเลิกคุยเรื่องงานกันเถอะ ข้าอยากเล่นกับหลานแล้ว” อ๋องเฉิงเห็นท่าทางกระปรี้กระเปร่าของสหายที่พอพูดถึงหลานชายเข้าเมื่อไหร่ก็มักจะมีอาการเช่นนี้ พระองค์ได้แต่ยิ้มแล้วพาสหายเดินไปยังห้องโถงรับแขกที่เรือนเล็กของบุตรชายที่พระองค์สั่งคนเตรียมเอาไว้สำหรับอ๋องน้อยเมื่อเขาโตกว่านี้ในอีกไม่กี่ปี ในเรือนของอ๋องน้อยเต็มไปด้วยบ่าวรับใช้ที่คอยดูแลท่านอ๋องน้อยเวลาเล่นของเล่นอยู่ในห้องโถงรับแขกกับพระชายา ท่านตาและท่านยายที่มาเยี่ยมก่อนหน้าที่ลูกชายอย่างฟางฉือห่าวจะมาถึง“อ้าว ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันขอรับ”“พ่อกับแม่มากันตั้งแต่เช้าแล้ว วันนี้พ่อนำของเล่นใหม่มาให้อ๋องน้อยด้วยนะเจ้าดูสิ พ่อสั่งคนทำขึ้นมาเป็นพิเศษให้เขาเลยนะเนี่ย” ฟางเซียนหลงชี้ไปที่ม้าโยกไม้ที่ดูแ
หลังจากงานเลี้ยงฉลองครบรอบร้อยวันของอ๋องน้อย ฮ่องเต้ก็ทราบแล้วว่าใครเป็นคนบงการให้นักฆ่ามาลอบทำร้ายอ๋องน้อยของพระองค์ พระองค์ไม่คิดว่าจะเป็นเสนาบดีหลานอีกครั้ง ครั้งนี้พระองค์ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานใด ๆ นอกจากตั๋วแลกเงินที่อยู่ในตัวคนร้ายซึ่งมีตราประทับของจวนเสนาบดีหลานอย่างชัดเจน ถึงแม้พระองค์จะไม่รู้ว่าเขาใช้ใครไปจ้างคนก็ตาม อย่างน้อยตอนนี้พระองค์ก็มีทั้งพยานที่เป็นนักฆ่าและตั๋วแลกเงินซึ่งสามารถเอาผิดเสนาบดีหลานได้แล้ว ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้ทหารไปล้อมจวนเสนาบดีเอาไว้ตั้งแต่ทราบเรื่อง ก่อนที่พระองค์จะออกพระราชโองการให้ขันทีในวังไปประกาศความผิดที่หน้าจวนเสนาบดีหลานในวันถัดไป เสนาบดีหลานที่รู้ว่างานที่ส่งคนไปจัดการไม่สำเร็จอีกแล้วก็เตรียมตัวหนีออกจากจวน เพียงแต่เหล่าองครักษ์ที่คอยเฝ้าจวนเสนาบดีหลานไม่ปล่อยโอกาสให้เขาได้หนีไปง่าย ๆ พวกเขาส่งคนไปส่งข่าวกับทั้งฮ่องเต้และท่านอ๋อง กระทั่งจวนเสนาบดีหลานนั้นถูกล้อมรอบเอาไว้ทุกด้านจนแม้แต่แมลงสักตัวก็ไม่สามารถที่จะเข้าและออกได
ณ จวนเสนาบดีหลาน วันนี้เขาไม่ยอมไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนอ๋องเพราะรู้ว่าตนเองไม่อาจปั้นหน้ายิ้มแย้มให้กับคนที่สั่งประหารภรรยาและลูกสาวคนเดียวของเขาได้ โดยเขาได้ส่งพ่อบ้านไปส่งของขวัญและขออภัยท่านอ๋องซึ่งใช้ข้ออ้างว่าตนเองไม่สบาย จึงกลัวว่าจะทำให้คนอื่นไม่สบายตามไปด้วย แต่ความจริงแล้ว เสนาบดีหลานได้จ้างนักฆ่าไปจัดการอ๋องน้อยก่อนหน้าวันงานแล้ว โดยเขายังให้นักฆ่าแฝงตัวเป็นบ่าวในจวนที่นำของขวัญไปร่วมแสดงความยินดีแทนตัวเขา ไม่ว่านักฆ่าจะทำสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้ว เพราะทุกครั้งที่เขาสืบทราบว่าจวนอ๋องนั้นมีความสุขเพียงใด ในใจของเขากลับยิ่งแค้นใจมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าความผิดของภรรยากับบุตรสาวที่จากไปของเขานั้นร้ายแรงขนาดไหน ในใจเขาก็ยังคงยอมรับการตัดสินโทษในครั้งนั้นไม่ได้อยู่ดี ที่จวนอ๋องในตอนนี้ เสนาบดีกรมพิธีการกำลังดำเนินพิธีตามราชประเพณีที่ให้ฮ่องเต้ ฮองเฮา ท่านอ๋องและพระชายาร่วมวางสิ่งของแทนเส้นทางในอ
หนึ่งวันก่อนงานฉลองร้อยวัน ตั้งแต่ซูซูคลอดอ๋องน้อยออกมา ตระกูลฟางก็แทบจะมาที่จวนอ๋องวันเว้นวันกันเลยทีเดียว พวกเขารักหลานคนแรกที่อวบอ้วนมากจนอดทนไม่ไหวที่จะห่างจากหลานหลายวัน ท่านอ๋องเองก็เช่นเดียวกัน หากไม่มีงานที่จะต้องออกจากจวน พระองค์ก็จะไม่ออกไปไหนนอกจากการช่วยภรรยาเลี้ยงดูบุตรชาย พระองค์ยังเคยขอลองชิมน้ำนมจากภรรยาแต่กลับถูกนางมองแรงใส่จนพระองค์ไม่กล้าขอชิมอีกเลย ด้วยกลัวว่าพระองค์จะได้ชิมกระบี่บินแทนที่จะได้กินนมเหมือนเจ้าลูกชาย ทำอย่างไรได้ในเมื่อพระองค์ไม่ได้ร่วมรักกับภรรยามาปีกว่าแล้วตั้งแต่นางตั้งครรภ์ พระองค์ใช่ว่าจะเป็นพระอิฐพระปูนเสียที่ไหน แต่ด้วยคำสั่งห้ามของภรรยาว่านางยังเจ็บแผลอยู่ จึงทำให้อ๋องเฉิงต้องอดทนมาจนกระทั่งลูกชายอายุจะครบร้อยวันในวันพรุ่งนี้แล้ว วันนี้ที่จวนอ๋องต่างวุ่นวายจัดเตรียมงานให้กับท่านอ๋องน้อยของพวกเขาอย่างยิ่งใหญ่ เนื่องจากท่านอ๋องแจ้งไว้ก่อนหน้าแล้วว่าฮ่องเต้และฮองเฮาจะเสด็จมาเป็นประธา