ซูซูลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในสำนักกระบี่เมฆา นางเป็นที่รักของทุกคนในสำนัก ยิ่งกับเจ้าสำนักที่เป็นอาจารย์แล้ว ซูซูยิ่งเป็นความหวังของอาจารย์ที่จะให้นางเป็นเจ้าสำนักคนต่อไป เพียงแต่ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ความอิจฉาริษยาจากเพื่อนร่วมอาจารย์อย่างเสี่ยวหง นางถูกเสี่ยวหงทำร้ายระหว่างที่กำลังจะข้ามขั้นพลังปราณไปสู่ขั้นที่ 9 ซูซูล้มลงกับพื้นพร้อมกระอักเลือดออกมาเต็มพื้นไปหมด นางได้แต่ฝืนกล่าวว่าทำไมกับเสี่ยวหง แต่ก่อนจะทราบคำตอบไปมากกว่านี้ นางกลับสิ้นลมแล้ว
วิญญาณของซูซูล่องลอยไปจนนางสิ้นสติ เป็นเพราะสวรรค์เห็นใจคนดีอย่างซูซูที่เป็นกำพร้า อีกทั้งยังมีซูซูน้อยในอีกมิติหนึ่งซึ่งกำลังจะตกตายจากฝีมือของคนชั่ว จนซูซูน้อยได้แต่ก่นด่าสวรรค์ก่อนจะสิ้นใจไป เหล่าเทพแห่งสวรรค์รู้สึกสงสารทั้งคู่ พวกเขาจึงใช้พลังส่งวิญญาณซูซูพร้อมกำไลเก็บของของนางไปเข้าร่างซูซูตัวน้อย ส่วนซูซูตัวน้อยนั้นถูกส่งไปเกิดกับครอบครัวที่สมบูรณ์ในมิติอื่นเป็นการปลอบประโลมดวงวิญญาณในมิตินี้ของเด็กน้อย
ซูซูได้สติพร้อมกับความเจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กาย ไม่นานก็มีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมเข้ามาในหัวของนางจนรู้สึกเจ็บไปหมด นางได้แต่อดทนดูความทรงจำอันแสนรันทดจนถึงวันที่ร่างเดิมสิ้นลม ซูซูรู้สึกเห็นใจมากจึงได้ตั้งใจจะใช้ชีวิตใหม่ที่ได้รับนี้เป็นอย่างดี กระทั่งนางได้รู้ว่าร่างเดิมไม่ใช่ลูกของคนชั่วเหล่านั้น ซูซูจึงได้ตั้งใจที่จะเสาะหาครอบครัวของร่างเดิมให้พบเพื่อตอบแทนที่นางได้รับร่างนี้มาอย่างไม่คาดคิด
***นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น หากนักอ่านคนใดไม่ชอบแนวนี้ ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ***
***เรื่องนี้เน้นบรรยายเป็นหลัก หากไม่ถูกจริตของนักอ่านก็ขออภัยค่ะ***
***สถานที่และผู้คนในนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องสมมุติ***
***สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ. 2537 และ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ. 2558 ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงส่วน หนึ่งส่วนใดของนิยายเรื่องนี้ ไปคัดลอก ทำซ้ำ ดัดแปลง แก้ไข รวมเล่ม สแกน ถ่ายรูป แปลเป็นภาษาอื่น จัดพิมพ์ เพื่อนำ ออกเผยแพร่โดยมิได้รับการอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรเด็ดขาด***
ณ โลกในมิติลมปราณแห่งหนึ่ง ที่นี่เต็มไปด้วยจอมยุทธมากมาย รวมถึงมีสำนักต่าง ๆ สำหรับให้ศิษย์ฝึกฝนวรยุทธ หลอมยา หลอมอาวุธ วิชาค่ายคูประตูกลและอีกหลากหลายวิชาแปลก ๆ ที่แต่ละสำนักนั้นถนัด ดังเช่นสำนักกระบี่เมฆา ซึ่งมีชื่อเสียงด้านกระบี่บินมานับร้อยนับพันปี เจ้าสำนักในตอนนี้เป็นถึงครึ่งเซียนที่มีวิชากระบี่เป็นเลิศในโลกแห่งนี้ เจ้าสำนักกระบี่เมฆารับศิษย์สายตรงที่เป็นเด็กกำพร้าเพียงสองคน คือซูซูและเสี่ยวหง ซูซูนั้นเป็นศิษย์รักของเจ้าสำนักเลยทีเดียว นางเป็นเด็กที่ร่าเริงสดใสและตั้งใจเรียนรู้ทุกวิชาที่อาจารย์สอน อีกทั้งยังมีความทรงจำเป็นเลิศ ทำให้อาจารย์หวังเอาไว้ว่าจะให้ซูซูเป็นเจ้าสำนักคนถัดไป ส่วนเสี่ยวหงไม่ค่อยได้รับความสนใจจากอาจารย์มากนักเนื่องด้วยพรสวรรค์ของนางมีไม่เท่ากับซูซู ทำให้เสี่ยวหงคอยแต่อิจฉาริษยาความสามารถของซูซูมาตลอดหลายปี เพียงแต่ต่อหน้าอาจารย์และศิษย์พี่อย่างซูซู เสี่ยวหงจะไม่แสดงออกว่านางคิดอย่างไร กระทั่งวันหนึ่ง เจ้าสำนักต้องออกไปทำภารกิจด่วนเพื่อช่วยเพื่อนชาวยุทธปราบมาร ซูซูที่กำลังฝึกฝนเพื่อที่จะข้ามขั้นพลังปราณไปสู่ขั้นที่ 9 จึงไม่มีใครค
ณ โลกมิติที่สาม โจวซูซูที่ถูกทำร้ายร่างกายและใช้งานหนักเยี่ยงทาสมาตลอดตั้งแต่จำความได้จนตอนนี้ร่างกายนางทนทรมานไม่ไหวแล้ว นางได้แต่ก่นด่าสวรรค์ว่าไร้ปราณี นางเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเท่านั้น เหตุใดท่านแม่จึงได้ทำร้ายนางเหมือนกับนางไม่ใช่ลูกเหมือนพี่สาวพี่ชายคนอื่น ๆ ด้วยความที่โจวซูซูนั้นขาดสารอาหารจากการที่ได้กินเพียงน้ำซาวข้าวมาตลอด ทำให้ตอนนี้นางอดทนต่อความเจ็บปวดไม่ไหวจนลมหายใจค่อย ๆ อ่อนล้าลงไปทุกที ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายของนางจะหมดไป เด็กน้อยได้แต่ขอร้องสวรรค์ว่าชาติหน้านางขอมีครอบครัวที่รักและดูแลนางบ้างเพื่อชดเชยกับชาตินี้ที่นางมีครอบครัวไม่ดี บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เหล่าเทพได้แต่มองเด็กน้อยซูซูอย่างเวทนา พวกเขาจึงตัดสินใจส่งซูซูที่มีความสามารถด้านการต่อสู้และพรสวรรค์สูงส่งไปเข้าร่างของเด็กน้อยแทน เพื่อให้ซูซูมีโอกาสใช้ชีวิตอีกครั้งและยังส่งกำไลเก็บของของนางติดร่างวิญญาณของซูซูไปด้วยเพื่อให้นางใช้ประโยชน์ได้บ้างในโลกมิติที่สามนี้ ส่วนเด็กน้อยซูซูผู้อาภัพ เหล่าทวยเทพตอบแทนคำขอของนางโดยส่งนางไปยังโลกมิติที่หนึ่งตั้งแต่แรกเกิด คราวนี้ครอบครัวท
ชาวบ้านสองสามคนที่ได้ยินเสียงของหยวนปิงกับลูกสาวพากันวิ่งไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่ร่างอวบ ๆ ของพวกนางจะทำได้ กระทั่งไปถึงหน้าประตูบ้านผู้ใหญ่บ้าน หญิงร่างท้วมทั้งสามรีบตะโกนเรียกหาเขาเสียงดัง“พวกเจ้าเอะอะอะไรกันอีกเล่า ข้ากำลังจะออกไปดูแปลงผักอยู่พอดี”“จะอะไรเสียอีกเล่าผู้ใหญ่บ้าน ข้าได้ยินหยวนปิงกับลูกสาวบอกว่าซูซูน่าจะตายแล้ว ข้าเลยรีบวิ่งมาหาท่านเพื่อให้ไปดูว่าความจริงเป็นอย่างไรนี่แหละ พวกข้าไม่เห็นแม่หนูซูซูมาสามวันแล้วนะผู้ใหญ่ ท่านช่วยไปดูหน่อยเถอะ”“จริงเหรอ? แล้วทำไมพวกเจ้าไม่มาบอกข้าตั้งแต่วันแรก ๆ เล่า ป่านนี้แล้วไม่รู้ว่าแม่หนูซูซูตัวน้อยจะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ไป ไป รีบไปบ้านโจวกัน” ทั้งสี่คนกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่บ้านหยวนปิง ชาวบ้านที่ผ่านไปมาเห็นพวกเขาดูท่าทางผิดปกติจึงพากันตามไปดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในหมู่บ้านกันแน่ ไม่นานนักผู้ใหญ่บ้านก็มาถึงบ้านโจว“หยวนปิง เปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้!!! ข้าจะเข้าไปดูแม่หนูซูซู เร็วเข้า!!!”“มาแล้ว ๆ ท่านเป็นอะไรจึงได้เร่งรีบเช่นนี้ผู้ใหญ่บ้าน”“ถ้าข้าไม่รีบแล้วซูซูเป็นอะไรไปล่ะก็ ข้าจะแจ้งทางการว่าเจ้า
ผู้ใหญ่บ้านเห็นท่าทางน่ารักของซูซูก็นึกเอ็นดู นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เลี้ยงเด็กตัวเล็ก ๆ แบบนี้ ผู้ใหญ่บ้านลูบหัวซูซูอย่างเบามือ เขากลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บที่หัวด้วยจึงไม่กล้าลูบหัวนางแรงเกินไป ซูซูที่รู้สึกถึงความอบอุ่นบนหัวน้อย ๆ ของนาง ซูซูจึงเงยหน้าขึ้นยิ้มหวานให้กับปู่ผู้ใหญ่บ้านที่ดูเหมือนกำลังปลอบโยนเด็กตัวน้อย ๆ อย่างนางอยู่ ทั้งที่จริงแล้ววิญญาณของนางอายุ 25 ปีในโลกแห่งลมปราณก่อนจากมาอยู่ที่นี่ แต่ในเมื่อร่างเดิมยังเด็กอยู่ ซูซูจึงยินดีทำตัวเป็นเด็กให้ทุกคนหลงเอ็นดูนางดีกว่าจะทำตัวเข้มแข็งจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้นาง รอกันไม่นานนัก นางหยวนปิงก็โยนหยกพกเนื้อดีสีขาวราวกับหิมะซึ่งมีลวดลายบนหยกสลักอยู่อย่างปราณีต อีกด้านมีตัวอักษรฟางสลักอยู่ด้วยอย่างสวยงามเช่นเดียวกัน ผู้ใหญ่บ้านตรวจสอบหยกแล้วเห็นว่าเป็นอันเดิมที่เขาเคยเห็นเมื่อหลายปีก่อนจึงพยักหน้าแล้วส่งหยกให้กับซูซูถือเอาไว้“นี่คือสิ่งของแทนตัวของเจ้านะซูซู หากในอนาคตเจ้าต้องการตามหาพ่อแม่ก็ลองใช้หยกนี้เป็นเครื่องนำทางตามหาพวกเขาดู ข้าคิดว่าเจ้าเก็บเอาไว้เองจะดีที่สุด อ้อ! ข้าขอเตือนเจ้านะหยวนปิง ห
ซวงหยวนเอ๋อหลังจากอาบน้ำให้ซูซูและนำชุดเก่าของลูกชายสมัยเด็กมาให้นางเปลี่ยนแล้วก็จูงมือซูซูไปที่โต๊ะอาหารทันที นางแทบจะป้อนข้าวซูซูหากว่าไม่ได้ยินเสียงเล็ก ๆ กล่าวว่านางกินเองได้ล่ะก็ ซวงหยวนเอ๋อคงคิดว่าซูซูยังคงเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ อยู่กระมัง ผู้ใหญ่บ้านที่นั่งมองอยู่ก็ได้แต่หัวเราะภรรยาที่อยากดูแลซูซูมากเกินไป เขายังล้อเลียนภรรยาด้วยว่าซูซูนั้นอายุ 7 ขวบปีแล้ว จะทำเหมือนนางยังเป็นเด็กเล็ก ๆ ได้อย่างไรเล่า ซวงหยวนเอ๋อเห็นสามีล้อเลียนนาง นางก็ได้แต่ถลึงตาใส่ตาเฒ่าคนนี้ อย่าคิดว่านางไม่รู้ว่าเขาเองก็เอ็นดูแม่หนูซูซูไม่ต่างจากนางเช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นเขาไม่หนีงานดูแลแปลงผักแล้วคอยอยู่ทายาให้ซูซูเช่นนี้แต่แรกหรอก ส่วนซูซูตัวน้อยที่กำลังเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ อย่างหิวโหย นางพยายามไม่ให้มูมมามมากเกินไปถึงแม้นางจะหิวมากแค่ไหนก็ตาม อย่างน้อยมารยาทในการกินของนางจะต้องดีเหมือนในโลกก่อนเพื่อไม่ให้ใครมาดูถูกได้ ยิ่งนางเห็นสองปู่ย่าวัยชราที่รับเลี้ยงนางหยอกล้อกันเหมือนเด็ก ๆ นางก็ได้แต่อมยิ้มให้กับความน่ารักของทั้งสองผู้เฒ่าที่รับนางเข้ามาอยู่ในครอบครัวโดยไม่กลัวว่าตนเ
ซูซูที่กำลังเดินจะไปที่ภูเขาด้านหลังหมู่บ้านพบเห็นเหล่าลุงป้าน้าอาทั้งหลายก็ยิ้มทักทายทุกคนไปตลอดทาง กระทั่งนางเดินไปถึงตีนเขาและมองขึ้นไปยังภูเขาลูกใหญ่เบื้องหน้า ซูซูมองเห็นว่ามีชาวบ้านสิบกว่าคนที่กำลังหาผักป่าและตัดหญ้าหมูกันอยู่ตรงตีนเขา นางรีบเดินเข้าไปทักทายพวกเขาก่อนจะเดินลึกเข้าไปในภูเขาเพื่อหาสมุนไพรและหน่อไม้ป่าที่ร่างเดิมเคยขุดไปฝากชาวบ้านเมื่อนานมาแล้ว หลังจากมองชาวบ้านที่อยู่ไกลออกไป นางเห็นว่าพวกเขาไม่ได้สนใจนางแล้ว ซูซูจึงใช้วิชาตัวเบาเข้าป่าลึกไปขุดหน่อไม้ให้ได้เยอะ ๆ เสียก่อนที่จะเริ่มตามหาสมุนไพร อย่างไรนางก็สามารถใช้วิชาตัวเบาค้นหาสมุนไพรดี ๆ ได้ไม่ยากนักภายในเวลาก่อนอาหารเย็น ด้วยความคล่องแคล่วของร่างกายเล็ก ๆ ของนาง ทำให้ซูซูมองเห็นป่าไผ่อยู่ไม่ไกลแล้ว เมื่อถึงป่าไผ่ ซูซูก็ก้มหาหน่อไม้ป่าที่ขึ้นอยู่เต็มไปหมด นางยิ้มน้อย ๆ แล้วเริ่มขุดหน่อไม้ด้วยมีดสั้นที่ท่านปู่ท่านย่าให้นางมาป้องกันตัว ด้วยพลังปราณของซูซู ทำให้นางใช้เวลาไม่นานก็ได้หน่อไม้เกือบเต็มตะกร้าสะพายหลังแล้ว แน่นอนว่าสิ่งของแค่นี้ไม่ทำให้นางลำบากแม้แต่น้อย หลังจากมองดูรอบ ๆ แ
หลังทานอาหารเย็นแล้วซูซูก็นำถ้วยชามไปล้างตามปกติ นางมักจะช่วยเหลืองานท่านปู่ท่านย่าตั้งแต่อาการบาดเจ็บเริ่มหายดีมาตลอด ช่วงหลังมานี้ทั้งสองเฒ่าชราเองก็ปล่อยให้นางทำงานได้ตามใจชอบ พวกเขาไม่อยากเลี้ยงนางเหมือนไข่ในหินมากนัก แค่นี้พวกเขาก็ต่างให้ความรักความอบอุ่นกับนางมากพอแล้ว พวกเขากลัวว่าหากดูแลนางมากเกินไป ซูซูคงรู้สึกว่าตนเองเป็นภาระให้กับพวกเขา ซูซูล้างจานเสร็จก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่ท่านย่านำเสื้อผ้าเก่า ๆ ของลูกชายนางมาเย็บเป็นเสื้อผ้าให้ซูซูตั้งแต่หลายเดือนก่อนแล้ว ทำให้ตอนนี้ซูซูมีเสื้อผ้าเปลี่ยนถึงห้าชุดเลยทีเดียว ก่อนนอนซูซูก็ยังเข้าไปบอกฝันดีกับท่านปู่ท่านย่าตามที่นางทำมาตลอดตั้งแต่หายจากอาการบาดเจ็บ เฒ่าชราทั้งสองต่างยิ้มพร้อมตอบกลับให้นางหลับฝันดีเช่นเดียวกัน พวกเขาไม่เหงาเลยตั้งแต่มีเด็กน้อยซูซูมาอยู่ร่วมชายคา อีกทั้งซูซูยังคอยช่วยงานพวกเขาไม่น้อยทั้งที่ตัวเล็กเพียงแค่นี้ นับวันยิ่งทำให้ทั้งสองเฒ่านั้นทั้งรักทั้งหลงหลานสาวตัวน้อยคนนี้มากขึ้นทุกวัน หลังอาหารเช้าวันต่อมา ซูซูเตรียมตะกร้าสะพายหลังเพื่อขึ้นเขาอีกครั้ง นางบอกท่านปู่กับท่านย่าแล้วว่
ซูซูที่เห็นว่าท่านปู่ท่านย่าไม่ได้ว่าอันใดที่นางจะไปบ้านปู่หมอ นางจึงเดินเร็ว ๆ ออกจากบ้านไปเพื่อจะได้รีบกลับมาช่วยท่านปู่ท่านย่าทำอาหารด้วย ซูซูใช้เวลาเดินไปบ้านหมอไม่ถึงหนึ่งเค่อ จากนั้นนางก็ตะโกนเรียกท่านปู่หมอเหมือนเมื่อวานไม่มีผิดเพี้ยน หมอรีบเดินออกมาเปิดประตูรั้วให้ซูซูเข้าไปในบ้านเช่นเคย เขาพานางมานั่งที่แคร่ก่อนจะเอ่ยถามว่าวันนี้นางมีเรื่องอันใดอีกจึงได้มาหาเขา ซูซูไม่ตอบแต่กลับยิ้มหวานให้ท่านปู่หมอพร้อมกับค่อย ๆ หยิบโสมอีกต้นออกมาจากอกเสื้อแล้วส่งให้กับปู่หมอที่ดูจะตกตะลึงไปเสียแล้ว“นี่ข้าเก็บมาให้ท่านปู่หมอเจ้าค่ะ ท่านรีบรับไปสิเจ้าคะ อย่าให้ใครเห็นนะเจ้าคะ เร็วๆ เข้าท่านปู่หมอ” เมื่อหมอได้ยินเสียงเล็ก ๆ เร่งเร้าเขาก็กลับมาได้สติและรีบสำรวจโสมในมือซึ่งพบว่าซูซูนั้นขุดมาได้อย่างสมบูรณ์มาก ไม่มีรากเล็ก ๆ ขาดแม้แต่เส้นเดียว“เจ้าไปได้มาอย่างไรกันซูซู ชาวบ้านขึ้นเขากันทุกวันกลับไม่เคยพบโสมแม้แต่ต้นเดียวมานานหลายปีแล้ว อีกอย่างเจ้าขุดมาได้สมบูรณ์มากอย่างไม่น่าเชื่อ นี่เจ้ามีความรู้เรื่องสมุนไพรด้วยหรืออย่างไร”“ชู่ว ท่านปู่หมอพูดเบา ๆ สิเ
“เข้ามาได้” ซูซูส่งเสียงตอบกลับให้นิ่งเรียบที่สุด นางไม่อยากแสดงออกมากนักว่านางรู้สึกอย่างไร หากนางผิดหวังในตัวพวกเขา นางก็แค่จากไปก็เท่านั้น เสียงเดินเข้ามาด้านในห้องโดยมีเสี่ยวเอ้อเปิดประตูให้คนทั้งสามซึ่งดูท่าทางร่ำรวยและดูภูมิฐานไม่น้อย ซูซูกระพริบตาอย่างตกตะลึงกับคนทั้งสามที่กำลังเดินมาหานางพร้อมกับน้ำตาปริ่มใบหน้าของหญิงสาวที่ดูจะอายุยังไม่แก่มากนัก นางไม่นึกว่าทั้งสามคนจะหน้าตาละม้ายคล้ายนางมากถึงเพียงนี้“พวกท่านเชิญนั่งลงก่อน”“ฮึก...ลูกแม่” มู่อิงเอ๋อทนเก็บอารมณ์ความรักความคิดถึงไม่ไหวแล้ว นางสลัดอ้อมแขนของสามีออกแล้วรีบเดินเร็ว ๆ เข้าไปกอดซูซูอย่างแสนรัก ซููซูที่จู่ ๆ ก็ได้รับความอบอุ่นจากคนที่เรียกนางว่าลูกก็ทำตัวไม่ถูกสักเท่าไหร่นัก นางไม่คิดว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้กับนาง ฟางเซียนหลงเห็นว่าลูกสาวถึงกับอึ้งไปที่ภรรยาของเขาเข้าไปกอดน
ฟางเซียนหลงที่รีบเดินกลับเรือนทำให้ฟางฉือห่าวที่กำลังจะออกไปทำงานเกิดสงสัยว่าท่านพ่อมีเรื่องอะไรเร่งด่วนตั้งแต่เช้ากัน เขาจึงเปลี่ยนทิศทางที่กำลังจะออกจากจวนเป็นเดินไปที่เรือนท่านพ่อท่านแม่แทน เมื่อไปถึงเรือน ฟางเซียนหลงที่ยังเห็นภรรยานั่งหน้าอมทุกข์อยู่ก็รีบเดินเข้าไปหานางพร้อมกับยื่นกระดาษประกาศให้นางอ่านด้วยตัวเอง ไม่นานนักหลังอ่านรายละเอียดจบแล้ว มู่อิงเอ๋อรีบเงยหน้ามองสามีพร้อมน้ำตา“นี่...นี่จริงเหรอเจ้าคะท่านพี่ เราจะได้เจอลูกแล้วเหรอเจ้าคะ ฮึก…” ฟางเซียนหลงโอบภรรยาเอาไว้ในอ้อมแขน ตัวเขาเองก็น้ำตารื้นขึ้นมาเช่นเดียวกัน ก่อนที่จะบอกกับภรรยาว่าจะไปหานางในวันพรุ่งนี้เลย“ประกาศใบนี้เป็นของจริงแน่นอนน้องหญิง อีกอย่างลวดลายบนกระดาษก็เป็นหยกของตระกูลเราที่เคยมัดติดกับแขนของลูกเอาไว้ในคราวนั้นด้วย ตอนนี้น้องหญิงต้องทำใจให้สบา
ซูซูเมื่อเห็นว่าเสี่ยวเอ้อออกไปแล้ว นางนำหยกออกมาจากกำไลเก็บของ ก่อนจะนำมีดสั้นมาตัดกระดาษแผ่นใหญ่ออกเป็นสี่ส่วน เสร็จแล้วซูซูก็นำกระดาษไปทาบกับหยกด้านที่มีตัวอักษรฟางแล้วใช้ก้อนถ่านค่อย ๆ ถูเพื่อให้ขึ้นลวดลายตามหยกที่นางมีอยู่ ซูซูทำอย่างระมัดระวัง ด้วยกลัวว่าลวดลายจะผิดแปลกออกไปจนทำให้คนที่มาอ่านประกาศเห็นได้ไม่ชัดเจน หลังจากได้ลวดลายตามที่ต้องการแล้ว ซูซูใช้พู่กันแตะหมึกที่นางฝนเอาไว้ไม่นานนักแล้วเขียนในใบประกาศว่า“ข้ามีหยกชิ้นนี้มาตั้งแต่จำความได้ หากใครรู้จักคนที่ให้หยกนี้แก่ข้า ได้โปรดมาพบข้าที่โรงเตี๊ยมไฉ่หลงภายในสามวัน ที่ห้องพักชั้นสองห้องด้านในสุด ก่อนที่ข้าจะออกเดินทางตามหาเจ้าของหยกต่อไปยังเมืองอื่น ลงชื่อซูซู” ซูซูอ่านทวนว่ามีตรงไหนผิดพลาดหรือไม่ เมื่อเห็นว่าไม่มีตรงไหนผิดพลาด ซูซูก็นำกระดาษอีกสามแผ่นมาทำเช่นเดิม นางจะนำกระดาษทั้งสี่แผ่นติดที่ป้ายประกาศทั้งหมด เผื่อว่ามีคนรู้จักหยกชิ้นนี้แล้วนำแผ่นกระดาษที่นางติดเ
หลังจากเสี่ยวเอ้อวางอาหารเรียบร้อยแล้ว ซูซูก็บอกเขาว่าหากนางกินเสร็จจะนำถ้วยชามวางไว้ที่หน้าห้อง เขาค่อยมาเก็บทีหลังก็แล้วกัน และห้ามไม่ให้ใครมารบกวนนางพักผ่อนด้วย เสี่ยวเอ้อพยักหน้ารับคำแขกที่ดูจะร่ำรวยไม่น้อยจนถึงขนาดได้เข้าพักในห้องใหญ่ที่สุดของโรงเตี๊ยม แถมอาหารของนางยังมีแต่อาหารขึ้นชื่อของที่นี่อีกด้วย เมื่อซูซูสั่งเสี่ยวเอ้อเสร็จนางก็บอกให้เขาออกไปได้ นางจะกินข้าวแล้วจะได้รีบพักผ่อน เสี่ยวเอ้อรีบขอตัวออกไปจากห้องของนางในทันใด เขามัวแต่ตกตะลึงกับความงามของนางจนลืมไปว่านางสั่งงานเขาเสร็จแล้ว โชคดีที่แม่นางน้อยไม่คิดว่าเขาทำกิริยาไม่เหมาะสม ไม่เช่นนั้นเขาคงถูกเถ้าแก่ไล่ออกเป็นแน่ ซูซูที่เข้าใจดีว่าตนเองสวยสดงดงามมากเพียงใดก็ไม่ได้ถือสาเสี่ยวเอ้อที่มัวแต่ตะลึงในความงามของนาง ซูซูนั่งกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย นับว่าที่นี่สมแล้วกับที่มีคนแนะนำน
องครักษ์ที่ติดตามอ๋องเฉิงในครั้งนี้ต่างพากันไม่เชื่อว่าท่านอ๋องจะยอมซื้อหมูป่าในราคาสูงถึงหนึ่งพันตำลึงจริง ๆ พวกเขาไม่กล้าสอบถามว่าเหตุใดท่านอ๋องจึงได้ทำเช่นนี้ องครักษ์ชุดนี้เป็นคนละชุดกับที่ออกเดินทางไปนอกเมืองหลวงกับอ๋องเฉิง พวกเขาจึงไม่เคยพบซูซูมาก่อน เพราะพวกเขาเป็นองครักษ์คนสนิทที่คอยทำงานในเมืองหลวงให้กับท่านอ๋องเวลาพระองค์ไม่อยู่ จึงทำให้พวกเขาไม่ทราบที่มาของแม่นางคนงามที่ท่านอ๋องขอซื้อหมูป่าก่อนหน้านี้ พวกเขาได้แต่คิดในใจว่ารอให้ไปถึงค่ายทหารเสียก่อน เขาจะสอบถามองครักษ์ที่ติดตามท่านอ๋องออกนอกเมืองว่าแม่นางน้อยคนนี้เป็นใคร ภายในเมืองหลวงก็วุ่นวายกันไม่น้อย ด้วยข่าวลือที่แพร่ออกไปอย่างรวดเร็วว่าอ๋องเฉิงนั้นพูดคุยอย่างสนิทสนมกับแม่นางน้อยรูปร่างหน้าตางดงามราวกับนางฟ้า แถมยังแข็งแกร่งกว่าหญิงสาวทั่วไปอีกต่างหาก ข่าวลือที่ผิดเพี้ยนไปเพราะกระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงกลายเป็นว่า ท่านอ๋องมีไมตรีกับสตรีแปลกหน้าท่ามกลางชาวบ้านที่สามารถเป็นพยานได้หลายคน
หลังจากพักผ่อนจนมีเรี่ยวแรงกลับมาเต็มที่อีกครั้งแล้ว ซูซูก็เดินนำหน้าม้าของนางต่อไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเช่นเดิม เดินกันอยู่ไม่นานก็พบกับไก่ป่าอีกครั้ง ซูซูใช้กระบี่บินจัดการไก่ป่าอย่างรวดเร็ว นางทำเพียงโยนไก่เข้าไปในกำไลเก็บของเท่านั้น เพื่อที่จะล่าสัตว์ต่อไปได้อย่างสะดวก เดินต่อไปอีกเกือบสามชั่วยาม ซูซูก็มองเห็นหมูป่าตัวใหญ่กำลังกินพืชอะไรสักอย่างอยู่ไม่ไกลนัก นางยิ้มน้อย ๆ แล้วบังคับกระบี่บินไปเสียบเข้าที่คอของหมูป่าทันที มันดิ้นรนอยู่สักพักก็สิ้นลมไป ซูซูใช้วิชาตัวเบาวิ่งไปถึงที่ที่หมูนอนตายอยู่อย่างรวดเร็ว เมื่อตรวจสอบดูอีกครั้งจนแน่ใจว่าหมูป่าตายแล้ว ซูซูที่คิดจะโยนหมูป่าเข้ากำไลเก็บของก็ได้แต่ต้องเปลี่ยนใจเมื่อนางมองในกำไลของตนเองแล้วเห็นเสื้อผ้าที่เพิ่งซักไว้ นางกลัวว่าเลือดหมูจะทำให้เสื้อผ้านางมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ซูซูจึงใช้พลังลมปราณแบกหมูป่าไปยังทิศทางเดิมของนาง ซูซูมองแผนที่ก่อนหน้านี้แล้วว่านางจะออกจากภูเขานี้ได้ในอีกไม่นานและไปถึงถนนใหญ่ แน่นอนว่าอีกไม่
หลังออกจากค่ายโจรแล้ว ซูซูก็มองหาม้าของนางจนพบ คราวนี้ซูซูขึ้นม้าขี่กลับไปทางที่นางมาเพื่อไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือต่อในยามค่ำคืน ซูซูในคืนนี้ไม่ได้จุดคบไฟ เพราะคืนนี้แสงจันทร์ช่างส่องสว่างนัก ทำให้การเดินทางในคืนนี้ไม่ลำบากทั้งนางและม้าเลยแม้แต่น้อย กระทั่งเช้า ซูซูให้ม้าหยุดพักและกินน้ำกินหญ้าก่อนจะออกเดินทางอีกครั้ง ส่วนนางนั้นนั่งกินเนื้อตากแห้งไปพลาง ๆ และคิดว่าจะออกจากเส้นทางภูเขาลองดูว่านางจะสามารถวิ่งบนเส้นทางปกติได้หรือยัง จะได้ช่วยลดเวลาการเดินทางลงได้บ้าง เพราะตอนนี้ซูซูอยู่ในภูเขาได้หนึ่งเดือนแล้ว นางจึงอยากลองออกไปเดินทางปกติเผื่อว่าจะเจอผู้คนให้ถามทางได้บ้าง หลังจากหนึ่งคนหนึ่งม้าอิ่มท้องแล้ว ซูซูยังคงให้ม้าออกไปยังทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จนกระทั่งสามวันต่อมา นางและม้าก็เข้าสู่เส้นทางถนนปกติเสียที ซูซูเห็นว่าม้าเหนื่อยไม่น้อยแล้ว อีกอย่างนางไม่ค่อยได้หยุดพักบ่อยนักและน้ำในกระบอกไม้ไผ่ของนา
หลังจากซูซูแยกออกมาอีกทาง นางก็ยังคงมองหาสมุนไพรอย่างไม่เร่งรีบเช่นเคย กระทั่งเดินทางมาได้อีกหนึ่งสัปดาห์แล้วและนางไม่พบกลุ่มของเจ้าหน้ากากอีก นางจึงคิดว่าพวกเขาคงออกจากหุบเขาไปแล้วเป็นแน่ ซูซูเหงาไม่น้อยที่นางไม่ได้ต่อปากต่อคำกับเขาจึงได้แต่เดินทางต่อไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือกับม้าของนางต่อ แต่ขณะที่นางกำลังจะหาที่พักในคืนนี้ จู่ ๆ ก็มีกลุ่มคนถือดาบเข้ามาทางนางเสียก่อน“โอ้ แม่นางน้อยช่างสวยจริง ๆ ถ้าเราจับนางไปให้เจ้านายล่ะก็ รางวัลใหญ่ต้องเป็นของเราแน่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”“นั่นสิ ๆ ไม่คิดเลยว่าหลังจากออกปล้นแล้วกำลังจะกลับ พวกเรายังจะได้ของดีไปฝากเจ้านายอีก ฮ่า ฮ่า” ซูซูได้แต่มองกลุ่มคนกักขฬะนับสิบที่ถือดาบอยู่อย่างเหยียดหยาม นางไม่คิดจริง ๆ ว่าในภูเขาลึกแห่งนี้จะมีรังโจรซ่อนอยู่ แต่ในเมื่อตอนนี้นางรู้แล้วว่าพวกมันเป็นโจร แน่นอนว่าหญิงสาวที่ทั้งสวยทั้งมีคุณธรรมอย่างนางจะต้องจัดการคนเหล่านี้ใ
เช้าตรู่วันต่อมา ซูซูลุกขึ้นมาจากกิ่งไม้และกระโดดลงไปล้างหน้าล้างตาที่ริมลำธาร นางยังหาปลากับกุ้งมาย่างไฟกินก่อนที่จะออกเดินทางหาสมุนไพรต่อในวันนี้ เจ้าม้าของซูซูเองก็ลุกขึ้นเดินกินหญ้าโดยที่ซูซูไม่ต้องบอกเลยแม้แต่น้อย นางยิ้มให้กับม้าที่นับวันยิ่งเชื่องมากขึ้นของนาง ซูซูหาปลากับกุ้งไม่นานนักก็ได้เพียงพอที่นางจะกินคนเดียวหมด ซูซูนำปลาไปทำความสะอาดพร้อมเสียบไม้ย่างไว้ กุ้งนางก็ล้าง ๆ และเสียบไม้ไว้เช่นเดียวกัน จากนั้นซูซูก็หาไม้ฟืนมาโยนใส่กองไฟให้มันลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง นางย่างปลากับกุ้งไปพร้อมกับร้องเพลงของนางอย่างอารมณ์ดี“ข้าทั้งสวยทั้งเก่ง ไม่ว่าใครมาเพ่งเล็งหาเรื่อง ข้าก็ไม่คิดจะกลัว หากใครกล้ามาก่อกวน ปั่นป่วนให้ข้าโมโห กระบี่บินด้ามโตของข้า จะแสดงอานุภาพให้พวกเจ้าเห็นเอง ลา ล้า ลา” ซูซูฮัมเพลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งปลากับกุ้งสุก นางเป่ามันก่อนจะค่อย ๆ กินเพราะกลัวว่าอาหารจะลวกปากน้อย ๆ ของนางเสียก่อน กระทั่งหนึ่งคนหนึ่งม้าต่