“น้องหญิง สองคนนั้นเป็นคนของอ๋องหก”ซูจิ่งสิงกระซิบข้างโสตนางเสียงค่อย เสียงทำให้นางรู้สึกคันหูยุบยิบกู้หว่านเยว่มองตามสายตาของเขาไป ก็มองเห็นท่าทางลับๆ ล่อๆ ของทั้งสองคนที่กำลังจับตามองพวกเขา แสร้งเดินบนเส้นทางสายเดียวกับพวกเขา“ไม่ต้องสนใจพวกเขา พวกเราออกเดินทางเถอะ”กู้หว่านเยว่ยิ้มเย็นทีหนึ่ง ในเมื่อกลางคืนต้องการมาสืบงานประมูลอีกครั้ง ดังนั้นทั้งสองคนจึงไม่คิดกลับเมืองอวี้ แต่ตัดสินใจวนอยู่ที่ละแวกใกล้เคียงหนึ่งรอบบังเอิญละแวกนี้มีโรงเรือนปลูกผักขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง สามารถไปดูได้กู้หวานเยว่กระโดดขึ้นรถม้า ซูจิ่งสิงมาขับรถม้าเห็นว่ารถม้าออกเดินทางแล้ว ใบหน้าอ๋องหกเผยสีหน้าเย็นชา“ตามไป ชิงผลต้นเกล็ดหิมะมาหากมีโอกาส ฆ่าพวกเขาสองสามีภรรยาไปเสียเลย”“พ่ะย่ะค่ะ” คนชุดดำหลายคนได้ยินคำสั่ง จากนั้นต่างพากันไล่ตามรถม้าของกู้หว่านเยว่ไปขณะเดียวกัน รถม้ามีเพียงกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสองคน เพื่อความสะดวก พวกเขาไล่องครักษ์จันทราออกไปแล้วหลังรถม้าขับมาได้ระยะหนึ่ง ก็ค่อยๆ เข้าสู่ถนนสายเล็กมีคนน้อยมาก“มาแล้ว”สีหน้าซูจิ่งสิงเย็นชา สังเกตเห็นว่าข้างหลังมีคนกำลังเข้าใกล้รถม้าอย
“เจ้าคิดจะ...”คนชุดดำทั้งสองสวดภาวนาให้อ๋องหกของพวกเขาภายในใจ นี่โหดเหี้ยมเกินไปแล้วกระมัง“นี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเจ้าต้องใส่ใจ อย่าคิดเล่นลูกไม้”กู้หว่านเยว่ตวัดสายตาคมกริบมองไป คนชุดดำต่างพากันเงียบกริบ“พวกเรารับปากเจ้า มอบยาถอนพิษให้พวกเราเถอะ”ยาพิษนี้ทรมานคนเกินไปแล้ว คนชุดดำขอร้องอ้อนวอนกู้หว่านเยว่โยนยาให้สองเม็ด “นี่คือยาบรรเทาอาการ หลังเสร็จงานแล้ว ข้าค่อยให้ยาถอนพิษกับพวกเจ้า”ทั้งสองคนรีบกินยาลงไป รู้สึกว่าความเจ็บปวดภายในร่างกายลดลงไม่น้อย โล่งใจขึ้นมาพวกเขารู้ตอนนี้ชีวิตของตนอยู่ในเงื้อมมือกู้หว่านเยว่ ไม่กล้าโกหก“ท่านอ๋องอยู่ที่โรงเตี๊ยมห่างจากตลาดประมูลไม่ไกล”“นำทาง”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงใส่ผ้าปิดหน้าสีดำคนชุดดำทั้งสองนำทางไป พวกเขามิได้ออกห่างมากนัก ผ่านไปไม่นานก็เดินทางมาถึงโรงเตี๊ยมของอ๋องหกขณะเดียวกันอ๋องหกกำลังรอคอยอย่างกระวนกระวายอยู่ภายในห้อง“จะต้องเอาผลต้นเกล็ดหิมะมาให้ได้ เสด็จแม่ต้องพึ่งผลต้นเกล็ดหิมะนั้น...”องครักษ์มีสีหน้ากระตือรือร้นเข้ามา “ท่านอ๋อง มือสังหารที่ส่งไปกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“จริงหรือ แล้วผลต้นเกล็ดหิมะเล่า?”“นำกลับ
ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่มาครั้งนี้ ก็เพราะมีคำพูดต้องการถามอ๋องหก ดังนั้นจึงไม่พูดไร้สาระกับเขา มัดคนไว้กับเก้าอี้แล้ว ก็เริ่มสอบสวน“อ๋องหก พระชายาของข้าไม่เคยล่วงเกินเจ้า เหตุใดเจ้าต้องฆ่าคนชิงของด้วยเล่า”ถูกสองสามีภรรยาจับจ้อง อ๋องหกเผยสีหน้าเก้อกระดาก หงายไพ่แสดงท่าทีน่าสงสาร“เจิ้นเป่ยอ๋อง เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าก็ไม่คิดเป็นปรปักษ์กับพวกเจ้า เป็นเพราะข้าต้องการผลต้นเกล็ดหิมะ เมื่อครู่ข้าส่งคนชุดดำไปเจรจากับพวกเจ้า เดิมทีต้องการใช้เงินซื้อผลต้นเกล็ดหิมะมาจากพวกเจ้า คิดไม่ถึงพวกเขาเหิมเกริมตัดสินใจด้วยตนเอง ลงมือกับพวกเจ้า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับข้า”เพียงสองสามประโยคอ๋องหกก็ทำให้ตนเองหลุดพ้นอย่างสะอาดหมดจดแล้วซูจิ่งสิงยิ้มเย็น “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเจ้า?”ดูท่าแล้วไม่ใช้ความรุนแรง เขาก็ไม่มีวันสารภาพ“ได้ยินมาว่า เสด็จแม่ของเจ้ากำลังบำเพ็ญสมาธิอยู่ที่อาศรมชิงสุ่ยใช่หรือไม่?”อ๋องหกได้ยินแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไป สุ้มเสียงเปลี่ยนเป็นตึงเครียดเป็นพิเศษ“ซูจิ่งสิง นี่คือบุญคุณความแค้นระหว่างพวกเรา ไม่เกี่ยวอันใดกับเสด็จแม่ของข้า”ซูจิ่งสิงคลี่ยิ้มเรียบเฉย “ตอนนี้อ๋องหกยอมพูดคว
“ถูกต้อง”อ๋องหกเกลาศีรษะด้วยความกังวลใจ “ข้าถูกควบคุมโดยผู้อื่นนานแล้ว อีกอย่างร่างกายของเสด็จแม่ของข้าก็ทรุดลงทุกวัน”เขาเป็นกังวลมาก ยาพิษนั้นยังอยู่ในร่างกายของอวี้ไท่เฟยมาโดยตลอด และยังกระจายทั่วร่างกายของนางอย่างรวดเร็วนี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาตัดสินใจเสี่ยงเก็บผลของต้นเกล็ดหิมะ และออกตามหาผู้เชี่ยวชาญมาหลอมยาถอนพิษ ให้อวี้ไท่เฟยก่อนตราบใดที่ยาพิษในร่างกายของอวี้ไท่เฟยได้รับการถอนแล้ว เขาก็ไม่ต้องกลัวผู้ลึกลับนั้นอีกต่อไป“ดูไม่ออกเลยว่าท่านจะกตัญญูถึงเพียงนี้”กู้หว่านเยว่ทอดถอนใจ อ๋องหกจึงจ้องมองนางด้วยความขุ่นเคือง“ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า เจ้าคิดจะแย่ผลต้นเกล็ดหิมะจากข้า?”“ไม่ใช่เพราะท่านหลอกเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอกหรือ?”กู้หว่านเยว่คลี่ยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางโต้งแย้ง เขาสองคนไม่เคยล้วงเกินอ๋องหกก่อน“ข้าพูดไปแล้ว ข้าไม่ได้ตั้งใจจะต่อกรกับพวกเจ้า ข้าแค่ทำตามคำสั่ง”อ๋องหกกลอกตาอย่างเหลืออด “หากพวกเจ้าให้ผลต้นเกล็ดหิมะนั้นกับข้า ข้าจะบอกพวกเขาว่าคนที่สั่งการอยู่เบื้องหลังเป็นใคร”“เมื่อครู่ท่านบอกข้าว่าท่านไม่รู้สถานะของอีกฝ่ายมิใช่หรือ?”กู้หว่านเยว่ไม่สบอารมณ์ ภายนอกข
กู้หว่านเยว่ค่อนข้างประหลาดใจมาก “ท่านไม่กลัวว่าหากเราฆ่าท่านแล้ว อวี้ไท่เฟยอาจจะไม่ได้รับผลต้นเกล็ดหิมะก็ได้นะ?“ข้า ข้าเชื่อในตัวของเจิ้นเป่ยอ๋อง”หากเป็นผู้อื่นก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ซูจิ่งสิงไม่ใช่คนขาดจิตสำนึกได้ เสด็จแม่ของเขาไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้“ก็ได้”กู้หว่านเยว่คลี่ยิ้มพราวเสน่ห์ ทำให้อ๋องหกต้องชำเลืองตามอง “หากท่านกล่าวเช่นนี้ ข้าจะยอมให้โอกาสท่านสักครั้ง แต่ข้ามีเงื่อนไขอยู่สามข้อ”“ว่ามา” อ๋องหกพยักหน้ากู้หว่านเยว่ค่อย ๆ กล่าวออกไป “หนึ่ง บอกเราว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือใคร สอง นำแผนที่สมบัติมาให้ข้า สาม ข้าจะช่วยหลอมผลต้นเกล็ดหิมะเป็นยาให้ท่าน ข้าให้เวลาท่านครึ่งเดือน ท่านต้องพาเสด็จแม่ของของท่านมาหาข้าที่เจดีย์หนิงกู่ จากนั้นก็หลงหลักปักฐานที่เจดีย์หนิงกู่”เพื่อเป็นการเก็บอ๋องหกไว้ใต้จมูก ง่ายต่อการจับตามองหากเขาตั้งใจจะกบฏจริง ๆ พวกเขาจะได้ไหวตัวทัน และฆ่าเขาเสียหากเป็นเมื่อก่อน อ๋องหกต้องคิดให้ดี ๆ แต่ตอนนี้เจดีย์หนิงกู่เป็นดินแดนในอุดมคติของใคร ๆ ไปแล้ว อิสระกว่าเมืองหลวง“ข้าตกลง”อ๋องหกรีบกล่าวทันทีแต่ทว่าเขาก็ยังนึกประหลาดใจ “พวกเจ้าไม่ฆ่าข
“คงไม่ได้เป็นโรคน้ำกัดเท้าหรอกนะ?”นางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมือและคลี่เปิดแผนที่สมบัติ อ๋องหกถึงกับหน้าแดงก่ำ “ข้าไม่ได้เป็นน้ำกัดเท้า วันนี้เกิดเรื่องไม่คาดคิด ข้ายังไม่ได้อาบน้ำ ครั้นอาบน้ำแล้วคงไม่เหม็นแล้วล่ะ”“ไม่มีก็ดี”กู้หว่านเยว่หยิบแว่นขยายออกมา แล้วส่องดูแผนที่สมบัติอย่างละเอียด “เป็นอย่างไรบ้าง?”ซูจิ่งสิงกระซิบข้างหูของนางเบา ๆ “เป็นแผนที่สมบัติจริง ๆ และยังผลิตจากหนังสัตว์ ปิดผนึกด้วยน้ำผึ้ง น่าจะเป็นแผนที่สมบัติที่มีมูลค่ามากใบหนึ่ง”“พอจะมองเห็นถึงที่อยู่คร่าว ๆ หรือไม่?”ซูจิ่งสิงถูนิ้วด้วยความกังวล หากรู้ที่อยู่คร่าว ๆ เขาจะได้ส่งคนไประเบิดพื้นที่ตรงนั้นจนราบคาบแล้วค้นหาสมบัติเหล่านั้นน่าเสียดายที่คำกล่าวของกู้หว่านเยว่ทำให้เขาต้องรีบยกเลิกความคิดนี้ “มองไม่ออก ถ้ำสมบัติแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะมหาสมุทร”มหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาลถึงเพียงนี้ เกาะก็มีมากมาย หากไม่มีตำแหน่งที่แน่นอน ก็ยากจะหาเจอ“ดูท่า ต้องหาแผนที่สมบัติอีกครึ่งหนึ่งให้เจอแล้ว”ซูจิ่งสิงเก็บแผนที่สมบัติไว้ในใจ ก่อนจะกล่าวปลอบใจกู้หว่านเยว่“ไม่เป็นไร วันข้างหน้าข้าจะออกตามหาอีกครึ่งแทนเจ้าเอง”
ถึงอย่างไรผู้ลึกลับผู้นั้นก็เป็นคนทูเจวี๋ย หากไม่ใช่เพื่อเสด็จแม่ เขาไม่มีทางร่วมมือกับคนทูจวี๋ยแน่นอนส่วนเสด็จพี่ เห็น ๆ อยู่ว่าเขาไม่มีอำนาจทางการทหารและไม่มีเงิน แต่กลับหวาดระแวงเขา ไม่แน่อาจจะฆ่าเขาในสักวันหนึ่งครั้นคิดดูแล้ว ไม่สู้ไว้ใจซูจิ่งสิงดีกว่าครั้นเด็กรับใช้เห็นมู่หรงฝูระมัดระวังตัวเช่นนี้ จึงเปลี่ยนมาคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “มาเจดีย์หนิงกู่ก็ดีแล้ว ตลอดการเดินทางข้าน้อยเห็นด้านนอกของเมืองอวี้เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ อากาศก็ไม่ได้หนาวเหน็บอย่างที่เป็นข่าวลือ เสียงนกร้องระงม ดอกไม้เบ่งบานตามฤดูกาล ไท่เฟยผู้เฒ่าจะต้องทรงโปรดปรานอย่างแน่นอน”“ใช่”นัยน์ตาของมู่หรงฝูว่างเปล่า เขาเองก็ตกใจกับบรรยากาศในเจดีย์หนิงกู่“ท่านพี่ เราไปกินบะหมี่ตรงแผงลอยกันเถอะเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเดินออกจากโรงเตี๊ยม ครั้นเห็นว่าท้องฟ้ายังไม่มืด จึงเดินมานั่งในบริเวณแผงลอยขายของข้างทาง“เจ้าสองคนอยากกินอะไร?”ทันทีที่ทั้งสองคนนั่งลง เจ้าของร้านก็ออกมาต้อนรับ“บะหมี่หยางชุนสองชาม”ซูจิ่งสิงล้วงหยิบตำลึงเงินออกมา ทันทีที่เถ้าแก่ร้านจากไป ทั้งสองคนก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันระลอกหนึ่งด
“เจ้าหูหนวกหรือไร? ข้าพูดกับเจ้าอยู่!”หลัวจือฉิงอยากจะง้างมือตบกู้หว่านเยว่ แต่ครั้นสายตามเหลือบไปเห็นซูจิ่งสิงบุรุษร่างสูงใหญ่ก็ตะลึงงันในทันที“พ่อหนุ่ม เจ้าช่างรูปงามยิ่งนัก”“ไสหัวออกไป”นัยน์ตาของซูจิ่งสิงฉายแววรังเกียจ ก่อนจะตวาดอย่างไม่ปรานี“พ่อหนุ่ม เจ้าเองก็ควรมาเป็นสามีของข้านะ เจ้าโตแล้ว ส่วนเขายังเด็กนัก”หลัวจือฉิงชี้ไปทางหร่านถิง ท่าทางดูวางมาดนั้นทำให้คนที่เห็นอยากตบนางยิ่งนักหร่านถิงหมดความอดทน ในที่สุดก็ยกเท้าเตะนางจนกระเด็นออกไป“ไสหัวไป นังบ้า!”ครานี้ไม่มีใครคุยกับหลัวจือฉิงอีก ถึงอย่างไรวิธีการของนางก็น่าประหลาดเกินไป“เจ้า เจ้ากล้าเตะข้า!”เด็กรับใช้รีบพุ่งเข้าไป แต่ก็ถูกซูจิ่งสิงเตะกลับไปกองบนพื้นตามเดิมจู่ ๆ หลัวจือฉิงก็รู้สึกว่าไม่เป็นอย่างที่คาดหวังไว้ จึงพาคนเหล่านั้นวิ่งหนีกระเจิงแต่ก่อนจะไปนั้น ก็ยังตะโกนว่า “พวกเจ้า พวกเจ้ารอก่อนเถอะ จะต้องเสียใจที่ทำแบบนี้กับข้า!”“ได้ เราจะรอ เจ้าอย่าขี้ขลาดก็แล้วกัน”กู้หว่านเยว่หัวเราะเยาะเสียงดัง หลัวจือฉิงเดินโซซัดโซเซด้วยความโกรธ สตรีผู้นี้โหดร้ายมากครั้นเห็นหลัวจือฉิงจากไปไกลแล้ว หร่านถิงก็หัน
“ขอรับ คุณหนู ท่านนี่รอบคอบจริง ๆ คนที่อยู่ชั้นบนคือคู่หมั้นของท่านใช่ไหม?”เจ้าของรับเงินไว้ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดหยอกเย้า หงเจาแตะข้อมือที่เพิ่งถูกจับโดยสัญชาตญาณก่อนจะจากไปโดยไม่ได้โต้แย้งใด ๆ ครึ่งชั่วยามต่อมา บะหมี่หยางชุนก็ถูกนำมาให้หร่านถิง“ข้าไม่ได้สั่งบะหมี่หยางชุนนี่” เขาเอ่ยด้วยความมึนงงเล็กน้อยบริกรอธิบายว่า “คู่หมั้นของท่านสั่งให้ท่าน จ่ายค่าห้องไว้ห้าวัน ยังกำชับข้าเป็นพิเศษว่า ช่วงนี้ให้ทางเราทำอาหารบำรุงร่างกายให้ท่านทุกวันด้วย คู่หมั้นของท่านดีกับท่านมากจริง ๆ”คู่หมั้น? คู่หมั้นของเขามาจากไหนกัน หร่านถิงไม่รู้จักตัวตนของหงเจา อาจเป็นเพราะเขาผ่านความยากลำบากในช่วงนี้มามากเกินไป หัวใจที่ไม่ได้ถูกสัมผัสมาเป็นเวลายี่สิบปีเกิดความรู้สึกประทับใจบางอย่างตอนที่กู้หว่านเยว่และซ่งเสวี่ยพาลูก ๆ มาเที่ยวเล่น เมื่อเห็นหงเจากลับมาก็ไม่ได้ถามอะไรเลยการก่อสร้างสำนักศึกษาถงซันเสร็จสมบูรณ์แล้ว กู้หว่านเยว่และซ่งเสวี่ยหารือเรื่องการไปสอนหนังสือที่สำนักซ่งเสวี่ยยินดีปรีดามาก “ข้าเพิ่งพูดเรื่องนี้กับพ่อสามีไปเมื่อไม่นานมานี้เองเดิมทีคิดว่าเขาจะคัดค้าน แต่ไม่นึกว่าเขาจะตอบตก
ความหมายของเจ้าก็คือ เขาซ่อนตัวอยู่ในเมืองอวี้ เห็นกับตาตัวเองว่าสุยเซียนถูกพวกเราจับตัวไป ดังนั้นจึงมาปลิดชีวิตของสุยเซียนได้ทันท่วงที?”ซูจิ่งสิ่งเข้าใจความหมายของกู้หว่านเยว่ทันทีกู้หว่านเยว่ส่ายหัว “มันเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น”สายตาของซูจิ่งสิงจับจ้องไปที่ร่างของสุยเซียน ก่อนจะสั่งให้ผู้ว่าการอำเภอจัดการศพ สำหรับสมาชิกสกุลหลัวนั้น“คนของสกุลหลัวเหล่านี้ ให้ทางการมาจัดการเถอะ”คุกใต้ดินสกปรกเกินไป บวกกับการรีบเร่งไปศึกษาแมลงตัวน้อยของกู้หว่านเยว่ จึงไม่อยู่ในคุกใต้ดินนานนัก รีบออกไปอย่างรวดเร็วตอนที่ออกมา ก็บังเอิญพบกับซูจื่อชิง เนี่ยชิงหลานและคนอื่น ๆ ที่มีสีหน้าอยากรู้อยากเห็น“พี่หญิงกู้ เป็นยังไงบ้าง หญิงผู้นั้นสารภาพแล้วหรือ เรื่องสูตรยาลับมันคืออะไรกัน?”หลายคนรายล้อมเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วขึ้นกล่าวว่า“สูตรยาลับเป็นของปลอม นางเป็นสายลับของทูเจวี๋ย”“เป็นสายลับของทูเจวี๋ยจริงด้วย ชาวทูเจวี๋ยนั้นน่ารังเกียจ ทำไมสายลับของทูเจวี๋ยถึงแทรกซึมเข้าไปในเจดีย์หนิงกู่ของพวกเราได้?”ซูจื่อชิงถามด้วยความอยากรู้ ซูจิงสิ่งไม่อยากพูดอะไรมากนักข้างนอ
จะเห็นได้ว่าแม่ทัพอย่างเหยลวี่เจิง มีความคิดชั่วร้ายขนาดไหน“ขอถามเจ้าอีกครั้ง เจ้ารู้จักลี่จีไหม?”“ข้ารู้จัก พวกเราทุกคนเป็นพี่น้องกันจากหอร้อยบุปผา ครั้งนี้นางทำภารกิจที่หนึ่ง ส่วนข้าทำภารกิจที่สอง ถ้าภารกิจที่หนึ่งสำเร็จ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องทำสองภารกิจที่สองต่อ แต่ถ้าภารกิจที่หนึ่งล้มเหลว ภารกิจที่สองของข้าจะเริ่มทันที”สุยเซียนพูดโดยจิตใต้สำนึก“เมื่อหลายวันก่อน ข้ารู้เรื่องการตายของลี่จี้ คาดเดาว่าภารกิจที่หนึ่งอาจจะล้มเหลว ดังนั้นจึงเริ่มภารกิจที่สองทันที”“งานเลี้ยงในวันนี้หรือ?”“ถูกต้อง โดยการแสดงให้ทุกคนในงานเลี้ยงได้เห็นว่าผิวพรรณของหลัวไฉ่ในวัยสามสิบนั้นบอบบางพอ ๆ กับตอนอายุสิบแปด ร่างกายก็ดีขึ้นด้วย ทำให้ทุกคนเชื่อมั่นอย่างไม่มีข้อสงสัยอีก”ขอเพียงขุนนางระดับสูงเหล่านี้เชื่อถือ ประชาชนทั่วไปก็จะเลียนแบบ“ทำไมเจ้าไม่ใช้หน้าของตัวเอง?”กู้หว่านเยว่ค่อนข้างอยากรู้ เหตุใดสุยเซียนถึงต้องเสียเวลาใช้หน้ากากผิวหนังมนุษย์ด้วยผิวพรรณของสุยเซียนยังดูอ่อนเยาว์และงดงามมาก สามารถหลอกลวงผู้คนได้อย่างสมบูรณ์แบบ“ข้าเป็นชาวทูเจวี๋ย ถึงอย่างไรก็มีความแตกต่างบางอย่างจากชาวต้าฉี เป
หลัวเฉิงค่อนข้างหวาดกลัว แต่ยังคงเชิดหน้า “ไฉ่เอ๋อร์เป็นน้องสาวของข้า นางไม่รู้เรื่องอะไร”“ทรมานเขา”ซูจิ่งสิงโบกมือ การกระทำนี้ทำให้หลัวเฉิงไร้ความสามารถไปแล้ว ไม่ใช่ว่าควรสอบสวนก่อนสักครู่ แล้วค่อยใช้การทรมานหรือ? ทำไมพอมาถึงก็จะทรมานเลย?เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่นำที่หนีบนิ้วมาเข้ามา หลัวเฉิงก็กลืนน้ำลาย หวาดกลัวจนตัวสั่นงันงก วิงเวียนไปหมด“หนีบ”ซูจิงสิ่งสั่งการ เจ้าหน้าที่ออกแรงทันที หลัวเฉิงรู้สึกเพียงความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสที่ถูกส่งมาจากนิ้ว ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องดังลั่น ถึงขนาดที่ว่าร่างกายท่อนล่างยังส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมาในช่วงเวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชา ก็ได้เปลี่ยนน้ำเสียงขอความเมตตา“หญิงชั่วช้า ข้าต้องการมีชีวิตอยู่...นางไม่ใช่หลัวไฉ่ หลัวไฉ่ตัวจริงตายไปแล้ว นางคือหญิงที่ข้าพบในอารามเต๋า หยุด!ซูจิงสิ่งพูดอีกครั้ง “หยุด”หลัวเฉิงน้ำมูกน้ำตาไหลปะปนกัน แทบจะหมดสติไป พิงอยู่บนไม้ตรึงนักโทษ หอบเหมือนลูกหมาที่กำลังจมน้ำกลัวว่าที่หนีบจะรัดแน่นขึ้นอีกครั้ง เขาจึงรีบพูดออกมา“หญิงผู้นี้บอกว่านางชื่อสุยเซียน เป็นอนุที่หลบหนีออกมาจากขุนนาง ขอให้ข้าคุ้มครองนาง ตอนแรกข้าไม่ตอบตกล
“อ๊อก หยุดพูดเถอะ ข้าอยากอาเจียน”หร่านถิงหน้าเหยแก รู้สึกหวาดกลัวผู้หญิงเป็นครั้งแรกก่อนหน้านี้ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีหญิงใดที่หลงใหลเขา แต่ที่จะเป็นจะตายเพราะเขา ต้องการให้เขาตาย หลัวจือฉิงนั้นเป็นคนแรก“ท่านแม่ ช่วยข้าด้วย” หลัวจือฉิงมองไปที่หลัวฮูหยิน นางถูกหร่านถิงตีด้วยไม้กวาดจนเจ็บปวดมากไม่นึกว่าหลัวฮูหยินจะพูดขึ้นมาอย่างหวาดกลัว “ตัวเองทำผิด ถูกทุบตีก็ต้องอดทนไว้”หร่านถิงผู้นี้รู้จักกับชายาท่านอ๋อง ถูกตีมากกว่านี้อีกหน่อยบางทีชายาท่านอ๋องอาจจะคลายโมโหได้ ไม่ทำให้สกุลหลัวลำบาก“ท่านแม่?” หลัวจือฉิงยังคิดว่าตัวเองหูฝาดไป “นี่ท่านกำลังพูดภาษาคนอยู่หรือเปล่า?”เมื่อเห็นหลัวฮูหยินเบือนหน้าหนี นางก็โกรธจนกระอักเลือด ระเบิดออกมาอย่างหนักหน่วงออกมาโดยไม่สนใจสิ่งใด“ต่อให้ข้าแอบเลี้ยงผู้ชายไว้ในเรือน แต่ก็เพราะเรียนรู้มาจากท่าน ดูนางให้ดูแม่!”“...”“บัดซบ หลัวฮูหยินแอบเลี้ยงผู้ชายไว้ในเรือนอย่างไม่น่าเชื่อ!”“ปกตินางมักจะเสแสร้งทำตัวเป็นหญิงบริสุทธิ์ยึดมั่นในคุณธรรม แล้วยังดูถูกอนุภรรยาอีกด้วย จะเป็นไปได้อย่างไร?”ทุกคนรู้จักกันหมด หลัวฮูหยินนั้นอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี“ห
ปรมาจารย์แพทย์กำลังศึกษาค้นคว้าหน้ากากผิวหนังมนุษย์ หน้ากากนี้เป็นสิ่งที่ดีจริง ๆ บางราวกับว่างเปล่า คลุมใบหน้าเบา ๆ ก็สามารถเปลี่ยนรูปโฉมของคนได้“ให้ข้าดูหน่อยว่ามันทำยังไง หนังหมู กระเพาะปลา ยังมีอะไรอีก?”“เจ้าหุบเขา แสดงให้ศิษย์ดูหน่อย”หมอหลินอิจฉา เขายังไม่เคยเห็นหน้ากากผิวหนังมนุษย์มาก่อน ปรมาจารย์แพทย์เองก็ไม่ได้ใจแคบเช่นกัน ก่อนจะโบกมือให้“มา ๆ ๆ เสี่ยวหลิน เจ้าดูซิช่าว่าขนคิ้วบนนี้ทำจากอะไร”ชายชราและชายหนุ่มกำลังศึกษาหน้ากากผิวหนังมนุษย์อยู่ ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากด้านหลัง“ไม่ทราบว่าท่านคือเจ้าหุบเขาของหุบเขาราชาโอสถหรือไม่?”ชายที่เพิ่งร้องไห้อย่างขมขื่นที่ไม่สามารถช่วยชีวิตแม่ได้รีบถามขึ้น“ข้าน้อยแซ่หลิว เป็นถงจือของเมืองอวี้ ในเรือนของข้าน้อยมีมารดาสูงอายุนอนป่วยติดเตียงอยู่คนหนึ่ง ท่านเจ้าหุบเขาช่วยแม่ของข้าได้หรือไม่”ถ้าเป็นเมื่อก่อน ปรมาจารย์แพทย์ต้องไม่ไปแน่นอน แต่ตอนนี้ที่เขาต้องการก่อตั้งหุบเขาราชาโอสถ ต้องรีบสร้างชื่อเสียงให้ขจรขจายออกไป“รอสักครู่ หลังจากงานเลี้ยงจบลง ข้าจะไปดูเอง””ขอบคุณเจ้าหุบเขา”ถงจือหลิวก็เป็นคนสายตาแหลมคมเช่นกัน มองออกว่
“ตกลง แม่รับปากเจ้า หย่าก็หย่า!”สวีฮูหยินพูดพลางแอบสังเกตกู้หว่านเยว่สักครู่ เมื่อเห็นว่ากู้หว่านเยว่ไม่ได้พูดอะไร จึงรีบฉวยโอกาสนี้ดึงฮูหยินน้อยหลัวออกไปทางด้านข้างกู้หว่านเยว่ก็รู้สึกเห็นใจฮูหยินน้อยหลัวเช่นกัน ไม่อยากจะคิดเล็กคิดน้อยอะไร พลางส่งสายตาให้ชิงเหลียน ให้นางจับหลัวเฉิงไว้ จากนั้นก็มองไปที่หลัวไฉ่“เจ้าเป็นใครกันแน่?”หลัวไฉ่ถูกตรึงอยู่กับพื้น ไม่พูดอะไรสักคำ พลางมองไปที่กู้หว่านเยว่พร้อมด้วยรอยยิ้มเยาะ“อยากรู้ว่าข้าเป็นใครใช่ไหม? ยังไงข้าก็ไม่บอกท่านหรอก ท่านฆ่าข้าเสียเถอะ อันที่จริงเมื่อตกอยู่ในมือท่านข้าก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว”กู้หว่านเยว่มองดูหลัวไฉ่ในสภาพนี้ ช่างเหมือนกับลี่จีจริง ๆ แล้วความคิดก็ผุดขึ้นมาในใจของนาง“หงเจา ไปดูซิว่ามีดอกโบตั๋นบนหน้าอกของนางหรือไม่”“เจ้าค่ะ” หงเจารีบเดินเข้าไป พลางคว้าหลัวไฉ่ที่กำลังถอยหนี ก่อนจะฉีกเสื้อผ้าตรงหน้าอกของนางออก เห็นรอยสักดอกหนึ่งบนนั้นดังคาด“ฮูหยิน มีดอกโบตั๋นอยู่ดอกหนึ่งจริง ๆ เจ้าค่ะ”“เจ้าเป็นคนจากหอร้อยบุปผา”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง สงสัยว่าหลัวไฉ่ตัวจริงอาจจะตายไปแล้วก็ได้“ข้าไม่ใช่!” หลัวไฉ่รีบส่ายหั
ครั้งหนึ่งหลัวฮูหยินเคยคัดค้านเรื่องนี้ แต่หลัวเฉิงยืนกรานอย่างหนักแน่น หากหลัวฮูหยินไม่เห็นด้วย เขาจะแขวนคอฆ่าตัวตาย“กลัวว่าเขาจะคลุ้มคลั่ง ข้าเลยทำเป็นปิดตาข้างหนึ่ง”หลัวฮูหยินพยายามแก้ต่าง“ถ้าข้ารู้เร็วกว่านี้ว่านางเป็นสายลับของทูเจวี๋ย จะไม่ยอมให้นางเข้าไปในจวนเด็ดขาด”“ท่านแม่ ทำไมท่านถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ?” หลัวเฉิงโมโหมาก“ก่อกวนก็ต้องมีขีดจำกัด ตอนนี้สกุลหลัวของเราทั้งหมดมีอันตรายรออยู่ ข้าทำเพื่อปกป้องครอบครัวของเรา”หลัวฮูหยินหลับตาลงอย่างเย็นชา แสดงให้เห็นว่าไม่มีความรู้สึกใด ๆ ต่อหลัวไฉ่เลย“ท่านแม่!” หลัวเฉิงกำหมัด อดมองไปที่หลัวไฉ่ไม่ได้สายตานี้จับจ้องไปที่ดวงตาของฮูหยินน้อยหลัว ตื่นเต้นจนนางไม่อยากจะเชื่อ พลางถามว่า“คนผู้นี้ไม่ใช่น้องสาวของเจ้าจริง ๆ”“ไม่ใช่ แม่ของข้าพูดจาเหลวไหล ไฉ่เอ๋อร์เป็นน้องสาวของข้า”หลัวเฉิงส่ายหัว ไม่กล้าสบตากับฮูหยินน้อยหลัว ท่าทางหวาดหวั่นของเขาชัดเจนว่ากำลังพูดโกหก ฮูหยินน้อยหลัวมีหรือจะไม่เข้าใจ?นางพุ่งเข้าไปจับเส้นผมของหลัวเฉิงด้วยความโมโห ก่อนจะออกแรงกระชาก“ข้าว่าแล้ว ทำไมท่านถึงชอบเข้าไปในห้องของนางกลางดึกเสมอ ข้าค
กู้หว่านเยว่หาเก้าอี้นั่งลง โยนหน้ากากหนังนั่นลงบนโต๊ะด้วยท่าทางรังเกียจ ปรมาจารย์แพทย์หยิบขึ้นมาทันที“วิชาปลอมตัวนี่น่าสนใจดี ข้าจะศึกษาวิจัยดู”“ท่านดูได้ตามสบาย”กู้หว่านเยว่ใจกว้างกับคนกันเองมาก หลัวฮูหยินกลับมาถึงช้า“ท่านอ๋อง นี่มันเกิดอะไรขึ้น สกุลหลัวของเราทำอะไรผิด เหตุใดจึงต้องส่งทหารมาล้อมพวกเรา?”“เรื่องนี้ถามลูกสาวสุดที่รักของเจ้าจะไม่ดีกว่าหรือ?”กู้หว่านเยว่จ้องมองหลัวไฉ่“ให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย ใครส่งเจ้ามา เจ้าเผยแพร่สูตรลับนี้มีจุดประสงค์อะไร”“ถุย”หลัวไฉ่ถ่มน้ำลายด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “ท่านฆ่าข้าเสียเถิด ข้าไม่มีวันปริปากหรอก”“ใครอนุญาตให้เจ้าพูดกับพระชายาแบบนี้?”ชิงเหลียนปกป้อง ตบหน้านางไปหนึ่งฉาดหลัวไฉ่มีเลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก ดวงตาฉายแววเคียดแค้น กู้หว่านเยว่ขี้เกียจต่อปากต่อคำกับนาง ดูจากท่าทางของหลัวไฉ่แล้ว ก็รู้ว่านางปากแข็งมาก“ท่านพี่ ในเมื่อนางไม่ยอมพูด ก็จับคนสกุลหลัวไปขังคุกให้หมดเถิด”พอไปถึงคุกใต้ดินแล้ว ค่อยสอบสวนนางอีกที“อืม จับตัวพวกเขาไปให้หมด”ซูจิ่งสิงโบกมือ ทหารองครักษ์ก็กรูกันเข้ามา จับคนสกุลหลัวทั้งหมด รวมถึงบ่าวไพร่