“คงไม่ได้เป็นโรคน้ำกัดเท้าหรอกนะ?”นางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมือและคลี่เปิดแผนที่สมบัติ อ๋องหกถึงกับหน้าแดงก่ำ “ข้าไม่ได้เป็นน้ำกัดเท้า วันนี้เกิดเรื่องไม่คาดคิด ข้ายังไม่ได้อาบน้ำ ครั้นอาบน้ำแล้วคงไม่เหม็นแล้วล่ะ”“ไม่มีก็ดี”กู้หว่านเยว่หยิบแว่นขยายออกมา แล้วส่องดูแผนที่สมบัติอย่างละเอียด “เป็นอย่างไรบ้าง?”ซูจิ่งสิงกระซิบข้างหูของนางเบา ๆ “เป็นแผนที่สมบัติจริง ๆ และยังผลิตจากหนังสัตว์ ปิดผนึกด้วยน้ำผึ้ง น่าจะเป็นแผนที่สมบัติที่มีมูลค่ามากใบหนึ่ง”“พอจะมองเห็นถึงที่อยู่คร่าว ๆ หรือไม่?”ซูจิ่งสิงถูนิ้วด้วยความกังวล หากรู้ที่อยู่คร่าว ๆ เขาจะได้ส่งคนไประเบิดพื้นที่ตรงนั้นจนราบคาบแล้วค้นหาสมบัติเหล่านั้นน่าเสียดายที่คำกล่าวของกู้หว่านเยว่ทำให้เขาต้องรีบยกเลิกความคิดนี้ “มองไม่ออก ถ้ำสมบัติแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะมหาสมุทร”มหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาลถึงเพียงนี้ เกาะก็มีมากมาย หากไม่มีตำแหน่งที่แน่นอน ก็ยากจะหาเจอ“ดูท่า ต้องหาแผนที่สมบัติอีกครึ่งหนึ่งให้เจอแล้ว”ซูจิ่งสิงเก็บแผนที่สมบัติไว้ในใจ ก่อนจะกล่าวปลอบใจกู้หว่านเยว่“ไม่เป็นไร วันข้างหน้าข้าจะออกตามหาอีกครึ่งแทนเจ้าเอง”
ถึงอย่างไรผู้ลึกลับผู้นั้นก็เป็นคนทูเจวี๋ย หากไม่ใช่เพื่อเสด็จแม่ เขาไม่มีทางร่วมมือกับคนทูจวี๋ยแน่นอนส่วนเสด็จพี่ เห็น ๆ อยู่ว่าเขาไม่มีอำนาจทางการทหารและไม่มีเงิน แต่กลับหวาดระแวงเขา ไม่แน่อาจจะฆ่าเขาในสักวันหนึ่งครั้นคิดดูแล้ว ไม่สู้ไว้ใจซูจิ่งสิงดีกว่าครั้นเด็กรับใช้เห็นมู่หรงฝูระมัดระวังตัวเช่นนี้ จึงเปลี่ยนมาคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “มาเจดีย์หนิงกู่ก็ดีแล้ว ตลอดการเดินทางข้าน้อยเห็นด้านนอกของเมืองอวี้เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ อากาศก็ไม่ได้หนาวเหน็บอย่างที่เป็นข่าวลือ เสียงนกร้องระงม ดอกไม้เบ่งบานตามฤดูกาล ไท่เฟยผู้เฒ่าจะต้องทรงโปรดปรานอย่างแน่นอน”“ใช่”นัยน์ตาของมู่หรงฝูว่างเปล่า เขาเองก็ตกใจกับบรรยากาศในเจดีย์หนิงกู่“ท่านพี่ เราไปกินบะหมี่ตรงแผงลอยกันเถอะเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเดินออกจากโรงเตี๊ยม ครั้นเห็นว่าท้องฟ้ายังไม่มืด จึงเดินมานั่งในบริเวณแผงลอยขายของข้างทาง“เจ้าสองคนอยากกินอะไร?”ทันทีที่ทั้งสองคนนั่งลง เจ้าของร้านก็ออกมาต้อนรับ“บะหมี่หยางชุนสองชาม”ซูจิ่งสิงล้วงหยิบตำลึงเงินออกมา ทันทีที่เถ้าแก่ร้านจากไป ทั้งสองคนก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันระลอกหนึ่งด
“เจ้าหูหนวกหรือไร? ข้าพูดกับเจ้าอยู่!”หลัวจือฉิงอยากจะง้างมือตบกู้หว่านเยว่ แต่ครั้นสายตามเหลือบไปเห็นซูจิ่งสิงบุรุษร่างสูงใหญ่ก็ตะลึงงันในทันที“พ่อหนุ่ม เจ้าช่างรูปงามยิ่งนัก”“ไสหัวออกไป”นัยน์ตาของซูจิ่งสิงฉายแววรังเกียจ ก่อนจะตวาดอย่างไม่ปรานี“พ่อหนุ่ม เจ้าเองก็ควรมาเป็นสามีของข้านะ เจ้าโตแล้ว ส่วนเขายังเด็กนัก”หลัวจือฉิงชี้ไปทางหร่านถิง ท่าทางดูวางมาดนั้นทำให้คนที่เห็นอยากตบนางยิ่งนักหร่านถิงหมดความอดทน ในที่สุดก็ยกเท้าเตะนางจนกระเด็นออกไป“ไสหัวไป นังบ้า!”ครานี้ไม่มีใครคุยกับหลัวจือฉิงอีก ถึงอย่างไรวิธีการของนางก็น่าประหลาดเกินไป“เจ้า เจ้ากล้าเตะข้า!”เด็กรับใช้รีบพุ่งเข้าไป แต่ก็ถูกซูจิ่งสิงเตะกลับไปกองบนพื้นตามเดิมจู่ ๆ หลัวจือฉิงก็รู้สึกว่าไม่เป็นอย่างที่คาดหวังไว้ จึงพาคนเหล่านั้นวิ่งหนีกระเจิงแต่ก่อนจะไปนั้น ก็ยังตะโกนว่า “พวกเจ้า พวกเจ้ารอก่อนเถอะ จะต้องเสียใจที่ทำแบบนี้กับข้า!”“ได้ เราจะรอ เจ้าอย่าขี้ขลาดก็แล้วกัน”กู้หว่านเยว่หัวเราะเยาะเสียงดัง หลัวจือฉิงเดินโซซัดโซเซด้วยความโกรธ สตรีผู้นี้โหดร้ายมากครั้นเห็นหลัวจือฉิงจากไปไกลแล้ว หร่านถิงก็หัน
เวลานี้ตลาดประมูลค่อนข้างเงียบสงบ ไม่มีความผิดปกติใด บริเวณด้านนอกของตลาดประมูลมีทหารเฝ้าอยู่หลายกลุ่ม กู้หว่านเยว่พาซูจิ่งสิงพาเข้าไปภายในงานประมูล “ตลาดประมูลดูคึกคักมาก”พ่อบ้านเฉียนกำลังตั้งใจนับตั๋วเงินอยู่ในห้อง เขายิ้มไม่หุบเลย การประมูลในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่สร้างเงินได้มหาศาลแล้ว ทั้งยังแอบวางยาซูจิ่งสิงอย่างเงียบ ๆ ได้อีกด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว“ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของเจ้า นำยาพิษไปวางไว้ในกระถางธูป ทำให้ซูจิ่งสิงโดนวางยาอย่างเงียบ ๆ”ลี่จีควงแขนของพ่อบ้านเฉียนออกมาและกล่าวด้วยสีหน้าคาดหวัง “แค่คิดว่าซูจิ่งสิงจะกลายเป็นคนโง่ ข้าก็มีความสุขมากแล้ว”“หลังจากนี้จะยิ่งมีความสุขมากกว่านี้” พ่อบ้านเฉียนทำปากจู๋และจุ๊บหน้าผากของลี่จีราวกับไม่มีใครเห็นเวลานี้ ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ที่นั่งอยู่ในโรงไม้ก็ได้กระโดดลงมากู้หว่านเยว่พ่นยาพิษออกมาเป็นจำนวนมาก เพื่อทำให้คนอื่นหมดสติ ส่วนซูจิ่งสิงก็รัดคอของพ่อบ้านเฉียนและจี่ลีไว้ จากนั้นก็กระชากพวกเขาออกมาอย่างรวดเร็วกู้หว่านเยว่โบกมือไปมา ก่อนจะพาพวกเขาเข้าไปในห้วงมิติครั้นเห็นทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไปรอบ ๆ ตัว พ่อ
“สัตว์น้ำแข็ง?!”กู้หว่านเยว่ไม่กล้าเชื่อ กระทั่งโพล่งพูดออกมาซูจิ่งสิงกล่าวถามด้วยความประหลาดใจ “สัตว์น้ำแข็ง เป็นสัตว์แบบไหน?”“เป็นสัตว์ตัวน้อยที่อาศัยอยู่ในเขตน้ำแข็งตัวหนึ่ง ลำตัวขาวโพลนดุจหิมะ มีลักษณะคล้ายกับน้ำแข็ง ดังนั้นจึงเรียกว่าสัตว์น้ำแข็ง”กู้หว่านเยว่หยิบตำราเล่มหนึ่งออกมา แล้วพลิกเปิดไปหน้าหนึ่งและยื่นให้ซูจิ่งสิง“สัตว์น้ำแข็ง กินดอกไม้น้ำแข็งเป็นอาหาร ตามตำนาน ต่อให้เขาทั้งสองข้างของพวกเขาจะหัก ก็ยังสามารถงอกขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง หากได้เขามาบดเป็นผง สามารถช่วยคนที่กำลังจะตายให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งได้”แต่แน่นอนว่าเป็นแค่ตำนาน ความจริงอาจจะไม่ได้น่าตกใจถึงเพียงนั้นแต่นี้ก็พิสูจน์ได้แล้วถึงความล่ำค่าของสัตว์น้ำแข็งตัวนี้ ชักอยากรู้จริง ๆ ว่ายังมีสิ่งใดในโลกใบนี้ที่กล้าบอกว่าช่วยคนตายให้ฟื้นคืนชีพได้?ครั้นพ่อบ้านเฉียนเห็นกู้หว่านเยว่หยิบของจากในอากาศได้ ก็พลันตื่นตกใจจนตัวสั่นระริก“สัตว์ประหลาด สัตว์ประหลาด!”หากมองดี ๆจะเห็นคราบสกปรกที่ไหลออกมาจากกางเกงของเขา นั้นคือปัสสาวะกู้หว่านเยว่แสดงสีหน้ารังเกียจ “ครั้งต่อไปอย่าพาใครเข้ามาสอบสวนในนี้อีก เปื้อนบ้าน
พูดได้ว่าท่อนบนของบทเพลง กู้หว่านเยว่เป่าจนชินมือแล้ว ครั้นนางเห็นท่อนล่างของบทเพลง หัวคิ้วก็เริ่มขมวดมุ่น ท่อนล่างของเพลงควบคุมสัตว์ร้าย นั้นยากกว่าแต่ก่อน ไม่เพียงแต่เนื้อหาที่เข้าใจยากแล้ว แม้แต่ทำนองก็ยังซับซ้อนอีกด้วยกู้หว่านเยว่หยิบขลุ่ยออกมา และทดลองเป่าสองสามท่อนของบทเพลง ผลปรากฏว่าเป่าติดขัด ไม่สามารถเป่าอย่างราบรื่นได้“ดูท่าทางถ้าหากจะเรียนรู้บทเพลงท่อนหลัง ยังต้องฝึกฝนอยู่บ่อยครัังถึงจะเป่าได้”กู้หว่านเยว่เองก็ไม่ได้ท้อใจ ถึงอย่างไรนางก็มีเวลา ตราบใดที่ยังว่าง ก็ยังเข้ามาฝึกฝนอยู่ในห้วงมิติได้ในขณะเดียวกัน นางเองก็ประหลาดใจอยู่ไม่น้อย บทเพลงควบคุมสัตว์ร้ายท่อนล่างใช้ทำอะไรได้บ้างกู้หว่านเยว่ฝึกฝนอยู่ครู่หนึ่ง ทางฝั่งของซูจิ่งสิงก็สอบสวนเสร็จพอดี“เป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาสองคนเล่นตุกติกหรือไหม?”กู้หว่านเยว่กล่าวถามอย่างประหลาดใจ ซูจิ่งสิงพยักหน้า “จี่ลีเองก็ไม่รู้ว่าเหยลวี่เจิงอยู่ที่ไหน แต่นางบอกว่านางมีสหายคนหนึ่งในในหอร้อยบุปผา และอยู่ในเจดีย์หนิงกู่ อีกฝ่ายกำลังดำเนินตามแผนที่สองของเหยลวี่เจิง”“แผนที่สอง คือใช้การประมูลมาลอบทำร้ายพวกเรา แผนที่สองนั้นคื
ซูจิ่งสิงรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ จึงกล่าวอย่างอ่อนโยน “เจ้าเก็บตั๋วเงินเหล่านี้ไปเถอะ”หลังจากสิ้นสุดการประมูล ปรมาจารย์แพทย์และผู้ฝากขายสมบัติคนอื่น ๆ ต่างก็ได้กำไรไปหมดแล้วดังนั้นตั๋วเงินในนี้ล้วนแต่เป็นตำลึงเงินที่ประมูลมาจากอินซานทั้งสิ้น“เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะ”ครั้นนึกขึ้นได้ว่าพวกเขาสมรู้ร่วมคิดกับทูเจวี๋ย กู้หว่านเยว่ก็ไม่ยั้งมือแต่อย่างใด เพียงโบกมือเดียวก็กวาดเอากล่องตั๋วเงินจำนวนหนึ่งภายในห้องเข้าไปในห้วงมิติในเวลาเดียว นางเดินเข้ามาในมุมหนึ่งของห้อง รวบรวมสมบัติที่มากองไว้ตรงมุมหนึ่งของห้องเกรงว่าคงจะไม่มีใครรู้ เงินทั้งหมดที่ประมูลได้ในวันนี้ได้เข้ามาอยู่ในกระเป๋าของกู้หว่านเยว่เรียบร้อยแล้ว เรียกได้ว่านางคือผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด“ท่านพี่ เราไปกันเถอะ”สิ่งที่ควรถามก็ถามไปหมดแล้ว อยู่ในตลาดประมูลต่อก็ไม่มีประโยชน์อะไรกู้หว่านเยว่หยิบน้ำมันเชื้อเพลิงถังหนึ่งออกมาจากห้วงมิติ แล้วลาดทั่วห้อง จากนั้นก็หยิบคบเพลิงหนึ่งอันมาจุดไฟเผาบ้านจนวอดวาย ก่อนจะพาซูจิ่งสิงกระโดดออกไปจากที่นี่ทั้งสองคนลอยตัวออกไปจากตลาดประมูล กระทั่งมาถึงยอดเขาที่ห่างออกไปหนึ่งร้อยเม
กู้หว่านเยว่พาซ่งเสวี่ยไปทานอาหารเช้าด้วยกัน ซ่งเสวี่ยหยิบหญ้าสงซินที่ประมูลได้เมื่อวานออกมา“เมื่อวานเห็นเจ้ามีธุระ จึงไม่ได้มารบกวนเจ้า ข้าแค่อยากมาถามเจ้าว่าช่วยหลอมยาจีนชนิดนี้เป็นยาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่”ทั้งสองคนสนิทกันมาก ซ่งเสวี่ยก็ไม่ได้หยิ่งยโส จึงเปิดประเด็นทันทีกู้หว่านเยว่พิจารณาหญ้าสงซินครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าและกล่าวว่า “หญ้าสงซินชนิดนี้มีมูลค่ามาก อีกทั้งประสิทธิภาพก็แรงกล้า หากใช้ทั้งต้นมาหลอมเป็นยา ร่างกายของฮูหยินผู้เฒ่าโจวจะทนไม่ไหวเจ้าค่ะ ดังนั้นข้าจะใช้หญ้าสงชนิดนี้หลอมออกมาเป็นยาที่มีปริมาณเท่ากัน แต่เหมาะสมกับร่างกายของฮูหยินผู้เฒ่าโจวยิ่งกว่า”ซ่งเสวี่ยรีบกล่าว “ใช่ ๆ หมอที่ข้าเชิญมาก็กล่าวเช่นนี้ เดิมทีอยากให้หมอหลินช่วยหลอมยาจีน แต่สำหรับเขาการหลอมยาจีนดูเหมือนจะง่าย แต่ขั้นตอนการทำกลับยากยิ่งกว่า เขาไม่มีฝีมือด้านนี้ เกรงว่าจะทำลายหญ้าที่มีมูลค่าเหล่านั้นไปเสียเปล่า”นางคลี่ยิ้มอย่างรู้สึกผิด “อย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ ข้าทำจึงต้องมารบกวนเจ้า”กู้หว่านเยว่คลี่ยิ้ม “เจ้ากับข้าสนิทกัน ทำไมต้องบอกว่ารบกวนด้วย เจ้าควรมาให้ข้าช่วยหลอมยาจีนให้ตั้งแต่ตอนแรกแล้ว
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้
ตอนนี้เอง กู้หว่านเยว่ปรากฏตัวออกจากที่ลับอย่างว่องไว เล่นงานคนชุดดำสองคนจนล้มลงไป“แย่แล้ว มีกับดัก!”คนชุดดำที่เหลือเห็นกู้หว่านเยว่มีวิชายุทธ์สูง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถล้มสหายสองคนของพวกเขาได้ หันหลังเตรียมหนีโดยไม่ยั้งคิด“คิดหนีตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”กู้หว่านเยว่พุ่งตัวไปที่หน้าประตูกระโจม สาดผงยาพิษใส่พวกเขา“มีพิษ!”ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือหัวหน้าคนชุดดำมีท่าทีตอบสนองอย่างว่องไวและกลั้นหายใจได้ทันท่วงที หลบหลีกผงยาพิษของนาง“ดูท่าแล้วพวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นปรมาจารย์ใช้ยาพิษสินะ”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง หยิบกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งออกจากมิติจากนั้นเหินบินขึ้นไป เหวี่ยงกระบองไฟฟ้าใส่ร่างพวกเขาชั่วขณะแตะโดนกระบองไฟฟ้า พวกเขาเพียงรู้สึกชาไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เบื้องหน้ามืดมิด ชักกระตุกระลอกหนึ่งแล้วล้มลงบนพื้นหลังมั่นใจว่าคนชุดดำทั้งห้าหมดสติไปแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเก็บกระบองไฟฟ้า หันหลังเดินไปทางเกาเจี้ยน“แม่ทัพใหญ่เกา! ตื่นๆ รีบตื่นเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ผลักไหล่ของเกาเจี้ยน เห็นเขายังไร้ท่าทีตอบสนอง ดึงแขนเสื้อขึ้น ออกแรงตบหน้าของเขาเกาเจี้ยนกำลังหลับฝันหวาน สั
กู้หว่านเยว่อ่านความคิดของเขาออก ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง ดึงคางของเขาออก จากนั้นยกขาหนึ่งข้างเหยียบหลังของเขาไว้และกดลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมสักหน่อย หาไม่แล้วจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านเยว่พูดเตือนหนึ่งประโยคคนชุดดำอยากพูดอะไร แต่เพราะคางถูกดึงออกแล้ว ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้ครึ่งประโยค ทำได้เพียงหันหน้า ใช้สายตาโหดเหี้ยมสบมองกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่กลับไม่ตามใจเขา เหวี่ยงหมัดใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง“มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ? รีบก้มหน้าให้ข้าดีๆ”คนชุดดำถูกหมัดนี้ของกู้หว่านเยว่ต่อยจนสันจมูกหัก เลือดพุ่ง เขาก้มหน้าลงไปด้วยความเจ็บปวดผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก“ข้าถามเจ้า ดึกดื่นค่ำมืดพวกเจ้ามาทำอันใดที่ค่ายของต้าฉีข้า? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร? วางแผนเช่นไร?”เพราะเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่กังวลคนหนานเจียงยังมีแผนอื่นอีก ไม่พูดเหลวไหลกับคนชุดดำอีก หยิบยาพูดความจริงออกจากมิติและป้อนคนชุดดำ“พวกเราได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ล่วงหน้ามาฆ่าชวีเฟิง”กู้หว่านเยว่ชะงักเล็กน้อย“พวกเจ้ารู้ข่าวว่าชวีเฟิงทรยศพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”คิดไม่ถึงเลยว่าหูตาของคนหนานเจียงจะว่องไวถึงเพียงนี้“
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมมอบของบางอย่างให้คุณชายอวิ๋น พวกเจ้าช่วยนำของสิ่งนี้กลับไปมอบให้เขาเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบขวดน้ำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากใต้วงแขนหนึ่งในทหารชะงักไป พูดเสนอขึ้นว่า “ขวดเล็กๆ เพียงขวดเดียว ไม่ถึงขั้นต้องให้พวกเราสิบคนกลับไปพร้อมกันหรอกกระมัง หากพวกเรากลับไปทั้งหมด ก็ไม่มีคนปกป้องฮองเฮาแล้ว”“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าน้อยจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้คุณชายอวิ๋นเอง คนที่เหลืออยู่ติดตามท่านไปข้างหน้า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เหตุที่นางให้พวกเขานำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กลับไปก็เพราะต้องการสลัดพวกเขาทิ้งและใช้การเทเลพอร์ตหากพวกเขาตามอยู่ข้างหลัง นางจะเทเลพอร์ตได้เยี่ยงไร?“ฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าไปหาเกาเจี้ยนคนเดียวก็พอ ครั้นถึงที่หมายข้าจะปล่อยพลุสัญญาณให้พวกเจ้า”“พวกเจ้าเห็นพลุสัญญาณแล้วก็รีบพาทุกคนมา”เสียงกู้หว่านเยว่เคร่งขรึมลง ไม่อนุญาตให้ทัดทานเหล่าทหารต่างสบตากัน สุดท้ายพยักหน้าลงและคุกเข่า“น้อมรับคำสั่งฮองเฮา”“พวกเจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ สิบคนลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน พลิกตัวขึ้นม้าและย้อนกลับทางเดินเพื่อไปหาอวิ๋นมู่รอจนกระทั่งเงาร
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย