ใบหูแดงเรื่อ ทันใดนั้นถึงขั้นไม่รู้ว่าสมควรเข้าไปหรือไม่ซ่งเสวี่ยเองก็ตกตะลึง ดึงสติกลับมาได้อย่างว่องไว เห็นท่าทางยืนลังเลอยู่หน้าประตูของอีกฝ่าย เอ่ยเตือนว่า“คุณชายโจวรีบเข้ามาเถอะ อย่ายืนหน้าประตูรถม้าเลย”โจวเซิงนี่ถึงดึงสติกลับมาได้ บัดนี้ยามเผชิญหน้ากับซ่งเสวี่ย ถึงขั้นเกิดความคิดวู่วามอยากหนีไปทำนองนั้นแต่เขาขึ้นรถม้ามาแล้ว ลงไปตอนนี้ กลับคล้ายยิ่งปกปิดก็ยิ่งเปิดเผยออกมานี่ถึงกัดฟันเดินเข้ารถม้า กลับไม่กล้านั่งข้างกายซ่งเสวี่ย พยายามนั่งที่มุมหนึ่งซ่งเสวี่ยนึกถึงเรื่องในวันนั้น เดิมทียังไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับโจวเซิงเยี่ยงไร เพราะนางไม่แน่ใจว่าโจวเซิงได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นไปแล้วหรือไม่ขณะเดียวกันโจวเซิงหดตัวที่มุมหนึ่ง ท่าทางคล้ายกลัวทำให้คนอื่นอึดอัดนั้น กลับทำให้หลุดหัวเราะออกมาแล้ว“คุณชายโจว วันนั้นขอบคุณท่านมากที่ช่วยข้า”ที่แท้นางก็รู้ หัวใจโจวเซิงร้อนรุ่ม คำขอบคุณนี้ห่างไปนานทีเดียว“ไม่ต้องเกรงใจ สถานการณ์เช่นนั้นในวันนั้น ไม่ว่าใครก็ต้องเข้าไปช่วยเหลือ”โจวเซิงรีบตอบ ท่าทางระมัดระวังของเขา ทำเสียจนซ่งเสวี่ยรู้สึกอยากขัน บรรยากาศไม่ตึงเครียดเหมือนเมื่อ
“น้องหญิง สองคนนั้นเป็นคนของอ๋องหก”ซูจิ่งสิงกระซิบข้างโสตนางเสียงค่อย เสียงทำให้นางรู้สึกคันหูยุบยิบกู้หว่านเยว่มองตามสายตาของเขาไป ก็มองเห็นท่าทางลับๆ ล่อๆ ของทั้งสองคนที่กำลังจับตามองพวกเขา แสร้งเดินบนเส้นทางสายเดียวกับพวกเขา“ไม่ต้องสนใจพวกเขา พวกเราออกเดินทางเถอะ”กู้หว่านเยว่ยิ้มเย็นทีหนึ่ง ในเมื่อกลางคืนต้องการมาสืบงานประมูลอีกครั้ง ดังนั้นทั้งสองคนจึงไม่คิดกลับเมืองอวี้ แต่ตัดสินใจวนอยู่ที่ละแวกใกล้เคียงหนึ่งรอบบังเอิญละแวกนี้มีโรงเรือนปลูกผักขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง สามารถไปดูได้กู้หวานเยว่กระโดดขึ้นรถม้า ซูจิ่งสิงมาขับรถม้าเห็นว่ารถม้าออกเดินทางแล้ว ใบหน้าอ๋องหกเผยสีหน้าเย็นชา“ตามไป ชิงผลต้นเกล็ดหิมะมาหากมีโอกาส ฆ่าพวกเขาสองสามีภรรยาไปเสียเลย”“พ่ะย่ะค่ะ” คนชุดดำหลายคนได้ยินคำสั่ง จากนั้นต่างพากันไล่ตามรถม้าของกู้หว่านเยว่ไปขณะเดียวกัน รถม้ามีเพียงกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสองคน เพื่อความสะดวก พวกเขาไล่องครักษ์จันทราออกไปแล้วหลังรถม้าขับมาได้ระยะหนึ่ง ก็ค่อยๆ เข้าสู่ถนนสายเล็กมีคนน้อยมาก“มาแล้ว”สีหน้าซูจิ่งสิงเย็นชา สังเกตเห็นว่าข้างหลังมีคนกำลังเข้าใกล้รถม้าอย
“เจ้าคิดจะ...”คนชุดดำทั้งสองสวดภาวนาให้อ๋องหกของพวกเขาภายในใจ นี่โหดเหี้ยมเกินไปแล้วกระมัง“นี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเจ้าต้องใส่ใจ อย่าคิดเล่นลูกไม้”กู้หว่านเยว่ตวัดสายตาคมกริบมองไป คนชุดดำต่างพากันเงียบกริบ“พวกเรารับปากเจ้า มอบยาถอนพิษให้พวกเราเถอะ”ยาพิษนี้ทรมานคนเกินไปแล้ว คนชุดดำขอร้องอ้อนวอนกู้หว่านเยว่โยนยาให้สองเม็ด “นี่คือยาบรรเทาอาการ หลังเสร็จงานแล้ว ข้าค่อยให้ยาถอนพิษกับพวกเจ้า”ทั้งสองคนรีบกินยาลงไป รู้สึกว่าความเจ็บปวดภายในร่างกายลดลงไม่น้อย โล่งใจขึ้นมาพวกเขารู้ตอนนี้ชีวิตของตนอยู่ในเงื้อมมือกู้หว่านเยว่ ไม่กล้าโกหก“ท่านอ๋องอยู่ที่โรงเตี๊ยมห่างจากตลาดประมูลไม่ไกล”“นำทาง”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงใส่ผ้าปิดหน้าสีดำคนชุดดำทั้งสองนำทางไป พวกเขามิได้ออกห่างมากนัก ผ่านไปไม่นานก็เดินทางมาถึงโรงเตี๊ยมของอ๋องหกขณะเดียวกันอ๋องหกกำลังรอคอยอย่างกระวนกระวายอยู่ภายในห้อง“จะต้องเอาผลต้นเกล็ดหิมะมาให้ได้ เสด็จแม่ต้องพึ่งผลต้นเกล็ดหิมะนั้น...”องครักษ์มีสีหน้ากระตือรือร้นเข้ามา “ท่านอ๋อง มือสังหารที่ส่งไปกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“จริงหรือ แล้วผลต้นเกล็ดหิมะเล่า?”“นำกลับ
ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่มาครั้งนี้ ก็เพราะมีคำพูดต้องการถามอ๋องหก ดังนั้นจึงไม่พูดไร้สาระกับเขา มัดคนไว้กับเก้าอี้แล้ว ก็เริ่มสอบสวน“อ๋องหก พระชายาของข้าไม่เคยล่วงเกินเจ้า เหตุใดเจ้าต้องฆ่าคนชิงของด้วยเล่า”ถูกสองสามีภรรยาจับจ้อง อ๋องหกเผยสีหน้าเก้อกระดาก หงายไพ่แสดงท่าทีน่าสงสาร“เจิ้นเป่ยอ๋อง เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าก็ไม่คิดเป็นปรปักษ์กับพวกเจ้า เป็นเพราะข้าต้องการผลต้นเกล็ดหิมะ เมื่อครู่ข้าส่งคนชุดดำไปเจรจากับพวกเจ้า เดิมทีต้องการใช้เงินซื้อผลต้นเกล็ดหิมะมาจากพวกเจ้า คิดไม่ถึงพวกเขาเหิมเกริมตัดสินใจด้วยตนเอง ลงมือกับพวกเจ้า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับข้า”เพียงสองสามประโยคอ๋องหกก็ทำให้ตนเองหลุดพ้นอย่างสะอาดหมดจดแล้วซูจิ่งสิงยิ้มเย็น “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเจ้า?”ดูท่าแล้วไม่ใช้ความรุนแรง เขาก็ไม่มีวันสารภาพ“ได้ยินมาว่า เสด็จแม่ของเจ้ากำลังบำเพ็ญสมาธิอยู่ที่อาศรมชิงสุ่ยใช่หรือไม่?”อ๋องหกได้ยินแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไป สุ้มเสียงเปลี่ยนเป็นตึงเครียดเป็นพิเศษ“ซูจิ่งสิง นี่คือบุญคุณความแค้นระหว่างพวกเรา ไม่เกี่ยวอันใดกับเสด็จแม่ของข้า”ซูจิ่งสิงคลี่ยิ้มเรียบเฉย “ตอนนี้อ๋องหกยอมพูดคว
“ถูกต้อง”อ๋องหกเกลาศีรษะด้วยความกังวลใจ “ข้าถูกควบคุมโดยผู้อื่นนานแล้ว อีกอย่างร่างกายของเสด็จแม่ของข้าก็ทรุดลงทุกวัน”เขาเป็นกังวลมาก ยาพิษนั้นยังอยู่ในร่างกายของอวี้ไท่เฟยมาโดยตลอด และยังกระจายทั่วร่างกายของนางอย่างรวดเร็วนี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาตัดสินใจเสี่ยงเก็บผลของต้นเกล็ดหิมะ และออกตามหาผู้เชี่ยวชาญมาหลอมยาถอนพิษ ให้อวี้ไท่เฟยก่อนตราบใดที่ยาพิษในร่างกายของอวี้ไท่เฟยได้รับการถอนแล้ว เขาก็ไม่ต้องกลัวผู้ลึกลับนั้นอีกต่อไป“ดูไม่ออกเลยว่าท่านจะกตัญญูถึงเพียงนี้”กู้หว่านเยว่ทอดถอนใจ อ๋องหกจึงจ้องมองนางด้วยความขุ่นเคือง“ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า เจ้าคิดจะแย่ผลต้นเกล็ดหิมะจากข้า?”“ไม่ใช่เพราะท่านหลอกเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอกหรือ?”กู้หว่านเยว่คลี่ยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางโต้งแย้ง เขาสองคนไม่เคยล้วงเกินอ๋องหกก่อน“ข้าพูดไปแล้ว ข้าไม่ได้ตั้งใจจะต่อกรกับพวกเจ้า ข้าแค่ทำตามคำสั่ง”อ๋องหกกลอกตาอย่างเหลืออด “หากพวกเจ้าให้ผลต้นเกล็ดหิมะนั้นกับข้า ข้าจะบอกพวกเขาว่าคนที่สั่งการอยู่เบื้องหลังเป็นใคร”“เมื่อครู่ท่านบอกข้าว่าท่านไม่รู้สถานะของอีกฝ่ายมิใช่หรือ?”กู้หว่านเยว่ไม่สบอารมณ์ ภายนอกข
กู้หว่านเยว่ค่อนข้างประหลาดใจมาก “ท่านไม่กลัวว่าหากเราฆ่าท่านแล้ว อวี้ไท่เฟยอาจจะไม่ได้รับผลต้นเกล็ดหิมะก็ได้นะ?“ข้า ข้าเชื่อในตัวของเจิ้นเป่ยอ๋อง”หากเป็นผู้อื่นก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ซูจิ่งสิงไม่ใช่คนขาดจิตสำนึกได้ เสด็จแม่ของเขาไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้“ก็ได้”กู้หว่านเยว่คลี่ยิ้มพราวเสน่ห์ ทำให้อ๋องหกต้องชำเลืองตามอง “หากท่านกล่าวเช่นนี้ ข้าจะยอมให้โอกาสท่านสักครั้ง แต่ข้ามีเงื่อนไขอยู่สามข้อ”“ว่ามา” อ๋องหกพยักหน้ากู้หว่านเยว่ค่อย ๆ กล่าวออกไป “หนึ่ง บอกเราว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือใคร สอง นำแผนที่สมบัติมาให้ข้า สาม ข้าจะช่วยหลอมผลต้นเกล็ดหิมะเป็นยาให้ท่าน ข้าให้เวลาท่านครึ่งเดือน ท่านต้องพาเสด็จแม่ของของท่านมาหาข้าที่เจดีย์หนิงกู่ จากนั้นก็หลงหลักปักฐานที่เจดีย์หนิงกู่”เพื่อเป็นการเก็บอ๋องหกไว้ใต้จมูก ง่ายต่อการจับตามองหากเขาตั้งใจจะกบฏจริง ๆ พวกเขาจะได้ไหวตัวทัน และฆ่าเขาเสียหากเป็นเมื่อก่อน อ๋องหกต้องคิดให้ดี ๆ แต่ตอนนี้เจดีย์หนิงกู่เป็นดินแดนในอุดมคติของใคร ๆ ไปแล้ว อิสระกว่าเมืองหลวง“ข้าตกลง”อ๋องหกรีบกล่าวทันทีแต่ทว่าเขาก็ยังนึกประหลาดใจ “พวกเจ้าไม่ฆ่าข
“คงไม่ได้เป็นโรคน้ำกัดเท้าหรอกนะ?”นางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมือและคลี่เปิดแผนที่สมบัติ อ๋องหกถึงกับหน้าแดงก่ำ “ข้าไม่ได้เป็นน้ำกัดเท้า วันนี้เกิดเรื่องไม่คาดคิด ข้ายังไม่ได้อาบน้ำ ครั้นอาบน้ำแล้วคงไม่เหม็นแล้วล่ะ”“ไม่มีก็ดี”กู้หว่านเยว่หยิบแว่นขยายออกมา แล้วส่องดูแผนที่สมบัติอย่างละเอียด “เป็นอย่างไรบ้าง?”ซูจิ่งสิงกระซิบข้างหูของนางเบา ๆ “เป็นแผนที่สมบัติจริง ๆ และยังผลิตจากหนังสัตว์ ปิดผนึกด้วยน้ำผึ้ง น่าจะเป็นแผนที่สมบัติที่มีมูลค่ามากใบหนึ่ง”“พอจะมองเห็นถึงที่อยู่คร่าว ๆ หรือไม่?”ซูจิ่งสิงถูนิ้วด้วยความกังวล หากรู้ที่อยู่คร่าว ๆ เขาจะได้ส่งคนไประเบิดพื้นที่ตรงนั้นจนราบคาบแล้วค้นหาสมบัติเหล่านั้นน่าเสียดายที่คำกล่าวของกู้หว่านเยว่ทำให้เขาต้องรีบยกเลิกความคิดนี้ “มองไม่ออก ถ้ำสมบัติแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะมหาสมุทร”มหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาลถึงเพียงนี้ เกาะก็มีมากมาย หากไม่มีตำแหน่งที่แน่นอน ก็ยากจะหาเจอ“ดูท่า ต้องหาแผนที่สมบัติอีกครึ่งหนึ่งให้เจอแล้ว”ซูจิ่งสิงเก็บแผนที่สมบัติไว้ในใจ ก่อนจะกล่าวปลอบใจกู้หว่านเยว่“ไม่เป็นไร วันข้างหน้าข้าจะออกตามหาอีกครึ่งแทนเจ้าเอง”
ถึงอย่างไรผู้ลึกลับผู้นั้นก็เป็นคนทูเจวี๋ย หากไม่ใช่เพื่อเสด็จแม่ เขาไม่มีทางร่วมมือกับคนทูจวี๋ยแน่นอนส่วนเสด็จพี่ เห็น ๆ อยู่ว่าเขาไม่มีอำนาจทางการทหารและไม่มีเงิน แต่กลับหวาดระแวงเขา ไม่แน่อาจจะฆ่าเขาในสักวันหนึ่งครั้นคิดดูแล้ว ไม่สู้ไว้ใจซูจิ่งสิงดีกว่าครั้นเด็กรับใช้เห็นมู่หรงฝูระมัดระวังตัวเช่นนี้ จึงเปลี่ยนมาคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “มาเจดีย์หนิงกู่ก็ดีแล้ว ตลอดการเดินทางข้าน้อยเห็นด้านนอกของเมืองอวี้เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ อากาศก็ไม่ได้หนาวเหน็บอย่างที่เป็นข่าวลือ เสียงนกร้องระงม ดอกไม้เบ่งบานตามฤดูกาล ไท่เฟยผู้เฒ่าจะต้องทรงโปรดปรานอย่างแน่นอน”“ใช่”นัยน์ตาของมู่หรงฝูว่างเปล่า เขาเองก็ตกใจกับบรรยากาศในเจดีย์หนิงกู่“ท่านพี่ เราไปกินบะหมี่ตรงแผงลอยกันเถอะเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเดินออกจากโรงเตี๊ยม ครั้นเห็นว่าท้องฟ้ายังไม่มืด จึงเดินมานั่งในบริเวณแผงลอยขายของข้างทาง“เจ้าสองคนอยากกินอะไร?”ทันทีที่ทั้งสองคนนั่งลง เจ้าของร้านก็ออกมาต้อนรับ“บะหมี่หยางชุนสองชาม”ซูจิ่งสิงล้วงหยิบตำลึงเงินออกมา ทันทีที่เถ้าแก่ร้านจากไป ทั้งสองคนก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันระลอกหนึ่งด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้
ตอนนี้เอง กู้หว่านเยว่ปรากฏตัวออกจากที่ลับอย่างว่องไว เล่นงานคนชุดดำสองคนจนล้มลงไป“แย่แล้ว มีกับดัก!”คนชุดดำที่เหลือเห็นกู้หว่านเยว่มีวิชายุทธ์สูง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถล้มสหายสองคนของพวกเขาได้ หันหลังเตรียมหนีโดยไม่ยั้งคิด“คิดหนีตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”กู้หว่านเยว่พุ่งตัวไปที่หน้าประตูกระโจม สาดผงยาพิษใส่พวกเขา“มีพิษ!”ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือหัวหน้าคนชุดดำมีท่าทีตอบสนองอย่างว่องไวและกลั้นหายใจได้ทันท่วงที หลบหลีกผงยาพิษของนาง“ดูท่าแล้วพวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นปรมาจารย์ใช้ยาพิษสินะ”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง หยิบกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งออกจากมิติจากนั้นเหินบินขึ้นไป เหวี่ยงกระบองไฟฟ้าใส่ร่างพวกเขาชั่วขณะแตะโดนกระบองไฟฟ้า พวกเขาเพียงรู้สึกชาไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เบื้องหน้ามืดมิด ชักกระตุกระลอกหนึ่งแล้วล้มลงบนพื้นหลังมั่นใจว่าคนชุดดำทั้งห้าหมดสติไปแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเก็บกระบองไฟฟ้า หันหลังเดินไปทางเกาเจี้ยน“แม่ทัพใหญ่เกา! ตื่นๆ รีบตื่นเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ผลักไหล่ของเกาเจี้ยน เห็นเขายังไร้ท่าทีตอบสนอง ดึงแขนเสื้อขึ้น ออกแรงตบหน้าของเขาเกาเจี้ยนกำลังหลับฝันหวาน สั
กู้หว่านเยว่อ่านความคิดของเขาออก ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง ดึงคางของเขาออก จากนั้นยกขาหนึ่งข้างเหยียบหลังของเขาไว้และกดลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมสักหน่อย หาไม่แล้วจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านเยว่พูดเตือนหนึ่งประโยคคนชุดดำอยากพูดอะไร แต่เพราะคางถูกดึงออกแล้ว ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้ครึ่งประโยค ทำได้เพียงหันหน้า ใช้สายตาโหดเหี้ยมสบมองกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่กลับไม่ตามใจเขา เหวี่ยงหมัดใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง“มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ? รีบก้มหน้าให้ข้าดีๆ”คนชุดดำถูกหมัดนี้ของกู้หว่านเยว่ต่อยจนสันจมูกหัก เลือดพุ่ง เขาก้มหน้าลงไปด้วยความเจ็บปวดผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก“ข้าถามเจ้า ดึกดื่นค่ำมืดพวกเจ้ามาทำอันใดที่ค่ายของต้าฉีข้า? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร? วางแผนเช่นไร?”เพราะเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่กังวลคนหนานเจียงยังมีแผนอื่นอีก ไม่พูดเหลวไหลกับคนชุดดำอีก หยิบยาพูดความจริงออกจากมิติและป้อนคนชุดดำ“พวกเราได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ล่วงหน้ามาฆ่าชวีเฟิง”กู้หว่านเยว่ชะงักเล็กน้อย“พวกเจ้ารู้ข่าวว่าชวีเฟิงทรยศพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”คิดไม่ถึงเลยว่าหูตาของคนหนานเจียงจะว่องไวถึงเพียงนี้“
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมมอบของบางอย่างให้คุณชายอวิ๋น พวกเจ้าช่วยนำของสิ่งนี้กลับไปมอบให้เขาเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบขวดน้ำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากใต้วงแขนหนึ่งในทหารชะงักไป พูดเสนอขึ้นว่า “ขวดเล็กๆ เพียงขวดเดียว ไม่ถึงขั้นต้องให้พวกเราสิบคนกลับไปพร้อมกันหรอกกระมัง หากพวกเรากลับไปทั้งหมด ก็ไม่มีคนปกป้องฮองเฮาแล้ว”“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าน้อยจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้คุณชายอวิ๋นเอง คนที่เหลืออยู่ติดตามท่านไปข้างหน้า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เหตุที่นางให้พวกเขานำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กลับไปก็เพราะต้องการสลัดพวกเขาทิ้งและใช้การเทเลพอร์ตหากพวกเขาตามอยู่ข้างหลัง นางจะเทเลพอร์ตได้เยี่ยงไร?“ฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าไปหาเกาเจี้ยนคนเดียวก็พอ ครั้นถึงที่หมายข้าจะปล่อยพลุสัญญาณให้พวกเจ้า”“พวกเจ้าเห็นพลุสัญญาณแล้วก็รีบพาทุกคนมา”เสียงกู้หว่านเยว่เคร่งขรึมลง ไม่อนุญาตให้ทัดทานเหล่าทหารต่างสบตากัน สุดท้ายพยักหน้าลงและคุกเข่า“น้อมรับคำสั่งฮองเฮา”“พวกเจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ สิบคนลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน พลิกตัวขึ้นม้าและย้อนกลับทางเดินเพื่อไปหาอวิ๋นมู่รอจนกระทั่งเงาร
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย
“แม่ทัพใหญ่เกา เรื่องคำสัญญาของต้าฉีย่อมไม่อาจบิดพลิ้วได้กระมัง?”มองบ้านเกิดที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเฟิงเลียริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ“รีบร้อนอะไร หรือว่าราชสำนักยังจะหลอกเจ้าอีกกระนั้น? วางใจได้ ตราบใดเจ้าช่วยต้าฉีกำราบหนานเจียง ถึงตอนนั้นเผ่าของเจ้าย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ”ภายในก้นบึ้งสายตาของเกาเจี้ยนเผยแววอึ้งงันเมื่อสิบวันก่อนคนถูกกักบริเวณที่เจดีย์หนิงกู่อย่างชวีเฟิงได้ยินว่าต้าฉีและหนานเจียงแตกหักกัน โวยวายจะขอเข้าพบซูจิ่งสิงให้ได้องครักษ์จันทราเอือมระอา จึงพาเขาออกจากเจดีย์หนิงกู่มายังเมืองหลวงชั่วขณะชวีเฟิงได้พบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ก็เผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่ายอมออกแรงเพื่อต้าฉี ขอเพียงต้าฉีปล่อยเขา ไม่ขังเขาไว้ที่เจดีย์หนิงกู่อีกคนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก ยังเสนออีกว่าหากเสร็จเรื่องแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าตระกูลชวี เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาเรื่องสวามิภักดิ์ตาฉีอีกแม้ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าจะชนะ สามารถเอาชนะหนานเจียงได้ แต่มีคนนำทาง สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของทหารได้ ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งดังนั้นหลังซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว
บัดนี้เห็นอยู่ว่าหนานเจียงของเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เหตุใดยังต้องทนต่อไปอีกเล่า?”ฮองเฮามีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งก็มุ่งมั่นบริหารจัดการบ้านเมือง จัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะ เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษและหนอนกู่อย่างลับ ๆ ความคิดของนางแตกต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ ที่หลีกเร้นจากโลกภายนอก นางอยากจะได้ดินแดนและความมั่งคั่งของต้าฉีมิฉะนั้น เพียงแค่เพราะเฟิ่งหมิงกวง เป็นไปไม่ได้ที่ฮองเฮาหนานเจียงจะทรงยินยอมให้ส่งกองทัพไปยังต้าฉี“ความคิดของฮองเฮาพวกกระหม่อมย่อมทราบดี เพียงแต่ซูจิ่งสิงผู้นี้ เดิมเป็นแม่ทัพไร้พ่าย กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็มีพลังรบเหนือชั้น ได้ยินมาว่าพวกเขามีดินปืนใช้ด้วย หากต้องรบกันจริง ๆ พวกกระหม่อมเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าวิตกกังวล“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังไปหยั่งเชิงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่กองกำลังนั้นจะถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ แต่ยังต้องสูญเสียทั้งองค์หญิงใหญ่และคุณชายชวีเฟิงไปด้วยเห็นได้ว่าซูจิ่งสิงนั้นมีกำลังและความสามารถจริง ๆ พวกเราต้องป้องกันไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาแค่นเสียงเย็น
กู้หว่านเยว่พินิจมองบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าว่าเข้าท่า ให้ราชครูโจวมาสอนขั้นพื้นฐานให้เขา สอนเขาอ่านหนังสือ”อ่านหนังสือ?เสี่ยวจ้านจ้านทำหน้ายู่ จมูกและตาย่นเข้าหากันแล้วอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงพูดเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมา?เขาไม่อยากเรียนหนังสือ เขายังเป็นแค่เจ้าเด็กตัวน้อยอยู่เลย“มะ ไม่เรียน...”เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือเล็ก ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้านจ้านเด็กดี ให้ราชครูโจวสอนเจ้าอ่านหนังสือนะ เขาเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จปู่เชียวนะ ความรู้มากมายนัก”“มะ ไม่เรียน...ข้าจะกลับบ้าน!”เสี่ยวจ้านจ้านดิ้นขาไปมา คราวนี้แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้อุ้มแล้วเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเหตุใดคนเราต้องเรียนหนังสือกันนะ?ซูจิ่งสิงคว้าตัวบุตรชายมา สีหน้าเคร่งขรึม “อย่างไรก็ต้องเรียนหนังสือ ถึงเวลานั้น พ่อจะหาสหายร่วมศึกษามาให้เจ้าสักสองสามคน ให้มาเรียนหนังสือกับเจ้า”“อ๊ะ!”เสี่ยวจ้านจ้านหน้าเจื่อน สลดลงอย่างสิ้นเชิงเหตุใดเขาต้องปรากฏตัวด้วย เขาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน“ท่านพี่ ท่านคิดจะหาเด็กคนไหนมาเป็นสหายร่วมศึกษาให้ลูกเราบ้าง?” สองสามีภรรยาล
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก