เดิมทีก็เศร้าเสียใจจนไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว เขาคิดไม่ตกจึงถือคบไฟมาที่ยุ้งฉาง“ชีวิตเอ้อร์โก่วคือชีวิต แล้วชีวิตลูกชายทั้งสองของข้าไม่ใช่ชีวิตหรือ?”อารมณ์ของลุงเนี่ยค่อนข้างคุกรุ่น ทำให้ทุกคนรู้สึกเกรงกลัวไปชั่วขณะหนึ่งกู้หว่านเยว่รีบเอ่ยขึ้น “หากท่านเผายุ้งฉางจริง ๆ ท่านจะไม่สามารถทวงคืนความยุติธรรมให้กับเสือใหญ่และเสือน้อยได้อีก”ลุงเนี่ยชะงักงันไปในทันทีประโยคนี้ของกู้หว่านเยว่ พูดกระทบส่วนลึกในจิตใจของเขาที่เขาก่อเหตุนี้ขึ้นมา ต้องการเผายุ้งฉางเพื่อระบายความโกรธจริงหรือ?ไม่ใช่ เขาแค่ต้องการทวงคืนความยุติธรรมให้กับลูกชายเท่านั้น“ท่านอ๋อง ชายาท่านอ๋อง”ลุงเนี่ยน้ำตาอาบแก้ม“เสือใหญ่และเสือน้อย เมียของข้าแลกมาด้วยชีวิตเพื่อคลอดพวกเขา เมียของข้าต้องตายระหว่างคลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้ากลัวการแต่งงานใหม่กับคนอื่น แล้วคนผู้นั้นจะทำไม่ดีกับลูกทั้งสองในอนาคตข้าเป็นทั้งพ่อและแม่ เลี้ยงดูพวกเขาจนเติบใหญ่ เพื่อวันหนึ่งในอนาคต เมื่อข้าลงไปพบเมียของข้าในยมโลก จะได้บอกนางว่า: เจ้าเห็นไหมว่าข้าดูแลลูกสองคนดีแค่ไหน?”ลุงเนี่ยสะอึกสะอื้นขึ้นมาโดยพลัน ร้องไห้โฮอย่างเจ็บปวด “ลูกชาย
“วีรบุรุษให้กำเนิดคนขี้ขลาดไร้ความสามารถ เมื่อทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ”กู้หว่านเยว่ไม่พอใจอยู่ครู่หนึ่ง จะถูกหรือผิด ค่อยไปว่ากันในศาล“ไปพักผ่อนเถอะ เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้า”เมื่อเห็นเอ้อร์โก่วเอะอะโวยวาย ซูจิ่งสิงก็ขมวดคิ้วบาง ๆ ไม่อยากให้คนแบบนี้มาแปดเปื้อนสายตาของภรรยา“ยังเหลืออีกหนึ่งถึงสองชั่วยามก่อนรุ่งสาง”“ก็ดีเหมือนกัน”พรุ่งนี้กู้หว่านเยว่ยังมีงานอื่นต้องทำอีก จึงไม่ฝืนอยู่ที่นี่ต่อ รีบกลับไปพักผ่อนลุงเนี่ยคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความตื่นเต้น “ขอบคุณท่านอ๋อง ขอบคุณชายาท่านอ๋อง ที่ทวงคืนความยุติธรรมให้กับลูกชายทั้งสองของข้า”ซูจิ่งสิงเอ่ยเสียงขรึม “วันนี้เจ้าต้องการจุดไฟเผายุ้งฉาง ก็ต้องถูกลงโทษตามกฎหมายด้วย เจ้าจะยอมรับหรือไม่?”ลุงเนี่ยคุกเข่าไม่ยอมลุก “เรื่องนี้ข้าน้อยทำผิดไปแล้ว ข้าน้อยยินดีรับโทษทุกอย่าง ขอเพียงลูกชายทั้งสองไม่ตายเปล่า”“อืม”ซูจิ่งสิงโบกมือให้คนมาช่วยจับเขาและเอ้อร์โก่วขึ้นมา กุมตัวไปส่งทางการในวันพรุ่งนี้“หัวหน้าหมู่บ้าน พรุ่งนี้เจ้าพาต้าหนิวไปส่งทางการพร้อมกันเลย”หัวหน้าหมู่บ้านสั่นสะท้านจากสายตาเย็นยะเยือกของซูจิ่งสิง “ขอรับ”เขากลัวว
หนานหยางอ๋องยังคงสงบนิ่งเมื่ออยู่บนรถม้า แต่เมื่อมาถึงเมืองอวี้ ก็ต้องการจะบุกเข้าไปในสกุลเผยเพื่อฆ่าล้างโคตรพวกเขาในทันทีซูจื่อชิงแนะนำเขาว่า “อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น ให้นำภาพม้วนเหล่านั้นออกมาก่อน หากต้องการลงมือ ก็ต้องกวาดล้างสกุลเผยทั้งหมด”หนานหยางอ๋องจึงสงบสติอารมณ์ลงได้ มองซูจื่อชิงด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป “เมื่อก่อนเจ้ายังมีความเป็นเด็กนัก ไม่เป็นผู้ใหญ่ แต่ตอนนี้เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”ซูจื่อชิงหลุบตาลงกล่าวว่า “ความไม่เป็นผู้ใหญ่ของคนรุ่นหลังนั่นแหละที่ทำร้ายชิงหว่าน ต่อไปนี้จะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว”หนานหยางอ๋องนิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะพยักหน้าเขาคุมตัวเผยเสวียนเข้าไปในคุกใต้ดินของจวนฟู่ก่อน จากนั้นซูจื่อชิงก็นำภาพม้วนออกมาตามที่อยู่ที่เผยเสวียนบอกไว้ แล้วมอบให้กับเมี่ยชิงหว่านเพื่อนำไปเผาด้วยตัวเองตอนที่เผาภาพม้วน มือของเมี่ยชิงหว่านสั่นเทิ้มอยู่ตลอดเวลาเมื่อเห็นเปลวไฟกลืนกินภาพม้วน หัวใจของเมี่ยชิงหว่านก็ผ่อนคลายลง และรู้สึกสงบสุขได้ในที่สุดช่วงบ่าย ซูจื่อชิงกลับไปรายงานซูจิ่งสิง “เผยเสวียนตายแล้ว”ซูจิ่งสิงพยักหน้า แต่เมื่อเห็นซูจื่อชิงยังไม่ไปไหนก็เลิกคิ้วขึ้น“ม
ทั้งสามคนหัวเราะครื้นเครงเป็นเสียงเดียวกันในทันทีกู้หว่านเยว่หาเวลาบอกนางหยางเรื่องที่ซูจื่อชิงและเมี่ยชิงหว่านคืนดีกันแล้ว และย่อมไม่ได้พูดถึงเรื่องสกปรกที่เผยเสวียนทำในระหว่างนั้นก่อนหน้านี้ไม่นานซูจื่อชิงเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเพราะช่วยชีวิตเมี่ยชิงหว่านมาแล้ว นางกังวลว่านางหยางจะไม่ชอบใจแต่ใครจะรู้หลังจากนางหยางฟังจบแล้วก็ถอนหายใจโล่งอก “เด็กสองคนนี้ควรจะได้เป็นคู่กันอยู่แล้ว หวังว่าคราวนี้พวกเขาจะได้เรียนรู้บทเรียน ต่อไปจะได้ทะนุถนอมซึ่งกันและกันให้ดี ๆ อย่าทะเลาะกันอีกเลย”กู้หว่านเยว่อมยิ้ม นางหยางเป็นแม่สามีที่มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ตามที่คิดไว้หลังจากออกจากเรือนของนางหยาง นางก็ไปพบเฉินจื่อวั่งอีกครั้งเฉินจื่อวั่งเพิ่งกลับมาจากสำนักศึกษาถงซัน รู้สึกมึนงงไปหมด“ชายาท่านอ๋อง เป็นครั้งแรกที่ข้าน้อยรู้ว่า สำนักศึกษาสามารถใหญ่โตได้ถึงเพียงนี้ เจิดจรัสได้ถึงเพียงนี้ ยังมีสิ่งที่เรียกว่ากระดานดำและชอล์ก มันคือของสิ่งใดกัน ข้าน้อยไม่เคยเห็นมาก่อน”“ตอนนี้บอกข้าหน่อยว่า เจ้ายินดีที่จะเป็นผู้อำนวยการสำนักศึกษาถงซันหรือไม่?”“ยินดี ยินดี!”ก่อนหน้านี้เฉินจื่อวั่งยังลังเลอยู่
“ก็ดีเหมือนกัน”เฉินจื่อวั่งลูบศีรษะพลางคิดในใจว่า ถ้าอาจารย์ของเขามาที่นี่ได้ก็คงจะดีกว่านี้เพียงแต่ว่า นี่แค่ลองคิดดูเท่านั้นอาจารย์ของเขาคือราชครู ถึงแม้ตอนนี้จะเกษียณกลับบ้านเกิดไปแล้ว แต่นั่นก็คือราชครู ไม่มีทางมาที่เจดีย์หนิงกู่ ไม่มีทาง“เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน เรื่องความคืบหน้าของสำนักศึกษา ข้าน้อยจะคอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลา”“อืม”กู้หว่านเยว่หยิบตำราแพทย์ที่เหลืออยู่เล่มเดียวออกมาจากมิติ มอบหมายงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปจัดการ วันเวลาว่าง ๆ แสนสบายนั้นไม่เลวจริง ๆไม่ได้ร่ำเรียนวิชาแพทย์มาเป็นเวลานานแล้ว แต่ก็สามารถใช้เวลาศึกษาค้นคว้าจากตำราแพทย์ได้พอกู้หว่านเยว่ได้เปิดอ่านเวลาก็หมดไปทั้งช่วงบ่าย หลังจากยืดเส้นยืดสายจนพอใจแล้ว ก็เห็นเมี่ยชิงหว่านและซูจื่อชิงเข้ามาส่งอาหารให้นาง“เอามาจากจินโหลว จิ่นเอ๋อร์บอกว่าท่านชอบกิน พวกข้าก็เลยเอามาให้ท่านส่วนหนึ่ง”กู้หว่านเยว่เปิดกล่องออก เห็นกุ้งแช่เหล้าจานหนึ่ง จึงดีใจเป็นที่สุดทันที“ขอบคุณนะ ข้าชอบกินจานนี้จริง ๆ”เมี่ยชิงหว่านยิ้มอย่างเก้อเขิน “เรื่องระหว่างข้ากับจื่อชิงก่อนหน้านี้ ทำให้พี่หว่านเยว่ต้องเป็นกังวล”“ไม่
“บ่าว จะเอาความบริสุทธิ์ของตัวเองมาล้อเล่นได้ยังไงเจ้าคะ?”ชิวจู๋จะล้มมิล้มแหล่ ไม่กล้าสบสายตากับกู้หว่านเยว่เมี่ยชิงหว่านกลับมองอะไรไม่ออกมากนัก ในชั่วขณะนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไป“จื่อชิง เจ้าจะว่ายังไง?”กู้หว่านเยว่ทำได้เพียงมองไปทางซูจื่อชิง แต่ปรากฏว่าซูจื่อชิงส่ายหัวอย่างหนักแน่น“คืนวันนั้น ข้าไม่ได้แตะต้องชิวจู๋เลย”“คุณชายรอง ท่าน...”สายตาของชิวจู๋สับสนเล็กน้อย ทำไมซูจื่อชิงถึงพูดเช่นนี้?คืนวันนั้นชัดเจนว่านางปีนขึ้นไปในขณะที่เขากำลังสลบไสลอยู่ ว่ากันตามเหตุผลแล้วเขาไม่ควรรู้เรื่องถึงจะถูก“คืนวันนั้นข้าเมาเหล้า อารมณ์ไม่ค่อยดี แต่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นหรือไม่ ข้ารู้อยู่แก่ใจดี”ซูจื่อชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย“ตอนนั้นเพิ่งตื่นพอดี สมองของข้าตื้อเหลือเกิน ยังไม่อาจตอบสนองอะไรได้ทัน”“บนหัวเตียงมีคราบเลือดของข้า ตอนนั้นคุณชายรองก็เห็น”ชิวจู๋ไม่อยากยอมรับ จนทำให้ซูจื่อชิงต้องส่ายหัว “ถ้าไม่ใช่เพราะคราบเลือด ข้าคงไม่สามารถยืนยันได้ เจ้าบอกมาซิว่าบาดแผลที่มือของเจ้าคืออะไร?”“ข้า...” ชิวจู๋รีบซ่อนนิ้วมือเอาไว้ ไม่นึกเลยว่าซูจื่อชิงจะสังเกตได้อย่างรอบคอบเช่นนี้“ชิวจู๋
“ไม่จำเป็น”ซูจื่อชิงมองไปที่ร่างบางอ่อนแอของนาง ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี เลื่อนสายตา “ชิวจู๋ ต่อให้วันนี้เจ้าไม่ได้ตั้งใจไปพูดคำเหล่านั้นต่อหน้าพี่สะใภ้ใหญ่ เจ้าก็ไม่สามารถอยู่ข้างกายข้าได้อีกแล้ว”“คุณชายรอง...”ชิวจู๋โงนเงน ประกายน้ำตาเอ่อคลอเต็มดวงตาก่อนหน้านี้ซูจื่อชิงเห็นใจนางอยู่บ้าง แต่กลับเป็นเพียงความเห็นใจที่มีต่อสาวใช้คนหนึ่งเท่านั้น แต่ไหนแต่ไรมาไม่มีความรักระหว่างชายหญิงเมื่อครู่ถูกนางทำร้าย บัดนี้แม้แต่ความเห็นใจก็ไม่เหลือเลยสักเศษเสี้ยว“ข้างกายข้าไม่มีที่ให้สาวใช้มีใจเป็นอื่น”หากวันใดถูกวางอุบายจริง ก็ไม่มีวันรู้“พี่สะใภ้ใหญ่ ในเมื่อนางพูดว่าบ้านของนางจัดเตรียมงานแต่งไว้ให้นางแล้ว เช่นนั้นก็รบกวนพี่สะใภ้ใหญ่มอบหนังสือปลดปล่อยทาสให้นาง ปล่อยให้นางออกไปเถอะ”ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป หนังสือปลดปล่อยทาสมอบให้เพียงสาวใช้ทำความผิด นั่นหมายถึงการไล่ออกจากจวน“ไปทำตามความนัยของเขา”กู้หว่านเยว่พยักหน้า ชิวจู๋เป็นคนของเรือนซูจื่อชิง นางเองก็คร้านจะดูแล“คุณชายรอง ท่านจะไล่บ่าวไป เหตุใดท่านใจร้ายถึงเพียงนี้? ดีชั่วอย่างไรบ่าวก็ดูแลท่านมานานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นบ่าวยังจริ
บัดนี้เส้นโครงเรื่องถูกตนเปลี่ยนแปลง ซูจิ่งสิงยังมีชีวิตอยู่ บนตัวซูจื่อชิงกลับไม่มีภาระอะไร ตรงข้ามกันทำให้ตอนนี้ยังมีความเป็นเด็กอยู่บ้าง“ใช่แล้ว พรุ่งนี้โจวเหล่าและซ่งเสวี่ยจะเดินทางมาถึงเจดีย์หนิงกู่”ซูจิ่งสิงเอ่ยเรื่องนี้ออกมาอย่างกะทันหัน ทำให้กู้หว่านเยว่ตกตะลึง“พี่หญิงซ่งมิใช่พูดว่า ผ่านไปอีกระยะเวลาหนึ่งถึงจะเดินทางมามิใช่หรือ เหตุใดโจวเหล่าเองก็มาได้เล่า?”ซูจิ่งสิงเห็นท่าทางตกตะลึงของนางนี้น่ารักมาก ยื่นมือออกไปบีบจมูกนางอย่างสุดจะหักห้ามใจ“เจ้ามิใช่พูดว่าเจ้าต้องการสร้างสำนักศึกษาแห่งหนึ่ง แต่ภายในสำนักศึกษายังขาดแคลนอาจารย์หรอกหรือ? ข้าก็เรียกตัวโจวเหล่ามาอย่างไรเล่า”กู้หว่านเยว่ว้าวุ่นใจ นางขาดแคลนอาจารย์จริง แต่นางเองก็คาดไม่ถึงว่าจะสามารถเรียกตัวโจวเหล่ามาได้ต้องรู้ว่า ในอดีตโจวเหล่าเป็นอาจารย์ขององค์รัชทายาท เป็นราชครูเชียวนะ!ให้เขามาสอนหนังสือที่เจดีย์หนิงกู่?ซูจิ่งสิงพูดยิ้มๆ “โจวเหล่าอยากเห็นเสี่ยวจ้านจ้าน เขาวางแผนสอนเสี่ยวจ้านจ้านด้วยตนเอง”กู้หว่านเยว่เข้าใจแล้วเสี่ยวจ้านจ้านเป็นลูกชายของซูจิ่งสิง ก็คือสายเลือดของอดีตองค์รัชทายาท โจวเหล่าเป็นอ
ชิงเหลียนพูดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เพียงกู้หว่านเยว่ได้ยิน ก็แน่ใจยิ่งขึ้นว่าซูจิ่งสิงอยู่ที่วัดเทียนหวัง เกินครึ่งคือถูกเหยลวี่เจิงพบเบาะแส นี่จึงถูกเขาล้อมไว้ที่วัดเทียนหวังเวลารอช้าไม่ได้ กลุ่มคนขึ้นรถม้าโดยตรงพวกชิงเหลียนอยู่ที่เมืองอูถ่านหลายวัน รู้จักสิ่งปลูกสร้างละแวกนี้อย่างชัดเจน เพียงครู่เดียวก็ขับรถม้าพาพวกเขามาหยุดบริเวณห่างจากวัดเทียนหวังไม่ไกล“มีทหารมากเหลือเกิน”กู้หว่านเยว่แหวกผ้าม่านออกกลัวเผยพิรุธ รถม้ามิได้เข้าไป แต่จอดที่ข้างทางอยู่ไกลๆกู้หว่านเยว่หยิบกล้องส่องทางไกลออกจากมิติ มองสถานการณ์ภายนอกของวัดเทียนหวังอยู่ไกลๆ ภายนอกวัดถูกทหารล้อมไว้อย่างแน่นหนา“วัดเทียนหวังเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาของเชื้อพระวงศ์ทูเจวี๋ยพวกเรา อีกทั้งยังเป็นสถานที่แห่งความศรัทธาของคนทูเจวี๋ย วัดเทียนหวังบูรณะ มีนานนับพันปี ภายในวัดมีเส้นทางลับมากมาย เพียงเจดีย์ที่สูงที่สุดของวัดก็มีถึงเก้าชั้น”เสี่ยวถ่านนั่งข้างกายกู้หว่านเยว่ อธิบายกับนาง“ข้าเดา พี่ใหญ่ของพวกเราน่าจะซ่อนอยู่ภายในวัดเทียนหวัง เหยลวี่เจิงกำลังส่งคนมาค้นหาพวกเขา”เพราะวัดเทียนหวังได้รับความศรัทธามาก ดังนั้นเหย
“ไม่ได้”กู้หว่านเยว่ห้ามนางไว้ “เจ้าอยากพาตนเองไปตกหลุมพรางหรือ?”หากวังหลวงถูกเหยลวี่เจิงควบคุมไว้แล้วจริง เช่นนั้นหากเสี่ยวถ่านเข้าไป ก็คือแกะเข้าปากเสือ“พี่หญิงกู้ เช่นนั้นข้าจะทำเช่นไร?”ขอบตาเสี่ยวถ่านแดงเรื่อ พูดไปแล้วนางเองก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงอายุเก้าขวบ จิตใจแข็งแกร่งอย่างมาก“รอก่อน”กู้หว่านเยว่ลูบเส้นผมเสี่ยวถ่าน ย่อตัวลงในระนาบเดียวกันกับนาง“รอพวกเราเข้าใจสถานการณ์เมืองอูถ่านก่อน ค่อยวางแผนระยะนี้เจ้าอยู่ที่โรงเตี๊ยม ห้ามมิให้ไปที่ใด ทั้งยังห้ามเปิดเผยฐานะเป็นอันขาด”เสี่ยวถ่านจับชายเสื้อไว้อย่างเจ็บปวด นางอยากเหินบินไปที่วังหลวงมากเหลือเกินแต่มองเห็นสายตากู้หว่านเยว่แล้ว นางรู้พี่หญิงกู้พูดได้ไม่ผิด“ข้ารู้แล้ว”“เด็กดี”กู้หว่านเยว่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เสี่ยวถ่านได้ฟังคำพูดนางแล้ว นี่ทำให้นางลดปัญหาไปได้ไม่น้อย“เดิมทีคิดว่ามาถึงเมืองอูถ่าน ข้าก็สามารถเข้าวังไปพบเสด็จพ่อได้ บัดนี้ต้องรบกวนพี่หญิงกู้ให้ดูแลข้าอีกด้วย”เสี่ยวถ่านรู้สึกผิด พี่หญิงกู้และนางพบกันโดยบังเอิญ ไม่เพียงช่วยชีวิตนางไว้ ยังพานางมาถึงเมืองอูถ่านอย่างปลอดภัยแต่นางไม่เพียงไม่สามารถ
“ในเมื่อเป็นคนของเจ้า เช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวล ข้าอยู่ที่เมืองอูถ่านก็ไม่มีคนรู้จัก แทนที่จะไปหาโรงเตี๊ยมใหม่อีกครั้ง มิสู้ไปพร้อมกับเจ้า”กู้หว่านเยว่เองก็คิดเช่นนี้ บัดนี้ไม่แน่ว่าซูจิ่งสิงและเยียนสือซานอาจอยู่ด้วยกัน เช่นนั้น นางและเยียนอวิ๋นชูอยู่ด้วยกันก็ไม่มีอันใดผิดถึงตอนนั้นก็ให้ซูจิ่งสิงพาเยียนสือซานมาหา พวกเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องเสียแรงออกไปตามหาเบาะแสของเยียนอวิ๋นชูอีกยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่กู้หว่านเยว่คิดมาก นางมักคิดว่าด้วยอุปนิสัยเจ้าเล่ห์ของเหยลวี่เจิง ไม่แน่ว่าอาจลงมือกับเยียนอวิ๋นชูได้ทุกเมื่อ ดังนั้นคนผู้นี้อยู่ข้างกายนางย่อมปลอดภัยที่สุดหลังสองคนปรึกษากันดีแล้ว ก็ให้ชิงเหลียนขับรถม้าออกเดินทางในทันที มุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมหลังเวลาผ่านไปราวครึ่งถ้วยชา รถม้าก็มาถึงโรงเตี๊ยมกู้หว่านเยว่รอคนลงจากรถม้า เข้าไปภายในโรงเตี๊ยม เหตุเพราะห้องพักถูกจองไว้ตั้งนานแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงขึ้นไปบนชั้นสองเลยก็พอ ไม่จำเป็นต้องทักทายปราศรัยกับเสี่ยวเอ้อร์มองออกว่าต่อจากนี้กู้หว่านเยว่ยังมีธุระให้จัดการ ดังนั้นเยียนอวิ๋นชูจึงเลือกไม่รบกวน แต่กลับเข้าห้องของตนอย่างรู้ความหลังกู้หว่า
เสี่ยวถ่านรีบพยักหน้า ตลอดทางมานี้นางฝ่าฟันอันตรายทั้งหมดมา เบื้องหน้าก็คือเมืองอูถ่าน นางใกล้จะได้พบหน้าเสด็จพ่อแล้วนางรู้บัดนี้มิใช่เวลาทำตัวน่ารำคาญ ดังนั้นจึงรีบเช็ดน้ำตา“รีบเข้าไปเถอะ หลังฟ้ามืด ประตูเมืองก็จะปิดแล้ว”คนเหล่านั้นมาถึงเมืองอูถ่าน อีกครึ่งชั่วยาม ประตูเมืองก็จะปิดลงพวกเขาจะต้องเข้าเมืองอูถ่านก่อนประตูปิด หาไม่แล้วก็ทำได้เพียงนอนกลางดินกินกลางทรายอยู่ภายนอก“ไป”กู้หว่านเยว่รีบพาคนเหล่านั้นไปเข้าแถวเสี่ยวถ่านเข้าออกเมืองอูถ่านหลายครั้ง รู้ว่าต้องประจบเอาใจทหารรักษาการณ์เยี่ยงไรเพียงสามคำสองประโยค ก็พาพวกเขาลอบเข้าเมืองอูถ่านได้หลังเข้าเมืองอูถ่านแล้ว กู้หว่านเยว่กลับไปนั่งรถม้าอีกครั้ง มองบ้านเรือนสองข้างทางบ้านเรือนเหล่านี้พื้นฐานล้วนคือบ้านหินเตี้ยๆ สายตาทอดมองไป สองข้างทางมีร้านรวงไม่น้อย กำลังวางขายของเมืองอูถ่านเทียบกับคูเมืองอื่นของทูเจวี๋ย ล้วนเงียบสงบ เจริญรุ่งเรืองมองไปแล้วเทียบกับเมืองหลวงของต้าฉี นอกจากการก่อสร้าง กลับไม่มีอันใดแตกต่างสองสามคนเข้าเมืองอูถ่านได้ไม่นาน เงาร่างสายหนึ่งก็ขวางรถม้าไว้“คุณชาย”เสียงคุ้นหูพลันดังขึ้นจากภ
“ผ่อนคลายไปทั้งตัว”เยียนอวิ๋นชูยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า แม้ว่าตอนนี้เขายังเดินเหมือนคนปกติไม่ได้ แต่ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายรู้สึกสบายตัวขึ้นมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนที่ถูกพิษ ไม่รู้สึกกระสับกระส่ายและกดดันอีกต่อไป แม้แต่จิตใจก็ยังเบิกบานขึ้นมาก“ดี เดี๋ยวข้าจะเขียนใบสั่งยาเพื่อบำรุงร่างกายให้ท่าน”หลังจากตื่นแล้ว กู้หว่านเยว่ก็เป็นห่วงความปลอดภัยของซูจิ่งสิงเขามุ่งหน้าไปส่งจดหมายที่เมืองอูถ่านตามลำพัง และไม่รู้ว่าได้พบกับเยียนสือซานหรือไม่เช่นเดียวกับกู้หว่านเยว่ เยียนอวิ๋นชูก็เป็นห่วงความปลอดภัยของพี่ชายของตัวเองเช่นกัน กลัวว่าเขาจะตกหลุมพรางของเหยลวี่เจิงทั้งสองตัดสินใจทันทีว่าจะรับประทานอาหารกลางวันบนรถม้า ตอนนี้พวกเขาจะไปเก็บสัมภาระ มุ่งหน้าไปยังเมืองอูถ่านทันที“ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่ใหญ่จะเป็นอย่างไรบ้าง”สีหน้าของเยียนอวิ๋นชูเป็นกังวล เสี่ยวถ่านจับจ้องไปที่ใบหน้าที่หล่อเหลาจนทั่วหล้าต้องขุ่นเคืองของเขา พลางถามอย่างอ่อนแรง“พี่รอง ควรอำพรางตัวให้พี่รองเยียนด้วยหรือไม่?ท่านดูสิเขาหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้ ออกไปเดินบนท้องถนนต้องดึงดูดสายตาของผู้คนมากมายเป็นแน่ ทัน
เยียนอวิ๋นชูน่าสงสารนัก กู้หว่านเยว่ก็ใจอ่อนในชั่วพริบตา“เชื่อข้าเถอะ พิษในร่างกายของท่านจะถูกขับออกมาแน่นอน ต่อไปท่านจะไม่สูญเสียการควบคุมอีกแล้วแต่ขาของท่าน เนื่องจากไม่ได้เดินมานานเกินไป อาจต้องใช้เวลาถึงครึ่งปี จึงจะฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ”“นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ”เยียนอวิ๋นชูก็ไม่ได้คาดหวังว่าขาของเขาจะหายดีได้ในชั่วข้ามคืนพิการมานานสิบกว่าปี ได้มีความหวังที่จะยืนขึ้นได้อีกครั้ง สำหรับเขาก็เป็นพรอันยิ่งใหญ่แล้วเขาดื่มยาหม้อหมดในคราเดียวในไม่ช้า ความไม่สบายก็เข้ามาภายในร่างกาย“ยาหม้อนี้มีสรรพคุณในการล้างพิษ ต่อไปท่านอาจจะรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย อาจถึงขั้นมีไข้สูง แต่ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะอยู่เคียงข้างท่าน”กู้หว่านเยว่หยิบเข็มเงินออกมาอย่างเป็นระเบียบขั้นตอน ราวกับว่ามองเห็นเหตุการณ์นี้ไว้ล่วงหน้าแล้วน้ำเสียงสุขุมของนาง ทำให้จิตใจที่ไม่เป็นสุขของเยียนอวิ๋นชูสงบลงมากร่างกายเจ็บปวดมากเกินไป เขาจึงพยายามหลับตาทั้งสอง ข่มความเจ็บปวดนี้เอาไว้เหงื่อเย็นเยียบพรั่งพรูออกมาจากร่างกายของเขาดั่งสายฝนกู้หว่านเยว่ถือผ้าขนหนูไว้ คอยเช็ดเหงื่อให้เขาอย่างอดทน เมื่อพบว่าเขาทนไม่ไ
ความคิดของเยียนอวิ๋นชูเปลี่ยนไปโดยพลัน เขาไม่คิดว่ากู้หว่านเยว่ จะหลอกลวงเขาในเรื่องแบบนี้ แสดงว่าร่างกายของเขาถูกวางยาพิษจริง ๆ และพิษนี้เริ่มตั้งแต่ขาทั้งสองของเขายืนไม่ได้ อย่างน้อยก็สิบกว่าปีแล้วเยียนอวิ๋นชูนึกย้อนกลับไปในหัวใครกันที่สามารถวางยาพิษเขาได้ในช่วงเวลานั้น แต่กลับไม่ได้อะไรเลย เวลามันเนิ่นนานเกินไปแล้วเขารู้ว่า ในขณะนี้สิ่งที่สำคัญไม่ใช่การตามหาคนที่วางยาพิษ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการล้างพิษในร่างกายของเขา“เจ้า เจ้าล้างพิษในร่างกายของข้าได้ไหม?”“ตอนนี้รู้จักขอร้องข้าแล้วหรือ เมื่อครู่ยังหน้าซีดรีบร้อนขับไล่ข้าออกไปมิใช่หรือ?”กู้หว่านเยว่กะพริบตายั่วเย้า ใช้น้ำเสียงหยอกล้อ ทำให้เยียนอวิ๋นชูหน้าแดง แทบจะพาลโกรธเอาดื้อ ๆ อีกครั้ง“เจ้า...”เมื่อเห็นเขากัดริมฝีปาก กู้หว่านเยว่ก็หัวเราะคิกคัก“เอาล่ะ ข้าแค่หยอกล้อท่านเฉย ๆ ข้าสามารถล้างพิษได้ วางใจเถิด”นางปลอมตัวเป็นผู้ชาย ใบหน้าหล่อเหลาอยู่แล้ว ในเวลานี้ได้เผยรอยยิ้มที่น่าหลงใหลออกมาอย่างฉับพลันเยียนอวิ๋นชูตกตะลึงไปชั่วขณะ มองดูใบหน้าที่เปล่งประกายของนาง รู้สึกว่าหัวใจนั้นเต้นแรงเขารีบกุมหัวใจเอาไว้ แล
เซียวหลิ่นหลีกทางให้โดยจิตใต้สำนึก กู้หว่านเยว่กำลังจะจับมือของเยียนอวิ๋นชู แต่ฝ่ายหลังกลับดันรถเข็นถอยหลังอย่างไม่คาดคิดปากก็ยังด่าทอเสียงดัง“ไปให้พ้น ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาสงสารข้า เจ้าเป็นอะไรกับข้าหรือ ปล่อยข้าไว้คนเดียวให้สงบสติอารมณ์สักพัก รีบออกไปให้พ้นเดี๋ยวนี้!”เยียนอวิ๋นชูคำรามลั่น ใบหน้าหล่อเหยเกเล็กน้อย คำพูดที่เอ่ยออกมาแย่มากจนทำให้มุมปากของเซียวหลิ่นกระตุก“คุณชายรอง!”คุณชายรองเกิดลมบ้าหมูอะไรขึ้นมา จอมยุทธหนุ่มท่านนี้เมื่อครู่สามารถใช้เข็มเงินนั่นฆ่าใครก็ได้ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่านี่คือบุคคลที่มีทักษะทางการแพทย์สูงมาก หวังดีจะช่วยชีวิตเขา เหตุใดเขาถึงยังด่าทออย่างรุนแรง?“จอมยุทธหนุ่ม ขอโทษด้วยจริง ๆ”เซียวหลิ่นรีบขอโทษกู้หว่านเยว่ หวังว่านางจะใจกว้างไม่ถือสาคนต่ำทรามและกู้หว่านเยว่ก็มองดูท่าทางต่อต้านของเยียนอวิ๋นชู ครุ่นคิดเล็กน้อยก็รู้ว่าเขากำลังกังวลเรื่องอะไร“ท่านผู้นี้ ช่างดื้อรั้นเสียจริง!”เขาคงกลัวว่าจะสูญเสียการควบคุมและทำร้ายนาง ดังนั้นเขาจึงพูดจาดุดันเพราะต้องการขับไล่นางออกไป ทั้ง ๆ ที่นัยน์ตานั้นเต็มไปด้วยความกังวล แต่ก็ยังดึงดันที่จะแสร้ง
“เจ้าจะช่วยส่งจดหมายให้พวกข้าหรือ?”เยียนอวิ๋นชูมองไปที่กู้หว่านเยว่อย่างคาดไม่ถึง ดวงตาแจ่มใสทั้งคู่ที่มองไปที่กู้หว่านเยว่ เขาเชื่อมั่นในตัวนางมากจริง ๆ“ไม่ได้ มันจะทำให้เจ้ายุ่งยากเกินไป”เยียนอวิ๋นชูใจเต้นอยู่ชั่วขณะ หันหน้าไปอย่างรวดเร็วอาจเป็นเพราะหลายทศวรรษที่ผ่านมา เขาเคยชินกับการปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยท่าทีเฉยชา ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในเวลาอันสั้นการเอาตัวออกห่าง เป็นวิธีการปกป้องตัวเอง และปกป้องมิตรสหายของเขาด้วยกู้หว่านเยว่ถือโอกาสรับจดหมายของเขามา “เฮ้อ ท่านอย่ามัวชักช้าเลย ฟังจากคำพูดของท่าน พี่ชายของท่านไปที่เมืองอูถ่านแล้ว หากช้ากว่านี้ก็คงไม่ทันกาล เอาจดหมายมาให้ข้า พวกข้าจะไปส่งให้ท่านเอง”เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่โผงผางเช่นนี้ เยียนอวิ๋นชูก็เบิกตาทั้งสองกว้างอย่างตกตะลึง“เจ้า เจ้า...” เขาคงไม่สามารถแย่งจดหมายกลับมาได้อีกแล้วกระมัง?“คุณชายรอง ในเมื่อวีรบุรุษหนุ่มทั้งสองท่านนี้ต้องการช่วยเหลือเรา สู้เราเอาจดหมายให้พวกเขาดีกว่า สถานการณ์เร่งด่วน เราไม่อาจมัวลังเลได้”เซียวหลิ่นที่อยู่ข้าง ๆ รีบเอ่ยขึ้น ความจริงเขาก็กำลังคิดจะขอความช่วยเหลือจากกู้หว่านเยว่ เพีย