ซูจิ่งสิงส่ายหัวให้นาง“ทุกอย่างต้องมีหลักฐาน เจ้าไม่มีหลักฐาน ตอนนี้ไปหานาง นางก็ไม่ยอมรับหรอก”“แล้วจะทำอย่างไรดี?”จะปล่อยให้นางรอดตัวไปงั้นหรือ? กู้หว่านเยว่ยอมไม่ได้“ข้ามีวิธีให้นางยอมรับเอง” ซูจิ่งสิงกระซิบข้างหูนางสองสามประโยค กู้หว่านเยว่ฟังแล้วตาเป็นประกายสองวันต่อมา ผู้ป่วยในห้องเก็บฟืนก็หายดีเกือบหมดแล้ว แม้แต่นางจินที่หมดสติก็ฟื้นขึ้นมาซูหรานหร่านรู้สึกขอบคุณกู้หว่านเยว่เป็นอย่างยิ่ง มองนางเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตกู้หว่านเยว่และซุนอู่เสนอว่าจะออกไปซื้อแม่ไก่แก่มาสักสองสามตัว จากนั้นตุ๋นเป็นน้ำแกงหนึ่งหม้อ เพื่อบำรุงร่างกายให้ทุกคนเมื่อทุกคนได้ยินว่ามีน้ำแกงแม่ไก่ให้ดื่ม บรรยากาศหดหู่จากโรคระบาดก็พลันสลายไป ทุกคนต่างถือชามมาต่อแถวรับน้ำแกงไก่ด้วยความกระตือรือร้นหลี่ซือซือก็ไม่ยกเว้นแต่เมื่อนางเห็นหม้อที่กู้หว่านเยว่ใช้ต้มน้ำแกง ชามในมือก็เกือบจะหลุดร่วงลงพื้นด้วยความตกใจ“หม้อมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร...” นางตกใจจนหน้าถอดสี หันหลังจะเดินหนีไปกู้หว่านเยว่เรียกนางจากด้านหลัง “หลี่ซือซือ เจ้าจะไปไหน น้ำแกงไก่นี่ไม่ดื่มแล้วหรือ?”หลี่ซือซือส่ายหัว เหมือนถูกก
“ไม่หย่าเจ้าแล้วจะเก็บไว้ฉลองตรุษจีนหรือไร?”ซูอวี่เข้ามาในห้องด้วยท่าทางโมโห หยิบกระดาษมาเขียนหนังสือหย่าอย่างลวก ๆ แล้วปาใส่หน้าหลี่ซือซือ“ท่านพี่ แม้เป็นสามีภรรยากันเพียงคืนเดียวก็ยังผูกพันกันนะ!”หลี่ซือซือน้ำตาไหลพราก กอดขาซูอวี่ไว้แน่น“ไปให้พ้น!” ฮูหยินผู้เฒ่าซูถีบนางออกไปด้วยเท้าข้างหนึ่ง จากนั้นยังเอาพื้นรองเท้าถูกับพื้นหญ้าอย่างแรง ราวกับเหยียบขี้หมาเหม็น ๆ ทุกคนมองดูอย่างเย็นชา ไม่มีใครสงสารหลี่ซือซือเลย“พวกเราซดน้ำแกงจากหม้อใบเล็กไปแล้ว คงไม่ติดโรคมาลาเรียหรอกนะ?”“ไม่หรอก”กู้หว่านเยว่รีบอธิบาย เพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก“หม้อใบเล็กนี้ข้าหาใบที่เหมือนกันมาโดยเฉพาะ ใบเก่าถูกเผาทิ้งไปนานแล้ว”ทุกคนจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก“กู้หว่านเยว่ เจ้ากล้าหลอกข้า!”หลี่ซือซือรู้สึกว่าตนเองถูกหลอก จึงคว้าชามที่อยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาปาใส่กู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่หลบไปด้านข้าง จากนั้นยกเท้าถีบนางจนกระเด็น“ถ้าเจ้าไม่คิดร้ายกับใคร ก็ไม่มีใครหลอกเจ้าได้หรอก ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าทำเรื่องชั่วอีกเลย”หลี่ซือซือทรุดตัวลงไปตามกำแพง มองกู้หว่านเยว่ด้วยความโกรธแค้น และกำหมัดแน่น นา
อย่างไรก็ตาม สมุนไพรเหล่านั้นนางเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่บริจาคให้พื้นที่ระบาดเท่านั้น ถึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดส่วนทางด้านอวิ๋นมู่ นางเชื่อว่าเขาไม่กล้าหาผลประโยชน์ใส่ตัวจากเรื่องนี้“หมอเทวดาน้อยไม่ควรขอบคุณข้า ข้าต่างหากที่ควรขอบคุณท่าน ก่อนอื่นข้าขอขอบคุณสำหรับบุญคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้ และขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับความเมตตาที่ท่านมอบสมุนไพรให้ชาวเมืองตงโจว”อวิ๋นมู่ยกถ้วยขึ้นมาก่อน แล้วกล่าวคำขอบคุณอันไพเราะต่อกู้หว่านเยว่ จากนั้นจึงพูดอย่างขี้เล่นว่า“แผลยังไม่หายดี ข้าขอใช้ชาดื่มแทนเหล้า เพื่อเป็นการคารวะท่านหมอเทวดาน้อย”“คุณชายอวิ๋นเกรงใจเกินไปแล้ว”กู้หว่านเยว่รีบยกถ้วยขึ้นชนกับเขา นางค่อนข้างชอบนิสัยของอวิ๋นมู่ การพูดคุยกับเขาทำให้นางรู้สึกสบายใจและผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูกทั้งสองสบตากัน แล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา“น้องหญิง กินผักสิ” ทันใดนั้น มือข้างหนึ่งก็มาขวางระหว่างทั้งสองคนซูจิ่งสิงมีสีหน้าหงอยเหงา อวิ๋นมู่ก็รีบเอ่ยขึ้น “ลองเป็ดย่างหนังกรอบนี่สิ เป็นอาหารขึ้นชื่อของร้านนี้ เป็ดที่ใช้เป็นเป็ดแม่พันธุ์อายุหลายปี เนื้อนุ่มไม่เลี่ยน และไม่มีกลิ่นคาว”เขาคีบขึ้นมา
ตั้งแต่ไปมาหาสู่กันจนถึงตอนนี้ ฟู่หลานเหิงก็รู้สึกสบายใจขึ้นเรื่อย ๆ เขามองออกว่ากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสองสามีภรรยาคู่นี้มีความผูกพันกันมากเขาไม่ใช่คนที่ชอบแย่งคนรักของผู้อื่น สิ่งที่เขาอยากทำที่สุดในตอนนี้คือการอวยพรส่วนเรื่องที่พวกเขาเป็นสหายเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เยาว์วัยนั้น ขอให้ความทรงจำเหล่านั้นยังคงอยู่ในอดีตตลอดไป อย่างไรเสียทุกคนก็ต้องมองไปข้างหน้าแน่นอนว่าความผูกพันของพวกเขายังคงอยู่ตลอดไปเช่นกัน“หว่านเยว่ วันข้างหน้าเจ้าอาจจะต้องเจออุปสรรคมากมาย หากข้าช่วยเจ้าได้ ข้าก็จะช่วยเจ้าอย่างไม่ลังเลแน่นอน” ฟู่หลานเหิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม“ได้สิ”กู้หว่านเยว่เผยรอยยิ้มที่จริงใจออกมา จนกระทั่งนางมองดูเวลาที่บอกว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว นางจึงรีบกล่าว“เมืองตงโจวยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมากมาย ใต้เท้าฟู่ ท่านกลับไปก่อนเถอะ ไม่ต้องส่งข้าหรอก”“ได้”ฟู่หลานเหิงพยักหน้า กู้หว่านเยว่กล่าวไม่ผิด ภายในเมืองตงโจวยังมีเรื่องที่ให้เขากลับไปจัดการอีกมากมาย เขาไม่จำเป็นต้องเกรงใจ หลังจากกล่าวลาแล้วเขาก็หมุนตัวเดินจากไปทันทีกู้หว่านเยว่กลับเข้ามาในขบวนอีกครั้ง แต่กลับพบว่าซูจิ่นเอ๋อร์ยังคง
เมื่อมู่หรงอวี้เดินมาถึงหน้าประตูเมือง ทันใดนั้นเขาก็หันกลับไปมองกลุ่มคนที่โดนเนรเทศอีกครั้งแม้ว่าสายตาของเขาจะหยุดมองอยู่บนเกวียน แต่แววตาของเขากลับเต็มไปด้วยไอสังหารอย่างรุนแรงเขาหันไปกล่าวกับเว่ยเฉิงว่า “เห็นแล้วใช่หรือไม่ ในกลุ่มผู้ถูกเนรเทศมีเจิ้นเป่ยอ๋องผู้มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย แต่ทว่าตอนนี้เขาเป็นเพียงคนน่าสมเพชเท่านั้น”เว่ยเฉิงหัวเราะเยาะพลางส่ายหน้า“ข้าน้อยเป็นเพียงชาวบ้านไร้การศึกษา ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเจิ้นเป่ยอ๋องมาก่อน คงทำให้ท่านอ๋องขบขันไม่น้อย”“ฮ่า ๆ เจ้าก็ดูถูกตัวเองเกินไปแล้ว การช่วยเหลือผู้ประสบเคราะห์ภัยครั้งนี้ต้องขอบคุณในอุบายและแผนการของเจ้า มิเช่นนั้นข้าคงไม่มีทางแก้ไขน้ำท่วมและจัดหาที่ทางให้กับผู้ถูกเนรเทศได้เลย”ครั้งนี้เว่ยเฉิงช่วยให้เขาได้รับความไว้วางใจจากชาวบ้านไม่น้อยเว่ยเฉิงไม่กล่าวอะไร แค่กระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา ในขณะที่มู่หรงอวี้มองมานั้น เขาได้เปลี่ยนกลับมาดูเย็นชาและนอบน้อมถ่อมตัวอีกครั้ง“อยากจะแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในเมืองตงโจวโดยสมบูรณ์ แค่การขุดลอกแม่น้ำยังไม่พอ แต่เพื่อให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนน้อยลง สู้เราไป
“ต้องอ้อมอย่างน้อยสองเดือนเลยหรือ?”พวกเขาออกจากเมืองหลวงนานเพียงนี้ เพิ่งเดินทางไปได้สองสามเดือนเท่านั้นอ้อมภูเขาลูกนี้ ต้องใช้เวลาถึงสองเดือน เห็น ๆ อยู่ว่าเทือกเขาลูกนี้มีขนาดใหญ่แค่ไหนภูเขาหู่หลางชื่อภูเขาบวกกับคำอธิบายของจางเอ้อร์ก็ฟังดูคล้ายกับหินก้อนใหญ่ ทำให้ทุกคนรู้สึกเป็นกังวลอยู่ในใจแต่กู้หว่านเยว่กลับมีแววตาเปล่งประกายเมื่อได้ยินชื่อภูเขา นางรู้สึกคุ้นหูอยู่ไม่น้อยจริงสิ ภรรยาของซูจื่อชิงรู้จักภูเขาหู่หลางไม่ใช่หรือ!เมื่อเอ่ยถึงสามีภรรยาคู่นี้ ในใจก็อดรู้สึกซาบซึ้งไม่ได้ พี่น้องของนางเป็นหญิงสาวที่ไม่ธรรมดาและไม่เป็นสองรองใครนางนั้น...เป็นหญิงที่แข็งแรงมากกู้หว่านเยว่มองไปทางซูจื่อชิงที่อ่อนแอ แล้วก็ต้องหัวเราะเยาะอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น“พี่สะใภ้ใหญ่ เจ้าหัวเราะอะไร?”ซูจื่อชิงมีสีหน้างุนงงกู้หว่านเยว่ยิ้มและกล่าวว่า “ต่อไปก็ให้ท่านอาเหยียนของเจ้าแบกพี่ใหญ่ของเจ้าไปละกัน เจ้าไม่ต้องแบก เมื่อโตขึ้นเจ้าก็อย่าเผลอไปแบกความกดดันที่มันมากเกินไปล่ะ ระวังตัวไว้ต่อไปภรรยาของเจ้าอาจจะไม่พอใจเจ้า”ภรรยา?เขายังไม่เคยคิดเรื่องนี้ซูจื่อชิงถูกหยอกล
ซูจื่อชิงขมวดคิ้วพลางเอ่ยถามกู้หว่านเยว่โน้มตัวลง และใช้ปลายนิ้วถูพื้นผิววัตถุ หัวคิ้วของเขาขมวดกันแน่นกว่าเดิมพลางกล่าว “ที่นี่น่าจะเป็นภูเขาไฟ”“อะไรคือภูเขาไฟ?”ทุกคนเกิดความสงสัยนางอธิบาย “มันก็คือหินหลอมเหลวและเปลวไฟที่ปะทุออกมาจากใต้ภูเขา เปลวไฟสามารถปะทุออกไปไกลได้หลายลี้ ทำให้ต้นไม้ที่อยู่ในรัศมีสิบลี้บริเวณนี้ถูกไฟแผดเผาไปหมดสิ้น อีกทั้งพื้นผิวแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยสสารพวกแร่ธาตุและกำมะถันและหินดำ”คำนามที่นางกล่าวออกมาทีละคำ ทุกคนล้วนแต่ไม่เข้าใจ กลับมีแค่อวิ๋นมู่ที่มองกู้หว่านเยว่ด้วยท่าทางเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง“ที่นี่น่ากลัวขนาดนี้ เรารีบข้ามภูเขาหู่หลางไปดีกว่า”กู้หว่านเยว่ยังไม่ทันกล่าวจบ บนภูเขาหู่หลางนอกจากภูเขาไฟแล้วก็น่าจะมีสัตว์ร้ายอีกไม่น้อยแต่เมื่อเห็นทุกคนมีท่าทีหวาดกลัว นางจึงไม่กล่าวอะไรอีกขณะที่เดินเข้าไปจนกระทั่งถึงกลางเขาของภูเขาหู่หลางนั้น ท้องฟ้าก็ค่อย ๆ มืดลง ซุนอู่จึงประกาศให้ทุกคนตั้งค่ายอ้างแรมกันที่นี่“ทุกคนจุดไฟกองใหญ่หน่อยนะ ดึกดื่นค่อนคืนอาจจะมีสัตว์ร้ายออกมาก็ได้”กู้หว่านเยว่กล่าวเตือนทันทีที่สิ้นสุดเสียง นางก็ได้ยินเสียงหอนข
“อยากกิน”กู้หว่านเยว่พยักหน้าอย่างคาดหวัง นางคาดหวังจนถึงขั้นจินตนาการถึงวิธีการย่างหมาป่าทั้งหมดในหัวของนางแล้ว“รอก่อน”ซูจิ่งสิงหยิบคันธนูและลูกธนูออกมา จากนั้นก็เล็งเป้าหมายไปที่ฝูงหมาป่าที่อยู่ในความมืด“มืดขนาดนี้จะยิงโดนไหม?”สิ้นสุดเสียง นางกลับเห็นว่าลูกธนูในมือของซูจิ่งสิงนั้นพุ่งตัวออกไปติดต่อกันสามครั้งแล้ว“สวบ” กระทั่งได้ยินเสียงของปลายธนูที่เสียบทะลุเนื้อดังขึ้นกู้หว่านเยว่รีบคลานเข้าไปตรวจสอบ จนกระทั่งลากซากหมาป่าที่ตายแล้วทั้งสามตัวออกมาอย่างมีความสุข“ท่านพี่ ท่านเก่งมาก ไม่เพียงแค่ยิงโดนเท่านั้น ทั้งยังทำให้ฝูงหมาป่าหนีกระเจิงไปอีกด้วย”นางดูผลงานนั้นอย่างตั้งใจ ธนูดอกนี้ของซูจิ่งสิงน่าจะเสียบเข้าที่หัวของหมาป่า จึงทำให้ฝูงหมาป่าที่เหลือตกใจจนหนีไปซูจิ่งสิงแอบดีใจกับคำชมของนางอยู่ในใจ แต่ใบหน้ากลับนิ่งสงบ“ไม่ใช่เพราะเจ้าอยากกินเนื้อหมาป่าหรอกหรือ รีบลากมันมานี่ ข้าจะได้ช่วยจัดการให้เจ้า”“เยี่ยม” กู้หว่านเยว่เก็บหมาป่าไว้ให้ตัวเองหนึ่งตัว แล้วแบ่งหมาป่าตัวที่สองให้นักการในศาลาว่าการ จากนั้นก็แบ่งหมาป่าตัวที่สามให้กับครอบครัวอื่น ๆ หลี่ฮูหยินรับเน
เดิมทีวิชายุทธ์ของเขาก็ไม่สูง หลังผ่านความตกตะลึง ขาก็ลื่นร่วงหล่นจากคานบ้านปรมาจารย์แพทย์ ‘...เหล่านี้ล้วนคือสมุนไพร ดอกไม้อะไรกัน!’“พูดเช่นนี้หมายความว่าเจ้ามาหาเจียงอวิ๋นจิ่น เจ้าอยากพานางหนีไป?” กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วเอ่ยถามเฉินจื่อวั่งสบสายตาของทั้งคู่ รีบส่ายหน้า “ข้าเปล่า ข้ารู้นางไม่มีวันไปกับข้า แม่ของนางยังอยู่ในเมืองหลวง หากนางไป แม่ของนางก็ต้องตาย ข้าเพียงอยากลอบมาดูนางสักครั้ง”กู้หว่านเยว่รู้สึกเห็นใจคนผู้นี้อยู่บ้าง เขาก็คือคนหลงใหลในความรักคนหนึ่งยิ่งไปกว่านั้นฟังจากคำพูดของอีกฝ่ายแล้ว เจียงอวิ๋นจิ่นไม่ได้ยินดีมาเป็นชายารองที่เจดีย์หนิงกู่เฉินจื่อวั่งขบกรามแน่นพูดว่า “เรื่องคืนนี้ล้วนเป็นความผิดของข้า พวกเจ้าจะฆ่าก็ฆ่า แต่อย่าโทษนางเป็นอันขาด นางน่าสงสารพอแล้ว”เขากำหมัดแน่น “จะโทษก็โทษที่ข้าไร้ประโยชน์ ไม่สามารถปกป้องนางและครอบครัวของนางเอาไว้ได้”เขามองทางซูจิ่งสิง “ท่านอ๋องขอร้องท่านหนึ่งเรื่อง อวิ๋นจิ่นเป็นคนน่าสงสารจริงๆ ต่อให้ท่านไม่รักนาง แต่ฝ่าบาทพระราชทานนางให้ท่านแล้ว ในเมื่อนางเป็นสตรีของท่านแล้ว ขอร้องท่านดีต่อนางด้วย แม้ข้าและนางเป็นคู่รักในวัยเย
เฉินจื่อวั่งสีหน้างุนงง เมื่อครู่เกิดเรื่องใดขึ้นแล้ว เหตุใดเขาไม่รู้?สีหน้ากู้หว่านเยว่สับสน ปรมาจารย์แพทย์ลูบศีรษะอย่างเก้อกระดาก“คือว่า คือว่าเวลาออกฤทธิ์ของยาพูดความจริงนี้สั้นไปบ้างยิ่งไปกว่านั้นยามเอ่ยถามปัญหาสำคัญ เป็นไปได้มากว่าฤทธิ์ยาจะหายไป...ยังไม่ทันได้ปรับปรุง”ยาสิ้นฤทธิ์ตอนถามปัญหาสำคัญ เช่นนั้นยาพูดความจริงมีประโยชน์อะไร?กู้หว่านเยว่ยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่ก็สามารถเข้าใจได้ เพียงยาน้ำขวดเดียว ยากจะทำให้จิตใจของคนสับสน“น้องหญิง ใต้วงแขนเขาคล้ายมีของ” สายตาซูจิ่งสิงคมกริบ ขยับขึ้นไปดึงสิ่งที่อยู่ใต้วงแขนของเฉินจื่อวั่งออกมาเฉินจื่อวั่งคล้ายให้ความสำคัญต่อของสิ่งนี้มากเป็นพิเศษ รีบร้องตะโกน “รีบคืนของให้ข้า!”เขาพยายามกระโจนเข้ามา ถูกฉู่เฟิงจับไว้แน่นๆ แล้ว“ของสิ่งนี้เป็นสิ่งล้ำค่าของข้า ขอร้องพวกท่านรีบคืนมันให้ข้า”กู้หว่านเยว่หันมองทางมือของซูจิ่งสิง พบว่าคือถุงหอมใบหนึ่งนางเมินข้ามคำอ้อนวอนของเฉินจื่อวั่ง หยิบถุงหอมมามองซ้ายมองขวา สรุปคือพบอักษรตัวเล็กๆ หนึ่งบรรทัดที่ด้านล่างถุงหอม“ท่านพี่ ท่านถือเทียนเข้ามาใกล้หน่อย”ตอนนี้ท้องฟ้ามืดมิด อักษ
โชคดีจริงๆเสียด้วย!กู้หว่านเยว่โมโหไม่อยากพูดแล้ว กลับเอ่ยปากอย่างใจอ่อน “ช่างเถอะๆ ข้าช่วยท่านจับชีพจร แต่หากข้าเองก็ไม่สามารถถอนพิษได้ เช่นนั้นท่านก็คงต้องตายจริงๆ แล้ว”นางจงใจทำให้ปรมาจารย์แพทย์ตกใจ ใครจะรู้ปรมาจารย์แพทย์กลับหัวเราะ “ตายเถอะๆ รีบตายรีบหลุดพ้น”“.....”นางแพ้แล้ว“เป็นเช่นไรนังหนู เจ้าสามารถคิดค้นยาถอนพิษนี้ได้หรือไม่?” ปรมาจารย์แพทย์สนใจเพียงสิ่งนี้“สามารถคิดค้นได้ แต่ต้องฝังเข็ม”กู้หว่านเยว่หยิบเข็มเงินออกมา ใช้เวลาครู่หนึ่ง ถึงขับพิษให้ไปอยู่อีกแห่งหนึ่งได้“ข้าค่อยเขียนตำรับยาให้ท่านหนึ่งเทียบ”ช่วยแล้วก็ต้องช่วยจนถึงที่สุด กำจัดพิษที่เหลืออยู่ด้วย นางก้มหน้าเขียนตำรับยา ดวงตาปรมาจารย์แพทย์ทอประกายระยับมองนาง“นังหนู วิชาพิษของเจ้าก็ไม่ธรรมดาเลยนี่”กู้หว่านเยว่หัวเราะ “โชคดีที่ไม่ธรรมดา มิเช่นนั้นท่านจะต้องไปพบยมบาลแล้ว”นางพูดอีกหนึ่งประโยคอย่างอดไม่ได้ “ภายภาคหน้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้ หากครั้งหน้าท่านต้องการทดลองยาพิษ สามารถใช้หนูทดลองได้”“หนูทดลอง คือสิ่งใด?” ปรมาจารย์แพทย์ส่ายหัว ไม่เข้าใจกู้หว่านเยว่เล่าหลักการการใช้หนูทดลองในยุคสมัยใหม่ให้เขา
“ไป พวกเราไปดูกันเถอะ”กู้หว่านเยว่กังวลความปลอดภัยของปรมาจารย์แพทย์ ไม่ใส่ใจความเขินอาย รีบจูงมือซูจิ่งสิงไล่ตามไปสรุปคือทั้งสองคนมาถึงเรือนของปรมาจารย์แพทย์ คนชุดดำก็ล้มอยู่บนพื้นแล้ว“นังหนูๆ ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว เมื่อครู่จู่ๆ ก็มีคนชุดดำคนหนึ่งเขามา ข้าตกใจแทบแย่”ปรมาจารย์แพทย์วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ในมือยังถือผงยาถูกเปิดออกหนึ่งขวดเห็นได้ชัดมาก คนชุดดำน่าจะโดนผงยาในมือของเขาแล้ว“ท่านมิได้วางยาพิษเขาจนตายไปแล้วกระมัง?”กู้หว่านเยว่ส่ายหัว มองดูแล้วนางกังวลโดยเสียเปล่า“เปล่าเสียหน่อย ตอนนี้ข้าไม่ฆ่าสิ่งมีชีวิตแล้ว นี่เป็นเพียงยาสลบธรรมดาๆ เท่านั้น”ปรมาจารย์แพทย์เก็บยาสลบ จากนั้นรีบตบหน้าอก“ข้าตกใจแทบแย่ เมื่อครู่ข้าเพิ่งศึกษาสมุนไพร จู่ๆ เขาก็ร่วงลงมาจากคานบ้าน”กู้หว่านเยว่เดินเข้าไปมองแวบหนึ่ง คนยังไม่ตายจริงๆ“นี่คือศัตรูของท่านหรือ?”“ศัตรูอะไรกันเล่า ข้าไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ”ปรมาจารย์แพทย์ส่ายหน้า ซูจิ่งสิงโบกมือให้องครักษ์จันทราดึงคนชุดดำขึ้นมา“นักฆ่าคนนี้ มองดูแล้วนับว่าหล่อเหลาทีเดียว”กู้หว่านเยว่ประเมินออกมาหนึ่งประโยคอย่างอดไม่ได้ ทำเสียจนซูจิ่งสิงห
“ไม่ใช่ว่าข้าเก่งนะ แต่มีคู่มือการผลิตอยู่ในมิติ ข้าแค่ทำตามคู่มือก็เสร็จแล้ว””นั่นเจ้าก็เก่งเหมือนกัน คนทั่วไปต่อให้ได้คู่มือการผลิตมา ก็อาจจะทำออกมาได้ไม่เหมือนต้นฉบับซูจิ่งสิงไม่ยอมรับการโต้แย้ง กู้หว่านเยว่วกเข้าเรื่องเดิม “ข้าตั้งใจจะผลิตแก้วให้ครบวงจร”นางกล่าวอย่างครุ่นคิด “ความจริงแล้วแก้วไม่ใช่ของหายากอะไร เป็นชาวต่างแดนที่เห็นต้าฉีของเราไม่มี ก็เลยจงใจปั่นราคาให้สูงขึ้น”ที่กู้หว่านเยว่ยืนกรานที่จะผลิตแก้วออกมาให้ได้ เพราะไม่อยากให้ชาวต่างแดนขูดรีดพวกเขา“ท่านพี่รู้หรือไม่? ความจริงแล้วแก้วมีประโยชน์ใช้สอยมากมาย ไม่เพียงแต่สามารถใช้ทำเป็นถ้วยจานชามได้เท่านั้น แต่ยังใช้ผลิตหน้าต่างกระจกได้อีกด้วย ไม่เพียงแต่สามารถกันลมกันฝนได้เท่านั้น แต่ยังทำให้แสงแดดส่องถึงอีกด้วย มากไปถึงขั้นที่สามารถใช้มันผลิตกระจกได้ด้วย กระจกทองแดงที่พวกเราใช้กันอยู่ตอนนี้จะชัดเจนและสว่างไสวมากขึ้น”ดวงตาของกู้หว่านเยว่เปี่ยมไปด้วยประกายแวววาว ในขณะที่นางพรรณนาประโยชน์ของแก้วด้วยเสียงแผ่วเบา“หากสามารถส่งเสริมการใช้แก้วออกไปได้ ก็จะเป็นเรื่องที่ดีมากที่สร้างความผาสุกให้แก่ประชาชน”นี่คือจุดประส
“ยังไม่กลับเจ้าค่ะ” ชิงเหลียนส่ายหัวกู้หว่านเยว่เหลือบมองสีท้องฟ้า ฟ้ากำลังจะมืดแล้ว ซูจิ่งสิงคงยุ่งมากแน่ ๆนางแทบรอไม่ไหวที่จะแบ่งปันความสุขนี้กับอีกฝ่าย “เดี๋ยวท่านพี่กลับมา รีบไปบอกข้าทันทีนะ”หลังจากยุ่งมาตลอดช่วงบ่าย นางก็เหงื่อแตกพลั่กไปทั้งตัว อาศัยช่วงเวลานี้อาบน้ำได้พอดี“ชิงเหลียน ข้าอยากอาบน้ำ”“เจ้าค่ะ” ชิงเหลียนรีบร้อนลงไป ให้ทางห้องครัวเล็กนำน้ำร้อนมาให้ ไม่นานอ่างอาบน้ำก็เต็มไปด้วยน้ำร้อนกู้หว่านเยว่แค่อยากแช่น้ำ ก็เลยไม่ได้เข้าไปอาบน้ำในมิติหยิบขวดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นกุหลาบออกมา ก่อนหยดลงในอ่างอาบน้ำ กลิ่นหอมแรงทำให้ชิงเหลียนเผยสีหน้าเคลิบเคลิ้มออกมา“ฮูหยิน หอมจัง เมื่อครู่ท่านหยดอะไรลงไปหรือเจ้าคะ? ทำไมถึงหอมเช่นนี้?“นี่คือน้ำมันหอมระเหยกลิ่นกุหลาบ”กู้หว่านเยว่ลงไปนั่งอย่างผ่อนคลาย แช่ในน้ำร้อนอุ่น ๆ หลับตาพริ้ม“ฮูหยินเก่งสุดยอดจริง ๆ “ชิงเหลียนชื่นชมอย่างจริงใจ หลังจากติดตามฮูหยินมานาน ก็ได้รู้ว่าสิ่งของอะไรที่หายาก ฮูหยินสามารถทำออกมาได้ทั้งหมด“เก่งสุดยอดไปเลย”ทำแก้วสำเร็จ กู้หว่านก็เยว่อารมณ์ดีทีเดียว พลางพยักหน้าอย่างหลงระเริงหลังจากแช่น้ำเส
“ตกลง ตกลง” นางจินเช็ดน้ำตา รู้สึกมีความหวังขึ้นมาทันใดในเวลานี้พ่อบ้านศูนย์พักพิงรีบวิ่งเข้ามา “ท่านทั้งสองเป็นญาติของท่านอ๋องใช่ไหม?”“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” ทั้งสองรู้สึกประหม่าเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่เพิ่งรู้สึกมีความหวังในชีวิต พอหันกลับมาก็ถูกตบหน้าแล้วหรอกนะ?“ท่านทั้งสองอย่าประหม่าไปเลย” พ่อบ้านรีบบอก “ถ้าท่านทั้งสองต้องการความช่วยเหลือใด ๆ ข้าคือพ่อบ้านศูนย์พักพิง บอกกับพวกข้าได้เลย”นี่คือญาติของท่านอ๋อง ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมถึงเร่ร่อนมาถึงศูนย์พักพิงได้ แต่ก็ไม่สามารถล่วงเกินได้อยู่ดี“ข้า พวกข้าต้องการทำงาน” ซูเช่อรวบรวมคว้ากล้า“ได้สิ ถ้าท่านรู้หนังสือล่ะก็ ศูนย์พักพิงของเราขาดนักบัญชีหนึ่งคน”“ข้ารู้หนังสือ!”“งั้นพรุ่งนี้ท่านก็สามารถมาทำงานได้เลย” พ่อบ้านกล่าวอย่างผ่อนคลาย“จริงหรือ ขอบคุณ ยังมีแม่ของข้าด้วย...”“ถ้าแม่เฒ่าไม่รังเกียจ ทางศูนย์พักพิงก็สามารถจัดหางานที่ค่อนข้างสบายให้ได้”“ไม่รังเกียจ ไม่รังเกียจ รบกวนพ่อบ้านด้วย”เมื่อเห็นพ่อบ้านออกไปแล้ว สีหน้าของซูเช่อที่เคยขมขื่น ความเคียดแค้นที่มีต่อซูจิ่งสิงก็หายไปทันที“ท่านแม่ ข้าคิดได้แล้ว ต่อไปข้าจะใช้ช
“น้องหญิง เจียงอวิ๋นจิ่น ไม่ใช่ชายารอง”ซูจิ่งสิงต้องแก้ไขให้ถูกต้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาไม่อยากให้ในอนาคตหากมีคนอื่นพูดถึงเขาอีก แล้วยังคิดว่าเขามีชายารอง“ตกลง ๆ ๆ ข้าคิดว่าเจียงอวิ๋นจิ่นผู้นี้ อาจจะไม่ได้มาโดยสมัครใจ”กู้หว่านเยว่เห็นนางลังเลที่จะพูดอยู่หลายครั้ง คำพูดนี้ทำให้ซูจินเอ๋อร์ถึงกับต้องออกปาก“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านใจดีเกินไปแล้ว นางเป็นศัตรูหัวใจของท่านนะ”“ใช่แล้วหว่านเยว่ ถ้านางไม่เต็มใจมา จะมีใครถือมีดจี้คอบังคับนางอยู่หรือ?”นางหยางเห็นแก่คนที่มาก่อน ไม่ค่อยชอบเจียงอวิ๋นจิ่นสักเท่าใด นางจับมือของกู้หว่านเยว่เอาไว้พลางถอนหายใจ “จิ่นเอ๋อร์พูดถูก เจ้าใจดีเกินไปแล้ว”“อุ๊บ!”กู้หว่านเยว่แสดงออกว่า ใช้ชีวิตอยู่มาสองชั่วอายุคน เป็นครั้งแรกที่มีคนบอกว่านางใจดี พวกท่านใส่ตัวกรองเข้มงวดเกินไปแล้ว“ยินดีด้วยท่านอ๋อง ยินดีด้วยชายาอ๋อง”ขุนนางที่รีบรุดมาถึงพากันคุกเข่าลง หลี่เฉินอันก็เดินเข้ามาหาด้วยความตื่นเต้น “อาจารย์หญิง ในที่สุดฟ้าหลังฝนก็มาถึงท่านแล้ว นับจากนี้ไปก็ไม่ได้อยู่ในสถานะนักโทษเนรเทศอีกแล้ว”เขามองกู้หว่านเยว่ด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชม ไม่มีความ
ซูจิ่งสิงปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่า การเปิดใจของน้องหญิงเป็นเรื่องยากเพียงใดเขาจะไม่ยอมปล่อยให้เรื่องใด ๆ ที่อาจทำร้ายหว่านเยว่เกิดขึ้นเด็ดขาด“แต่งเพียงในนาม ก็ไม่ได้เช่นกัน”“ท่านพี่” ความหวานชื่นผุดขึ้นในหัวใจของกู้หว่านเยว่ เจือด้วยความซาบซึ้งขันทีเริ่มลำบากใจขึ้นเรื่อย ๆ การเลี้ยงดูสตรีในจวนอ๋อง ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรมิใช่หรือ?“ท่านอ๋อง ท่านทำเช่นนี้ ทำให้ข้าลำบากใจ”ก่อนออกเดินทาง พระองค์ท่านตรัสไว้ว่า ต้องให้ซูจิ่งสิงยอมรับเจียงอวิ๋นจิ่นให้ได้ ไม่เช่นนั้นหัวของเขาจะหลุดจากบ่าเมื่อนึกถึงภารกิจที่ที่ได้รับมอบหมาย ขันทีก็ใช้เหตุผลอธิบายให้เข้าใจ ใช้ความรู้สึกโน้มน้าวจิตใจต่อไป“ท่านอ๋อง แค่สตรีเพียงคนเดียว เก็บไว้ข้างกายท่าน จะไม่เป็นอุปสรรคต่อเรื่องใดแน่ราชโองการของฮ่องเต้ได้ประกาศลงมาแล้ว ชายารองเจียงก็เดินทางมาไกลถึงที่นี่แล้ว หากถูกส่งคืนกลับไป จะเอาหน้าที่ไหนไปใช้ชีวิตต่อเล่า?”“ความเป็นความตายของคนอื่น มันเกี่ยวข้องอะไรกับข้าด้วย?”หรือว่าต้องทำให้น้องหญิงเสียใจเพื่อคนที่ไม่สลักสำคัญอะไรเพียงคนเดียวเล่า?“จะใกล้หรือไกล ใกล้ชิดหรือห่างเหิ