ซูจิ่งสิงส่ายหัวให้นาง“ทุกอย่างต้องมีหลักฐาน เจ้าไม่มีหลักฐาน ตอนนี้ไปหานาง นางก็ไม่ยอมรับหรอก”“แล้วจะทำอย่างไรดี?”จะปล่อยให้นางรอดตัวไปงั้นหรือ? กู้หว่านเยว่ยอมไม่ได้“ข้ามีวิธีให้นางยอมรับเอง” ซูจิ่งสิงกระซิบข้างหูนางสองสามประโยค กู้หว่านเยว่ฟังแล้วตาเป็นประกายสองวันต่อมา ผู้ป่วยในห้องเก็บฟืนก็หายดีเกือบหมดแล้ว แม้แต่นางจินที่หมดสติก็ฟื้นขึ้นมาซูหรานหร่านรู้สึกขอบคุณกู้หว่านเยว่เป็นอย่างยิ่ง มองนางเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตกู้หว่านเยว่และซุนอู่เสนอว่าจะออกไปซื้อแม่ไก่แก่มาสักสองสามตัว จากนั้นตุ๋นเป็นน้ำแกงหนึ่งหม้อ เพื่อบำรุงร่างกายให้ทุกคนเมื่อทุกคนได้ยินว่ามีน้ำแกงแม่ไก่ให้ดื่ม บรรยากาศหดหู่จากโรคระบาดก็พลันสลายไป ทุกคนต่างถือชามมาต่อแถวรับน้ำแกงไก่ด้วยความกระตือรือร้นหลี่ซือซือก็ไม่ยกเว้นแต่เมื่อนางเห็นหม้อที่กู้หว่านเยว่ใช้ต้มน้ำแกง ชามในมือก็เกือบจะหลุดร่วงลงพื้นด้วยความตกใจ“หม้อมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร...” นางตกใจจนหน้าถอดสี หันหลังจะเดินหนีไปกู้หว่านเยว่เรียกนางจากด้านหลัง “หลี่ซือซือ เจ้าจะไปไหน น้ำแกงไก่นี่ไม่ดื่มแล้วหรือ?”หลี่ซือซือส่ายหัว เหมือนถูกก
“ไม่หย่าเจ้าแล้วจะเก็บไว้ฉลองตรุษจีนหรือไร?”ซูอวี่เข้ามาในห้องด้วยท่าทางโมโห หยิบกระดาษมาเขียนหนังสือหย่าอย่างลวก ๆ แล้วปาใส่หน้าหลี่ซือซือ“ท่านพี่ แม้เป็นสามีภรรยากันเพียงคืนเดียวก็ยังผูกพันกันนะ!”หลี่ซือซือน้ำตาไหลพราก กอดขาซูอวี่ไว้แน่น“ไปให้พ้น!” ฮูหยินผู้เฒ่าซูถีบนางออกไปด้วยเท้าข้างหนึ่ง จากนั้นยังเอาพื้นรองเท้าถูกับพื้นหญ้าอย่างแรง ราวกับเหยียบขี้หมาเหม็น ๆ ทุกคนมองดูอย่างเย็นชา ไม่มีใครสงสารหลี่ซือซือเลย“พวกเราซดน้ำแกงจากหม้อใบเล็กไปแล้ว คงไม่ติดโรคมาลาเรียหรอกนะ?”“ไม่หรอก”กู้หว่านเยว่รีบอธิบาย เพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก“หม้อใบเล็กนี้ข้าหาใบที่เหมือนกันมาโดยเฉพาะ ใบเก่าถูกเผาทิ้งไปนานแล้ว”ทุกคนจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก“กู้หว่านเยว่ เจ้ากล้าหลอกข้า!”หลี่ซือซือรู้สึกว่าตนเองถูกหลอก จึงคว้าชามที่อยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาปาใส่กู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่หลบไปด้านข้าง จากนั้นยกเท้าถีบนางจนกระเด็น“ถ้าเจ้าไม่คิดร้ายกับใคร ก็ไม่มีใครหลอกเจ้าได้หรอก ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าทำเรื่องชั่วอีกเลย”หลี่ซือซือทรุดตัวลงไปตามกำแพง มองกู้หว่านเยว่ด้วยความโกรธแค้น และกำหมัดแน่น นา
อย่างไรก็ตาม สมุนไพรเหล่านั้นนางเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่บริจาคให้พื้นที่ระบาดเท่านั้น ถึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดส่วนทางด้านอวิ๋นมู่ นางเชื่อว่าเขาไม่กล้าหาผลประโยชน์ใส่ตัวจากเรื่องนี้“หมอเทวดาน้อยไม่ควรขอบคุณข้า ข้าต่างหากที่ควรขอบคุณท่าน ก่อนอื่นข้าขอขอบคุณสำหรับบุญคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้ และขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับความเมตตาที่ท่านมอบสมุนไพรให้ชาวเมืองตงโจว”อวิ๋นมู่ยกถ้วยขึ้นมาก่อน แล้วกล่าวคำขอบคุณอันไพเราะต่อกู้หว่านเยว่ จากนั้นจึงพูดอย่างขี้เล่นว่า“แผลยังไม่หายดี ข้าขอใช้ชาดื่มแทนเหล้า เพื่อเป็นการคารวะท่านหมอเทวดาน้อย”“คุณชายอวิ๋นเกรงใจเกินไปแล้ว”กู้หว่านเยว่รีบยกถ้วยขึ้นชนกับเขา นางค่อนข้างชอบนิสัยของอวิ๋นมู่ การพูดคุยกับเขาทำให้นางรู้สึกสบายใจและผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูกทั้งสองสบตากัน แล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา“น้องหญิง กินผักสิ” ทันใดนั้น มือข้างหนึ่งก็มาขวางระหว่างทั้งสองคนซูจิ่งสิงมีสีหน้าหงอยเหงา อวิ๋นมู่ก็รีบเอ่ยขึ้น “ลองเป็ดย่างหนังกรอบนี่สิ เป็นอาหารขึ้นชื่อของร้านนี้ เป็ดที่ใช้เป็นเป็ดแม่พันธุ์อายุหลายปี เนื้อนุ่มไม่เลี่ยน และไม่มีกลิ่นคาว”เขาคีบขึ้นมา
ตั้งแต่ไปมาหาสู่กันจนถึงตอนนี้ ฟู่หลานเหิงก็รู้สึกสบายใจขึ้นเรื่อย ๆ เขามองออกว่ากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสองสามีภรรยาคู่นี้มีความผูกพันกันมากเขาไม่ใช่คนที่ชอบแย่งคนรักของผู้อื่น สิ่งที่เขาอยากทำที่สุดในตอนนี้คือการอวยพรส่วนเรื่องที่พวกเขาเป็นสหายเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เยาว์วัยนั้น ขอให้ความทรงจำเหล่านั้นยังคงอยู่ในอดีตตลอดไป อย่างไรเสียทุกคนก็ต้องมองไปข้างหน้าแน่นอนว่าความผูกพันของพวกเขายังคงอยู่ตลอดไปเช่นกัน“หว่านเยว่ วันข้างหน้าเจ้าอาจจะต้องเจออุปสรรคมากมาย หากข้าช่วยเจ้าได้ ข้าก็จะช่วยเจ้าอย่างไม่ลังเลแน่นอน” ฟู่หลานเหิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม“ได้สิ”กู้หว่านเยว่เผยรอยยิ้มที่จริงใจออกมา จนกระทั่งนางมองดูเวลาที่บอกว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว นางจึงรีบกล่าว“เมืองตงโจวยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมากมาย ใต้เท้าฟู่ ท่านกลับไปก่อนเถอะ ไม่ต้องส่งข้าหรอก”“ได้”ฟู่หลานเหิงพยักหน้า กู้หว่านเยว่กล่าวไม่ผิด ภายในเมืองตงโจวยังมีเรื่องที่ให้เขากลับไปจัดการอีกมากมาย เขาไม่จำเป็นต้องเกรงใจ หลังจากกล่าวลาแล้วเขาก็หมุนตัวเดินจากไปทันทีกู้หว่านเยว่กลับเข้ามาในขบวนอีกครั้ง แต่กลับพบว่าซูจิ่นเอ๋อร์ยังคง
เมื่อมู่หรงอวี้เดินมาถึงหน้าประตูเมือง ทันใดนั้นเขาก็หันกลับไปมองกลุ่มคนที่โดนเนรเทศอีกครั้งแม้ว่าสายตาของเขาจะหยุดมองอยู่บนเกวียน แต่แววตาของเขากลับเต็มไปด้วยไอสังหารอย่างรุนแรงเขาหันไปกล่าวกับเว่ยเฉิงว่า “เห็นแล้วใช่หรือไม่ ในกลุ่มผู้ถูกเนรเทศมีเจิ้นเป่ยอ๋องผู้มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย แต่ทว่าตอนนี้เขาเป็นเพียงคนน่าสมเพชเท่านั้น”เว่ยเฉิงหัวเราะเยาะพลางส่ายหน้า“ข้าน้อยเป็นเพียงชาวบ้านไร้การศึกษา ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเจิ้นเป่ยอ๋องมาก่อน คงทำให้ท่านอ๋องขบขันไม่น้อย”“ฮ่า ๆ เจ้าก็ดูถูกตัวเองเกินไปแล้ว การช่วยเหลือผู้ประสบเคราะห์ภัยครั้งนี้ต้องขอบคุณในอุบายและแผนการของเจ้า มิเช่นนั้นข้าคงไม่มีทางแก้ไขน้ำท่วมและจัดหาที่ทางให้กับผู้ถูกเนรเทศได้เลย”ครั้งนี้เว่ยเฉิงช่วยให้เขาได้รับความไว้วางใจจากชาวบ้านไม่น้อยเว่ยเฉิงไม่กล่าวอะไร แค่กระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา ในขณะที่มู่หรงอวี้มองมานั้น เขาได้เปลี่ยนกลับมาดูเย็นชาและนอบน้อมถ่อมตัวอีกครั้ง“อยากจะแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในเมืองตงโจวโดยสมบูรณ์ แค่การขุดลอกแม่น้ำยังไม่พอ แต่เพื่อให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนน้อยลง สู้เราไป
“ต้องอ้อมอย่างน้อยสองเดือนเลยหรือ?”พวกเขาออกจากเมืองหลวงนานเพียงนี้ เพิ่งเดินทางไปได้สองสามเดือนเท่านั้นอ้อมภูเขาลูกนี้ ต้องใช้เวลาถึงสองเดือน เห็น ๆ อยู่ว่าเทือกเขาลูกนี้มีขนาดใหญ่แค่ไหนภูเขาหู่หลางชื่อภูเขาบวกกับคำอธิบายของจางเอ้อร์ก็ฟังดูคล้ายกับหินก้อนใหญ่ ทำให้ทุกคนรู้สึกเป็นกังวลอยู่ในใจแต่กู้หว่านเยว่กลับมีแววตาเปล่งประกายเมื่อได้ยินชื่อภูเขา นางรู้สึกคุ้นหูอยู่ไม่น้อยจริงสิ ภรรยาของซูจื่อชิงรู้จักภูเขาหู่หลางไม่ใช่หรือ!เมื่อเอ่ยถึงสามีภรรยาคู่นี้ ในใจก็อดรู้สึกซาบซึ้งไม่ได้ พี่น้องของนางเป็นหญิงสาวที่ไม่ธรรมดาและไม่เป็นสองรองใครนางนั้น...เป็นหญิงที่แข็งแรงมากกู้หว่านเยว่มองไปทางซูจื่อชิงที่อ่อนแอ แล้วก็ต้องหัวเราะเยาะอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น“พี่สะใภ้ใหญ่ เจ้าหัวเราะอะไร?”ซูจื่อชิงมีสีหน้างุนงงกู้หว่านเยว่ยิ้มและกล่าวว่า “ต่อไปก็ให้ท่านอาเหยียนของเจ้าแบกพี่ใหญ่ของเจ้าไปละกัน เจ้าไม่ต้องแบก เมื่อโตขึ้นเจ้าก็อย่าเผลอไปแบกความกดดันที่มันมากเกินไปล่ะ ระวังตัวไว้ต่อไปภรรยาของเจ้าอาจจะไม่พอใจเจ้า”ภรรยา?เขายังไม่เคยคิดเรื่องนี้ซูจื่อชิงถูกหยอกล
ซูจื่อชิงขมวดคิ้วพลางเอ่ยถามกู้หว่านเยว่โน้มตัวลง และใช้ปลายนิ้วถูพื้นผิววัตถุ หัวคิ้วของเขาขมวดกันแน่นกว่าเดิมพลางกล่าว “ที่นี่น่าจะเป็นภูเขาไฟ”“อะไรคือภูเขาไฟ?”ทุกคนเกิดความสงสัยนางอธิบาย “มันก็คือหินหลอมเหลวและเปลวไฟที่ปะทุออกมาจากใต้ภูเขา เปลวไฟสามารถปะทุออกไปไกลได้หลายลี้ ทำให้ต้นไม้ที่อยู่ในรัศมีสิบลี้บริเวณนี้ถูกไฟแผดเผาไปหมดสิ้น อีกทั้งพื้นผิวแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยสสารพวกแร่ธาตุและกำมะถันและหินดำ”คำนามที่นางกล่าวออกมาทีละคำ ทุกคนล้วนแต่ไม่เข้าใจ กลับมีแค่อวิ๋นมู่ที่มองกู้หว่านเยว่ด้วยท่าทางเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง“ที่นี่น่ากลัวขนาดนี้ เรารีบข้ามภูเขาหู่หลางไปดีกว่า”กู้หว่านเยว่ยังไม่ทันกล่าวจบ บนภูเขาหู่หลางนอกจากภูเขาไฟแล้วก็น่าจะมีสัตว์ร้ายอีกไม่น้อยแต่เมื่อเห็นทุกคนมีท่าทีหวาดกลัว นางจึงไม่กล่าวอะไรอีกขณะที่เดินเข้าไปจนกระทั่งถึงกลางเขาของภูเขาหู่หลางนั้น ท้องฟ้าก็ค่อย ๆ มืดลง ซุนอู่จึงประกาศให้ทุกคนตั้งค่ายอ้างแรมกันที่นี่“ทุกคนจุดไฟกองใหญ่หน่อยนะ ดึกดื่นค่อนคืนอาจจะมีสัตว์ร้ายออกมาก็ได้”กู้หว่านเยว่กล่าวเตือนทันทีที่สิ้นสุดเสียง นางก็ได้ยินเสียงหอนข
“อยากกิน”กู้หว่านเยว่พยักหน้าอย่างคาดหวัง นางคาดหวังจนถึงขั้นจินตนาการถึงวิธีการย่างหมาป่าทั้งหมดในหัวของนางแล้ว“รอก่อน”ซูจิ่งสิงหยิบคันธนูและลูกธนูออกมา จากนั้นก็เล็งเป้าหมายไปที่ฝูงหมาป่าที่อยู่ในความมืด“มืดขนาดนี้จะยิงโดนไหม?”สิ้นสุดเสียง นางกลับเห็นว่าลูกธนูในมือของซูจิ่งสิงนั้นพุ่งตัวออกไปติดต่อกันสามครั้งแล้ว“สวบ” กระทั่งได้ยินเสียงของปลายธนูที่เสียบทะลุเนื้อดังขึ้นกู้หว่านเยว่รีบคลานเข้าไปตรวจสอบ จนกระทั่งลากซากหมาป่าที่ตายแล้วทั้งสามตัวออกมาอย่างมีความสุข“ท่านพี่ ท่านเก่งมาก ไม่เพียงแค่ยิงโดนเท่านั้น ทั้งยังทำให้ฝูงหมาป่าหนีกระเจิงไปอีกด้วย”นางดูผลงานนั้นอย่างตั้งใจ ธนูดอกนี้ของซูจิ่งสิงน่าจะเสียบเข้าที่หัวของหมาป่า จึงทำให้ฝูงหมาป่าที่เหลือตกใจจนหนีไปซูจิ่งสิงแอบดีใจกับคำชมของนางอยู่ในใจ แต่ใบหน้ากลับนิ่งสงบ“ไม่ใช่เพราะเจ้าอยากกินเนื้อหมาป่าหรอกหรือ รีบลากมันมานี่ ข้าจะได้ช่วยจัดการให้เจ้า”“เยี่ยม” กู้หว่านเยว่เก็บหมาป่าไว้ให้ตัวเองหนึ่งตัว แล้วแบ่งหมาป่าตัวที่สองให้นักการในศาลาว่าการ จากนั้นก็แบ่งหมาป่าตัวที่สามให้กับครอบครัวอื่น ๆ หลี่ฮูหยินรับเน
“บ่าวไปเดี๋ยวนี้เพคะ!”ชิงเหลียนหมุนกายวิ่งออกไปทันทีวันนี้คนที่เข้าเวรที่สำนักหมอนหลวงคือลั่วยางพอดี เมื่อเห็นชิงเหลียงมาเรียกคน คิดว่ากู้หว่านเยว่เป็นอะไรเสียอีก รีบคว้ากล่องยาตามออกไปทันทีหลังจากตามมาจึงจะรู้เรื่องของโจวเสี้ยนจากปากชิงเหลียน“นายท่านกับฮูหยินกำลังรู้สึกผิด ไม่ว่าจะส่งใครไป ท้ายที่สุดนี่ก็คือจุดจบของเรื่องนี้ ไม่มีใครถ้าคิดว่าองค์ชายหนานเจียงจะบ้าเช่นนี้หมอหญิงลั่ว หลังจากท่านเข้าไป ต้องเกลี้ยกล่อมฮูหยินดีๆ นะ”ลั่วยางพยักหน้า “น่าสงสารโจวฮูหยินมาก”“ก็นั่นน่ะสิ กว่าจะได้อยู่ด้วยกันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”เดิมทีสกุลโจวก็ไม่ชอบนางอยู่แล้ว ในที่สุดโจวเสี้ยนก็ได้แต่งงานกับนาง และมาซื้อบ้านอยู่ในเมืองหลวงวันดีๆ กำลังจะมาอยู่แล้ว แต่ปรากฏว่าเพิ่งแต่งงานได้หนึ่งเดือน ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ระหว่างที่ทั้งสองสนทนา ก็ได้มาถึงตำหนักข้างที่ให้โจวฮูหยินพักชั่วคราวแล้วหลังจากลั่วยางคำนับทั้งสอง ก็เข้าไปตรวจชีพจรให้โจวฮูหยิน“เสียใจมากเกินไป ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง หม่อมฉันจ่ายยาก็ดีขึ้นเองเพคะ”ลั่วยางเขียนตำรับยาหนึ่งแผ่น ให้ผู้ช่วยไปเอายาที่สำนักหมอหลวง ผ่านไปครู่หนึ่ง
“เกิดอะไรขึ้น?” กู้กว่านเยว่ถามชิงเหลียนคนหนักแน่น น้อยครั้งที่จะตื่นตระหนกเช่นนี้“องค์ชายสามของหนานเจียงเพคะ”นางกำหมัดแน่น โมโหจนยากจะควบคุมอารมณ์ “เขาเหิมเกริมเกินไปแล้ว เขา เขาฆ่าแม่ทัพโจวตายแล้ว!”“อะไรนะ?”สีหน้ากู้หว่านเยว่กับซูจิ่งสิงเปลี่ยนฉับพลันโจวเสี้ยนเป็นคนไปต้อนรับทูตหนานเจียงหลังจากโจวเสี้ยนยอมจำนนที่ด่านหานกู่ ก็กลายเป็นขุนนางคนสำคัญของซูจิ่งสิง ทั้งสองคิดไม่ถึงว่าคนหนานเจียงจะใจกล้าถึงขั้นฆ่าเขา“ทำไมถึงฆ่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”สีหน้าซูจิ่งสิงขรึมลงโจวเสี้ยนอายุยังน้อย เพิ่งแต่งงานเดือนที่แล้วชิงเหลียนกล่าวตอบ “ข่าวที่ส่งกลับมาบอกว่าแม่ทัพโจวลวนลามสนมรักขององค์ชายสาม ด้วยความโกรธ องค์ชายสามจึง…ฆ่าเขา”นางหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกจากหน้าอก“ใช่แล้ว นี่คือหนังสือยอมรับผิดขององค์ชายสามหนานเจียง”สีหน้าซูจิ่งสิงดูน่าเกลียดมาก เขารับหนังสือยอมรับผิดมา ยิ่งอ่านสีหน้าก็ยิ่งบูดบึ้ง“เขาเขียนว่าอะไร?”“เจ้าดูสิ”กู้หว่านเยว่รับหนังสือยอมรับผิดมาจากมือซูจิ่งสิง หลังจากอ่านครู่หนึ่ง ไม่น่าแปลกใจที่ซูจิ่งสิงโกรธเช่นนี้ นางก็โมโหเช่นกันองค์ชายสามคนนี้แสร้งเขี
ทว่าท่าทีของซูจิ่งสิงแสดงให้เห็นว่าเขาไม่เคยเห็นธัญพืชเช่นนี้มาก่อน“มองใบสีเขียวมรกตนี้ หรือว่าจะเป็นผัก?” ซูจิ่งสิงถามตอบด้วยตนเอง ทำเสียจนกู้หว่านเยว่หัวเราะดังลั่น“ของกินนี้เรียกว่ามันฝรั่ง อีกทั้งยังสามารถเรียกว่ามันฝรั่งหม่าหลิงได้อีกด้วย ใบของมันไม่ได้นำมากิน หัวมันฝรั่งโตที่รากต่างหากที่นำมากินเจ้าค่ะ” กู้หว่านเยว่อธิบายซูจิ่งสิงเข้าใจในทันใด “คล้ายมันเทศใช่หรือไม่?”“ใช่แล้วเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่ส่งจอบให้อันหนึ่ง“ท่านพี่ ท่านขุดออกมาดูเถอะ”“ได้”ซูจิ่งสิงรับจอบไป เดินมายังตำแหน่งใกล้ที่สุด ขุดดินอย่างระมัดระวัง จากนั้นดึงรากของมันฝรั่งออกมาปริมาณมันฝรั่งภายในมิติชวนให้คนตกใจ ยิ่งไปกว่านั้นรูปร่างอ้วนกลมยังทำให้คนชอบมาก“รสชาติเจ้าสิ่งนี้เป็นเช่นไร?”ซูจิ่งสิงแปลกใจอยู่บ้าง เจ้าสิ่งที่เรียกว่า “มันฝรั่ง” นี้ เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน อีกทั้งยังไม่เคยกินมาก่อนด้วยไม่รู้ว่าเทียบกับมันเทศที่คล้ายกันแล้วจะมีรสชาติเช่นไร“ไม่มีวันทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน”กู้หว่านเยว่จูงซูจิ่งสิงมายังพื้นที่กว้างแห่งหนึ่งเพื่อแสดงรสชาติอร่อยที่สุดของมันฝรั่ง กู้หว่านเยว่ไม่ได้ใช้ครัวอ
“หนานเจียงส่งคนมาแล้ว?”ดวงตาเฟิ่งอู๋ชีเผยแววประหลาดใจ “ส่งใครมาหรือ?”“องค์ชายสามหนานเจียง” กู้หว่านเยว่พูดเฟิ่งอู๋ชีเผยสีหน้าเย้ยหยันตนเอง ก้มหน้าเล่นถ้วยชาบนโต๊ะ“เป็นเฟิ่งหวู่โจวนี่เอง”“เขาน่ะ มีความสัมพันธ์อันดีกับเสด็จพี่ใหญ่ของข้ามากที่สุด”ความเสียใจบนใบหน้าเขาสะท้อนออกอย่างชัดเจน กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงล้วนสามารถรับรู้ได้ ทั้งคู่สบตากันแวบหนึ่งจึงเอ่ยถามไล่เรียง“เฟิ่งอู๋ชี พูดเช่นนี้อาจล่วงเกินท่านอยู่บ้าง แต่ตกลงสถานการณ์ที่หนานเจียงของท่านเป็นเช่นไรกันแน่?”เฟิ่งอู๋ชีเบือนหน้าหนี เขาถูกกระตุ้นให้นึกถึกเรื่องที่เสียใจจึงหลีกเลี่ยงคำถามของทั้งคู่“ข้าบอกพวกท่านได้เพียงว่าน้องสามของข้าท่านนี้ไม่มีอันใดน่ากลัว เขาเป็นสุนัขตัวหนึ่งของเฟิ่งหมิงกวง ขอเพียงพวกท่านจับเฟิ่งหมิงกวงไว้ได้อยู่หมัดก็เท่ากับจับเขาไว้ได้แล้ว”แม้ว่ากู้หว่านเยว่อยากสืบข่าวให้มากยิ่งกว่านี้ แต่เห็นว่าเฟิ่งอู๋ชีถูกพูดแทงใจ นางเองก็ไม่ได้ถามต่อ“ได้ ท่านพักผ่อนดีๆ พวกเราจะมาเยี่ยมท่านใหม่วันหลัง”นางลุกขึ้นบอกลา“น้อมส่งฝ่าบาท น้อมส่งฮองเฮา”เฟิ่งอู๋ชีอยากลุกขึ้นทำความเคารพ กลับถูกกู้หว่านเยว่
“คนที่ส่งมาคือใคร?”“องค์ชายสามของหนานเจียงพ่ะย่ะค่ะ”“องค์ชายสาม?”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสบตากันแวบหนึ่ง หนานเจียงไม่ข้องเกี่ยวกับโลกภายนอกมานานหลายปี พวกเขารู้เรื่องหนานเจียงน้อยมาก ย่อมไม่รู้จักองค์ชายสามคนนี้ดังนั้นสองคนจึงตัดสินใจไปสอบถามเฟิ่งอู๋ชีก่อน“ช่วงนี้ร่างกายของเฟิ่งอู๋ชีเป็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่เอ่ยถามชิงเหลียน ช่วงนี้เป็นนางเฝ้าเฟิ่งอู๋ชีอยู่ตลอด“หลังท่านมอบเลือดของเทพเต่าให้เขาแล้ว เขาปรุงสมุนไพรด้วยตนเองจึงดีกว่าแต่ก่อนมากเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่พยักหน้าได้รู้ว่าเลือดเต่าของเฟิ่งอู๋ชีถูกเฟิ่งหมิงกวงขโมยไป กู้หว่านเยว่ก็เข้าไปในมิติปรึกษากับเต่าทะเลยักษ์หนึ่งรอบ หวังว่าจะได้รับเลือดจากตัวมันอีกเล็กน้อยแน่นอน ภายในใจนางนับเต่าทะเลยักษ์เป็นสหายแล้วหากเต่าทะเลยักษ์ไม่ยอม นางย่อมไม่บังคับเต่าทะเลยักษ์ยอมรับกู้หว่านเยว่ในฐานะเจ้านายอย่างมาก ได้รู้ว่ากู้หว่านเยว่ทำเพื่อช่วยสหายของตนก็ยื่นกรงเล็บน้อยๆ ออกไปอย่างไม่ลังเล ให้กู้หว่านเยว่เจาะเลือดหลังกู้หว่านเยว่รับไปแล้วก็รีบไปหาเฟิ่งอู๋ชีและมอบเลือดเต่าทะเลให้เขาหลังจากนั้นเขาก็พักรักษาตัวภายในตำหนักแห่งหน
ตอนหวงจูเข้าวัง ใต้เท้าหวงและหวงฮูหยินคิดว่าลูกสาวจะไปเป็นสนมสรุปคือคนพลิกบทบาทไปในเวลาเพียงชั่วพริบตา กลายเป็นขุนนางคนสนิทของกู้หว่านเยว่เสียแล้วหวงจูสวมชุดแดงใส่หมวกขุนนางกลับบ้าน ทั้งสองคนยังตอบสนองไม่ทัน ตกลงเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่“ลูกสาว เจ้าไม่ได้เข้าวังไปเป็นสนมหรือ เหตุใดเป็นขุนนางแล้วเล่า?”ดูแล้วขุนนางนี้ ตำแหน่งไม่เล็กใต้เท้าหวงขยี้ตา เขายังไม่ตื่นหรือ?“ท่านพ่อ ท่านดูไม่ผิด บัดนี้ลูกรับราชการในราชสำนักเหมือนท่านแล้ว”หวงจูคลี่ยิ้มอย่างฉลาดหลักแหลม“ฮองเฮาแต่งตั้งลูกเป็นรองผู้คุมสอบขุนนางในครั้งนี้เจ้าค่ะ”สองผู้เฒ่าสกุลหวง ‘?’“นี่ตกลงเกิดอันใดขึ้นกันแน่?”ใต้เท้าหวงใกล้หมดสติเต็มที“ท่านพ่อ ฮองเฮาตัดสินใจเปิดการสอบพระราชทานของสตรีในปีนี้ ฮองเฮาถูกใจลูก ทำลายกฎเกณฑ์เป็นพิเศษ จัดการสอบพระราชทานในครั้งนี้ขึ้นเจ้าค่ะ”สีหน้าหวงจูเรียบเฉย กลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากภายในใจ ความหวังและความใฝ่ฝันของนางก็จะเป็นจริงแล้ว“จูเอ๋อร์”แววตาใต้เท้าหวงทอประกาย“เจ้าบอกพ่อ ตั้งแต่เข้าวัง เจ้าก็วางแผนไว้แล้วใช่หรือไม่?”“ใช่แล้วเจ้าค่ะ”หวงจูยกชาขึ้น พยักหน้าอย่างจริงจั
กู้หว่านเยว่โบกมือ เป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายลุกขึ้น“กำลังจะกินมื้อเช้าพอดี”กู้หว่านเยว่ล้างหน้าบ้วนปากแล้วก็วางผ้าเช็ดหน้าไว้ที่ฝั่งหนึ่ง สั่งคนไปยกอาหาร“เจ้าเองก็ยังไม่ได้กินข้าวกระมัง? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็นั่งลงทางด้านข้าง กินไปด้วยพูดไปด้วยเถอะ”ท่าทีเป็นกันเองของนางทำให้หวงจูแปลกใจ แววตายามทอดมองนางเปี่ยมความชื่นชม“บ่าวขอบพระทัยฮองเฮามากเพคะ”ทั้งสองคนนั่งลงพร้อมกัน หวงจูกลับไม่กล้ากินจริง ที่ทำมากที่สุดคือปรนนิบัติกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่เองก็อยากฉวยโอกาสนี้ทดสอบหมิงจู ดูว่าตกลงนางมีความสามารถมากเพียงใด ปราฎว่าทดสอบดูแล้วพบว่าอีกฝ่ายมีความคิดล้ำสมัยอย่างแท้จริง“เจ้าอ่านหนังสือไม่น้อย”“หลังกินเสร็จแล้วเจ้าอย่าเพิ่งไป ข้าจะให้คนทดสอบเจ้า”นางกำลังขาดผู้อยู่ใต้อาณัติไว้ใช้งานดีหวงจูชะงักไป จากนั้นดีใจอย่างบ้าคลั่ง“บ่าวขอบพระทัยฮองเฮามากเพคะ”เรื่องนี้มีหวังแล้ว!“เจ้าไปเชิญใต้เท้าเว่ยเว่ยเฉิงมาสักเที่ยวหนึ่ง”กู้หว่านเยว่สั่งหงเจาหนึ่งประโยค“เพคะ”หงเจาพยักหน้า จากนั้นรีบออกไปตามคนรอจนกระทั่งกู้หว่านเยว่กินข้าวเรียบร้อยแล้ว เว่ยเฉิงก็เดินทางเข้ามาจากนอกวัง กำล
ชิงเหลียนมองออกไป แล้วรีบกราบทูลรายงานว่า “นี่คือคนที่สกุลหวงส่งเข้ามาเมื่อหลายวันก่อน บอกว่าเข้ามาดูแลท่านเป็นพิเศษ ข้าเห็นว่านางเป็นคนว่านอนสอนง่าย จึงพานางมาที่นี่เจ้าค่ะ”หวงจูรีบหมุนตัวกลับมา นางมองกู้หว่านเยว่อย่างชื่นชม ก่อนจะรีบก้มหน้าลง คุกเข่าตรงหน้าของกู้หว่านเยว่“ข้าหวงจู ขอคารวะพระมเหสี ขอให้พระมเหสีทรงมีอายุยืนยาวเป็นพัน ๆ ปี เป็น หมื่น ๆปี”กู้หว่านเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง“เจ้าคือบุตรสาวของใต้เท้าหวง”นางมีความประทับใจต่อขุนนางอย่างใต้เท้าหวง ทำไมนะหรือ? ไต้เท้าหวงผู้นี้มีตำแหน่งไม่ธรรมดา อีกทั้งยังยังเคยทำงานภายใต้การดูแลของมู่หรงถิงมาก่อนตามหลักแล้ว นางจะต้องสืบค้นอย่างแน่นอนทว่าหลังจากที่สืบค้นแล้ว พบว่าสกุลหวงไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ใต้เท้าหวงไม่ใช่ขุนนางทุจริต ดังนั้นจึงปล่อยผ่านไม่ได้สืบค้นตระกูลของพวกนาง ตอนนี้ใต้เท้าหวงยังคงดำรงตำแหน่งเดิม“พระมเหสีทรงความจำดียิ่งนัก ท่านพ่อของข้าคือจงเฉิงหวงเหรินในตอนนี้”กู้หว่านเยว่ครุ่นคิดใต้เท้าหวงไม่ใช่ขุนนางชั้นผู้น้อยในราชสำนัก บุตรสาวของเขาก็นับว่าสามารถขึ้นเป็นพระชายาของท่านอ๋องได้ เหตุใดถึงส่งนางมา
จงหลี่ไม่ไป ตัดสินใจว่าจะตายไปพร้อมกับพวกเขาทุกคนต่างก็ซาบซึ้งใจและลำบากใจในเวลาเดียวกัน“ฝ่าบาท”ชิงเยี่ยนน้ำตาไหลพราก นัยน์ตาของจงหลี่เลื่อนมาหยุดอยู่ที่เขา ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าและตบบ่าของเขาด้วยความเชื่อมั่น“ชิงเหยียน เจ้าไปเถอะเจ้าคือองครักษ์ของข้า คือคนที่ข้าเห็นการเติบโตและเป็นคนที่ข้าเชื่อใจที่สุดเจ้าจงนำอารยธรรมของเมืองตงโจวไปตามหาหว่านเยว่ที่ต้าฉี”ในใจของเขายังเป็นห่วงน้องสาว“หลังจากที่เจอหว่านเยว่แล้ว จำไว้ บอกนางจงใช้ชีวิตอยู่ในต้าฉีให้ดี ห้ามกลับมาเมืองตงโจวอีก”“ฝ่าบาท!”ชิงเยี่ยนแสดงสีหน้าตื่นตกใจ เขาคาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าสุดท้ายแล้วคนที่ต้องจากไปคือตัวเอง“ไม่ ฝ่าบาท ข้าไม่ไป ข้าจะอยู่กับท่าน”ชิงเยี่ยนแทบจะคุกเข่าร้องไห้ กอดขาของจงหลี่ไว้“ฝ่าบาท ท่านอย่าไล่ข้าเลยเขอรับ ให้ข้าอยู่ที่นี่ ข้าไม่อยากจากไปจริง ๆ”ฝ่าบาทมีพระคุณกับเขามากมายดั่งภูผา เขาจะทิ้งฝ่าบาท แล้วหนีเอาตัวรอดเพียงผู้เดียวได้อย่างไร?เขาทำไม่ได้ชิงเยี่ยนน้องไห้น้ำตานองหน้า ส่ายหัวปฏิเสธท่าเดียวจงหลี่ทอดถอนใจ แล้วประคองเขาขึ้นมา “ชิงเยี่ยน ทำไมข้าถึงต้องให้เจ้าไป? ประการแรกคื